Sunday, 25 May 2025
SPECIAL

รับได้ไหมถ้าย้ายประเทศไปแล้วต้องเป็น Second Class Citizen? | LOCK LENS GURU EP.31

???? GURU : อาจารย์ ดร.โญธิน มานะบุญ 
นักวิชาการอิสระ   

▶️ หัวข้อ  : รับได้ไหมถ้าย้ายประเทศไปแล้วต้องเป็น Second Class Citizen?

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021051503

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

5 วิธีสร้างผลลัพธ์ให้ปัง วิธีคิดมาก่อนวิธีการ ตามด้วยการลงมือทำ

เพราะวิธีคิดเปรียบเสมือนการติดกระดุมเม็ดแรก ถ้าติดถูก ก็ถูกทั้งแถว แต่ถ้าติดผิดก็เบี้ยวทั้งแถวเช่นกัน

จากผลงานวิจัยของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ประกอบกับผู้เขียนทำงานเกี่ยวกับด้านการพัฒนาคนมานาน จึงรู้ว่าวิธีคิด ต้องมาก่อนวิธีการเสมอ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง แม้นว่ามีวิธีคิดที่ดีและวิธีการเยี่ยม แต่ไม่ลงมือทำก็ไม่เกิดผลลัพธ์ ผลงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งมาก หรือเก่งน้อย แต่ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ต่างหาก

ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดี ต้องเริ่มต้นอย่างไร?

1.) มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนจริง ๆ  
อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการกันแน่ สิ่งที่ตอบสนองทั้งรายได้ และตอบสนองทั้งจิตวิญญาณของคุณสิ่งนั้นคืออะไร นำสิ่งที่คุณต้องการไปสอดรับกับความฝันและเป้าหมายของคุณ ตกลงคุณจะเลือกชีวิตแบบไหน คุณต้องตัดสินใจ เป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้าคุณอยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร คุณต้องเลือก อย่าทำงานเฉพาะเรื่องที่ชอบ และ ตามความถนัดโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะความสำเร็จจริงจริงแล้ว คุณต้องทำทั้งเรื่องที่คุณถนัดและทำในเรื่องที่คุณไม่ถนัด ให้กลายเป็นเรื่องที่ถนัดให้ได้ ถ้าคุณทำงานโดยขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ยิ่งคุณเก่งเท่าไหร่ คุณยิ่งพบกับความล้มเหลวเร็วเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ

2.) รับผิดชอบตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์
รับผิดชอบต่อเป้าหมายและความต้องการของคุณอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งเรื่องดีและไม่ดี คุณต้องรับผิดชอบตัวเอง 100% ไม่โทษใครทั้งนั้น คุณต้องไปต่อให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เอาเวลาในการนั่งโทษคนอื่น มาทบทวนและพัฒนาตัวเองดีกว่า ว่าเราขาดอะไรไป เราผิดพลาดตรงไหน เรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นทันที

ถ้าพิจารณาดี ๆ  ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จริง ๆ แล้วเรามีส่วนในข้อผิดพลาดนั้นเสมอ จงเรียนรู้ และพัฒนาเพื่อปิดช่องโหว่นั้นเสีย

3.) แผนสำรอง  
เมื่อมีแผนหลักที่ชัดเจนแล้ว ก็ควรมีแผนสำรอง คุณต้องคิดเสมอว่าความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ถ้าคุณพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ยังออกมาไม่ดีพอ ถึงเวลาที่คุณต้องใช้แผนสำรอง ปรับวิธีการ โดยที่เป้าหมายยังเหมือนเดิม ที่สำคัญที่สุด คือแผนสำรองจะนำออกมาใช้ก็ต่อเมื่อพยายามในแผนหลักอย่างเต็มความสามารถแล้วเท่านั้น

4.) เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ  
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละสาขาวิชาชีพ ล้วนมีทักษะพิเศษที่คนธรรมดาไม่เคยรู้มาก่อนเสมอ พวกเขามักทิ้งร่องรอยของวิธีคิดและวิธีทำ วิธีการใช้ชีวิต วิธีพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ คุณต้องเป็นนักแกะรอย เพื่อนำมาปรับใช้กับตัวเองในสไตล์ของคุณให้ได้ คุณต้องค้นหาเส้นทางลัดนี้ให้เจอ
 

5.) คุณต้องแน่วแน่กับเป้าหมายของคุณในข้อ 1.) 
อย่าทำตัวเป็นนักชอปปิงไปเรื่อย ๆ คุณต้องโฟกัส การมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตมากเกินไปก็อาจทำให้คุณสับสนและหวั่นไหวได้ คุณต้องดึงตัวเองมาโฟกัสในสิ่งที่คุณอยากได้จริง ๆ ตัดสิ่งดี ๆ ที่ไม่ใช่ออกให้หมด ให้เหลือไว้เฉพาะดีเดียวที่ใช่จริง ๆ ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จก่อน แล้วสิ่งดี ๆ ที่อยู่รอบตัวจะวิ่งกรูเข้ามาหาคุณเอง เมื่อนั้น รางวัลชีวิตจะเป็นของคุณ เพราะถึงเวลาที่คู่ควร 

เชื่อว่าเมื่อคุณฝึกฝนใน 5 ข้อนี้เพื่อเป็นทางลัดของความสำเร็จ คุณจะได้ Model ความสำเร็จในสมอง และสามารถนำ Model นี้ไปใช้ได้กับชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และการทำงาน ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนค่ะ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล:

http://www.novabizz.net/management-104.html
https://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Achievement_Needs.htm

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยกรณีมิจฉาชีพ แอบแฝงมากับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยถึงกรณีที่มีหลายหน่วยงานออกมาสนับสนุน แนะนำการลงทะเบียน เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ

เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 3 หรือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ฯลฯ ว่า

ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ จึงมีหลายหน่วยงานพยายามคิดโปรโมชั่นรวมถึงให้ส่วนลดต่าง ๆ ให้สอดรับกับโครงการของภาครัฐ เพื่อดึงดูดให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่อาศัยช่องว่างจากความต้องการของพี่น้องประชาชนนี้ในการกระทำความผิด ซึ่งในบางกรณีอาจมีการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรือการส่ง SMS ทางโทรศัพท์มือถือ หรือลิงค์ต่าง ๆ

ที่มีลักษณะให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขบัตรเครดิต หรือให้ใส่รหัส OTP เป็นต้น เมื่อได้ใส่ข้อมูลลักษณะดังกล่าวไปแล้ว เหล่ามิจฉาชีพก็อาจจะนำข้อมูลที่ได้ไปหาประโยชน์ในทางมิชอบ และทำให้ได้รับความเสียหายในอนาคต

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยดูจากพฤติการณ์แต่ละกรณีมาประกอบ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้ อย่าหลงเชื่อข้อมูลการโพสต์ หรือลิงค์ที่แนบมาพร้อมกับอีเมลที่ไม่แน่ใจแหล่งที่มา ห้ามเปิดลิงค์ดังกล่าวอย่างเด็ดขาด, ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆ ผ่านระบบออนไลน์ ให้กับผู้อื่นหากยังไม่ได้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน, หากพบ เพจเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ไลน์ หรืออีเมลที่น่าสงสัย ให้ติดต่อสอบถามกับหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องให้แน่ใจเสียก่อน, ในกรณีหลงเชื่อไปแล้ว ให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันที และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร สถาบันทางการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ชี้เป็น ชี้ตาย เขาหรือใคร ทำไมสั่งได้? | LOCK LENS GURU EP.30

???? GURU : อาจารย์ อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์
อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

▶️ หัวข้อ  : ชี้เป็น ชี้ตาย เขาหรือใคร ทำไมสั่งได้?

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021052907

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES
.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประวัติศาสตร์ดำมืดของ “Chinatown” กับการกดขี่ชาวจีนในสหรัฐอเมริกา (ตอนที่ 1)

หากพูดถึง Chinatown หรือ “ย่านคนจีน” ทุกคนคงคุ้นเคยกันดีกับภาพของ “เยาวราช” ถิ่นของคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีผู้คนเดินกันอย่างพลุกพล่านและมีอาหารอร่อยอยู่ตลอดสองข้างทาง 

และหลายคนคงทราบว่า Chinatown แบบนี้ยังมีในอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่ชาวจีนจะมีประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ เหมือนชาวจีนโพ้นทะเลที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินสยาม

สหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ชาวจีนมี “ประวัติศาสตร์อันขมขื่น” ก่อนการก่อตั้ง Chinatown ที่มีชื่อเสียงได้แบบที่เห็นในปัจจุบัน Chinatown ในอดีตถูกคนผิวขาวมองว่าเป็น “สิ่งโสโครก” (Filth) ที่รวมของ “เผ่าพันธุ์ที่มีจริยธรรมต่ำช้า” มาก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเช่นในปัจจุบัน

ภาพวาดและภาพถ่ายย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโกหลังการบูรณะเมือง

จุดเริ่มต้นมาจากการที่ชาวจีนจำนวนหนึ่งอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1800s โดยส่วนใหญ่ไปรับจ้างตามเหมืองทอง การก่อสร้างทางรถไฟ และโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะแรงงานราคาถูกที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย

ครั้นพอถึงช่วงเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาตกต่ำระหว่างปี 1873-1879 ชาวอเมริกันจำนวนมาก ต่างพากันพุ่งความเกลียดชังมายังแรงงานจีนในประเทศ ว่าเป็นผู้แย่งงานของชาวอเมริกันผิวขาว จนนำไปสู่การสร้างทัศนคติเหยียดเผ่าพันธุ์ การเขียนการ์ตูนล้อเลียนชาวจีน ให้ดูอัปลักษณ์น่าเกลียด อ่อนแอ และเรียกชาวจีนว่าเป็น “ภัยเหลือง” (Yellow Peril)

ภาพการ์ตูนแสดงทัศนคติของชาวอเมริกันที่มีมองว่าชาวจีนอพยพเป็นภัยเหลืองที่คุกคามสังคมอเมริกัน

ตามมาด้วยการออก “กฎหมายกีดกันชาวจีน” (Chinese Exclusion Act) ในปี 1882 ซึ่งห้ามมิให้แรงงานอพยพชาวจีนอพยพมายังสหรัฐอเมริกา

และยังระบุให้ชาวจีนที่ตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เป็นคนต่างด้าว ที่ไม่มีสิทธิเป็นพลเมืองสหรัฐฯ รวมถึงจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ชาวจีนไม่มีสิทธิซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถจดทะเบียนตั้งกิจการได้ และไม่มีสิทธิในการพิสูจน์หลักฐานหรือเป็นพยานในชั้นศาล

กฎหมายกีดกันชาวจีน ปี 1882

ความเกลียดชังของคนอเมริกันที่มีต่อชาวเอเชีย นำไปสู่อาชญากรรมและความรุนแรงต่อชาวอเมริกันเชื้อสายจีนในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

ปี 1871 มีการรุมประชาทัณฑ์ ด้วยการแขวนคอชาวจีน 18 ราย ในเมืองลอสแองเจลิส

ปี 1885 มีการสังหารหมู่แรงงานเหมืองชาวจีน 25 รายในเมืองไวโอมิ่ง

ปี 1885 มีกลุ่มคนผิวขาวชุมนุมขับไล่คนจีนที่ตั้งถิ่นฐานออกจากเมืองยูเรก้า

เหตุการณ์เหล่านี้พบได้ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในระหว่างปี 1849-1906 มีเหตุการณ์การขับไล่ และสังหารหมู่ชาวจีนเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียถึงกว่า 200 ครั้ง

