Sunday, 25 May 2025
SPECIAL

ชลบุรี - กระทบหนัก ร้านเสริมความงาม ร้านสัก ร้านอินเทอร์เน็ต กว่า 50 คน พบ ผวจ.ชลบุรี ขอผ่อนผันเปิดกิจการ หลังหนี้สินล้น จากพิษโควิด

เจ้าของกิจการสถานเสริมความงาม ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านสักผิวหนัง ประมาณ 50 คน ทนไม่ไหว หลังโดนปิดมานานกว่า 7 เดือน ในการระบาดแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 3 ครั้ง โดนทวงหนี้ค่าเช่าและหนี้สินล้น เดินทางเข้าขอพบผู้ว่าราชการ จ.ชลบุรี ขอผ่อนผันให้เปิดกิจการ โดยยอมทำตามมาตรการของ ศคบ.ทุกอย่าง

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 14 มิ.ย. 64 ที่หน้าศาลากลาง จ.ชลบุรี น.ส.ณัฐวรันทร์ ศรีประไหม อายุ 34 ปี เจ้าของสถานเสริมความงามแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี พร้อมเจ้าของร้านอื่น มีทั้งเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตและร้านรับสักผิวหนัง ในภาคตะวันออก ประมาณ 50 คน ได้นัดรวมตัวกันเดินทางเข้าพบนายภัครธรณ์ เทียนไชย ผวจ.ชลบุรี เพื่อยื่นหนังสือขอผ่อนผันให้เปิดบริการ หลังโดนสั่งปิดกิจการ 3 ครั้ง รวมกว่า 7 เดือน

ต่อมานายนริศ นิรามัยวงค์ รอง ผวจ.ชลบุรี ได้เดินทางลงมารับมอบหนังสือจากตัวแทน และให้ตัวแทนรวม 6 คน เข้าพูดคุยในห้องประชุมศาลากลาง จ.ชลบุรี โดยในหนังสือมีข้อความว่า “เรียน ท่านผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จังหวัดชลบุรี สิ่งที่แนบมาด้วยมาตรการแนวทางในการ ปฏิบัติตามเงื่อนไข การป้องกันโรคระบาด เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประสบกับปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสไคโรน่า 2019 จึงส่งผลให้กิจการต่าง ๆ ภายในประเทศ ต้องหยุดกิจการลง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส รวมไปถึงกิจการคลินิกเสริมความงาม ที่หยุดกิจการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ซึ่งรวม 3 ครั้ง ปิดไปประมาณ 7 เดือน ทำให้ผู้ประกอบการคลินิกได้รับผลกระทบ จากรายจ่ายของกิจการที่ยังคงดำเนินอยู่ อาทิ ค่าเช่าสถานที่เปิดร้าน ด่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าจ้างพนักงานเฝ้าร้านที่ให้ช่วยสอดส่องคูแลทรัพย์สินภายในร้าน ในช่วงที่ปิดกิจการ ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการเล็งเห็นว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศดีขึ้น

โดยพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในโรงงานและแคมป์แรงงานต่างด้าว ไม่มีการระบาดเป็นวงกว้างในชุมชนปกติทั่วไป รวมถึงห้างสรรพสินค้า ดังนั้น ข้าพเจ้ากลุ่มผู้ประกอบการผู้ให้บริการคลินิกเสริมความงาม (คลินิกเวชกรรม) จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่าน เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ร้านเปิดคำเนินกิจการ โดยกลุ่มผู้ประกอบการได้จัดทำมาตรการ ในการให้บริการภายในร้านดังนี้

ผู้ให้บริการคลินิกเสริมความงาม (คลินิกเวชกรรม)

1.พนักงานประจำร้านสวมหน้ากากอนามัย และ Face Shicd ตลอดเวลาที่ทำงานภายในร้าน และมีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายผู้เข้าใช้บริการทุกท่าน

2.จัดทำ QR Code ของไทยชนะ เพื่อให้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าใช้บริการ

3.มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือตามจุดต่าง ๆ ภายในร้าน

4.จำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ เพื่อให้มีระยะห่างอย่างเหมาะสม (Social distancing) อย่างน้อย 3 ตารางเมตรเมตรต่อ 1 คนและผู้ใช้บริการ 1 คนต่อ 1 เครื่องเท่านั้น

