Monday, 12 May 2025
SPECIAL

เตือนภัยชักศึกเข้าบ้านหลังเลือกตั้ง 'รัฐบาลเสียงข้างน้อย' ทางเลือกสุดท้าย

อีก 8 ทิวาราตรีกาลก็จะถึงวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยกันแล้ว สารพัดโพลว่าด้วยการเลือกตั้งรีบแถลงกันคึกโครมคึกคัก เพราะสัปดาห์หน้าถูกห้ามเผยแพร่ตามกฎ กติกา มารยาท...

เล็ก เลียบด่วน...ก็พยายามติดตามทุกโพลด้วยความสนใจ บางโพลนั้นดูแล้วออกอาการเว่อร์ ๆ และย้อนแย้งสุด ๆ ขอไม่พูดถึง...แต่ท้ายสุดก็ต้องขอบอกว่าที่ถูกจริตและสอดคล้องกับความรู้สึกและข้อมูลที่ 'เล็ก เลียบด่วน' พอมีอยู่ในมือก็คือ...นิด้าโพล ที่มี ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ เป็นผู้อำนวยการ...

นิด้าโพล ล่าสุดระบุว่า คนที่ชาวบ้านอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เบียดแซง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร ในสัดส่วนร้อยละ 35 ต่อ 29 เป็นการสวนทางไปกลับในอัตราส่วนที่สูงมาก...ส่วนส.ส.ระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อนั้น 3 อันดับแรกยังเป็น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรครวมไทยสร้างชาติ...แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้หนา ๆ ก็คือพรรคก้าวไกลหายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทยในระดับ 2-4% เท่านั้น...ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งหัวหน้าและเลขาฯพรรคก้าวไกลจะพูดถึงตัวเลขเป้าหมาย ตัวเลขในฝัน 160 ที่นั่ง...พร้อม ๆ กับการปั่นแคมเปญโค้งสุดท้าย...คาราวาน 5 สาย มุ่งสู่ทำเนียบ...

ขณะที่ เนชั่นโพล...ชี้เปรี้ยงว่าสองพรรคคือเพื่อไทยกับก้าวไกลทะลุ 300 เสียง...แต่ นิด้าโพล ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' คุยทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์กับคนทำโพล ได้ตัวเลขว่า...เพื่อไทย 200 ก้าวไกล 70 ภูมิใจไทย 80 รวมไทยสร้างชาติ/ประชาธิปัตย์/พลังประชารัฐ เฉลี่ยพรรคละ 45...ทั้งหมดบวกลบ 5

...ตามโพลนี้รวมเสียงของฝ่ายเดิมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 280 ซึ่งเกิน 250 หรือเกินครึ่งสภาไปไม่น้อย...และตามตัวเลขนี้ขั้นตอนแรกที่จะทำคือการเลือกประธานสภา ก็ต้องบอกว่าน่าจะเรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทย ได้ 'พ่อมดดำ'! เป็นประธานสภา...แต่ในขั้นตอนต่อไป เลือกนายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือสองสภารวมกันคือไม่น้อยกว่า 376 เสียง...แน่นอนว่า 250 เสียงของ ส.ว.คือเสียงชี้ขาด...เกมอาจพลิก...พลิกไปหาขั้วอำนาจเดิม

แม้บอกว่าไม่ได้เป็นการชี้นำใด ๆ และไม่มีใครอยากให้เกิด...แต่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์รัฐบาลเสียงข้างน้อยเมื่อปี 2518 และโยงมาถึง พ.ศ.นี้ ว่ามีโอกาสเกิดขึ้น แม้ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย แต่ที่สุด 'เวลา' ก็จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เป็นเสียงข้างมากได้...ตามสูตรนี้ก็พอจะมองกันออกว่า โอกาสของ 'บิ๊กตู่' ที่จะไปต่อรอบสามนั้นยังมี...ถ้าขั้วอำนาจเดิมไม่แพ้ขาดกระจุย...

