Friday, 4 July 2025
SPECIAL

‘ชพก.’ เปิดปราศรัยแฟลตคลองจั่น อ้อนชาวบ้าน หนุน ‘ธาม’ เข้าสภาฯ ลั่น!! พร้อมทุบทุนผูกขาด กระจายรายได้สู่ฐานราก สร้างโอกาสให้ ปชช.

(4 พ.ค. 66) พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค และทีมผู้สมัคร ส.ส.ประกอบด้วย นายพรชัย มาระเนตร์ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี ผู้สมัคร เขตลาดพร้าว บึงกุ่ม เบอร์ 3 นายนที ศิริธรรมวัฒน์ ผู้สมัครเขต พญาไท ดินแดง เบอร์ 11 ลงพื้นที่บางกะปิ เพื่อช่วยนายธาม สมุทรานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.บางกะปิ-วังทองหลาง เบอร์ 8 หาเสียง และจัดเวทีปราศรัยย่อยที่แฟลตคลองจั่น โดยมีผู้สนใจรับฟังเป็นจำนวนมาก

นายวรวุฒิ กล่าวว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นคนรุ่นใหม่เกือบทั้งสิ้น และมีความตั้งใจที่ตรงกันคือ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่เราจะไม่ทำแบบการเมืองเก่า ตนในฐานะที่เป็นนักธุรกิจ เติบโตจากธุรกิจเครื่องเขียนห้องแถว ที่เกือบล้มละลาย เติบโตจนเป็นธุรกิจเครื่องเขียนยักษ์ใหญ่มีรายได้หมื่นล้านในเวลา 30 ปี ผ่านมาหลายวิกฤตทั้งในประเทศและนอกประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมอีคอมเมิร์ซขึ้นมา 20 ปี ก่อนได้เตือนรัฐบาลว่าให้สนับสนุนอีคอมเมิร์ซของคนไทยไว้ เพราะไม่เช่นนั้นสักวันเราจะไม่เหลืออยู่เลย

ซึ่งวันนี้ก็เป็นจริง เราสูญเสียเอกราชแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ให้กับต่างชาติไปเป็นที่เรียบร้อย อำนาจอยู่ในมือบริษัทข้ามชาติทั้งสิ้นเขาจะกำหนดเงื่อนไขอย่างไร เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มจองโรงแรม ผู้คิดค้นคนแรก ๆ ของโลกเป็นคนไทย แต่รัฐบาลไทยไม่เข้าใจไปเก็บภาษีเขาแพงทำให้อยู่ไม่ได้ จนต้องขายให้กับ agoda จนปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของโลกไปแล้ว เราต้องสูญเสียรายได้ที่ต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มเหล่านี้ถึงปีละ แสนกว่าล้านบาท นี่เพียงแพลตฟอร์มเดียว และยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่เราสูญเสียไป อย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเรามีรัฐบาลที่ไม่เข้าใจ

นายวรวุฒิ กล่าวว่า นักธุรกิจไทยเก่งจนต่างชาติยกย่อง เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยดีทุกอย่างยกเว้นการเมือง เรากลายเป็นคนป่วยของเอเชีย การเติบโตทางเศรษฐกิจของคนไทยถดถอยมาตลอดหลายปี เพราะการเมืองรังแกประเทศ นั่นคือจุดที่เราอยากมาทำงานการเมือง เราเห็นพรรคการเมืองทำหลายเรื่อง แบ่งขั้ว ซ้าย ขวา ความจริงมันไม่มีอะไรซ้ายขวาจริง ๆ ในทางการเมือง สิ่งที่เราต้องกลัวคือ คนขี้โกง พวกนี้ต่างหากที่ทำให้ประเทศมีปัญหา พรรคชาติพัฒนากล้าจึงประกาศชนทุนผูกขาด ที่ไม่เอื้อให้คนตัวเล็กเติบโตลืมตาอ้าปากได้ ทั้งพลังงาน สินเชื่อ ภาษี ตลอดจนระบบราชการ เราจะทำระบบคู่ขนานโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้มีการตรวจสอบโปร่งใส

นอกจากนี้ ยังเราหารายได้จากธุรกิจเฉดสี 5.5 ล้านล้านบาท เราไม่เน้นประชานิยมแจกเงิน เพราะเวลานี้ประเทศเราไม่ได้มีเงินมากมาย และไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนช่วงโควิดที่ผ่านมา พรรคเรามีคุณกรณ์ เป็นหัวหน้าพรรคที่มีประสบการณ์ตรงจากการแก้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ส่งผลกระทบทั่วโลกเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คุณกรณ์ ก็เคยใช้วิธีการแจกเงิน พร้อมไปกับการกู้วิกฤตเศรษฐกิจ โดยสามารถพลิกจีดีพีติดลบ 2.7% ขึ้นมา 7.8% ได้ภายใน 1 ปี จนได้รับการยกย่องให้เป็น รมว.คลังโลก และวันนี้เราก็พร้อมนำประสบการณ์มาแก้วิกฤตให้พี่น้องประชาชน

“วันที่ 14 พฤษภาคม ท่านใช้สิทธิของท่านด้วยความเป็นตัวของตัวเอง ท่านจะเลือกพรรคไหนเราเคารพการตัดสินใจ เพราะเราได้เสนอตัวให้เป็นทางเลือกกับท่านแล้ว แต่อย่าเลือกด้วยความกลัวว่าเลือกคนนี้เพราะกลัวคนนั้นจะมา โดยไม่สนใจนโยบายหรือคุณภาพของตัวบุคคล เราจะเสียโอกาสในการได้ผู้แทนที่ดีเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชน แต่ถ้าอยากได้คนอย่างคุณกรณ์ หรือผม เข้าไปทำงานในสภา 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 14 พรรคชาติพัฒนากล้า” นายวรวุฒิ กล่าว