ภาพการ์ตูนที่แสดงความรังเกียจของชาวอเมริกันที่มีต่อชาวจีนอพยพ

ภาพวาดที่สื่อว่าแรงงานราคาถูกชาวจีน เป็นเสมือนฝูงตั๊กแตนที่กำลังทำลายไร่นาของชาวอเมริกัน

ภาพวาดแสดงเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวจีนในเมือง Wyoming ปี 1885

ชาวจีนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา อพยพหนีมายังเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งมีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยมองว่าน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ตนจะมีพวกพ้องและมีความปลอดภัยมากขึ้น

ถึงกระนั้นก็ยังมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการที่ชาวจีนจะเช่าที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวจีนมาอาศัยรวมตัวกันในเขตตะวันออกของเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Chinatown ในปัจจุบัน โดยในย่านคนจีนนั้นมีธุรกิจเกิดขึ้นมาก เนื่องจากชาวจีนใน Chinatown จะค้าขายสินค้ากับชาวจีนแผ่นดินใหญ่

ย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโก ปี 1900

แต่เมื่อส่องลงไปในย่าน Chinatown เราจะพบว่า ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของย่านนี้ ไม่ได้เหมือนกับ Chinatown ในซานฟรานซิสโกในปัจจุบัน 

อาคารเป็นตึกแถวสไตล์ยุโรปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยที่ชาวจีนจะแสดงอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของตน ด้วยการนำของประดับตกแต่ง เช่น ป้ายขนาดใหญ่ที่มีภาษาจีนเขียนอยู่บนป้าย โคมไฟจีน หรือยันต์มาแปะไว้ที่ตัวอาคาร เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตน

Chinatown ปี 1901 (ภาพจากห้องสมุดสาธารณะเมืองซานฟรานซิสโก)

ชาวจีนประดับตกแต่งตึกแถวที่ตนเช่าใน Chinatown ด้วยโคมไฟและป้ายอักษรจีน เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับที่อยู่อาศัยของตนเอง (ภาพจาก VOX : The surprising reason behind Chinatown's aesthetic)

เมื่อเมืองซานฟรานซิสโกขยายตัวขึ้น ย่าน Chinatown กลายมาเป็นที่หมายปองของนายทุนผิวขาวที่มองว่าสามารถทำเงินได้จำนวนมหาศาลจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจในที่ดินผืนนี้

คำที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ในยุคนั้นเป็นตัวสะท้อนทัศนคติของคนอเมริกันผิวขาวที่มีต่อชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและย่าน Chinatown ได้เป็นอย่างดี เช่น 

“ทางการซานฟรานซิสโกจะทำการกำจัดพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลและสิ่งโสโครก” (San Francisco Will Get Rid of Sixteen Square Blocks Turmoil of Turmoil and Filth) เพื่อให้เหมาะสมกับพ่อค้าผิวขาว (suitable to Caucasian merchant)  

“ที่ว่างซึ่งถูกใช้เหมือนที่ทิ้งขยะ” (Vacant Space Used As Dumps) และ “ผู้จัดการทรัพย์สินจะลงไปสำรวจย่านคนจีนที่แสนจะโสโครก” (Trustees Inspect Filthy Chinatown) 

แผนที่ย่าน Chinatown ปี 1885 ที่จัดทำโดยคณะกรรมการทีปรึกษาพิเศษของเมือง

นอกจากนี้คณะกรรมการที่ปรึกษาพิเศษของเมืองซานฟรานซิสโก ยังได้จัดทำผังรายงานกิจการในย่าน Chinatown โดยเน้นไปที่โรงฝิ่น, ซ่องโสเภณี และบ่อนการพนัน ซึ่งในรายงานของคณะกรรมการอีกฉบับได้ระบุว่า เป้าหมายของรายงานเกี่ยวกับย่าน Chinatown ก็เพื่อ “เปิดเผยศีลธรรมอันต่ำช้า การกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน และบรรดาสิ่งชั่วร้ายที่เผ่าพันธุ์นี้เป็นอยู่”

ภาพประกอบจาก VOX : The surprising reason behind Chinatown's aesthetic

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นได้ถึงทัศนคติของชาวอเมริกันผิวขาวที่มีต่อชาวจีนว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม สิ่งโสโครก เป็นเผ่าพันธุ์ชั่วร้ายที่ฝังตัวอยู่ในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะเมื่อมีวิกฤตอย่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความเกลียดชังเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรง

ไม่ต่างจากในยุคปัจจุบันที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วประเทศ ได้ทำให้ชาวอเมริกันพุ่งความเกลียดชังที่มีต่อชาวจีน หรือ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ดังที่เห็นได้จากสถิติอาชญากรรมต่อชาวเอเชียที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด

ภาพซ้าย การเดินขบวนต่อต้านอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังต่อชาวเอเชียของคนในย่าน Chinatown หลังเหตุทำร้ายร่างกายคนอเมริกันเชื้อสายจีนและเอเชียจำนวนมากในปี 2020, ภาพขวา สถิติอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังต่อชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกา ที่พุ่งสูงขึ้น 149% ระหว่งปี 2019-2020

สำหรับตอนที่ 2 เราจะมาต่อกันกับ “ชะตากรรมและจุดพลิกผัน” ของย่าน Chinatown ในซานฟรานซิสโก ที่พลิกจากวิกฤตกลายมาเป็นโอกาสในการอยู่รอด จนสามารถรักษาอัตลักษณ์และความเป็นชุมชนชาวจีนมาได้จวบจนปัจจุบัน

 

ข้อมูลอ้างอิง 

National Geographic: The bloody history of anti-Asian violence in the West
https://www.nationalgeographic.com/history/article/the-bloody-history-of-anti-asian-violence-in-the-west

VOX: The surprising reason behind Chinatown's aesthetic
https://www.youtube.com/watch?v=EiX3hTPGoCg

History Channel: Chinese miners are massacred in Wyoming Territory
https://www.history.com/this-day-in-history/whites-massacre-chinese-in-wyoming-territory

Los Angeles Almanac: 1871 Chinese Massacre
http://www.laalmanac.com/history/hi06d.php

  หนังสือพิมพ์ The Topeka Herald วันที่ 4 พฤศจิกายน 1905 
  หนังสือพิมพ์ The Evening Bee วันที่ 29 มีนาคม 1900


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ภารกิจพิชิตหัวใจ'​ ภารกิจสุดยิ่งใหญ่​ จากประสบการณ์ของ 'ตำรวจโครงการพระราชดำริ'​ ที่อยากบอกต่อ!!

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2564 ตำรวจโครงการพระราชดำริ รับภารกิจพิชิตหัวใจ โดยมี ร.ต.อ.พิเชษฐ วิเศษโชค รอง สว.กก.6 บก.จร. นำตำรวจโครงการพระราชดำริจำนวน 11 นาย เข้าร่วมภารกิจอำนวยความสะดวกให้ทีมแพทย์ นำหัวใจจากผู้ป่วยที่บริจาคอวัยวะจาก รพ.พิษณุโลก เปลี่ยนถ่ายให้กับผู้ป่วยคนหนึ่งที่ รพ. ศิริราช ด.ต.อารยะ ป้อมค่าย ผบ.หมู่งาน 2 กก.6 บก.จร. เล่าว่าภารกิจพิชิตหัวใจภารกิจครั้งนี้เป็นหัวใจดวงที่ 38

ในอดีตครั้งแรก​ ได้รับการประสานจากสภากาชาดไทย​ ให้ทำภารกิจนำส่งหัวใจ ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาคิดว่ามีแต่ในหนัง ก็คิดว่านี่คือหัวใจของคน ไม่ใช่อวัยวะ เช่น แขน ขา ที่จะนำไปส่งต่อเพื่อมอบชีวิตใหม่ให้อีกชีวิต ครั้งนั้นปฎิบัติภารกิจ ดำเนินการด้วยเฮลิคอปเตอร์ ที่สนามบุญยะจินดา ซึ่งได้รับแจ้งว่าผู้มอบต้องการส่งต่อชีวิตใหม่เพื่อสร้างบุญกุศลให้ตัวเอง เนื่องจากผู้มอบเกิดภาวะสมองตาย โดยภารกิจแรกในตอนนั้นทราบจากทีมแพทย์ ว่า... 

เมื่อถึงเวลาผู้รับโดยแพทย์จะต้องเปิดช่องอกรอหัวใจที่ผู้มอบส่งให้เพื่อมีชีวิตใหม่ ซึ่งภารกิจพิชิตหัวใจต้องทำให้เสร็จภายใน 4 - 5 ชั่วโมง ตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการตัดเส้นเลือดใหญ่จากผู้มอบ จนถึงการผ่าตัดใส่หัวใจ ทุกครั้งต้องแข่งกับเวลา ห้ามมีความผิดพลาดแม้แต่นาทีเดียว เพราะนั่นหมายถึงชีวิตที่กำลังรอ 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด​ ต้องขอบคุณพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 และ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่สร้างโครงการตำรวจจราจรในพระราชดำริขึ้นมา​ โดยทุกครั้งที่ฝนตก ฟ้าร้อง ระหว่างปฎิบัติภารกิจจะนึกถึงและอธิษฐานถึงพระบารมีของพระองค์ท่านเสมอ จนสิ่งที่เป็นอุปสรรคก็มักจะหายไป 

นอกจากนี้ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่คอยหลีกทางทำให้ภารกิจสำเร็จด้วยดีทุกอย่างต้องปลอดภัยทุกครั้ง ซึ่งเราต้องนึกถึงผู้ป่วยที่รอรักษาอยู่ แม้ไม่เคยเจอผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีข่าวออกไป​ มีญาติเข้ามาขอบคุณ​ มีคนมาขอบคุณในเฟซบุ๊กเพจตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ก็รู้สึกดีแล้ว และต้องขอบคุณพระองค์ท่านที่สร้างโครงการนี้ขึ้นมาทำให้พวกเราได้ช่วยเหลือประชาชน 

"ดีใจที่ได้ทำหน้าที่นี้และภูมิใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาที่ไปช่วยประชาชนแล้วได้ยินว่าตำรวจพ่อหลวงมาแล้ว ตำรวจของพระราชา มาแล้วพวกเราปลอดภัยได้ พวกเรามีความสุขที่สุดที่ได้เห็นเสื้อกั๊กสีน้ำเงินแบบนี้ แค่นี้พวกผมตำรวจโครงการพระราชดำริก็ภูมิใจแล้ว"

เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ “วัฒนธรรมรักษาหน้า” ของสังคมจีน 

หากผู้อ่านท่านใดเป็นลูกหลานชาวจีน ก็คงจะได้เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ของตัวเองกระทำการ “แย่งกันจ่าย” หรือการพยายามออกตัวเป็นเจ้าภาพผู้ใจกว้างที่จ่ายเงินเลี้ยง และดูแลพวกพ้องตามมื้ออาหารต่าง ๆ รวมถึงเวลามีงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูงหรืองานเลี้ยงรวมญาติ

ดูเหมือนว่าการแย่งกันจ่ายสำหรับคนจีนนั้นจะทำกันอย่างเป็นวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ “爱面子 - อ้ายเมี่ยนจึ” แปลตรงตัวได้ว่า “รักหน้า” หรือหากจะหาคำภาษามานิยาม ก็คงจะใกล้เคียงกับคำว่า “หน้าใหญ่” ที่สุด ซึ่งก็คือการยึดติดกับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และการมีภาพลักษณ์ที่ดีสมบูรณ์ ซึ่งคนจีนหลายคนให้ความสำคัญกับ “หน้า” เป็นอย่างมาก

ตัวผู้เขียนเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศจีนมาเป็นเวลา 4 ปี หนึ่งในประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากคือ...