'ก้าวไกล' คึก! ประกาศชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขู่!! รัฐบาลเสียงข้างน้อย ระวังนรกมีจริง

(5 พ.ค.66) เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 พ.ค.พรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยใหญ่ ‘นนทบุรีตรงไป ก้าวไกลตรงมา’ ที่ตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, วรรณวิภา ไม้สน, วาโย อัศวรุ่งเรือง, กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี, สุเทพ อู่อ้น และ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์

โดย น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า เราผ่านความเจ็บปวดของแรงงาน จนกลั่นกรองมาเป็นนโยบาย พรรคก้าวไกลเสนอการสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งเรามั่นใจว่าหลังจากนี้จะไม่มีพรรคการเมืองใดกล้าลดสวัสดิการของพี่น้องประชาชนแน่นอน รับปากได้ว่าสภาฯ ชุดใหม่เปิดเมื่อไร ร่างกฎหมายทั้ง 40 ฉบับของพรรคก้าวไกลจะเข้าสู่สภาฯ ทันที ที่ผ่านมาเราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเป็นตำรวจ เป็นนายพล แล้วทำไมจะมีรัฐมนตรีแรงงานที่เป็นแรงงานตัวจริงไม่ได้ ดังนั้นวันที่ 7 และ 14 พ.ค.นี้ ประชาชนจะได้มีสิทธิมีเสียงเท่ากัน อย่าให้ใครมาปล้นอำนาจของเราไป หากทุกคนมีความฝันธรรมดาเรียบง่ายเหมือนพวกเราที่ต้องการเห็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน วางความกลัวไว้ข้างหลัง วางความหวังไว้ข้างหน้า กาก้าวไกล 2 ใบให้ถล่มทลาย

ด้านนายปิยบุตร ขึ้นปราศรัย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความพร้อมในการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงมีแผนงานโรดแมปในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่ยังเป็นพรรคของมวลชนที่ไม่ต้องเกรงใจใคร เกรงใจคนเดียวคือประชาชน ถึงเวลาก็สามารถเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ ทั้ง 300 นโยบายของพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนประเทศไทย โดยเห็นได้ว่าข้อเสนอการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เป็นเรื่องยาก ๆ ทั้งนั้น เพราะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ กระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่นซึ่งเป็นการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร เอานายพลคนทำรัฐประหารมาเข้าคุก ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปที่ดิน ทลายทุนผูกขาด เรื่องเหล่านี้แม้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่ทำไม่ได้ ต้องทำวันนี้เดี๋ยวนี้

“จำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องมี ส.ส. มากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกกระทรวงสำคัญเพื่อเข้าไปบริหารเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ที่หนึ่ง เราได้ ส.ส. น้อย ไปร่วมกับคนอื่น สวัสดิการพื้นฐานอาจไม่ได้ทำ กระจายอำนาจอาจไม่ได้ทำ ดังนั้นต้องกาก้าวไกลให้ถล่มทลาย” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เหลืออีก 10 วันก่อนหย่อนบัตร แต่ละพรรคก็มีกลยุทธ์มาแข่งขันกัน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ยินนายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกรัฐมนตรีพูดว่า โดยทั่วไปจะไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นอาจจะมีได้ และอีกสักพักจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะค่อยๆ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเอง

“นี่มันอะไรกัน พอใกล้หย่อนบัตรก็ส่งสัญญาณกันแล้วหรือ ตกลงว่าจะฝืนมติเสียงสวรรค์ของประชาชนไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา ส.ว. มาหนุนใช่ไหม ถ้าอยากทำก็ลองดู เดี๋ยวจะรู้ว่านรกมีจริง รอบนี้ไม่มีใครยอมแล้ว 4 ปีที่แล้วก็ทำแบบนี้ รอบนี้พอกันที เราจะไม่ให้ ส.ว. 250 คนทำงานอีกต่อไป เราจะตั้งรัฐบาลก้าวไกล รัฐบาลเสียงข้างมากถล่มทลาย

นายปิยบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า พอนายวิษณุ พูดแบบนี้ บางพรรคการเมืองก็เกิดตระหนกขึ้นมา เอามารณรงค์ผ่านแคมเปญโหวตยุทธศาสตร์ แคมเปญคะแนนตกน้ำ ด้วยการบอกว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านเดิมหรือพรรคที่แสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร มาแข่งกันเองมากๆ ตาอยู่จะคว้าพุงปลาไปกิน เราจะแพ้กันหมด สาธยายเต็มไปหมดเพื่อนำไปสู่บทสรุปว่าต้องโหวตยุทธศาสตร์ อย่าให้คะแนนตกน้ำ โดยโหวตพรรคเขาพรรคเดียว ผมอ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ 4 ปีที่แล้วก็เจอแบบนี้ สงสัยว่าเลือกตั้ง 2570 จะทำแบบนี้อีกหรือไม่ สรุปว่าต่อไปนี้ ประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยได้ ต้องเลือกพรรคคุณแค่พรรคเดียวอย่างนั้นหรือ

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เราต้องกลับมาทบทวนการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ หรือเรื่องคะแนนตกน้ำ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ลองดูผลสำรวจคะแนนเสียงของกลุ่มพรรคฝ่ายค้านเดิมทั้งหมด ออกมาเกิน 70% ไปแล้ว และสำหรับพรรคก้าวไกล เรามีลุ้นทุกเขต ดังนั้น อย่าไปกลัว อย่าไปเชื่อ ถ้ารักถ้าชอบก็กาให้ถล่มทลาย เลือกพรรคก้าวไกลไม่มีวันคะแนนตกน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นแบบนี้ ทุกคะแนนที่พี่น้องมอบให้มีคุณค่ามหาศาล เพราะเวลาที่คะแนนเบียดกันวิ่งเข้าเส้นชัย ทุกคะแนนมีความหมาย ครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ก็แพ้ไปเพียงนิดเดียวในหลายเขต

“ถ้ารักก้าวไกล อย่าลังเล กาก้าวไกลทั้งสองใบ ตรงไปตรงมา นอกจากช่วยเพิ่มจำนวน ส.ส. เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลก้าวไกลแล้ว ยังช่วยสร้างผลสะเทือนทางการเมือง หากคะแนนทั่วประเทศของพรรคก้าวไกลขึ้นไปถึง 30-40% นี่คือการส่งสัญญาณดัง ๆ ให้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินถึงผู้มีอำนาจ ว่าคุณรังแกเหยียบย่ำเราตั้งแต่อดีตอนาคตใหม่ จนมาถึงวันนี้ประชาชนสนับสนุนเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือกลุ่มก้อนพลังความคิดแบบใหม่ ที่ไม่เอาแบบอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว จะเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่”นายปิยบุตร กล่าว

‘โฟม-พงศ์กวิน’ ชี้!! 14 พ.ค.นี้ รู้ผลโฉมหน้าการเมืองไทย มั่นใจ!! เพื่อไทยยังแลนด์สไลด์ กวาด กทม. เกิน 25 คน

ต้องยอมรับว่า ในช่วงหาเสียงที่ผ่านมา หนึ่งในแกนนำที่ลงมาช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ โดย ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อดีตรมว.อุตสาหกรรม ที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศคู่ขนานไปกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแบบไม่เว้นวันพักผ่อน

(5 พ.ค.66) ขณะเดียวกัน ด้าน ‘โฟม’ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ช่วยออกไปเป็นกองเสริมสนามกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาได้ลงช่วย ‘ดร.ตั้น’ กฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 29 เขตบางแค (เฉพาะแขวงบางแคเหนือและแขวงบางไผ่) เขตหนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) เบอร์ 9 ซึ่งต้องยอมรับว่า ผลงานของ ดร.ตั้น ที่แม้จะยังไม่ได้เป็น ส.ส.ในเลือกตั้งรอบก่อน แต่ก็ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างมาก หลังจากลงช่วยเหลือแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ชาวบ้านย่านนี้มาตลอดหลายปี