5.จัดเก็บข้อมูลถูกค้าที่เข้าใช้บริการ ชื่อ-นามสุกล / วัน-เวลาเข้าใช้บริการ และเบอร์โทรศัพท์

6.ทำความสะอาดเครื่องมือทันที และทุกครั้งหลังถูกค้าใช้บริการเสร็จสิ้น หรือทุก 2 ชั่วโมง โดยทำความสะอาดตามจุดสัมผัสต่าง ๆ ภายในร้าน เช่น อุปกรณ์ต่าง ๆ เดียง โต๊ะ เก้าอี้ ที่มีการสัมผัส มือจับประตู ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและดวบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ในสถานประกอบการ ร้านเกม/อินเทอร์เน็ต

1.การเว้นระยะห่างเปิดให้บริการแบบเครื่องเว้นเครื่องและทำฉากกั้นที่มั่นคงแข็งแรงโดยมีความสูงไม่น้อยกว่า 50 ซม.และให้บริการลูกไม่เกิน 50% ของจำนวนเครื่องที่ให้บริการ (ร้านขนาดเล็กให้บริการได้ไม่เกิน 10 คน ,ขนาดกลางและขนาดใหญ่ให้บริการได้ไม่เกิน 25 คน)

2.พนักงานและผู้เข้าใช้บริการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ตลอดเวลาที่ใช้บริการ งดการมีปฏิสัมพันธ์ งดผู้ชม ใช้บริการได้เฉพาะผู้เข้าใช้คอมพิวเตอร์เท่านั้น

3.มีการตรวจวัดอุณหภูมิตัดกรอง สแกนไทยชนะ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าใช้บริการ งดให้บริการผู้ที่มีอาการไข้ไอจาม หอบเหนื่อย หรือเป็นหวัด และในระหว่างให้บริการ พนักงานต้องคอยหมั่นสังเกตและสอดส่องอย่างเคร่งครัด หากพบลูกค้ามีอาการไองามสามารถแจ้งให้หยุดใช้บริการได้ทันที

4.ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่เพียงพอ

5.มีแบบฟอร์มบันทึกการเข้าใช้บริการและแบบสอบถามการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง (โดยทางร้านมีการติดตามข้อมูลรายละเอียดพื้นที่เสี่ยงจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีทุกวัน)

6.ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อประตูทางเข้าออก ประตูห้องน้ำ ทำความสะอาดทุก 1 ชั่วโมง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหมดรวมไปถึงโต๊ะเก้าอี้เช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุก 2 ชั่วโมง และทุกครั้งหลังลูกค้าเลิกใช้บริการ ถูพื้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อวันละ 2-3 ครั้งทำความสะอาดห้องน้ำด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำทุก 1 ชั่วโมง

7.เปิดประตูเพื่อระบายอากาศทุก 2 ชั่วโมง (เป็นเวลา 10-15 นาที) และทำความสะอาด เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศให้ได้อย่างสม่ำเสมอ

8.หลีกลี่ยงการสัมผัสเงินโดยตรงโดยใช้ภาชนะเพื่อรับเงินหรือการใช้ e-payment

9.หากผู้ประกอบการ หรือพนักงานให้บริการ หรือผู้เกี่ยวข้องมีอาการไข้หรือเป็นหวัด ให้หยุดงานและ ไปพบแพทย์โดยทันที และ

10.กำชับบุคคลที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการค้านสาธารณสุข D-M-H-T-T

นายวุฒิพงษ์ หมื่นจำนงค์ อายุ 44 ปี กิจการร้านอินเตอร์เน็ต เผยว่า วอนท่านผู้ว่าได้ทบทวนคำสั่งเพื่อช่วยเหลือพวกเราด้วย เราพร้อมที่จะทำตามคำสั่งขอให้เปิดบริการได้ เพราะเราไม่ไหวแล้วจริง ๆ