นายธาม กล่าวว่า ตนเป็นคนรุ่นใหม่อายุ 28 ปี แต่มีประสบการณ์มากพอในการทำธุรกิจ และได้ลงพื้นที่บางกะปิ มานานจนผูกพัน เห็นความยากลำบาก เห็นปัญหาของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในบ้าน มันยิ่งตอกย้ำปมในใจที่ตนได้เสียคุณทวดไป เพราะล้มในบ้านของตัวเอง นั่นจึงเป็นที่มาที่ตนตัดสินใจนำเสนอนโยบาย อารยสถาปัตย์ ซ่อมบ้านให้ผู้สูงอายุและคนพิการ กับนายกรณ์ และเสนอตัวขอลงสมัคร ส.ส.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง เพื่ออาสาเป็นตัวแทนที่จะไปต่อสู้เพื่อคุณภาพชีวิตของชีวิตของพี่น้องประชาชน เพราะลำพังเป็นนักธุรกิจบ้านจัดสรรอย่างเดียว แม้จะทำบ้านดี ๆ ให้กับประชาชนได้ แต่ไม่สามารถช่วยในภาพใหญ่ได้ ดังนั้นวันนี้ ไม่ว่าจะเหนื่อย ลำบากแค่ไหนก็จะไม่ท้อ และจะสู้เต็มที่ เพราะถ้าตนชนะ ทุกคนก็จะชนะ เพราะตนทำจริง และก็ดีใจที่นายกรณ์ รับข้อเสนออารยสถาปัตย์เป็นนโยบายหลักของพรรค ที่จะขยายผลซ่อมบ้านให้ผู้สูงอายุและผู้พิการทั่วประเทศ

นายธาม กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ขวางกั้นความเจริญก้าวหน้าและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคนธรรมดา คือ ทุนผูกขาด ประเทศเราเคยเป็นประเทศแห่งโอกาส มีคนจีน มุสลิม ตลอดจนคนไทย ได้สร้างเนื้อสร้างตัวในประเทศนี้ได้เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันระบบไม่เอื้อ เพราะเรามีกำแพงเศรษฐกิจจากทุนผูกขาด น้ำมันแพง ไฟแพง ต้นเหตุทุกอย่างแพงหมด กระทบต่อค่าครองชีพ รัฐบาลทำสัญญาซื้อไฟเกินความต้องการ เพราะเอื้อทุนใหญ่ พรรคชาติพัฒนากล้า จะยึดอำนาจจากทุนใหญ่ ทุบทุนผูกขาดทุกรูปแบบ เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน มีบันไดถีบตัวเองให้มีฐานะทางสังคมได้ คนตัวเล็กแข่งขันกับคนตัวใหญ่ได้ พรรคเราไม่มีนโยบายซื้อเสียง ไม่มีประชานิยม แต่แจกโอกาส  ให้ทางประชาชนหารายได้ตั้งตัวได้

ชวน หลีกภัย นำ นิพนธ์-มาดามเดียร์-ดร.เอ้ ลุยชายแดนใต้ แฟนคลับรอส่งกำลังใจแน่นสองข้างทาง

ด้านโต๊ะครู ผู้นำศาสนา สายบุรี นำคณะต้อนรับเพื่อขอบคุณสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีได้อุดหนุนร.ร.เอกชนสอนศาสนา พลิกโฉมจนถึงวันนี้ เผย “ท่านชวน เป็นบุคคลที่พวกเราไม่ควรลืม” ที่ สุไหงโก-ลก คณะกรรมการศาลเจ้าโต๊ะโมะ ดีใจ เตรียมจัดเลี้ยงรับรองฯ

นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางวทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานการศึกษาทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อขอคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดปัตตานี เขต 1 นายสนิท  นาแว หมายเลข 8 ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี โดยเริ่มตั้งขบวนจากโรงแรม ซี เอส ปัตตานี เลี้ยวซ้ายเข้าในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี  ผ่านใจกลางเมือง ต่อจากนั้นนายชวน หลีกภัยและคณะ เข้าสักการะ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งตลอดสองข้างทางได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งได้ส่งเสียงให้กำลังใจ มอบดอกไม้ ให้กับนายชวน หลีกภัย และคณะจำนวนมาก    

จากนั้น คณะของนายชวน หลีกภัย พร้อมด้วยนายยูนัยดี วาบา ผู้สมัครปชป.หมายเลข 6 ได้เดินทางต่อไปยังบริเวณตลาดปาลัส ของอำเภอปะนาเระ และ เขตเทศบาลเมืองตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน โดยที่อำเภอสายบุรี นั้น มีโต๊ะครู ผู้นำศาสนา ครูและบุคลากรของโรงเรียน นำโดย ดาโตะนิเดร์ วาบา เจ้าของโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา รอให้การต้อนรับเพื่อแสดงความขอบคุณท่านชวน หลีกภัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า “ท่านชวน หลีกภัย เป็นบุคคลที่พวกเราไม่ควรจะลืม เพราะว่าในช่วงที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีและในสมัยรัฐบาลของท่าน ผมและคณะได้เข้าพบ และได้อุดหนุนให้กับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านก็ได้รับหนังสือและได้พิจารณาให้การอุดหนุนกับโรงเรียนเอกชน ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของท่านจนถึงทุกวันนี้ เป็นการพลิกโฉมโรงเรียนเอกชนสอน
ศาสนาอิสลามในด้านวิชาการสามัญและศาสนาพัฒนาโรงเรียนเอกชนฯ ให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับโรงเรียนต่างๆในภาครัฐ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้นตามลำดับ ทำให้นักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก”
ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น 