ตำรวจไซเบอร์ รวบหนุ่มแสบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นพนักงาน FedEx ทำหน้าที่เป็นสายที่ 1 หลอกผู้เสียหาย อ้างมีพัสดุผิดกฎหมายตกค้างที่กรมศุลกากร พบความเสียหายกว่า 42 ล้านบาท

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยการหลอกลวงประชาชนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญช ผบช.สอท. ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ได้กำชับสั่งการให้ทุกกองบังคับการในสังกัด เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม และต่อเนื่อง

วันนี้ (5 พ.ค. 66) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท., พ.ต.อ.พิเชียรยศ อรุณพันธกุล ผกก.1 บก.สอท.1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวกรณี เปิดปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีพฤติการณ์การกระทำผิด และผลการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
.
สืบเนื่องมาจากได้มีผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่ง FedEx มีพัสดุผิดกฎหมายส่งจากต่างประเทศติดที่กรมศุลาการ ได้ระบุชื่อที่พัสดุเป็นชื่อนามสกุลผู้เสียหาย มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานฟอกเงิน จึงหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวนกว่า 42 ล้านบาท ภายหลังทราบว่าถูกหลอกลวงจึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบการรับแจ้งความออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.สอท.1 จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หาความเชื่อมโยงทางคดี กระทั่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.สอท.1 ได้จับกุมตัว นายสุรเกียรติ ขอสงวนนามสกุล อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2297/2565 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” ที่ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 

ตำรวจไซเบอร์ รวบอดีตทหารหน่วยรบพิเศษ เปิดเพจขายปืนดัดแปลงผ่านเฟซบุ๊ก

เมื่อวันที่ 4 พ.ค.66 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมห้วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม

สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้มีการตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์พบการโพสต์ขายอาวุธปืนผ่านทางออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ก ชื่อ “บักสุด” หล่อ ID: 100059181693898 
LINK: https://www.facebook.com/profile.php?id=100059181693898 โดยมีการโพสต์ภาพสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิดหรือผิดกฎหมาย ตาม พรบ.อาวุธปืนฯ จึงมีการรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 74/1 หมู่ที่ 4 ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

กระทั่งวันที่ 4 พ.ค. 66 เวลา 10.00 น. พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 เข้าตรวจค้นบ้านพักหลังดังกล่าวพบมารดาของนายณัฏฐ์นวัต แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน และได้นำตรวจค้นพบของกลางเป็นกล่องใส่อาวุธปืนจำนวน 2 กล่อง และอุปกรณ์การเสพยาเสพติด อยู่ภายในห้องพักของนายณัฏฐ์นวัต โดยมารดาแจ้งว่าบุตรชายของตนได้ไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนสาวคนสนิท 

จึงได้นำกำลังตามไปที่บ้านหลังดังกล่าว เลขที่ 211/138 หมู่ที่ 18 ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พบนายณัฏฐ์นวัต และเพื่อนสาวคนสนิท จึงทำการตรวจค้น ห้องพักและรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว คันหมายเลขทะเบียน ผต 8236 อุบลราชธานี ของนายณัฏฐ์นวัต ผลการตรวจค้นพบอุปกรณ์โลหะลักษณะคล้ายซองกระสุนปืน, อุปกรณ์ลักษณะคล้ายลำกล้องปืน, ยาบ้า และโทรศัพท์เคลื่อนที่ อยู่ภายในห้องพัก และพบเครื่องกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 7 นัด อยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้จับกุมตัว นายณัฏฐ์นวัตฯ อายุ 39 ปี ในความผิดฐาน ‘มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองยาเสพติดประเภทที่ 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) และเสพยาเสพติดประเภทที่ 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย’ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. ยังกล่าวอีกว่าเดิม นายณัฏฐ์นวัต ผู้ต้องหานั้นเป็นถึงอดีตทหารหน่วยรบพิเศษในสังกัดแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะผันตัวมากระทำความผิดเป็นพ่อค้าอาวุธปืนเถื่อนออนไลน์ในปัจจุบัน 