“什么都可以丢,但不能丢脸” (อะไรก็ยอมเสียได้หมด แต่จะไม่ยอมเสียหน้า)

หากแปลเป็นไทยก็จะคล้ายกับประโยคที่ว่า “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้”

แล้วต้องทำอย่างไรให้ “ได้หน้า” หรืออย่างน้อยก็คือ “ไม่เสียหน้า” ? ซึ่งการกระทำให้ได้หน้านั้นก็เหมือนจะมีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว สำหรับผู้ชายก็คือการประสบความสำเร็จในชีวิต มีเงิน มีบ้าน มีรถ และมีเมีย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือเครื่องประดับบารมีของผู้ชาย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นนิยามของคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ซึ่งการประสบความสำเร็จนั่นแล ที่เป็นตัวชี้วัดระดับสถานะทางสังคม หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า “มีหน้ามีตาในสังคม”

แต่ความเป็นจริงก็มิได้สวยหรูหรอกครับ เพราะพื้นที่ของปลายยอดพีระมิดนั้นมีจำกัด ทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ กระนั้นแล้ว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพื่อการมีหน้ามีตาในสังคม หลายคนยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูรุ่งโรจน์ มีความมั่นคง และใกล้เคียงกับคำว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้คนจีนมากมายเกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า “打肿脸充胖子 - ต่า จง เหลี่ยน ชง พ่าง จึ” แปลเป็นไทยได้แบบตรงตัวได้ว่า “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน” มีความหมายว่า ทำเรื่องเกินตัวเพื่อรักษาหน้า หรือการพยายามสร้างบารมีเกินกว่าความเป็นจริงจนเป็นโทษแก่ตัวเอง

ยกตัวอย่างพฤติกรรมการตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน เช่นการดึงดันจะเป็นคนออกเงินเลี้ยงอาหารเพื่อนเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีฐานะ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอาจมีหนี้สินติดค้างคนอื่น ๆ อยู่มากมาย หรือการดื่มเหล้ามากเกินไป เพื่อทำให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองคอแข็ง สามารถดื่มได้มาก แต่สุดท้ายเมาจนต้องให้คนหิ้วปีกกลับบ้าน หรือจะเป็นการลงทุนกับเครื่องแต่งกายด้วยการซื้อแบรนด์หรูให้ตัวเองดูมีมูลค่า แต่ต้องแอบกินบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ที่บ้านไปทั้งเดือน

ซึ่งกรีณีเหล่านี้อาจถือได้ว่าเบาไปเลยครับ เมื่อเทียบกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย แต่เพราะกลัวจะเสียหน้า จึงไม่กล้าหย่ากับสามี (ค่านิยมสำหรับคนจีน การหย่าคือเรื่องน่าอับอาย) และได้แต่ยอมทนถูกกระทำต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเด็ก ๆ บางคนที่ยอมโกงข้อสอบเพื่อรักษามาตรฐานของตัวเอง และเพื่อไม่ให้พ่อแม่เสียหน้า หรือเพื่อให้พ่อแม่เอาคะแนนลูกไปอวดคนอื่นเพื่อเอาหน้า หรือแม้กระทั่งบางคนที่เคยประสบความสำเร็จจริง ๆ แต่เมื่อถึงคราวลำบากกลับไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากญาติมิตรเพราะกลัวจะเสียหน้านั่นเอง

ซึ่งค่านิยมการรักหน้าในรูปแบบของการ “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน” นับว่าเป็นค่านิยมที่ผิด ส่วนคนที่ยึดติดกับมายาคติของคำว่า “หน้า” มากเกินไปก็มักจะลงเอยด้วยการพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ยากลำบากกว่าเดิม

แต่หากถามว่าการรักหน้านั้นมีข้อดีหรือไม่ ก็มีครับ หากอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เป็นแก่นหลักของวัฒนธรรมการรักหน้านั้นคือการพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองให้มีความรุ่งโรจน์ และตรงกับสิ่งที่นิยามคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ซึ่งการรักหน้าก็ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตให้เดินไปข้างหน้าของคนในสังคมได้เหมือนกัน เพราะทำให้เกิดการแข่งขันกันพัฒนา ยิ่งคนในประเทศมีความมุ่งมั่นในการทำงานพัฒนาตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจและบุคลากรคุณภาพให้กับประเทศในภาพรวม

แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ค่านิยมเกี่ยวกับการ “รักหน้า” นั้นควรจะอยู่ในระดับที่พอดี เพราะหากมากเกินไปจนการแข่งขันเพื่อพัฒนากลายเป็นแข่งขันเพื่อบลัฟ เพื่ออวดเบ่งความยิ่งใหญ่ของตัวเอง และทำให้เกิดการ “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน”

ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนแล้ว การให้ค่าตัวเองนั้นสำคัญที่สุดครับ และควรปล่อยวางคำตัดสินต่าง ๆ ของคนอื่นที่เกิดจากค่านิยมในสังคม การประสบความสำเร็จของเรานั้นเป็นอย่างไร เราควรมีส่วนในการตัดสินใจด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระแส “กัญชง” ในดงอินเดีย

ปัจจุบันกระแสกัญชงกับกัญชาในไทยกำลังมาแรงมากจากกระแสการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายทั้งในด้านการครอบครอง การปลูก และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า “กัญชง” กับ “กัญชา” เหมือนหรือต่างกันยังไง ผมเลยไปสืบค้นจากอินเตอร์เน็ตก็พบความกระจ่างในเพจ “ทันข่าว Today” ซึ่งระบุว่า ทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตในเบื้องต้นได้คือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูงและแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา จึงมีการนำกัญชงไปใช้เป็นพืชเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้าและเยื่อกระดาษ

แต่ถ้าต้องการจำแนกให้ลึกลงไป เพจดังกล่าวก็ให้พิจารณาจากสารประกอบที่เรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นั่นคือ THC (Delta-9-Tetrahydrocannabinol) และสารสำคัญอีกชนิดคือ CBD (Cannabidiol) ซึ่งช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของ THC ถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น Hemp หรือกัญชง แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น Marijuana หรือกัญชา กรณีใช้ทางการแพทย์ต้องสกัดสาร THC, CBD รวมถึงสารประกอบแคนนาบินอยด์อื่น ๆ ออกมาจากต้น ซึ่งแตกต่างจากการเสพกัญชาที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยตรง

สำหรับที่อินเดีย มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย ระบุว่า กระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบันคือ “กัญชง” แต่ว่าการแปรรูปกัญชง (Hemp / Cannabis Sativa) เชิงอุตสาหกรรมในอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ดี คนอินเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากกัญชงมาตั้งแต่โบราณ โดยนำกัญชงมาเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรแบบอายุรเวท (Ayurveda) และเครื่องเทศประกอบอาหาร รวมถึงเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า กระเป๋าและเชือกด้วย ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิจัยของอินเดียเข้าใจในศักยภาพของกัญชงเป็นอย่างดี และตระหนักในการควบคุมผลกระทบต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กัญชงมีแนวโน้มที่จะได้รับการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ง่าย

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าในปัจจุบันตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียยังมีมูลค่าเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของตลาดโลกเท่านั้น ในขณะที่ การใช้/บริโภคในอินเดียจะขยายตัวได้อีกมาก ทั้งการนำกัญชงไปใช้ในการผลิตน้ำมัน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้สำหรับทำความสะอาด ปุ๋ย และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กระดาษรีไซเคิล วัสดุเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงพลังงานชีวมวล นอกเหนือจากการนำมาผลิตเพื่อใช้ในทางการแพทย์ อาทิ ยาบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และอาการเจ็บปวดเรื้อรังต่าง ๆ นอกจากนี้ คาดว่าภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้คนอินเดียหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งเมล็ดกัญชงจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ทดแทนถั่วและเนื้อสัตว์ โดยปราศจากกลูเตน และมักจะเป็นการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ด้วย เพราะกัญชงเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง 

ผลิตภัณฑ์จากกัญชง

ขอบคุณภาพจาก : https://medium.com

ทั้งนี้ ผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) ประมาณการณ์ว่า ในปี 2567 ตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 584.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลการสำรวจของ All India Institutes of Medical Sciences ที่พบว่าผู้บริโภคชาวอินเดียจะตอบรับต่อผลิตภัณฑ์กัญชงได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีคนอินเดียจำนวนไม่น้อยกว่า 7.2 ล้านคนที่เคยใช้กัญชงมาแล้ว โดยการซื้อมาทดลองใช้เอง และมีราคาขายปลีกในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกรัม

ตาม พรบ. The Narcotic Drugs and Psychotropic Substances Act (1985) รัฐบาลกลางของอินเดียอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้เฉพาะที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลหรือ THC ไม่เกิน 0.3 % โดยน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกัญชงในอินเดียส่วนใหญ่มีระดับสาร THC สูงกว่าที่กำหนดไว้ การผลิตและซื้อ-ขายกัญชงในอินเดีย จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พรบ. ดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐให้สามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์จากใบและเมล็ดของกัญชงได้ ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบและส่งเสริมโดยกระทรวงการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย (Ministry of Ayurveda, Yoga & Naturopathy: AYUSH) เป็นระยะ

ในปัจจุบันมีเพียงสามรัฐในอินเดียที่อนุญาตให้มีการปลูกกัญชงได้ ได้แก่ รัฐอุตตราขัณฑ์ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐมัธยประเทศ ส่วนรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็มีแนวโน้มจะอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเช่นกัน อาทิ รัฐมณีปุระ รัฐอานธระประเทศ และรัฐหิมาจัลประเทศ โดยรัฐอุตตราขัณฑ์เป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกได้ โดยได้ให้ใบอนุญาตแก่ Indian Industrial Hemp Association (IIHA) ซึ่งเป็น NGO สามารถเพาะปลูกเพื่อทำการทดลองในพื้นที่ 6,250 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเป็น 62,500 ไร่ และมุ่งเน้นการผลิตเมล็ดพันธุ์ และนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับป็นสิ่งทอเป็นหลัก

แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกในไม่กี่รัฐ แต่มีผู้นำกัญชงมาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วภายใต้กิจการของสตาร์ทอัพประมาณ 30-40 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (Biotech Startups) อาทิ บริษัท Bombay Hemp Company (BOHECO) โดยมีโรงงานแปรรูปอยู่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ (เมือง Almora) และในรัฐอุตตรประเทศ (เมือง Lucknow) นอกจากนี้ ยังมี Startups อีกหลายรายที่พร้อมจะผลิตเชิงอุตสาหกรรม และขยายตลาดทั้งภายในอินเดียและตลาดโลก อาทิ Hemp Street, Best Weed และ India Hemp Organics โดยมีแบรนด์หลักในตลาด ได้แก่ VEDI, SATLIVA, BOHECO Life และ B LABEL