จากนั้นในเวลา 17.30 คณะฯพร้อมด้วยผู้สมัครเขต1 นราธิวาส นายวัสสันต์ ดือเร๊ะ หมายเลข 6 ได้ขึ้นรถหาเสียงขอคะแนนจากพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่อย่างอบอุ่นจนกระทั่งเวลา 18.45น  เดินทางต่อไปยังอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสเพื่อพบปะกับคณะกรรมการศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ ที่มีความรู้สึกดีใจและเตรียมจัดเลี้ยงเพื่อต้อนรับนายชวน หลีกภัย และคณะในการมาเยี่ยมเยียนอีกด้วย


นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘สุรพงษ์’ ชู ดันอุตฯ หนังไทย เป็น soft power สู่เวทีโลก ใช้ศักยภาพดึงดูดนักลงทุน-สร้างรายได้ นำพาประเทศพ้นความจน

(4 พ.ค. 66) นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีรับฟังปัญหาและแสดงวิสัยทัศน์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ที่ห้องออดิทอเรี่ยม ชั้น 5 Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถึงแนวทางให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยว่า วงการภาพยนตร์ไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว แต่รัฐฯ ต้องเข้าไปช่วยพัฒนาในส่วนของ 4M คือ man (ทรัพยากรมนุษย์), money (เงินทุน), management (การบริการจัดการ) และ material (วัตถุดิบ)

นายสุรพงษ์ขยายความว่า ปัญหาด้านการบริหารจัดการ พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดที่จะตั้ง ‘Thailand Creative Public Agency’ ขึ้นมา เป็นองค์กรที่แยกออกจากส่วนราชการ เพื่อให้การทำงานมีความยืดหยุ่นและต่อเนื่อง มี พ.ร.บ. รองรับ เพื่อให้มีอำนาจและงบประมาณที่ชัดเจน ที่สำคัญองค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับความสำคัญจากรัฐบาล และมีตัวแทนของภาคเอกชนเข้าไปร่วมขับเคลื่อน เช่น สนับสนุนให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน สร้างองค์ความรู้ เช่าโรงภาพยนตร์เพื่อฉายภาพยนตร์ไทยทุกจังหวัด

ส่วนปัญหาเรื่องเงินทุนและทรัพยากรมนุษย์นั้น สุรพงษ์กล่าวว่า แก้ไขได้ด้วยการผลักดันให้โกอินเตอร์เพื่อดึงดูดทุนจากต่างประเทศเข้ามา ทุนจะดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาด้วยค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังมีแนวคิดว่า วัตถุดิบอย่างบทภาพยนตร์ควรถูกนำมาตีมูลค่าเป็นทรัพย์สิน เพื่อให้นำไปใช้ในการดำเนินการทางธุรกิจการเงินต่าง ๆ ได้ 

“ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลต้องมีความเจตจำนงทางการเมือง นายกรัฐมนตรีต้องสนใจและทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง ลำพังรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมแก้ปัญหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไม่ได้” นายสุรพงษ์ เสริม


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0s6F3Aw9HhniVppJqhwCmaW4Bh7VSRuUHnSc39jovkktKzRGh1L3WSHci7U9FqZY7l

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. สงขลา ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 9 เขตของจังหวัดสงขลา ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อำเภอเมืองสงขลา
>>เขต 2 อำเภอหาดใหญ่ (เฉพาะตำบลหาดใหญ่ และตำบลคลองอู่ตะเภา)
>>เขต 3 อำเภอนาหม่อม อำเภอหาดใหญ่ (เฉพาะตำบลบ้านพรุ, ตำบลคอหงส์, ตำบลพะตง, ตำบลทุ่งใหญ่, ตำบลท่าข้าม และตำบลน้ำน้อย) อำเภอจะนะ (เฉพาะตำบลคลองเปียะ และตำบลจะโหนง)
>>เขต 4 อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร (เฉพาะตำบลม่วงงาม, ตำบลบางเขียด ตำบลชะแล้, ตำบลรำแดง และตำบลวัดขนุน)

‘จุรินทร์’ นำทีม ‘ปชป.’ ปราศรัยใหญ่ อ้อนขอคะแนนชาวพิจิตร ลั่น!! ‘ปชป.’ พาประเทศชาติรอดได้ ย้ำ!! เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว

‘จุรินทร์-ไพฑูรย์-นราพัฒน์’ ปราศรัยใหญ่พิจิตร ชูเลือกประชาธิปัตย์พาชาติรอด

(3 พ.ค. 66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายไพฑูรย์ แก้วทอง ราษฎรอาวุโสของชาวจังหวัดพิจิตร อดีต ส.ส. และรัฐมนตรีหลายกระทรวง นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค ภาคเหนือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) นอกจากนี้ยังมีผู้สมัคร ส.ส. ภาคเหนือตอนล่าง มาร่วมกันขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ที่บริเวณโรงเรียนตะพานหิน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร ทั้ง 3 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วย เขต 1 พล.ท.ฉลวย แย้มโพธิ์ใช้ เบอร์ 3 เขต 2 พ.ต.ท.สามารถ แก้วทอง เบอร์ 6 เขต 3 นายวรวุธ แก้วทอง เบอร์ 1