'กรณ์' กร้าว!! ชพก.แม้เป็นพรรคเล็ก แต่พร้อมสู้เพื่อประชาชน ย้อนถาม พรรคใหญ่ที่มัวเกรงใจทุนผูกขาดทำอะไรได้บ้าง?

(5 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตอบคำถามหลังมีคนถามว่า 'พรรคเล็กทำอะไรได้?" ดังนี้...

งั้นผมถามกลับว่า แล้วพรรคใหญ่ที่มัวเกรงใจทุนผูกขาดทำอะไรได้บ้าง?

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง พรรคชาติพัฒนากล้า - ChartpattanaKLA Party หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #น้ำมันแพง เพราะวิธีคิดค่าการกลั่น ที่ทำให้โรงกลั่นรํ่ารวยกันไปบนทุกข์ร้อนของประชาชน

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง 'ชาติพัฒนากล้า' หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #รื้อระบบแบล็กลิสต์ ให้คนไทยได้ลืมตาอ้าปาก 

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง 'ชาติพัฒนากล้า' หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #ค่าไฟแพง จนสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาเรื่องลดค่าไฟ

‘ภูมิธรรม’ ชู ‘เศรษฐา’ คุณสมบัติครบ เทียบชั้น ‘ทักษิณ’ ลั่น!! เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที

(5 พ.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที ในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ผมขอพูดถึงแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ตลอดเวลานับตั้งแต่เปิดตัวทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ผมได้เห็นความทุ่มเท ความมุ่งมั่นในการลงพื้นที่เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน

อย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากประการหนึ่งของคนที่อาสาเข้ามาเป็นนักการเมือง 
เมื่อพูดคนจะฟัง เมื่อลงมือทำคนจึงจะเชื่อ ใช่ครับ คุณเศรษฐาพิสูจน์ความเป็นนักการเมืองของตัวเองด้วยการลงมือทำ

‘กกต.’ แจง 4 เหตุผล พิมพ์บัตรเลือกตั้งสำรองกว่า 4.9 ล้านใบ ย้ำ!! ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดในวันเลือกตั้ง ต้องมีบัตรเพียงพอ

(5 พ.ค. 66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงเรื่องการจัดพิมพ์และการสำรองบัตรเลือกตั้งว่า จำนวนบัตรเลือกตั้งและการสำรองบัตร หลักการในการพิมพ์บัตรเลือกตั้งคือ ต้องมีบัตรเพียงพอ ไม่ว่าจะมีเหตุหรือกรณีใด ๆ ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 มีผู้ใช้สิทธิภายหลังการเพิ่มชื่อและถอนชื่อแล้ว จำนวน 52,239,354 คน บัตรที่พิมพ์จำนวน 57,200,000 บัตร (จำนวน 2,860,000 เล่ม เล่มละ 20 บัตร) จึงมีบัตรสำรองเพื่อใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งจำนวน 4,960,646 บัตร บัตรที่สำรอง 4 ล้านกว่าฉบับดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์เพื่อ

1.แจกจ่ายให้ทุกหน่วยเลือกตั้งสำรอง 1 เล่ม เพราะการจ่ายบัตรจ่ายเป็นเล่ม ไม่ได้จ่ายเป็นฉบับ หน่วยเลือกตั้งมีอยู่ประมาณ (หน่วยปกติและหน่วยพิเศษสำหรับผู้พิการและทุพลภาพ) 100,000 หน่วย ใช้บัตรไปเพื่อการนี้จำนวน 2,000,000 บัตร