น.ส.ศุภนิจ ก๊กรัมย์ อายุ 40 ปี เจ้าของสถานเสริมความงาม เผยว่า อยากให้ท่านผู้ว่าทบทวนคำสั่งใหม่ ขนาดท่านนายกฯยังยอมผ่อนผันในบางแห่งเลย ธุรกิจต้องดำเนินต่อไป เรามาครั้งนี้เพราะทนไม่ไหวแล้ว ปิดนานแต่เรามีรายจ่าย ทุกวันทุกเดือน เพราะต้องจ้างคนดูแลร้าน ส่วนลูกน้องนั้นก็จะโดนยึดหมดแล้วทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เขาปิดเราแต่ไม่มีการเยียวยาใด ๆ เลย เจ้าของธุรกิจเขาก็ต้องดูแลน้อง ๆ เขา แต่ว่ามาถึงจุดตอแนนี้ก็ดูแลไม่ไหวแล้วเหมือนกันจึงมาของอนุเคราะห์ผ่อนผันให้เปิดได้ด้วยนายนริศ นิรามัยวงค์ รอง ผวจ.ชลบุรี เปิดเผยว่า ก็จะนำหนังสือไปมอบให้ท่านผู้ว่าฯ เพื่อนำเข้าที่ประชุม ศคบ.ชลบุรี ในวันพฤหัสนี้ เพื่อขอผ่อนผันให้เปิดต่อไป ซึ่งก็เห็นใจทุกฝ่าย คาดว่าทางคณะที่ประชุม ศคบ.ชลบุรี ก็คงพิจารณาอีกครั้ง    


ภาพ/ข่าว  นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

กาฬสินธุ์ – ผู้ปกครองยังไม่กล้าส่งลูกมาเรียน !! เปิดเทอมวันแรก เข้มมาตรการโควิด-19

บรรยากาศเปิดเทอมวันแรก หลังกระทรวงศึกษาธิการประกาศดีเดย์พร้อมกัน 14 มิถุนายน ทั่วประเทศ หลายโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์  ยังคงเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยตั้งจุดคัดกรอง แบ่งเลขที่คู่-เลขคี่ สลับวันมาเรียน ขณะที่ยังมีผู้ปกครองบางส่วน ยังไม่กล้าส่งบุตรหลานมาโรงเรียน เนื่องจากยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ของโรคโควิด-19

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งหลายโรงเรียนยังคงยึดมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งการตั้งจุดคัดกรอง ให้ครูตรวจวัดอุณหภูมิเด็กนักเรียน และผู้ปกครอง บริเวณทางเข้า พร้อมทั้งให้สวมหน้ากากทุกคน ทั้งนี้หลายโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ ที่มีนักเรียนจำนวนมาก ได้แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 ชุด โดยแยกเลขที่คี่และเลขที่คู่อย่างละครึ่ง สลับวันกันมาเรียน เพื่อลดความแออัด

ทั้งนี้ ในภาพรวมยังมีผู้ปกครองบางส่วน ที่ยังไม่กล้าส่งบุตรหลานมาเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอนุบาล และเด็กประถม เนื่องจากยังห่วงเรื่องการติดโรคโควิด-19 เพราะยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ และเด็กยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ทำให้บรรยากาศเปิดเทอมวันแรกนี้ มีนักเรียนค่อนข้างบางตา ส่วนผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานมาเรียนนั้น หลายคนมีความจำเป็นที่จะต้องส่งมาเรียน แต่ก็ได้มีการป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยง โดยห่อข้าว ห่อน้ำเป็นส่วนตัวมาเป็นอาหารกลางวัน ส่วนการเดินทางทั้งรถตู้และรถโดยสารนั้น บางคันยังพบว่ามีการนั่งเบียดกันมาด้วย อย่างไรก็ตาม ในการคัดกรองหลังรถรับส่งนักเรียนและผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานนั้น มีคณะครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกเท่านั้น

ด้านนายสมพงษ์ หมายเทียนกลาง อายุ 65 ปี บ้านเลขที่ 61 หมู่ 1 บ้านท่าอุดม ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในส่วนของการเปิดเทอมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 นั้น โดยส่วนตัวยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยนัก เนื่องจากในพื้นที่และจังหวัดต่าง ๆ ยังพบผู้ติดเชื้อเป็นรายวัน ทั้งรายบุคคลและกลุ่มก้อน อย่างไรก็ตาม จากการติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาของทางจังหวัดอย่างเข้มข้นตลอดมา ซึ่งค่อนข้างเป็นที่พอใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้คลี่คลายไปได้ ส่วนที่เป็นกังวลบ้างก็ตรงที่เปิดภาคเรียนให้เด็กมาโรงเรียน เนื่องจากจะเกิดความแออัดและมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อโควิด-19

นายสมพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันเปิดเทอมวันแรก ตนให้หลานขึ้นรถตู้ซึ่งเหมารายเดือนมาโรงเรียน ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจให้หลานนั่งรถตู้มาโรงเรียนดังกล่าว ก็ได้ตรวจสอบประวัติรถตู้คันดังกล่าวแล้วว่าอยู่ในพื้นที่  ไม่ได้เดินทางมาจากจุดเสี่ยง มีอุปกรณ์ป้องกันโควิดอย่างครบถ้วน และเด็กนักเรียนที่นั่งมาในรถไม่แออัด เพราะมีการจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่าง เพื่อความมั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัยของทางโรงเรียน ตนจึงเดินทางมาสังเกตการณ์  และอยากสอบถามทางโรงเรียนว่าจะให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง ซึ่งหลังจากได้เห็นมีการคัดกรองเด็ก และผู้ปกครองอย่างเข้มข้นแล้วก็อุ่นใจ ว่าบุตรหลานและเด็กนักเรียนจะปลอดภัยจากโควิด-19 ในช่วงเปิดเทอมนี้


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล

พิจิตร – กรมชลประทาน ทุ่มงบ 580 ล้านบาท สร้างประตูระบายน้ำ ในแม่น้ำยมพื้นที่พิจิตร

กรมชลประทานให้สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่3 นำงบ 580 ล้านบาท ลงมือสร้างประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้างในแม่น้ำยมเขตพื้นที่จังหวัดพิจิตร เริ่มลงมือแล้วคาดแล้วเสร็จปี67มั่นใจช่วยชาวนาลุ่มน้ำยมเกือบ 3 หมื่นไร่ ให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ โครงการนี้มีการจ้างแรงงานชาวบ้านนับร้อยคนในท้องถิ่นทำให้มีรายได้มีงานทำในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโควิดอีกด้วย

วันที่ 14 มิ.ย. 2564 นายเสกโสม เสริมศรี ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 กองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ นายพิรัฐภัช พานทอง หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรม สนง.ก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 พาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ดูความคืบหน้าของการก่อสร้างประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้างที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 580 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างที่อยู่ในแผนปี64-67 ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำยม พิกัด  ต.ไผ่ท่าโพ  อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ซึ่งเมื่อสร้างแล้วเสร็จประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้างแห่งนี้ จะสามารถกักเก็บน้ำไว้ในแม่น้ำยมได้ประมาณ 5.10 ล้านลูกบาสก์เมตร  (ห้าล้านหนึ่งแสนลูกบาศก์เมตร) ระยะกักเก็บน้ำ 19.20 กิโลเมตร พื้นที่รับประโยชน์ครอบคลุม 3 ตำบล 2 อำเภอ ได้แก่ ต.วังจิก  ต. ไผ่ท่าโพ อ.โพธิ์ประทับช้าง , ต.บางลาย อ. บึงนานาง ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร 28,863  ไร่

สำหรับการก่อสร้างที่เห็นในภาพเป็นการก่อสร้างเขื่อนกันแนวตลิ่งบริเวณหน้าวัดประดาทอง ซึ่งอยู่ตอนท้ายของ ปตร.โพธิ์ประทับช้าง โดยการก่อสร้างครั้งนี้มีการแจ้งงานที่เป็นชาวบ้านและคนในท้องถิ่น จำนวนนับร้อยคนที่สลับสับเปลี่ยนกันมาทำงานวันละ 40-50 คน ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีงานทำในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโควิด รวมถึงช่วงนี้นาข้าวของเกษตรกรก็ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงอีกทั้งน้ำในแม่น้ำยมก็ยังแห้งขอดทำให้เกษตรกรต้องหาอาชีพเสริมด้วยการมาเป็นคนงานก่อสร้างของโครงการดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านที่มาเป็นคนงานก่อสร้างภายในโครงการก็มีมาตรการป้องกันโควิดโดยทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยรวมถึงต้องเอากระติกน้ำหรือน้ำดื่มมาดื่มกินเป็นของส่วนตัวห้ามใช้ภาชนะหรือแก้วน้ำร่วมกัน จึงทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