โดยบรรยากาศในวันนี้ นอกจากมีพี่น้องประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัยจำนวนมากจนล้นสนามกีฬาโรงเรียนแล้ว ชาวพิจิตรยังเข้ามาขอถ่ายรูป มอบพวงมาลัย ดอกกุหลาบ เพื่อเป็นกำลังใจให้นายจุรินทร์อย่างคับคั่ง

นายจุรินทร์ ได้กล่าวปราศรัยว่า มาถึงวันนี้เหลือเวลาเพียง 10 วันจะถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้นจึงถึงเวลาที่พี่น้องต้องตัดสินใจ เพราะเลือกตั้งครั้งนี้จะมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ขอให้เลือกประชาธิปัตย์ทั้ง 2 ใบ เพื่อให้ประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มากที่สุดสำหรับเข้าไปทำงานรับใช้พี่น้องได้มากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีโอกาสแลนด์สไลด์ยาก ตามที่มีนักวิเคราะห์ รวมทั้งผลสำรวจโพลบอกตรงกันว่า เที่ยวหน้าจะไม่มีพรรคการเมืองไหนแลนด์สไลด์เลยแม้แต่พรรคเดียว ดังนั้นเมื่อไม่มีพรรคไหนแลนด์สไลด์ก็แปลว่าไม่มีพรรคไหนจะสามารถรวมเสียงข้างมากเพื่อตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับว่าทุกพรรคจะมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้พอ ๆ กัน ดังนั้นทุกเสียงจึงมีความหมายสำหรับประชาธิปัตย์

‘อุ๊งอิ๊ง’ ฟาดสายปั่น!! มุ่งใช้เทคนิคทางการเมืองไม่เลิก ทั้งที่ ‘เพื่อไทย’ พูดหลายรอบ ไม่จับมือ ‘พปชร.-รทสช.’

(3 พ.ค. 66) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรืออุ๊งอิ๊ง ได้ออกมาเปิดใจถึงประเด็นที่มีคนบางกลุ่ม ออกมาปั่นกระแสถึงปมการจับมือ ของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำชัด ไม่จับมือ โดยระบุว่า...

“อิ๊งไม่เข้าใจเลย และไม่ทราบเลยว่าเป็นกระแสของพรรคคู่แข่งหรือเปล่าที่พยายามปั่นว่าเราไม่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่มันชัดเจน จนไม่รู้จะชัดยังไง ทุกคนได้ออกไปพูด ไม่ใช่แค่ตัวอิ๊งค์ด้วยซ้ำ คุณเศรษฐาเองก็พูด ผู้ใหญ่ในพรรคเองก็พูด ว่าเราจะไม่จับมือ แต่ก็ยังปั่นก็อยู่ว่าไม่ชัดเจน”

อุ๊งอิ๊ง ได้เสริมว่า “คงเป็นหนึ่งในเทคนิกทางการเมือง ก็เลยไม่ทราบว่าถ้าวันนี้ยืนยันแบบนี้ จะยังปั่นกระแสกันอยู่ไหม ยังจะปั่นขึ้นอยู่หรือเปล่า”

‘ชวน’ นำทีม ‘ปชป.’ ลุยหาเสียง อ้อนขอคะแนนชาวปัตตานี ย้ำ!! ช่วยสนับสนุนพรรคการเมืองสุจริต อย่าเลือกเพราะเงิน

‘ชวน’ นำทีมประชาธิปัตย์ บุกขอคะแนนชาวปัตตานี วอนอย่าเลือกเพราะเงิน ลั่นปชป. จะขึ้นหรือลงก็อยู่พรรคนี้ ย้ำยึดหลักปชต.สุจริต แซะหัวหน้าบางพรรค ถูกสอบทุจริต

(3 พ.ค. 66) ที่ จ.ปัตตานี นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. ขึ้นรถแห่รอบพื้นที่เขตเทศบาลเมืองปัตตานี ช่วยหาเสียงให้นายสนิท นาแว ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 8 และเข้าสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี ก่อนเดินทางไปตลาดปาลัส อ.ปะนาเระ และเทศบาลเมืองตะลุบัน อ.สายบุรี หาเสียงให้ นายยูนัยดี วาบา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 6

นายชวน กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีหลักการประชาธิปไตยสุจริต ไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนที่ถูกคดีทุจริต ไม่เหมือนบางพรรค ที่มีหัวหน้าพรรคมาไม่กี่คนก็ถูกสอบทุจริต ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ริเริ่มการให้เบี้ยผู้สูงอายุ วันนี้เราจะเพิ่มให้อีกมากกว่า 1,000 บาทตามสภาพเศรษฐกิจ แม้หลายพรรคจะแข่งกันเสนอตัวเลขว่าจะให้มากกว่า แต่สุดท้ายต้องดูความเป็นไปได้ เพราะแจกเงินก็ได้ผลแค่ช่วงแจก แต่ไม่ยั่งยืน ระยะยาวเป็นภาระหนี้สินของประเทศ แต่พรรคทำนโยบายที่ยั่งยืน เช่น นมโรงเรียน โครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อให้เด็กไทยมีโอกาสในการศึกษา