‘อุ้ม อัชญา’ เผยเหตุผลต้องเลือก ภท. ดูแล กทม. เขต 32 ชี้!! เข้าใจปัญหา-ร่วมพัฒนานโยบาย-ลงมือทำจริง

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวอัชญา จุลชาต หรือ อุ้ม ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เขต 32 พรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในเวทีเสวนา ‘ผู้แทนในฝัน สร้างสรรค์เขต 32’ ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม 

ต่อข้อคำถามที่ 1 ว่าจะสร้างสรรค์ เขต 32 อย่างไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่า มิติที่ 1 เรื่อง คน ‘เพิ่มจำนวนเงินในกระเป๋า’ จากการมอบโอกาส สนับสนุนเงินทุน และลดรายจ่าย เรามอบโอกาส พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก อยากให้โอกาสพ่อแม่พี่น้อง ได้หยุดพักหายใจ ไม่กังวลเรื่องภาระหนี้สิน เราสนับสนุนเงินทุน โครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องค้ำประกัน เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องนำเงินไปต่อยอดทางธุรกิจ ทำมาค้าขาย หารายได้ สร้างเนื้อ สร้างตัว และเราลดรายจ่าย ลดค่าไฟ ติด Solar Roof ให้ฟรี ลดค่าไฟได้ 450 บาท ต่อเดือน ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนที่เหลือสามารถขายให้รัฐ เป็นรายได้ของครัวเรือน

มิติที่ 2 เรื่อง สภาพแวดล้อม ยกย่านฝั่งธนฯ ให้มีความปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิต จะต้องเชื่อมกล้อง CCTV บริเวณทางม้าลาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะกล้องจะ monitor ปรับคะแนนวินัยจราจร ท่าเรือขนส่งที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเสียง และลดมลพิษทางน้ำได้ เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ ให้ครอบคลุมกับจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความแออัด ฉะนั้น ชีวิตที่ดีจะเกิดขึ้นได้ในฝั่งธนฯ เลือกอุ้ม อัชญา เบอร์ 7 นะคะ

ต่อข้อคำถามที่ 2 ว่าอยากให้พรรคดันนโยบายใดมากที่สุด เพราะอะไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่าเรื่องการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยว คือ จุดแข็งของประเทศไทย ฉะนั้น ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ

สำหรับภาพใหญ่ พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายกองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดละ 100 ล้าน เพื่อสร้างไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว เราให้ทุกจังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่ ๆ เพราะเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของทุกจังหวัดที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

สำหรับเขต 32 อุ้มเห็นถึงศักยภาพ เรามีต้นทุนทางทรัพยากรที่มีความพร้อมมาก เป็นย่านที่มีเอกลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ และ ‘มีจุดเด่น คือ มีวิถีชีวิตริมฝั่งคลอง’ อยากสนับสนุนในเรื่องของ การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางเรือ อยากให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ได้มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์นี้ แต่จากที่ได้รับฟังเสียงของคนในพื้นที่ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่าเรือในพื้นที่มีความเสื่อมโทรม ไม่ปลอดภัย และมีปัญหามลพิษทางน้ำและเสียงรบกวนจากเรือ”

พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายท่าเรือปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV เพื่อมาแก้ไขปัญหา ยกระดับความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว และให้ความเชื่อมั่นกับชาวบ้านว่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องของเสียงและมลพิษทางน้ำ

“อุ้มจะทำงานอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน” นางสาวอัชญา กล่าว

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. ตรัง ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 4 เขตของจังหวัดตรัง ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

‘กรณ์’ นำทัพ ‘ชพก.’ ลุยปราศรัยขอคะแนนชาวสุราษฎร์ธานี ลั่น!! ไม่ร่วมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายกฯ

(5 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัย เมื่อค่ำวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ช่วยนายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวต เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ที่โพลบี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่า เรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งมันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอทุกคนอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