ขอบคุณภาพจาก : https://www.vice.com

ทั้งนี้ การผลิตสินค้าจากกัญชงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2564 จากการที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางอาหาร (The Food Safety and Security Authority of India : FSSAI) ของอินเดียซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ได้จัดทำร่างกฎระเบียบสำหรับการกำกับดูแลสินค้าที่นำกัญชงมาผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ The Food Safety and Standards (Food Products Standards and Food Additives) Amendment Regulations, 2020 ซึ่งผู้ประกอบการในอินเดียมองว่าจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสัญญาณที่เปิดให้สินค้ากัญชงมีการแข่งขันกันอย่างเสรีในตลาด โดย FSSAI ได้ยอมรับว่ากัญชงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งล่าสุดได้มีการกำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกัญชงต้องมี THC ไม่เกิน 0.2mg/kg โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการเตรียมการผลิตเครื่องดื่มกัญชงและสถานบริการเครื่องดื่มกัญชงตามมาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม คุณสุพัตรา แสวงศรี ทูตพาณิชย์ไทยประจำนครมุมไบ ประเทศอินเดียได้ให้ความเห็นว่าการเพาะปลูกและการแปรรูปในอินเดียยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่สินค้าจากต่างชาติจะเข้าไปแทรกตลาดหากมีราคาที่เทียบเคียงได้กับจีน ทั้งนี้ อินเดียเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับกัญชงในอัตรา 30% โดยผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตให้นำเข้าไปเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น โอกาสที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย จึงน่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในการแปรรูปกัญชงเพื่อการแพทย์และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีสภาพอากาศเหมาะสมและเกษตรกรมีทักษะในการปลูกที่ดี รวมถึงโอกาสจากการเข้าไปถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนให้กับ Tech-Startups ของอินเดียที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อภาครัฐของอินเดีย (FSSAI) มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าจากกัญชงที่ชัดเจนแล้ว ในขณะที่ ผู้บริโภคในอินเดียเองก็มีความคุ้นเคยกับกัญชงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอื้อให้เกิดการตอบรับของตลาดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย

ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยหรือนักลงทุนไทยที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ที่ประเทศอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากประเทศจีน

ขอขอบคุณสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างปรแทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ตำรวจชวนคิด’ เตือนสติประชาชน คิดให้ดีก่อนจะเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ทั้งผู้จัดให้มีการเล่น ผู้เล่น ผู้ชักชวนให้เล่น เสี่ยงคุก เสี่ยงถูกยึดทรัพย์ เสี่ยงสูญเงิน

วันที่ 19 มิ..2564 ...ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงพัฒนาการของการเล่นพนันออนไลน์ โดยในยุคที่ประชาชนเข้าถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน/สื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงระบบธนาคารออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันพยายามเข้าถึงประชาชนมากขึ้น มีการชักชวนในรูปแบบต่างๆ ทั้งส่งลิ้งก์เว็บไซต์การพนันมาทางข้อความสั้น(SMS) โฆษณาในเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์หลายๆแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำนายแบบนางแบบ พริตตี้ ยูทูบเบอร์ มาชักชวนให้เล่นการพนัน โดยอ้างว่าเล่นง่ายๆ สนุก ได้เงินแน่นอน ทำให้มีประชาชนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เยาวชน หลงเชื่อหลวมตัวเข้าไปเล่นการพนันออนไลน์ จนมีบางรายหมดเนื้อหมดตัว อาจเป็นสาเหตุให้ไปก่ออาชญากรรมอย่างอื่น ทั้งอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ ยาเสพติด หรือถึงขนาดฆ่าตัวตายเพราะติดหนี้การพนันออนไลน์

สำหรับการพนันออนไลน์นั้น จะมีผู้เกี่ยวข้องมีอยู่ 3 กลุ่ม ล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งมีอัตราโทษแตกต่างกันไป ได้แก่…

1.กลุ่มผู้จัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ ทั้งเจ้าของเว็บไซต์ ผู้บริหารจัดการเว็บไซต์ ผู้ดูแลระบบ (แอดมิน) ผู้ทำการตลาดหรือโปรโมทเว็บไซต์ เจ้าของบัญชีธนาคารที่ยินยอมรู้เห็นเป็นใจเปิดบัญชี เป็นต้น จะมีความผิดตาม พ...การพนันฯ มาตรา 12 มีอัตราโทษโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำความผิดหลายกรรม อาจถูกดำเนินคดีในลักษณะต่างกรรมต่างวาระ นอกจากนี้การจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พ...ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ..2542

ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนได้ว่าผู้กระทำผิดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือปกปิดที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำการใดๆ เพื่อปกปิดการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาหรือครอบครองทรัพย์สิน โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 5 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย

2. ผู้เล่นการพนัน จะมีความผิดตาม พ...การพนัน มาตรา 12ฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงข้อมูล Privacy Data(ข้อมูลส่วนตัว)ที่ให้กับเว็บไซต์การพนันอาจถูกนำไปใช้ และอาจถูกโกงเงินไม่สามารถถอนเงินคืนจากเว็บไซต์พนันได้

3. ผู้ประกาศ โฆษณา ชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน ทั้ง เซเลป นายแบบนางแบบ พริตตี้ ยูทูบเบอร์ จะมีความผิดตาม พ...การพนัน มาตรา 1ฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้หากการกระทำความผิด เป็นไปในลักษณะมีการชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทําให้เด็กมี ความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทําผิด ผู้ปกครองหรือผู้กระทำผิดก็อาจถูกดำเนินคดีตาม พ...คุ้มครองเด็ก พ..2546 ในมาตรา 26(3) ประกอบ มาตรา 78 มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย

...ศิริวัฒน์ฯ จึงฝากเตือนมายังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 กลุ่ม ให้คิดให้ดี ก่อนที่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ เพราะจะถูกจับกุมดำเนินคดี อาจจะสูญทั้งเงินและติดคุกได้

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีข้อห่วงใยเกี่ยวกับปัญหาการชักชวนให้มี การเล่นการพนันออนไลน์ทายผลฟุตบอล จากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ‘ยูโร 2020’ ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมาย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล...สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้กำชับให้กวดขันจับกุมและทำการสืบสวนปราบปรามการพนันออนไลน์ทายผลฟุตบอลอย่างจริงจัง อันจะส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ต่อประชาชนทั่วไปตามมาอีกจำนวนมาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน ขอให้ช่วยกันหยุดวงจรการพนันออนไลน์ โดยหากพบเห็นการกระทำความผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งไปยังสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลข 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

โศกนาฏกรรม “โคเรียนแอร์ไลน์” (Korean Air Lines) เที่ยวบิน 007 ปริศนา? หายนะกลางอากาศ

มีผู้อ่านท่านหนึ่งเขียน In box ใน Facebook ดร.โญ มีเรื่องเล่า ว่า “ สวัสดีครับอาจารย์ ผมอยากได้ข่าวเก่า ๆ อดีตสหภาพโซเวียตส่งเครื่องบินรบไล่ยิงเครื่องบินโดยสารเกาหลีใต้ อยากทราบว่ายิงทำไมครับ ? ” เรื่องนี้ ถือเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกในยุคนั้น (พ.ศ. 2526) เลย ขอจัดให้ในบทความนี้ ซึ่งผนวกเรื่องราวเช่นนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับเครื่องบินโดยสารของ Korean Air Lines และโดยเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียตแบบเดียวกันเมื่อ 5 ปี ก่อนหน้าเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้น

เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) ลำดังกล่าว

ข่าวใหญ่ระดับโลกที่โด่งดังมากที่สุดในปี พ.ศ. 2526 คือ ข่าวโศกนาฏกรรม Korean Air เที่ยวบิน 007 ซึ่งถูกเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตในขณะนั้นยิงตก ทำให้ลูกเรือและผู้โดยสารบนเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) เสียชีวิตทั้งหมด ถึง 269 ราย และมีคนไทยรวมอยู่ด้วย 5 ราย

เครื่องบินโดยสารของ Korean Air แบบ Boeing 707 (HL-7429) ลำที่ถูกยิง

เหตุการณ์เครื่องบินขับไล่ของโซเวียต ยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Air ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น โดย 5 ปีก่อนหน้านี้เมื่อวันที่  20 เมษายน พ.ศ. 2521 ก็มีเหตุเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Airเที่ยวบินที่ 902 (KAL 902 หรือ KE 902) มาแล้ว ครั้งนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 707 (HL-7429) จากกรุงปารีส ฝรั่งเศส มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ กรุงโซล เกาหลีใต้ โดยมีกำหนดแวะพักเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติเทด สตีเวนส์ เมืองแองคอเรจ มลรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา มีผู้โดยสาร 97 คน ลูกเรือ 12 คน

เครื่องบินสอดแนมแบบ Boeing RC-135 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบิน Boeing 707

เหตุการณ์ Korean Air เที่ยวบินที่ 902 มีผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน เครื่องบินถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi ทางทิศใต้ของเมืองเมอร์มานส์ ใกล้ชายแดนฟินแลนด์

เครื่องบินโดยสาร Korean Air เที่ยวบินที่ 902 หลังจากถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi

ต่อมาเมื่อ 38 ปีก่อน เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747 -230B เที่ยวบิน KAL 007 สายการบิน Korean Air ของเกาหลีใต้ถูกสหภาพโซเวียตยิงตก หลังจากที่พลัดหลงเข้ามาในเขตน่านหวงห้ามของโซเวียต ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และทั้ง 269 ชีวิตบนเครื่องเสียชีวิต โดยหาศพไม่เจอ และกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่าใครผิดใครถูก ระหว่างโซเวียตที่เป็นคนยิง เกาหลีใต้ที่เป็นเจ้าของและผู้บังคับเครื่องบิน หรือสหรัฐอเมริกา เที่ยวบิน KAL 007 บินจากนครนิวยอร์กสู่กรุงโซล โดยแวะพักที่เมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกา และในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2526 เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินดังกล่าวถูกเครื่องบินสกัดกั้น SU-15 ของสหภาพโซเวียตยิงตกใกล้เกาะโมเนรอน ทางตะวันตกของเกาะซาฮาลิน ในทะเลญี่ปุ่น นักบินของเครื่องบินสกัดกั้นลำนั้น คือ นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich โดยผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 269 คนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้ง Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากรัฐจอร์เจีย เครื่องบินลำดังกล่าวกำลังอยู่ในเส้นทางจากเมืองแองเคอเรจสู่กรุงโซลเมื่อบินผ่านน่านฟ้าโซเวียตซึ่งเป็นเขตหวงห้ามในเวลาไล่เลี่ยกับภารกิจของเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ

โดยตอนแรก สหภาพโซเวียตปฏิเสธการรู้เห็นในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ภายหลังยอมรับว่า เครื่องบินขับไล่ของโซเวียตเป็นผู้ยิง โดยอ้างว่าเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าวอยู่ระหว่างภารกิจสอดแนม คณะตรงโปลิตบูโรแถลงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการยั่วยุโดยเจตนาของสหรัฐ เพื่อทดสอบความพร้อมทางทหารของสหภาพโซเวียต หรือกระทั่งยั่วยุให้เกิดสงคราม ทำเนียบขาวก็กล่าวหาสหภาพโซเวียตว่า ขัดขวางปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย กองทัพโซเวียตระงับการค้นหาหลักฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อใช้ในการสอบสวนสาเหตุ โดยเฉพาะ เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน หรือกล่องดำ ซึ่งสุดท้ายก็มีการเผยแพร่ในแปดปีหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดขณะหนึ่งของสงครามเย็นและส่งผลให้การต่อต้านโซเวียตทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ มุมมองตรงข้ามต่อเหตุการณ์ไม่เคยยุติอย่างสมบูรณ์ ต่อมามีอีกหลาย ๆ กลุ่มได้ดำเนินการเกี่ยวกับรายงานอย่างเป็นทางการในกรณีพิพาทและเสนอทฤษฎีทางเลือกของเหตุการณ์นี้ มีการเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ และข้อมูลเครื่องบันทึกของเที่ยวบิน KAL 007 ภายหลังโดยสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งได้เปิดเผยรายละเอียดบางอย่างซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

ระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. 2526)

ผลของเหตุการณ์ สหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนวิธีดำเนินการติดตามเครื่องบินที่บินออกจากมลรัฐอะแลสกา พัฒนาโปรแกรมต่อประสานนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในสายการบินโดยได้รับการออกแบบใหม่ให้สมบูรณ์มากขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์เดี่ยวที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดี Reagan อนุญาตให้ทั่วโลกเข้าถึงระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น ปัจจุบันระบบดังกล่าวรู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อว่า GPS (Global Positioning System)

เครื่องบินของ Korean Air เที่ยวบินที่ 007 คือ เครื่องบินพาณิชย์แบบ Boeing 747-230B ส่งมอบเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2515 เลขทะเบียน CN20559/186 และ D-ABYH ซึ่งให้บริการโดยสายการบิน Condor ก่อนจะมาจดทะเบียนเป็น HL7442 ของ Korean Air KAL 007 ออกจากประตูที่ 15 ของท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2526 มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ ในเขตกังเซโอ กรุงโซล โดยออกเดินทางช้ากว่ากำหนด 35 นาที จากกำหนดเดิม 23:50 เขตเวลาตะวันออก (03:50 UTC ของวันที่ 31 สิงหาคม) เที่ยวบินนี้บรรทุกผู้โดยสาร 246 คนและลูกเรือ 23 คน หลังจอดเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ ในเมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกาแล้ว เครื่องบินดังกล่าว ซึ่งกัปตันของผลัดนี้คือ กัปตัน Chun Byung-in จึงได้ออกเดินทางสู่กรุงโซลเมื่อเวลา 04:00 ตามเวลาอะแลสกา (13:00 UTC) ของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526

Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากมลรัฐจอร์เจีย หนึ่งในผู้โดยสาร

เที่ยวบินนี้มีสัดส่วนลูกเรือต่อผู้โดยสารสูงผิดปกติ โดยมีลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คนบนเครื่อง ผู้โดยสาร 12 คนอยู่ในห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งส่วนบน ขณะที่ที่นั่งชั้นธุรกิจมีผู้โดยสาร 24 ที่นั่ง ในชั้นประหยัดว่างราว 80 ที่นั่ง บนเครื่องมีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 22 คน ผู้โดยสาร 130 คนมีกำหนดการบินเชื่อมไปยังจุดหมายอื่น เช่น กรุงโตเกียว นครฮ่องกง และกรุงไทเป Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจากมลรัฐจอร์เจีย ซึ่งขณะนั้นยังเป็นประธานคนที่สองของสมาคม John Birch Society อยู่บนเครื่องด้วย โซเวียตยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสันจะนั่งติดกับ Larry McDonald บน KAL 007 แต่ CIA ได้เตือนไม่ให้ไป จากข้อมูลของ นิวยอร์กโพสต์ และสื่อของสหภาพโซเวียต แต่นิกสันปฏิเสธข่าวดังกล่าว

จุดอ้างอิงในเส้นทางการบิน R-20

หลังจากบินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ เที่ยวบิน KAL 007 ได้รับคำสั่งจากการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ให้เลี้ยวหันหน้าไป 220 องศา ประมาณ 90 วินาทีต่อมา ATC สั่งให้เที่ยวบิน "มุ่งหน้าตรงสู่เบเธลเมื่อทำได้" เมื่อมาถึงเบเธล รัฐอะแลสกา เที่ยวบินที่ 007 จะเข้าสู่เหนือสุดของเส้นทางการบินกว้าง 80 กิโลเมตร ที่เรียก เส้นทาง NOPAC (แปซิฟิกเหนือ) ซึ่งเชื่อมชายฝั่งอะแลสกากับญี่ปุ่น เส้นทางการบินของ KAL 007 คือ R-20 (โรมีโอ 20) ผ่านห่างจากน่านฟ้าโซเวียตนอกชายฝั่งคัมชัตกาเพียง 28.2 กิโลเมตร ระบบนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในขณะนั้นทำงานควบคุมระบบพื้นฐานสี่อย่าง ได้แก่ HEADING, VOR/LOC, ILS, และ INS สภาวะ HEADING รักษาเส้นทางแม่เหล็กคงที่ตามที่นักบินเลือก สภาวะ VOR/LOC รักษาเครื่องบินให้อยู่ในเส้นทางเฉพาะ การส่งสัญญาณจาก VOR ภาคพื้นดินหรือเครื่องบอกตำแหน่ง Localizer ตามที่นักบินเลือก สภาวะ ILS (ระบบลงจอดด้วยเครื่อง) ทำให้เครื่องบินติดตามทั้งเครื่องบอกตำแหน่งเส้นทางแนวตั้งและแนวระนาบ ซึ่งนำไปสู่ทางวิ่ง (Runway) ที่นักบินเจาะจงเลือกสภาวะ INS (Inertial navigation system : ระบบเดินอากาศยานเฉื่อย) ทำหน้าที่รักษาเครื่องให้อยู่ในเส้นทางแนวระนาบระหว่างพิกัดจุด (Waypoint) ตามแผนการบินที่เลือกที่ตั้งโปรแกรมเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของระบบ INS

อุปกรณ์ HEADING Mode

ประมาณ 10 นาทีหลังจากเครื่องขึ้น โดยบินหันหัวทาง 245 องศา KAL 007 เริ่มเบี่ยงไปทางขวา (เหนือ) ของเส้นทางที่กำหนดไปยังเบเธล และยังคงบินต่อไปอีกห้าชั่วโมงครึ่ง การจำลองและวิเคราะห์เครื่องบันทึกข้อมูลการบินของ ICAO ระบุว่า การเบี่ยงเบนนี้อาจเกิดจากระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเครื่องบินที่ทำงานในโหมด HEADING หลังจากจุดที่ควรเปลี่ยนเป็นโหมด INS ตามที่ ICAO ระบุ นักบินอัตโนมัติไม่ทำงานในโหมด INS เนื่องจากนักบินไม่ได้เปลี่ยนระบบอัตโนมัติเป็นโหมด INS หรือพวกเขาเลือกโหมด INS แต่คอมพิวเตอร์ไม่ได้เปลี่ยนการนำทางไปที่โหมด INS เนื่องจากเครื่องบินได้เบี่ยงเบนออกนอกเส้นทางเกินพิกัดความเผื่อ 7.5 ไมล์ (12.1 กม.) ที่อนุญาตโดยคอมพิวเตอร์ INS ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักบินอัตโนมัติยังคงอยู่ในโหมด HEADING และนักบินไม่ได้พบปัญหา

หลังจากบินขึ้น 28 นาที เรดาร์ของพลเรือนที่คาบสมุทร Kenai บนชายฝั่งตะวันออกของ Cook Inlet และด้วยเรดาร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ 175 ไมล์ (282 กม.) ทางตะวันตกของแองเคอเรจ ติดตาม KAL 007 5.6 ไมล์ (9.0 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น เมื่อ KAL 007 ไม่ถึงเบเธลในเวลา 50 นาทีหลังจากเครื่องบินขึ้น เรดาร์ของกองทัพสหรัฐฯที่ King Salmon รัฐอะแลสกา ได้ติดตาม KAL 007 ที่ระยะทาง 12.6 ไมล์ทะเล (23.3 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ทหารประจำเรดาร์ที่ฐานทัพอากาศ Elmendorf (ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะรับผลการวิเคราะห์จากเรดาร์ King Salmon) ทราบถึงความเบี่ยงเบนของ KAL 007 แบบเรียลไทม์ จึงสามารถเตือนได้ เครื่องบิน เพราะเกินค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดไว้ถึงหกเท่า ข้อผิดพลาด 2 ไมล์ทะเล (3.7 กม.) เป็นค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดหวังจากเส้นทางหาก INS (ระบบนำทางเฉื่อย) เปิดใช้งาน

ด้วย KAL 007 ไม่สามารถส่งตำแหน่งผ่านคลื่นความถี่สูงมาก (VHF) ที่มีช่วงสั้นกว่า ดังนั้นจึงขอให้ KAL 015 ซึ่งกำลังเดินทางไปยังกรุงโซลถ่ายทอดรายงานไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ KAL 007 ขอให้ KAL 015 ถ่ายทอดตำแหน่งสามครั้ง เมื่อเวลา 14:43 (UTC) KAL 007 ได้ส่งการเปลี่ยนแปลงเวลาที่ประมาณการมาถึงโดยตรงไปยังสถานีบริการเที่ยวบินระหว่างประเทศที่แองเคอเรจ แต่ได้ส่งผ่านคลื่นความถี่สูง (HF) ที่มีพิสัยไกลกว่า แทนที่จะเป็น VHF การส่งสัญญาณ HF สามารถไปได้ไกลกว่า VHF แต่เสี่ยงต่อการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าและไฟฟ้าสถิต VHF มีความชัดเจนกว่าและมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า การที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางวิทยุโดยตรงเพื่อให้สามารถส่งตำแหน่งได้โดยตรง เพื่อเตือนนักบินของ KAL 007 ทราบถึงการเบี่ยงออกนอกเส้นทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติโดยผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ระยะครึ่งทางระหว่างเบเธลและจุดอ้างอิง NABIE KAL 007 ได้บินผ่านส่วนใต้ของเขตกันชนของหน่วยบัญชาการป้องกันการบินและอวกาศอเมริกาเหนือ โซนนี้อยู่ทางเหนือของเส้นทางการบิน Romeo 20 และจำกัดเฉพาะเครื่องบินพลเรือน หลังจากออกจากน่านฟ้าอเมริการะยะหนึ่ง KAL Flight 007 ได้บินข้ามเส้นแบ่งวันที่สากล วันที่ท้องถิ่นจึงเปลี่ยนจาก 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526 เป็น 1 กันยายน พ.ศ. 2526 KAL 007 เดินทางต่อไป โดยความเบี่ยงเบนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนออกนอกเส้นทาง 60 ไมล์ทะเล (110 กม.) ที่จุดอ้างอิง NABIE และออกนอกเส้นทาง 100 ไมล์ทะเล (190 กม.) ที่จุดอ้างอิง NUKKS และออกนอกเส้นทางถึง 160 ไมล์ (300 กม.) ณ จุดอ้างอิง NEEVA จนกระทั่งบินถึงคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายและเป็นเขตหวงห้ามที่สำคัญที่สุดของสหภาพโซเวียตในเขตตะวันออกไกล

หมู่เรือในการซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 17 เมษายน พ.ศ. 2526