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ โต้ก้าวไกล ปม ม.112 หลังยกกรณีเหยียบย่ำหัวใจคนไทย

ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ เขต 22 หมายเลข 1 บริเวณตลาดบุญเรือง เขตสวนหลวง ประเวศ (เฉพาะแขวงหนองบอน) ได้ตอบโต้ เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล หลังยกกรณีเหยียบย่ำหัวใจคนไทย ด้วยการหยิบข้อเปรียบเทียบหากตนเห็นปฏิทินที่บ้านอยู่ในถัง แล้วจุดไฟเผาเหมือนกงเต๊ก หรือถ้าทำแบงก์ที่มีรูปในหลวงแล้วเผลอไปเหยียบ จะต้องติดคุกมาตรา 112 หรือไม่ โดยอ้างเรื่องของเจตนาว่าผู้คุมกฎหมายจะรู้ได้เช่นไร ว่าใครเจตนาหรือไม่เจตนา และก้าวไกลจะช่วยทำให้การตีความกว้างจนเกินไป แคบลง

ย้อน 3 เหตุผล ทำ ‘คริส’ ประกาศออกจากพรรคก้าวไกล ย้ำ!! พรรคไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เหมือนที่โฆษณา

อีกประมาณ 10 วัน ประชาชนชาวไทยก็จะได้เข้าคูหาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันตามกฎหมายแล้ว ทางฟากฝั่งพรรคการเมืองก็เดินสายหาเสียง ปราศรัยกันอย่างคึกครื้น เวทีดีเบตของช่องทีวีต่าง ๆ ก็มีถ่ายทอดสดให้ได้ฟังนโยบายกันแทบจะทุกวัน

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ‘พรรคก้าวไกล’ มักจะเคลมตัวเองว่าเป็น ‘พรรคประชาธิปไตย’ ไปเวทีไหนๆ พฤติกรรมนี้ก็ติดตามไปด้วยไม่ขาดหาย บรรดาแฟนคลับกองเชียร์ก็ชื่นชม โห่ร้องส่งเสียงให้กำลังใจทุกเวทีดีเบต เพราะเชื่อว่าพรรคก้าวไกลคือความหวัง คือทางออก และเป็นพรรคที่เป็น ‘ประชาธิปไตย’ จริง ๆ 

แต่หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา หลายคนคงจำได้ดีที่ ‘คริส โปตระนันทน์’ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ‘คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana’ ขอลาจากพรรคก้าวไกล โดยระบุสาเหตุ 3 ข้อ ที่พออ่านแล้วก็รู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ ไม่น้อย 

โดยสาเหตุข้อที่ 1 คริสระบุว่า “อยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างไกลกับที่พรรคโฆษณาไว้อยู่มาก ผมในฐานะที่เป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องราวต่าง ๆ มีความสำคัญเป็นการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ บางกลุ่มในพรรคการเมือง แล้วเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น โปรลิสบูโร”

‘สามารถ’ จับมือทีม ‘ศก.’ ชูนโยบายระบบรางทั่วประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์-รถไฟทางคู่ 7 สายในปี 70- รถไฟไฮสปีด

ปชป.ชูนโยบายพัฒนาระบบรางทั่วไทย กระจายความเจริญทั่วทุกภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์ แก้ระบบประมูลต้องเปิดกว้าง ดันสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายภายในปี 70 เร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง ‘หนองคาย-โคราช’

(3 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงนโยบายผลักดันระบบรางทั่วไทย ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และปิดประตูการประมูลเอื้อเอกชน ว่าประเทศไทยมีทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคนี้ แต่กลับมีต้นทุนระบบการขนส่งโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสูงมาก อยู่ที่ประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศที่มีระบบรางที่ดีจะมีต้นทุนดังกล่าวประมาณ 8-9 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุที่ประเทศไทยยังมีต้นทุนระบบโลจิสติกส์สูงเป็นเพราะเราพึ่งพารถยนต์เป็นหลัก ขณะนี้จึงถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบราง ให้รถไฟเป็นทางเลือกในการขนส่งของไทย

นายสามารถ กล่าวอีกว่า ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายด้านการพัฒนาระบบราง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 620,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4-6 ปี แบ่งเป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ 510,000 ล้านบาท คิดเป็น 82 เปอร์เซ็นต์ และเงินลงทุนจากภาคเอกชน 110,000 ล้านบาท คิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ โดยการพัฒนาระบบราง มีดังนี้ 1.เร่งรัดแผนการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สาย ในช่วง 4 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2570 รวมเป็นระยะทาง 1,483 กิโลเมตร (กม.) วงเงินประมาณ 270,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. ปากน้ำโพ-เด่นชัย 2. เด่นชัย-เชียงใหม่ 3. ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี 4. ขอนแก่น-หนองคาย 5. ชุมพร-สุราษฎร์ธานี 6. สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา และ 7. หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดยหลังจากก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายนี้เสร็จสิ้น จะทำให้ระยะทางของรถไฟทางคู่ในประเทศ เพิ่มเป็น 3,404 กม. ส่วนรถไฟทางเดี่ยวเหลืออยู่ 1,211 กม. ขณะที่ทางสามยังมีเท่าเดิม คือ 107 กม. และเมื่อรวมทั้งหมดนี้แล้ว จะทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยมีโครงข่ายเส้นทางรถไฟรวมเป็น 4,722 กม. ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทย จาก 14 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 12 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแนวทางการประมูลรถไฟทางคู่ เราจะเปิดกว้างให้มีผู้รับเหมาทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางเข้ามาแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าก่อสร้างได้ และทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

“ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ดูแลกระทรวงคมนาคม การประมูลรถไฟทางคู่ที่เคยสร้างความประหลาดใจในส่วนของเส้นทางสายเหนือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายอีสาน ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เนื่องจาก ราคาที่ได้จากการประมูลต่ำกว่าราคากลาง แค่ 0.08 เปอร์เซ็นต์เท่ากันทุกสัญญา จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน” นายสามารถ กล่าว

นายสามารถ กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำแผนแม่บทรถไฟความเร็วสูงขึ้นเมื่อปี 2553 เราจะสานต่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย โดยจะเร่งก่อสร้างเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา ระยะทาง 355 กม. วงเงินประมาณ 230,000 ล้านบาท ซึ่งจะเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จีน-ลาว เพื่อรองรับผู้โดยสารจากประเทศจีนและลาวที่เข้ามาในประเทศไทย ช่วยสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ดูแลกระทรวงคมนาคม ประชาชนจะได้ใช้รถไฟความเร็วสูง ช่วงหนองคาย-นครราชสีมา ภายในเวลาไม่เกิน 6 ปี โดยจะเร่งแก้ปัญหาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งมีปัญหาการเวนคืนที่ดิน การขอใช้พื้นที่หน่วยงานของรัฐ และปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ต้องปรับรูปแบบการก่อสร้าง

นายสามารถ กล่าวว่า พรรคฯยังมีนโยบายเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนในเมืองมหานคร เพื่อกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่หัวเมืองหลักในภาคต่างๆ โดยเราจะสนับสนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา ในจ.เชียงใหม่ ระยะที่ 1 วงเงิน 27,200 ล้านบาท, ที่จ.ขอนแก่น วงเงิน 22,000 ล้านบาท ที่จ.นครราชสีมา ระยะที่ 1 วงเงิน 18,400 ล้านบาท และที่จ.ภูเก็ต ระยะที่ 1 วงเงิน 30,200 ล้านบาท อีกทั้งจะสนับสนุนการก่อสร้างรถรางล้อยาง (Auto Tram) ที่จ.พิษณุโลก วงเงิน 760 ล้านบาท รวมทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) ระยะที่ 1 ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วงเงิน 16,200 ล้านบาท รวมวงเงินจากโครงการเหล่านี้เป็นเงินเกือบ 120,000 ล้านบาท โดยจะเป็นโครงการที่ช่วยให้ประชาชนลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

‘นพวรรณ’ เปิดเหตุผลเด็ด ย้ำเตือนคนกทม. ทำไมต้องเลือก ‘พปชร.’ ชูนโยบาย ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง-แก้ปัญหาปากท้อง-กองทุนพัฒนาท้องถิ่น’

‘นพวรรณ’ เปิดเหตุผลคนกทม. ต้องเลือก พปชร. พรรคชัดเจน แก้ปัญหาปากท้อง – ก้าวข้ามความขัดแย้ง

‘นพวรรณ หัวใจมั่น’ เปิดเหตุผลทำไมคนกรุงเทพ ต้องเลือก ‘พลังประชารัฐ’ โชว์นโยบายเด็ด ตั้งกองทุนประชารัฐนำเงินแสนล้านพัฒนาพื้นที่ กทม. เดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องประชาชนแบบเร่งด่วน พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความปรองดองเพื่อชาติบ้านเมือง

ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เขต12 (เขตบางเขน แขวงท่าแร้ง เขตสายไหม แขวงออเงิน เขตลาดพร้าว แขวงจรเข้บัว) เบอร์ 12 ได้กล่าวถึงเหตุผลที่คนกรุงเทพต้องเลือก พปชร. ว่านอกจากทางพรรคพลังประชารัฐ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค ที่มีจุดยืนต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อเดินหน้าสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองแล้ว ในด้านนโยบายที่ทางพรรคจะผลักดันออกมานั้น ล้วนแต่ทำเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เหมือนดังเช่นที่ผลักดันจนสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแก้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาน้ำ

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร มีความเป็นห่วงประชาชนอย่างยิ่ง จึงได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจของพรรคคิดนโยบายด้านปากท้อง ลดค่าครองชีพ ออกมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาท ลดดีเซล 6.30 บาท หรือการลดราคาแก๊สถัง 15 ก.ก. เหลือถังละ 250 บาท ซึ่งสามารถทำทันทีที่เป็นรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายลดค่าไฟฟ้า ที่จะปรับโครงสร้างราคาที่มีการคิดเงินซ้ำซ้อนอยู่หลายส่วน ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟฟ้าลงเกือบ 50% เหลือเพียงหน่วยละ 2.50 บาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ทุกคนมีเงินเหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ทางพรรคพลังประชารัฐ ยังได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจไปศึกษาถึงการตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนระดับประเทศในสมัยหน้า ถ้า พปชร.ได้เป็นรัฐบาลจะมีกองทุนนี้ภายใน 4 ปี เป็นการนำเงินจากรัฐบาลกลางเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น

‘อุ๊งอิ๊ง’ เตรียมลุยงานต่อหลังคลอดลูกชาย เผย พร้อมขึ้นเวทีดีเบตชูนโยบาย-โชว์วิสัยทัศน์