ด้านนายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ ‘บริษัทมหาชนของเกษตรกร’ โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศมาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ กล่าวว่า นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้ว แต่ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีก มันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   

‘ปชป.’ แจง!! ปมมือดีบิดเบือน แคปรูปปราศรัยขณะเคารพธงชาติ ย้ำ!! ไม่เคยโหนสถาบัน เตรียมแจ้งความเอาผิดผู้กระทำเสียชื่อเสียง

(5 พ.ค. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย พร้อมด้วย นายจิตกร บุษบา ทีมโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง และ ดร.รุจชรินทร์ ทองใหญ่ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ทีมกฎหมายพรรคร่วมกันแถลงข่าวต่อกรณีที่มีผู้ใช้งาน เฟซบุ๊กโพสต์ภาพจากการปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จังหวัดภูเก็ตบนโลกออนไลน์ โดยใช้ภาพและเนื้อหาเพียงบางส่วน ทำให้สังคมเข้าใจผิดไปว่ามีการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงทางการเมือง ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง หวังผลให้การกระทำดังกล่าวส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ 

นางดรุณวรรณ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีความเคารพใน 3 สถาบันหลักของชาติ พร้อมกับยืนยันว่าพรรคไม่มีแนวคิดในการนำสถาบันกษัตริย์มาข้องเกี่ยวในทางการเมือง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคที่จังหวัดภูเก็ต พร้อมกับจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของพรรคต่อไป 

โดย ดร.รุจชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อการปราศรัยดำเนินมาถึงเวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลายืนตรงเคารพธงชาติ ผู้จัดงานได้มีการเปิด VTR เพลงชาติที่มีการเผยแพร่ตามสื่อสาธารณะโดยทั่วไป แต่มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ Nat Thanakitamnuay ได้จับภาพเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งของเวทีปราศรัยที่ฉากหลังของเวทีปราศรัยกำลังเปิดภาพ VTR เพลงชาติไทย ขณะที่ VTR ดังกล่าวกำลังแสดงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยระยะเวลาไม่ถึง 3 วินาที จากนั้นมีการนำภาพดังกล่าวมาโพสต์ที่เฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมกับทำทีเป็นตั้งคำถามว่า “นำกษัตริย์มาหาเสียงได้หรือ” ซึ่งการกระทำดังกล่าว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เนื่องจากทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจไปได้ว่า พรรคฯ จงใจใช้ภาพดังกล่าวเป็นฉากหลังบนเวทีหาเสียง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น การลงภาพลักษณะนี้โดยไม่ลงรายละเอียดข้อความให้ครบถ้วน ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้คนเข้าใจผิดอันจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้เกิดความเสียหายได้ 

ดังนั้นจึงขอให้ผู้โพสต์และผู้ที่แชร์ภาพดังกล่าว รวมถึงผู้ที่กดไลก์ ได้หยุดการกระทำนั้น เนื่องจากพรรคเตรียมดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากยังมีการกดไลก์ กดแชร์ภาพดังกล่าวต่อไป จะทำให้มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 อนุ 5 ที่ระบุว่า…ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง 

ด้านนายจิตกร กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากสติปัญญา หรือทัศนคติของผู้บิดเบือน เพราะเมื่อดูจากข้อเท็จจริงจะพบว่า เราอยู่ในสังคมไทยที่เวลา 8.00 น. และ 18.00 น. เป็นเวลาเคารพธงชาติ ซึ่งจะมีการเปิด VTR หรือ มิวสิกวิดีโอ ที่ทางการเป็นผู้ผลิตขึ้น และฉายตามสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ จากการที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยที่ สะพานหิน จ.ภูเก็ต เมื่อถึงเวลา 18.00 น. ผู้ปราศรัยในเวลานั้นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติที่คนไทยทุกคนพึงกระทำโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันการเมือง จึงได้หยุดการปราศรัย เพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันเคารพธงชาติ โดยภาพที่ปรากฏบนเวทีก็คือ VTR หรือมิวสิกวิดีโอที่เป็นทางการและมีใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่มิวสิกวิดีโอเพื่อการขอคะแนน รวมทั้งไม่ใช่ภาพที่เป็นฉากหลังของเวทีปราศรัย แต่เป็นช่วงเวลาเพียง 2-3 วินาที จาก VTR ดังกล่าว 

“ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำการเมืองอย่างสุจริต ตรงไปตรงมา เรามีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันหลักของประเทศ ทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเชิญชวนประชาชนเคารพธงชาติในเวลา 18.00 น. จึงเป็นเรื่องปกติที่วิญญูชนพึงกระทำ และเมื่อจบการเคารพธงชาติ การปราศรัยโดยนายอภิสิทธิ์ ก็ดำเนินต่อไปด้วยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงเป็นความจงใจใส่ร้าย บิดเบือน จูงใจให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน” นายจิตกร กล่าว 

อรรถวิชช์ ไม่มุ่งประชานิยม แต่จะสร้าง 'โอกาสนิยม' ย้ำ!! นโยบายทุกอันต้องเป็นแบบสไนเปอร์

(26 เม.ย. 66) ในรายการเลือกตั้ง 2566 ฟังเสียงคนไทย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ตอบคำถาม ‘ยกระดับรายได้ แก้ปัญหาคนจนเพิ่มอย่างไร’ โดยได้ระบุว่า...

“นโยบายของชาติพัฒนากล้าไม่เน้นแจก และครั้งนี้เสี่ยงมากในทางการเมืองเพราะผมจะไม่ทำนโยบายประชานิยม แต่ผมจะทำนโยบายโอกาสนิยม ซึ่งคำว่าถ้วนหน้าไม่มีสำหรับพรรคนี้ เพราะผมเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน คนมีความแตกต่าง”

นายอรรถวิชช์ ได้กล่าวต่อว่า “เพราะฉะนั้นโอกาสที่อยู่ข้างหน้า คนตัวสูงจะเห็นโอกาสชัด แล้วคนตัวเตี้ยเห็นโอกาสไม่ชัด เพราะฉะนั้นนโยบายทุกอันต้องเป็นแบบสไนเปอร์”

นายอรรถวิชช์ ได้ยกตัวอย่างเสริมว่า “1. ยกเลิกระบบแบล็กลิสต์ ให้เปลี่ยนเป็นการคิดคะแนน เช่นต่อไปนี้บัญชีหนังหมา 3 ปี ปกติติดหนี้แล้วจบเลย แต่เที่ยวนี้คิดเป็นคะแนนส่งให้ เอาข้อมูลดีมาใส่ด้วย เอาข้อมูลจากแอปพลิเคชันของรัฐดี ๆ เอามาใส่คำนวณด้วย มันทำให้เกิดการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ย อันนี้ทำให้ดอกเบี้ยถูกลงได้ งบประมาณ 0”

'พิธา' เผย อยากทำงานการเมือง 10 ปี และอยากเป็นเลขาธิการสหประชาชาติคนแรกของไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดใจถึงความฝันสูงสุด โดยระบุว่า

‘กรณ์’ นำทีม ‘ชพก.’ เปิดเวทีปราศรัย อ้อนขอคะแนนชาวสุราษฎร์ธานี ลั่น!! พร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด ทวงความเป็นธรรมให้ประชาชน

‘กรณ์’ นำชาติพัฒนากล้า ปราศรัยสุราษฎร์ธานี ย้ำจุดยืนชนทุนผูกขาด เอาเปรียบประชาชน ลั่น ยกสุราษฎร์เป็นโมเดล ‘บริษัทมหาชนของเกษตรกร’ แห่งแรกของประเทศไทย  

(4 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัยช่วย นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวท เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ ที่โพลบี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่าเรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งมันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอท่านอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ 'บริษัทมหาชนของเกษตรกร' โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศ มาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้วแต่ ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีกมันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top