ด้วยช่วงเวลานั้น ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ แต่เป็นช่วงระหว่างสงครามเย็นระหว่างเสรีนิยมกับสังคมนิยมกำลังตึงเครียดอย่างมาก จากการที่สหรัฐฯ นำขีปนาวุธ Pershing II มาประจำการในยุโรป การซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ที่เป็นการซ้อมรบขนาดใหญ่ในแปซิฟิกเหนือ โดยเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ USS Midway และ USS Enterprise บินเข้ามาในลักษณะยั่วยุถึงเขตที่มั่นทางการทหารของโซเวียตบนเกาะคูริลในช่วงการซ้อมรบดังกล่าว จนสหภาพโซเวียตสั่งปลดนายทหารที่รับผิดชอบด้านการป้องกันพื้นที่ที่ไม่สามารถยิงเครื่องบินสหรัฐให้ตกได้ ดังนั้นโซเวียตจึงต้องป้องกันน่านฟ้าของตนอย่างเต็มที่ และในวันเดียวกับที่เกิดเหตุ สหภาพโซเวียตก็มีแผนจะซ้อมยิงขีปนาวุธ จึงมีการเตือนภัยทั่วเขตคาบสมุทรคัมชัตกา ขณะที่สหรัฐฯ ก็ส่งเครื่องบินแบบ RC-135 ออกสอดแนม (เหมือนกับกรณี Korean Air เที่ยวบินที่ 902)

15:51 น. (UTC) KAL 007 ได้เข้าสู่น่านฟ้าหวงห้ามของคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งห่างจากน่านฟ้าเขตชายฝั่ง 200 กิโลเมตร และตำแหน่งที่อีก 80 กิโลเมตร KAL 007 จะเข้าสู่น่านฟ้าของคาบสมุทรคัมชัตกา โซเวียตจึงได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำเข้าสกัด แต่ฝ่ายโซเวียตมีปัญหามากมาย ทั้งเรื่องการบัญชาการ เรื่องทางเทคนิค รวมถึงเรื่องสภาพอากาศ ทำให้ทั้ง 4 ลำไม่สามารถทำอะไรเครื่องบินโดยสารได้ จนกระทั่งมันออกจากน่านฟ้าของคัมชัตกา เข้าสู่น่านน้ำสากลโดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด หลังจากพิจารณาถึงเส้นทางการบินของ KAL 007 ฝ่ายโซเวียตเห็นว่า KAL 007 น่าจะบินฝ่าเข้ามายังน่านฟ้าหวงห้ามของโซเวียตอีกครั้ง น่าจะเป็นบริเวณเกาะซาคาลิน จึงสั่งการให้เครื่องบินขับไล่จัดการทำลาย KAL 007 แม้ว่า KAL 007 จะอยู่ในเขตน่านฟ้าสากล หากสามารถแน่ใจว่า บนเครื่องบินไม่มีผู้โดยสาร แต่นายทหารระดับสูงอีกคนกลับบอกว่า ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้วกับเครื่องบินที่ละเมิดน่านฟ้าของโซเวียตถึง 2 ครั้ง เมื่อ KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าเป็นครั้งที่ 2 โซเวียตได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำแบบเดิม รวม 4 ลำขึ้นไปเพื่อหาทางสื่อกับนักบิน KAL 007 แต่การติดต่อทางวิทยุ ไม่ประสบผล เพราะนักบินเกาหลีไม่ตอบกลับ เครื่อง บิน SU-15 ที่นำฝูง ก็ได้ยิงปืนเตือนไป 243 นัด แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ซึ่งกระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนเจาะเกราะธรรมดา ไม่ใช่กระสุนส่องวิถี นักบิน KAL 007 จึงอาจจะไม่ทราบเรื่องการยิงเตือน

ในระหว่างนั้น กัปตัน KAL 007 ได้ติดต่อไปยังศูนย์ควบคุมการบินของญี่ปุ่น เพื่อขอเพิ่มเพดานบิน เพราะจะทำให้เครื่องบินประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อเพิ่มเพดานบินแล้ว พวกเขาจึงต้องลดความเร็วลงกะทันหัน แต่สำหรับนักบินเครื่องบินขับไล่ที่ติดตามอยู่ กลับเห็นว่าเป็นความพยายามในการหลบหนี เพราะทำให้เครื่องบินรบที่บินเร็วกว่า ต้องบินเลย KAL 007 ออกไป ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งจากหน่วยบัญชาการให้จัดการกับ KAL 007 ก่อนที่ KAL 007 จะออกไปพ้นน่านฟ้าของโซเวียตเป็นครั้งที่ 2 นักบินจึงต้องบินวนกลับมาด้านหลังของ KAL 007 อีกครั้ง ด้วยการสั่งการ 6 ขั้นของสายการบังคับบัญชา หลังจาก KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าโซเวียตกว่า 2 ชั่วโมง ในเวลา 18.26 น. (UTC) เครื่องบินรบแบบ SU-15 ที่บินนำฝูง โดยนาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ก็ได้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่บริเวณส่วนหางของเครื่องบิน (เพราะกระสุนปืนถูกใช้ไปหมดแล้ว)  ทำให้เครื่องบินไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และที่สุดก็ตกลงในทะเลญี่ปุ่น ในเวลาต่อมา นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เขารู้แน่ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing จากหน้าต่าง 2 แถว และรู้ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่มีความหมายอะไร เพราะสามารถดัดแปลงเครื่องบินพลเรือนเป็นเครื่องบินทางการทหารได้ไม่ยาก รายละเอียดสัญชาติของผู้โดยสารและลูกเรือเที่ยวบิน : ออสเตรเลีย 4 ฮ่องกง 12 แคนาดา 8 สาธารณรัฐโดมินิกัน 1 อินเดีย 1 อิหร่าน 1 ญี่ปุ่น 28 มาเลเซีย 1 ฟิลิปปินส์ 16 เกาหลีใต้ 105 สวีเดน 1 ไต้หวัน 23 ไทย 5 สหราชอาณาจักร 2 สหรัฐอเมริกา 62 เวียดนาม 1 รวม 269 เป็นผู้โดยสาร 76 คน ลูกเรือ 23 คน และลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คน

หลังเครื่องบินหายไป หลายฝ่ายก็มีการออกค้นหาซากเครื่องบินและศพผู้เสียชีวิต แต่โซเวียตก็ไม่ให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการค้นหาภายในเขตของโซเวียตด้วย ในส่วนของการค้นหาในเขตน่านน้ำสากล เกาหลีใต้ในฐานะเจ้าของเครื่องบินมอบหมายให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯเป็นผู้ค้กนหาซากเครื่องบิน ในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าสหรัฐฯสามารถยิงฝ่ายโซเวียตได้ หากเข้ามาขโมยซากเครื่องบินในเขตน่านน้ำสากล ทำให้ทั้งสองฝ่ายส่งเรือรบเข้ามาในเขตมากมายราวกับเตรียมจะทำสงครามกัน นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็มีการก่อกวนยั่วยุกันตลอด แต่ในเขตน่านน้ำสากลไม่พบชิ้นส่วนอะไร ส่วนในฝั่งโซเวียตก็ไม่มีการแจ้งว่าพบอะไรบ้าง แต่ในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1991) มีการเปิดเผยว่า ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือที่ทันสมัย เจ้าหน้าที่ค้นหาของโซเวียตพบซากเครื่องบินอยู่ใกล้กับเกาะโมเนรอนที่ระดับความลึก 174 เมตร แต่เมื่อส่งประดาน้ำลงไปในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ก็ไม่พบว่ามีซากศพติดอยู่ภายในซากเครื่องบินแต่อย่างใด เท่าที่ฝ่ายโซเวียตพบก็มีเพียงแค่เศษซากชิ้นส่วนของมนุษย์ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น

รองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิต

8 วันต่อมาหลังการตก ศพผู้เสียชีวิตเริ่มลอยมายังญี่ปุ่น แต่อยู่ในสภาพชิ้นเล็กชิ้นน้อย และไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของใคร และ 26 วันหลังการตกของ KAL 007 โซเวียตได้นำรองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตที่เก็บได้ส่งคืนให้ตัวแทนสหรัฐ – ญี่ปุ่น เมื่อรวมกับที่ค้นพบในน่านน้ำสากล รองเท้า เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของผู้ที่อยู่บนเครื่องบิน 213 คน ด้วยคำแนะนำจากรัฐมนตรีมหาดไทย ในเบื้องต้น ยูริ อังโดรปอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตในฐานะผู้นำประเทศ ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าโซเวียตเป็นผู้ยิงเครื่องบิน KAL 007 เพราะเชื่อว่า คงไม่มีใครพิสูจน์เรื่องนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯซึ่งเป็นคู่อริจึงใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นในการโจมตีโซเวียต โดยการนำเทปบันทึกเสียงติดต่อของนักบินโซเวียตกับฐานที่ดักฟังได้ ไปเปิดในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เข้าฝ่ายโซเวียตจึงต้องออกมายอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน ก็แฉกลับว่า จนทำให้โลกรู้เป็นครั้งแรกว่า สหรัฐฯได้ส่งเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 เข้ามาสอดแนมในน่านฟ้าของโซเวียต และเส้นทางการบินก็อยู่ในแนวเดียวกับ KAL 007 ที่ถูกยิงตก

ท่าทีของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้นำสหรัฐ ซึ่งจ้องจะเอาผิดกับโซเวียตในเรื่องนี้ยิ่งทำให้ฝ่ายโซเวียตเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเจตนาร้ายและเป็นการวางแผนของฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯเดินหน้าตอบโต้ฝ่ายโซเวียตต่อไป โดยการห้ามสายการบินแอโรฟล็อตบินเข้าสหรัฐฯ ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียตต้องยกเลิกการเดินทางมาสหประชาชาติ และจากการที่สหรัฐฯไม่ยอมให้เครื่องบินของเจ้าหน้าที่โซเวียตที่จะมาร่วมประชุมสหประชาชาติลงจอด ซึ่งเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ โซเวียตก็จึงแก้เผ็ดโดยการจุดประเด็นว่า ควรย้ายสำนักงานใหญ่สหประชาชาติไปที่อื่นน่าจะดีกว่า และเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงจะมีมติประณามโซเวียตเรื่องการยิงเครื่องบิน โซเวียตจะใช้อำนาจ VETO ในการบล็อคมติดังกล่าวทุกครั้งไป

Gennadiy Osipovich ผู้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่ KAL 007 จนตก

หลังสรุปเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ฝ่ายโซเวียตกล่าวหาว่า เป็นแผนการต่าง ๆ ของสหรัฐ ทั้งการซ้อมรบ การนำขีปนาวุธมาไว้ในยุโรป และอื่น ๆ บ่งบอกว่ากรณีแบบ KAL 007 จะต้องเกิดขึ้นแน่ โซเวียตบอกว่า ภารกิจของ KAL 007 คือการสอดแนม เป็นการยั่วยุของฝ่ายสหรัฐฯ และเพื่อทดสอบความพร้อมทางการทหารของโซเวียต หรือไม่ก็หวังให้เกิดสงครามขึ้น รัฐบาลโซเวียตขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิต แต่ไม่ขอโทษ และไม่ชดเชยต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังตำหนิ CIA กลับไปด้วย โดยบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหลือเชื่อมาก เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจากนักบินที่เคยบินกับเครื่องบิน Boeing เป็นพัน ๆ ชั่วโมง ต่างก็บอกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องบนเครื่องบิน ไม่น่าจะเสียได้ในเวลาเดียวกันได้  เช่นเดียวกับเครื่องส่งสัญญาณวิทยุทั้ง 5 เครื่อง จึงไม่ต้องสงสัยอะไรอีกเกี่ยวกับความตั้งใจของ KAL 007 ลำนี้ 