(3 พ.ค. 66) ที่โรงพยาบาลพระราม 9 แพทองธาร ชินวัตร ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ปิฎก สุขสวัสดิ์ แถลงความพร้อมในการทำงานต่อหลังเลือกตั้ง โดยมีครอบครัวชินวัตร นำโดย คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ พินทองทา ชินวัตร ได้พาน้อง ‘พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์’ มาพบพี่น้องสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก

แพทองธาร เริ่มต้นกล่าวขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ การคลอดน้องธาษิณ เป็นการผ่าคลอด ไม่ได้ดูฤกษ์ยาม และเป็นไปด้วยความปลอดภัยแข็งแรงดีทุกประการ ความหมายชื่อ ‘ธาษิณ-พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์’ เป็นชื่อที่ตนเองตั้ง โดย ‘จ์’ มาจาก ‘พจมาน’ หรือ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นยาย และ ‘ธาษิณ’ มาจาก ‘ทักษิณ’ หรือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นตา และภายหลังการคลอดเสร็จสิ้น ก็จะพักอีกสักสัปดาห์แรก เพื่อดูแลลูกชายและเริ่มต้นทำงานต่อไป

ส่วนกรณี การทวิตข้อความของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องการกลับบ้านนั้น แพทองธาร กล่าวว่า เป็นการทวิตด้วยความตื่นเต้นและตื้นตันที่ได้หลานคนที่ 7 คุณตาทักษิณ คงอยากเจอหลานช่วงลืมตาดูโลก อีกทั้ง การพูดคำว่า “กลับบ้าน” เป็นการพูดอยู่หลายครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลต่อการเมือง แต่ไม่ผิดที่จะหวัง โดยเฉพาะถ้าวันที่บ้านมีแต่เรื่องดีๆ

จี้ใจดำ!! ‘ธนาธร’ VS ‘อภิสิทธิ์’ ปม ‘แก้ไขหรือยกเลิก ม.112’

จี้ใจดำ!! ‘ธนาธร’ VS ‘อภิสิทธิ์’ ปม ‘แก้ไขหรือยกเลิก ม.112’

‘ทีมเศรษฐกิจ ปชป.’ เปิดนโยบายแก้หนี้-พัฒนาระบบการเงิน ชู ‘หาดใหญ่’ เชื่อมต่อ ‘มาเลเซีย-อินโดนีเซีย’ สู่ฮับนานาชาติ

ปชป. เปิดนโยบายพัฒนาระบบการเงิน ผุดธนาคารท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นถือหุ้น ไม่พึ่งเงินรัฐ แก้หนี้ครัวเรือนให้ระบบเข้มแข็ง พร้อมแก้หนี้เกษตรกร ให้ธกส. เป็นเจ้าหนี้ฟื้นฟู จี้รัฐชำระหนี้ธกส. 8 แสนล้านโดยเร็ว ลั่น ทั้งปชป. ทำได้ หากได้เป็นรัฐบาล

(3 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ทีมเศรษฐกิจประชาธิปัตย์กับวาระประเทศไทย ครั้งที่ 5 แถลง“ปชป. กับนโยบายแก้หนี้ประชาชนและการพัฒนาระบบการเงิน” โดยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายและทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การพัฒนาระบบการเงิน เรื่องที่ 1 การลงทุนพัฒนาหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้หาดใหญ่เชื่อมต่อมาเลเซีย อินโดนีเซียด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง และสนามบินที่อาจจะมีการขยายเพิ่มเติมจากปัจจุบันเป็นสนามบินนานาชาติ และให้เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ โดยประชาธิปัตย์จะประกาศนโยบายพัฒนาหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติในภูมิภาค ด้วยศักยภาพของหาดใหญ่ หากกระตุ้นให้หาดใหญ่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนโยบายความรุ่งเรืองก็จะกลับมา หากประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลเราจะทุ่มเทในเรื่องนี้เพราะภาคใต้เรามีส.ส.มากที่สุด และผู้ใหญ่ในพรรคฯก็ยินดีทำเรื่องนี้ และจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายเช่นเรื่องภาษีอากร จะต้องไม่ด้อยไปกว่าสิงคโปร์

นายพิสิฐ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 การพัฒนาให้มีธนาคารท้องถิ่น เราจะส่งเสริมให้มีธนาคารพัฒนาท้องถิ่นเกิดขึ้นเพราะท้องถิ่นทั่วประเทศมีเงินเก็บมากมาย เพราะแต่ละที่ถูกกฎหมาย ระเบียบการคลังบังคับว่า จะต้องทำงบประมาณแบบเกินดุล แล้วเอาเงินไปฝากธนาคารพาณิชย์โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรวันดีคืนดีผู้บริหารท้องถิ่นก็เอาเงินไปซื้อโคมไฟเสาไฟฟ้ากินรี แต่เราจะมีการจัดตั้งธนาคารท้องถิ่นโดยให้ท้องถิ่นต่างๆ เป็นผู้ถือหุ้น และบริหารธนาคารท้องถิ่นเอง ระดมเงินในการพัฒนาเพื่อการลงทุนระยะยาวทั้งประปา ถนน โรงเรียนอนุบาล โดยรัฐบาลไม่ต้องใส่เงินเข้าไป ซึ่งในต่างประเทศ รัฐบาลท้องถิ่น องค์การปกครองท้องถิ่น สามารถออกพันธบัตรท้องถิ่นได้ แต่บ้านเราไม่มีใครทำ ไปกระจุกที่กระทรวงการคลัง แล้วกระทรวงการคลังก็ยังกระกั๊กให้รัฐบาลกลางเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเปิดทางให้ธนาคารท้องถิ่นได้มีโอกาสระดมเงินออกพันธบัตร ซึ่งจะทำให้เงินที่อยู่ในตลาดทุนที่มีมากมายมหาศาลได้มีโอกาสมาใช้ประโยชน์เพื่อให้ท้องถิ่นเจริญ และประเทศไทยก็มีฐานะที่ดีขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องให้มีธนาคารเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นเกิดขึ้น เหมือนธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) 