ส่วนนักบินที่บินขึ้นสกัดนั้น ก็อาจไม่รู้ว่าแน่ชัดว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน เพราะ KAL 007 บินโดยไม่มีไฟนำร่อง ท่ามกลางสภาพทัศนวิสัยการมองเห็นที่ไม่ดี และการไม่ตอบสนองต่อสัญญาณวิทยุ ในรายงานของ ICAO ที่ตรวจสอบเรื่องนี้ สรุปในปีปลายปี พ.ศ. 2526 ว่า เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ โดยมีสาเหตุมาตจากการใช้งานระบบ Auto pilot ของนักบิน แต่อีก 10 ปีต่อมา ICAO ก็ออกมาประณามโซเวียตที่ตอนแรกแจ้งว่า ไม่พบกล่องดำ แต่ต่อมามีการเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า โซเวียตพบกล่องดำของ KAL 007 และผลจากการตกของเครื่องบิน KAL 007 ทำให้สหรัฐฯต้องปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามเฝ้าดูเครื่องบินที่บินออกจากน่านฟ้าของมลรัฐอลาสกา ในส่วนของเครื่องบินโดยสารเองก็มีการออกแบบหน้าปัดของระบบ Auto pilot ใหม่เพื่อให้มองเห็นความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ยังสั่งให้มีการพัฒนาระบบ GPS สำหรับกิจการพลเรือน เพื่อว่าจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการนำร่องเช่นที่เกิดกับเที่ยวบิน KAL 007 อีกครั้ง

เส้นทางการบิน R-20 (เส้นประ) เส้นทางการบิน KAL 007 เส้นทึบ

องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ได้ปิดเส้นทางการบิน R-20 ชั่วคราว ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางอากาศที่ Korean Air Flight 007 ตั้งใจจะบิน ในวันที่ 2 กันยายน สายการบินต่าง ๆ คัดค้านการปิดเส้นทางยอดนิยมนี้อย่างดุเดือด ด้วยเป็นทางเดินอากาศที่สั้นที่สุดในห้าทางเดินอากาศระหว่างมลรัฐอลาสกากับตะวันออกไกล FAA จึงเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2526 หลังจากมีการตรวจสอบความปลอดภัยและอุปกรณ์ช่วยนำทางแล้ว ต่อมา NATO ได้ตัดสินใจภายใต้แรงผลักดันของฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีเรแกน ในการปรับใช้ขีปนาวุธ Pershing II และขีปนาวุธร่อนในเยอรมนีตะวันตก โดยการติดตั้งขีปนาวุธเหล่านี้นี้จะทำให้ขีปนาวุธอยู่ห่างจากกรุงมอสโกเพียง 6-10 นาที การสนับสนุนการปรับใช้กำลังถูกสั่นคลอนและน่าสงสัยว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ แต่เมื่อสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบิน KAL 007 ตก สหรัฐฯ ก็สามารถกระตุ้นการสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างเพียงพอเพื่อให้การติดตั้งและใช้งานขีปนาวุธดำเนินต่อไปได้

มีการเปิดเผยข้อมูลการสื่อสารที่ถูกเฝ้าฟังโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เปิดเผยให้เห็นข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับระบบข่าวกรองและความสามารถของพวกเขา ต่อมาสมาคมเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย KAL 007 อเมริกัน ภายใต้การนำของ Hans Ephraimson ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้รัฐสภาแห่งสหรัฐฯและอุตสาหกรรมการบินยอมรับข้อตกลงที่จะรับประกันว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ของสายการบินในอนาคตจะได้รับการชดเชยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยการเพิ่มค่าตอบแทนและค่าชดเชย ภาระการพิสูจน์การประพฤติมิชอบของสายการบิน กฎหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบในทางบวกต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากภัยพิบัติเครื่องบินต่อ ๆ มาเป็นอย่างมาก สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้เรดาร์ทางทหารเพื่อขยายความครอบคลุมเรดาร์ควบคุมการจราจรทางอากาศจาก 200 ถึง 1,200 ไมล์ (320 ถึง 1,930 กม.) จากแองเคอเรจ โดย FAA ยังได้จัดตั้งระบบเรดาร์สำรอง (ATCBI-5) บนเกาะเซนต์พอล  ในปี พ.ศ. 2529 สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งระบบควบคุมการจราจรทางอากาศร่วมกันเพื่อตรวจสอบเครื่องบินที่บินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ซึ่งทำให้สหภาพโซเวียตมีความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการตรวจสอบการจราจรทางอากาศของพลเรือน และตั้งค่าความเชื่อมโยงการสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศของทั้งสามประเทศ

ประธานาธิบดีเรแกนประกาศเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2526 ว่า ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) จะพร้อมใช้งานสำหรับพลเรือนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อการติดตั้งระบบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการนำทางที่คล้ายกันในอนาคต นอกจากนี้อินเทอร์เฟซของนักบินอัตโนมัติที่ใช้กับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะทำงานในโหมด HEADING หรือโหมด INS มีการเปิดเส้นทางการบินปกติระหว่างกรุงโซลและกรุงมอสโกเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 อันเป็นผลมาจากนโยบาย Nordpolitik ของเกาหลีใต้ ซึ่งดำเนินการโดยสายการบิน Aeroflot และKorean Air ในขณะเดียวกัน เส้นทางยุโรปทั้ง 9 เส้นทางของ Korean Air จะเริ่มบินผ่านน่านฟ้าของโซเวียต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินของ Korean Air ได้รับอนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าของโซเวียตอย่างเป็นทางการ

ในปี พ.ศ. 2558 กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ยกเลิกการจัดประเภทเอกสารทางการทูต ซึ่งเปิดเผยว่าสองเดือนหลังจากเหตุการณ์ KAL 007 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ได้แจ้งกับนักการทูตของญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ว่าสหภาพโซเวียตได้เข้าใจผิดว่า เครื่องบิน KAL 007 เป็นเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 ของกองทัพสหรัฐฯ ปัจจุบัน Korean Air ยังคงให้บริการเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก ไปยังกรุงโซล อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินไม่ได้แวะหยุดที่แองเคอเรจหรือบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพอีกต่อไป โดยตอนนี้ทำการบินตรงไปยังท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน เที่ยวบินหมายเลข 007 ถูกยกเลิกตั้งแต่นั้นมา โดยใช้หมายเลขเที่ยวบินสำหรับสองเที่ยวบินแยกกันเป็นเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์กไปยังกรุงโซล (KAL/KE 82, 85 และ 250)


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ตำรวจ PCT' จับกุมเครือข่ายลักลอบเปิดเว็บพนันฟุตบอลยูโร 2020

วันนี้ (18 มิ.ย.2564) ที่ศูนย์ PCT ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผอ.PCT เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8, พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. หัวหน้าชุดเทคนิคและสืบสวน PCT นำหมายค้นศาลพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวม 4 จุด จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันบอลยูโร 2020 www.UFABET.COM พบเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาทต่อเดือน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้เร่งปราบปรามการพนันทายผลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (EURO 2020) เนื่องจากมีผู้ปกครองร้องเรียนเข้ามาว่ามีเด็กนักเรียนเข้าไปแทงบอลผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว ชุดเทคนิคและสืบสวน PCT ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเครือข่าย​ www.UFABET.COM ผ่าน Line Official UFA777, UFA368, UFAR1, UBET777 จึงขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางจำนวน 4 จุด ได้แก่...

จุดที่ 1 หมายค้นศาลแขวงนนทบุรี บ้านเลขที่ 107/112 ม.4 หมู่บ้านปริญญดาไลท์ พระราม 5 ถ.ราชพฤกษ์ ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี

จุดที่ 2 หมายค้นศาลแขวงนนทบุรี บ้านเลขที่ 51/3 ม.4 ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

จุดที่ 3 หมายค้นศาลแขวงธนบุรี ห้องเลขที่ 18/219 ชั้น 19 คอนโด ลุมพินีวิวทาวน์บางแค ถ. สุขาภิบาล1 แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพ

จุดที่ 4 หมายค้นศาลจังหวัดหัวหิน บ้านเลขที่ 391 ต. ทับใต้ อ.หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์

จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 7 คน คือ...

1. นายสุรสิทธิ์ หรือเก่ง คงเจริญ​ อายุ 27 ปี

2. นายสิทธิพงษ์ หรือแบ้งค์ ทับทอง อายุ 28 ปี

3. นายชัยสิทธิ์ หรือบีม ศรประสิทธิ์​ อายุ 27 ปี

4. นายชิภาณุพงศ์ หรือเบียร์ โรจนรุ่งเรืองพร​ อายุ 26 ปี

5. นายพิพัฒน์ หรือแอล เล็กผลา อายุ 27 ปี

6. น.ส.สิริพรรณ หรือแตงโม จันทรวิสูตร อายุ 39 ปี

7. น.ส.วิภาวรรณ หรือกิ๊ก ธานี​ อายุ 26 ปี

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน​ (ออนไลน์) ในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” พร้อมด้วยของกลาง...

1. สมุดบัญชี 91 เล่ม

2. บัตรกดเงินสด 51 ใบ

3. โทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง

4. แท็ปเล็ต 2 เครื่อง

5. โน๊ตบุ๊ค 5 เครื่อง

6. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง

7. จอมอนิเตอร์ 2 เครื่อง

8. อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

9. พระเครื่อง/เครื่องราง 424 องค์  (ประมาณ 5 ล้านบาท)

10. สร้อยคอ เครื่องประดับเพชร ฯลฯ 4 ชิ้น   (ประมาณ 1 ล้านบาท)

11. รถยนต์ 4 คัน   (ประมาณ 11 ล้านบาท)

12. เงินสด 595,000 บาท

มูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดประมาณ 18 ล้านบาท​ เงินสดค้างอยู่ในบัญชีของผู้ต้องหา จำนวน 1.6 ล้านบาท​ นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่ง พงส.สภ.บางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี,​ พงส.สภ.บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี และ พงส.สน.เพชรเกษม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ย้ำว่า ช่วงนี้มีการแข่งขันฟุตบอล EURO 2020 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและกำชับมิให้มีการเล่นการพนัน โดยเฉพาะการทายผลการแข่งขันฟุตบอล รวมถึงการทายผลทางออนไลน์ด้วย ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมาย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้กำชับให้กวดขันจับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด

 

ทลายแก๊ง App เงินกู้ดอกเบี้ยโหด!! จังหวัดนนทบุรี พบเบื้องหลังเป็นนายทุนจีน ตะลึงยอดลูกหนี้กว่า 70,000 ราย!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. มอบหมายให้สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร

ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. โดยมอบหมายให้พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.​ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ ศปชก.สตม. ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จํานวน 2 ราย ข้อหา “ร่วมกันประกอบกิจการทวงถามหนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต” กรณีในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย.64 ที่ผ่านมา ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ได้กู้เงินนอกระบบจากแอปพลิเคชัน ที่โฆษณาตามสื่อออนไลน์ต่างๆ เบื้องต้นพบมี 6 แอปพลิเคชั่น ดังนี้

1.แมวกวัก

2.Tiktak

3.Ubaht

4.Cashdaddy

5.เต่ามงคล

6.ถุงเงิน

พฤติการณ์​ คือ เมื่อประชาชนตกลงกู้เงิน จะต้องทำการส่งข้อมูลส่วนตัวพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ให้กับทางแอปฯ​ ดังกล่าว ยอดเงินกู้ เริ่มตั้งแต่ 2,500-10,000 บาท ซึ่งจะคิดหักค่าธรรมเนียมประมาณ 30-42% ให้เวลาคืน 7 วัน

หากเกินวันแรกดอกเบี้ย+ค่าปรับ 12% วันถัดไปวันละ 5% หากไม่ชำระตามที่กำหนด จะถูกเจ้าหน้าที่โทรตามทวงหนี้ หรือโทรหาญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก เพื่อให้เกิดความอับอาย

ปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งมีบางรายถูกโทรข่มขู่ จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งต่อมาศาลได้ออกหมายจับชาวไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน

และต่อมาในวันนี้​ (18 มิ.ย.64) จึงได้ขออนุมัติหมายศาลเข้าทำการตรวจค้น 2 จุด คือ...

จุดที่ 1 บ้านเลขที่ 30 ซอยหมู่บ้านจันทิมา ธานี 2 แขวงบางรักพัฒนา เขตบางบัวทอง จ.นนทบุรี ทำการจับกุม Mr.Lian BinBin สัญชาติจีน ตามหมายจับ ที่ 516/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการตรวจค้น พบสมุดบัญชี 15 เล่ม , บัตรกดเงิน 10 ใบ และโทรศัพมือถือ 13 เครื่อง

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 13 ซอยรัตนาธิเบศร์ 30 ต.บางกระสอ อ.เมือง จว.นนทบุรีทำการจับกุม น.ส.ณัฐชุตา กุลเชษฐ์ ตามหมายจับ ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ที่ จ 299/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจ

ค้นพบ คอมพิวเตอร์/โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์ อย่างละประมาณกว่า 100 เครื่อง ซึ่งภายในอาคารดังกล่าว มีกลุ่มบุคคล​ ซึ่งยอมรับว่าเป็นพนักงานโทรทวงหนี้ รวมจำนวน 66 คน (บริเวณชั้นสอง จำนวน 16 คน , ชั้นสาม จำนวน 27 คน และชั้น

สี่จำนวน 23 คน)

ทั้งนี้สตม. จะได้ประสานกับศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสืบสวนสอบสวนขยายผลผู้เกี่ยวข้องในความผิด ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นตามการค้าปกติ และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพ มหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโท รศัพ ท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สงขลา – คลัสเตอร์ชุมชนบาลาเซ๊าะเก้าเส้ง ติดโควิด-19 เพิ่มเป็น 60 คน

นายกอบจ.สงขลา และนายอำเภอเมืองสงขลารวมทั้งชาวบ้านในชุมชนเก้าเส้ง เร่งให้การช่วยเหลือด้านอาหารการกินกับชาวบ้าน 782 คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้าน 14 วัน

สถานการณ์โควิด-19 ที่ จ.สงขลา ยังคงพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด19 เพิ่มขึ้นในหลายชุมชน โดยเฉพาะที่ชุมชนบาลาเซาะ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนเก้าเส้ง ซึ่งเป็นชุมชนชาวประมงพื้นบ้านในเขตเทศบาลนครสงขลา ซึ่งล่าสุดพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น60คนแล้ว จากจำนวนผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบาลาเซ๊าะ 184 ครัวเรือนจำนวน 880 คน และมีการตรวจเชิงรุกไปแล้ว 351 คน และได้มีการล๊อคดาวน์ชุมชนบาลาเซ๊าะ 14 วันตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ถึง 28 มิถุนายน คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า และมีชาวบ้านกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้านจำนวน 782 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

และในวันนี้ (18มิ.ย.) นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา นายอริย์ธัช ทองเพชร ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พร้อม รองประธานสภาฯ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ร่วมกับนายนายไชยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองสงขลา ยกทีมลงไปให้การช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนเก้าเส้งที่ถูกกักตัวอยู่บ้านโดยนำถุงยังชีพของกินของใช้ไปแจกให้กับชาวบ้านในชุมชนบาลาเซ๊าะเพื่อช่วยเหลือในเรื่องของอาหารการกินระหว่างที่กักตัว 14 วันและออกไปไหนไม่ได้

นายไพเจน มากสวุรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ทาง อบจ.สงขลา จะให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเต็มที่และต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเฉพาะชุมชนที่มีการล๊อคดาวน์ซึ่งชาวบ้านเดือดร้อนทั้งชุมชนบาลาเซ๊าะที่เก้าเส้งและพื้นที่อื่น ๆ ใน จ.สงขลา เพื่อให้ชาวบ้านมีอาหารการกินระหว่างที่มีการกักตัว

ด้านนายไชยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองสงขลา เปิดเผยว่า ภาพรวมของสถานการณ์โควิด19ในชุมชนบาลาเซ๊าะเก้าเส้งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อจำนวน 60 คน แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดภายในชุมชนโดยไม่แพร่กระจายไปในพื้นที่อื่น ๆ  นอกจากนี้ทางฝ่ายปกครองอำเภอเมืองสงขลาจะเริ่มใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัยจับจริงปรับจริงทุกคนตามคำสั่งของทางจังหวัดซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน จ.สงขลา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในส่วนของความช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนบาลาเซ๊าะเก้าเส้ง นอกเหนือจากทาง อบจ.สงขลา ทางอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงมาช่วยเหลือแล้ว ในแต่ละวันก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเก้าเส้งเองก็ช่วยกันทำอาหารปรุงสดเช่นข้าวแกง ข้าวหมกไก่ และอื่น ๆ มาช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนบาลาเซ๊าะเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือคนในชุมชนเก้าเส้งด้วยกันและไม่มีการตำหนิหรือรังเกียรติคนที่ติดโควิดทุกคนในเก้าเส้งต้องผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์

พังงา – ด่วน !! พบผู้ป่วยใหม่ 27 ราย จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในคลัสเตอร์แพปลาคุระบุรี

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Covid 19) จังหวัดพังงา (ศบค.พง) รายงานสถานการณ์การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 18 มิถุนายน 2564 เวลา 06.00 น. ว่าพบผู้ป่วยรายใหม่จำนวน27 รายอยู่ในพื้นที่อำเภอคุระบุรี เป็นคนไทย6คนแรงงานต่างชาติ 21 คน ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมรวม 147 ราย โดยเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาได้ออกตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วย  Rapid Test ประชาชนทั้งในกลุ่มคนไทยและแรงงานพม่าในชุมชนแพปลาบ้านหินลาด ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงาจำนวน 1,244 ราย พบผลเป็นบวกจำนวน 51 ราย ได้ส่งตรวจยืนยันผลอีกครั้งที่ห้องแล็บโรงพยาบาลตะกั่วป่า และผลตรวจยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 27 ราย ซึ่งจะส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามอำเภอคุระบุรี สำหรับผู้ที่ผลตรวจเป็นลบ จะให้สังเกตอาการและดูแลตัวเอง 14 วัน ตามมาตรการ DMHTTA   โดยทางจังหวัดพังงาได้ปิดพื้นที่ พร้อมกำหนดแผนการตรวจเชิงรุกต่อเนื่อง ไปจนถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2564 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจังหวัดพังงา ล่าสุดมีผู้ป่วยสะสม147 ราย ยังพบผู้ป่วยรายใหม่อย่างต่อเนื่องในคลัสเตอร์แพปลาอำเภอคุระบุรี ซึ่งผู้ป่วยคลัสเตอร์นี้พบในอำเภอคุระบุรี 68 ราย อำเภอตะกั่วป่า 2 ราย และล่าสุดพบผู้ป่วยรายใหม่ในคลัสเตอร์นักเรียนที่เดินทางกลับมาจากโรงเรียนสอนศาสนาในจังหวัดยะลาจำนวน6ราย  ในอำเภอทับปุด 1ราย อำเภอเมืองพังงา 1 ราย และอำเภอตะกั่วทุ่ง 4 ราย และล่าสุดจังหวัดพังงาได้เตรียมความพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามในอำเภอคุระบุรีอีก 2 แห่ง และเตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามพังงา1ในสนามกีฬา อบจ.พังงา เพื่อรับมือผู้ป่วยรายใหม่ที่ยังเพิ่มไม่หยุด


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี

ตำรวจน้ำโชว์ศักยภาพ นำกำลังเข้าตรวจจับ เฮโรฮีน และยาไอซ์จำนวนมาก ประสานทุกหน่วยเตรียมขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้อง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. 64 จากนโยบายท่าน พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ความสำคัญในการตรวจสอบการกระทำความผิดทางทะเล โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง,พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม ผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำได้รับรายงานจากสายว่า จะมีการขนเฮโรฮีน และยาไอซ์ รวม 2 ชนิดลงเรือในลำคลอง ม. 2 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล เพื่อส่งไปขายยังไม่ทราบจุดหมายทีแน่ชัดจึงได้ ประสานพ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รองผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำ, พ.ต.ท.ศิโรดมสนุ่นดี สว.ส.รน.3กก.9บก.รน. เพื่อสนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ ร่วมกับ ศรชล จ.สตูล น.อ.จุมพจน์ เสนาะพิณ รอง ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษมผลประโยชน์ของชาติทางทะเล,พ.ต.อ.ธนิสร แสงท่านั่ง ผกก.ตม.จว.สตูลและเจ้าหน้าที่ ฝ่ายตำรวจรวจ

โดยนำเรือ ออกตรวจสอบ พื้นที่ตามเบาะแสที่สายแจ้งมาว่า ซึ่งอยู่ในลำคลองท่าส้ม ม. 2 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล ซึ่งลำคลองแห่งนี้ สามารถที่จะผ่านออกไปยังลำคลองใหญ่ทางฝั่งตำมะลัง ที่มีรอยต่อระหว่าง ตำมะลังกับ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย โดยการตรวจสอบ พบยาไอซ์และเฮโรอีนชนิดผงขาวตราสิงห์โตเหยียบลูกโลกห่อในกระดาษห่อชาซึ่งเป็นวัสดุกันน้ำอย่างดีบรรจุในลังพลาสติกและใส่ในตะกร้าผลไม้ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ วางเกลื่อนอยู่ในป่าชายเลนข้างลำคลอง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึด  ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ และถ้าสามารถส่งออกไปยังประเทศปลายทางได้ ก็จะมีมูลค่าหลายร้านบาท

พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รองผู้กำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำกล่าวว่า การตรวจยึดได้ในครั้งนี้นั้น เนื่องจากได้มีสายแจ้งเข้ามาว่าจะมีการนำเฮโรฮีน และยาไอซ์มาซุกไว้ โดยใส่ในตระกร้าผลไม้ จึงได้ประสานทุกหน่วยเพื่อร่วมกันเข้าตรวจสอบ ซึ่งผลการเข้าตรวจสอบก็พบว่า เฮโรฮีนตราสิงโตเหยียบลูกโลก และยาไอซร์ บรรจุในถุงชา และใส่ในตะกร้าผลไม้ 39 ใบ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่และได้วางไว้ในป่าโกงกาง พื้นที่ป่าชายเลน และคาดว่าคงจะรอน้ำขึ้น ก็จะนำขึ้นเรือเพื่อส่งต่อไปยังจุดหมาย สำหรับการจับกุมครั้งนี้ ไม่เจอผู้กระทำผิดแต่ก็ได้มีการจัดชุดตรวจสอบ เพื่อติดตามเจ้าของดำเนินคดีต่อไป

\


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top