นายพิสิฐ กล่าวต่อว่า และเรื่องที่ 3 ธนาคารสหกรณ์ เงินที่สหกรณ์มีอยู่รวมแล้วไม่น้อยไปว่าธนาคารออมสิน คือ 3.3 ล้านล้านบาท หรือเทียบกับธนาคารเอสเอ็มอี สหกรณ์มีเงินในรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ มากกว่าธนาคารเอสเอ็มอี ปัจจุบันเงินเหล่านี้ไม่มีการบริหารจัดการมาตรฐานสากล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการให้ธนาคารสหกรณ์เกิดขึ้น โดยการออกกฎหมาย เพราะสหกรณ์ต่างๆ มีเกือบ 200 แห่ง เพราะสหกรณ์มีเงินอยู่แล้ว เพียงแต่เรายกฐานะขึ้นมาเป็นธนาคาร โดยที่ไม่ต้องใช้เงินของรัฐ ไม่มีการเกิดหนี้สาธารณะ เพื่อให้มีการรวมศูนย์และเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง  

นายพิสิฐ กล่าวต่อว่า เรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มีความพยายามยามที่จะหาทางแก้ไข หลายพรรคการเมืองมีการประกาศเช่น จะพักหนี้ 3 ปี 5 ปี ไม่เอาเครดิตบูโรมาทำใช้ ซึ่งเป็นการแทรกแซงการทำงานของภาคธุรกิจการเงิน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เดินตามนั้น เราจะเดินตามแนวของวิธีการที่จะทำให้ระบบเข้มแข็งขึ้นไม่ให้อ่อนแอลง และไม่เสียประวัติในเรื่องเหล่านี้ ที่ผ่านมา 3 ปีประชาชนมีปัญหาเรื่องการเงินจากสถานการณ์โควิด-19 หนี้ครัวเรือนกระโดดจาก 80 % เป็น 90% ถึงตอนนี้ลดลงมาเหลือ 86% ดังนั้นเรามีเป้าหมายลดหนี้ครัวเรือนลงไปให้ต่ำกว่า 80% ของจีดีพีให้ได้ในระยะสั้นๆ และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของผู้ที่มีเงินเดือน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก กบข. สหกรณ์ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงต้องปลดล็อกกฎหมาย 3 ฉบับแก้เป็น 1 มาตรา คือกฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายสกรณ์ และกฎหมายกบข. และอัดฉีดเงินผ่านธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชน ละ 2 ล้านบาท การเพิ่มเอสเอ็มอี โดยกองทุนเอสเอ็มอี ทำให้เกิดมีรายได้ จีดีพีขยายตัวเกิน 5% จากโครงการต่างๆ 

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ เปิดใจ เหตุผลที่เลือกพรรคพลังประชารัฐ ชี้!! ‘บิ๊กป้อม’ ให้โอกาสพัฒนาเทคโนโลยี - ผลักดัน Soft Power

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค. 66) นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ได้ร่วมรายการดีเบต ‘เลือกตั้ง 66 เปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ’ ทางช่อง 3 โดยมี หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกร ในช่วงของคำถามที่ว่า ‘แค่ไม้ประดับ หรือ ต้นสักที่แข็งแกร่ง’ ได้ถามคำถามว่าเหตุใดจึงเลือกเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ โดยนายรัฐภูมิแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง 

นายรัฐภูมิกล่าวว่า เรื่องแรกคือ ลุงป้อมกับลุงตู่ เขาแยกจากกัน และพรรคพลังประชารัฐก็ไม่มีลุงตู่แล้ว ก็เลยมีฟิล์ม รัฐภูมิ แต่ผมไม่ได้จะมาแทนลุงตู่ แต่ผมรู้สึกว่า การบริหารงานที่ผ่านมาไม่โดนใจผมเท่าไหร่ และผมก็รู้สึกว่า บ้านเมืองต้องขับเคลื่อนไปด้วยคนเก่งและมีความรู้ความสามารถ ผมชอบในตัวบุคคล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ มีความเชื่อว่าจะขับเคลื่อนประเทศนี้ให้พ้นจากความยากลำบากไปได้ และที่สำคัญ เมื่อเราได้คุยกับผู้บริหารพรรค ทุกคนจะบอกกับผมเสมอว่าอยากทำอะไรก็ทำเต็มที่นะ แต่ขออย่างเดียว ทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งแตกต่างจากพรรคอื่น ๆ ที่เอาแต่ถามว่าจะทำอะไรเพื่อพรรค 

“ตอนผมฟัง ผมรู้สึกซึ้งใจและคิดว่า พรรคการเมืองมันต้องเป็นแบบนี้ ต้องส่งคืนทุกอย่างกลับไปสู่สังคม เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่า เรามีวันนี้ได้ก็เพราะประชาชนทุกคนส่งเสริมให้เราเป็น ผมก็เลยรู้สึกว่าผมถูกใจ” นายรัฐภูมิ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top