การก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำยมขณะนี้กรมชลประทานก็กำลังสร้างพร้อม ๆ กันถึง 4 แห่ง คือที่ ปตร.ท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ถัดลงมาก็คือ ปตร.ท่าแห ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม , ปตร.วังจิก ต.โพธิ์ประทับช้าง และ ปตร.โพธิ์ประทับช้าง ต.ไผ่ท่าโพ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ซึ่งคาดว่าทั้ง 4 แห่ง จะแล้วเสร็จตามแผนในราวปี 2567 ซึ่งจะทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำยมของ จ.พิษณุโลก – จ.พิจิตร จะมีน้ำให้นาข้าวนับแสนไร่ได้มีน้ำทำนาอย่างอุดมสมบูรณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกษตรกรต่างขอบคุณรัฐบาลและกรมชลประทานที่ดำเนินการสร้างประตูระบายน้ำทั้ง 4 แห่งดังกล่าว

 


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

 

ขอนแก่น - ส.ส.อีสาน พปชร. พร้อมรับ “ลุงป้อม” ประชุมใหญ่ พปชร.ที่ขอนแก่น “เอกราช” ระบุยังไม่มีวาระใดสอดแทรกทุกอย่างยังเป็นปกติ ปมขัดแย้งภายในไม่มี และใครที่ไม่ได้รับหนังสือเชิญประชุมไม่มีสิทธิ์นับองค์ประชุมและเข้าห้องประชุมเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยจากสถานกา

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 มิ.ย.2564  ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งตั้งอยู่ ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ถ.ศรีจันทร์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน พร้อมด้วย นายวัฒนา  ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ และนายเจริญ แซ่เต็ง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมคณะทำงานพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ในการเตรียมการตามขั้นตอนต่าง ๆ และความพร้อมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ซึ่งพรรคพลังประชารัฐได้กำหนดจัดการประชุมในวันที่ 18 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น หรือ ไคซ์ โดยจะมีคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคเดินทางเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้การเตรียมการในระดับพื้นที่ทั้งสถานที่การประชุม สถานที่รองรับสมาชิกพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรค ที่จะทยอยเดินทางเข้ามาในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.นั้นในภาพรวมเรียบร้อยแล้ว ตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งคณะทำงานได้ประสานงานร่วมกันกับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ และ สำนักงานสาธารณสุข ในการปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดยจำกัดผู้เข้าร่วมประชุม350 คน ดังนั้นสมาชิกพรรคท่านใด ที่ไม่ได้หนังสือเชิญประชุมจากหัวหน้าพรรคฯโดยตรง จะไม่มีสิทธิ์และสามารถเข้าห้องปรดชุมที่กำหนดไว้ได้ ตามมาตรฐานคามปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด และที่สำคัญคือจะไม่มีสิทธิ์นับองค์ประชุมหรือลงมติใดๆได้ แต่ก็ได้มีการจัดสถานที่รับรองและพักคอยไว้ในจุดที่กำหนด โดยจะมีการถ่ายทอดสดมาให้กับผู้ที่มาในสถานที่ประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมได้ติดตามการประชุมของพรรคตามวาระในภาพรวมทั้งหมด

“ ในการประชุมดังกล่าวนี้นั้นสมาชิกพรรค ทั้ง 350 ท่านที่ได้รับหนังสือเชิญประชุม จะลงทะเบียนตามรายชื่อที่กำหนดในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐประจำปีครั้งที่ 1/2564 ตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น. โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดคอยตรวจคัดกรองและดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ขณะที่การประชุมจะดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 10.00-15.00 น. จากนั้นทุกคนจะเดินทางกลับทันที โดยไม่มีการลงพื้นที่หรือปฎิบัติภารกิจใดๆในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งขณะนี้การประชุมนั้นยังคงเป็นไปตามระเบียบวาระที่กำหนด โดยเฉพาะกับการแถลงนโยบายในภาพรวมของพรรค และวาระต่าง ๆ ที่จะเสนอจากสมาชิกที่จะเข้าร่วมประชุม”

นายเอกราช กล่าวต่ออีกว่า สำหรับวาระที่จะนำเสนอที่ประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ภายในกรรมการบริหารพรรคนั้นขณะนี้ยังคงไม่มี โดยวาระการประชุมวันนี้ยังคงเป็นไปตามวาระเดิมที่พรรคกำหนด แต่หากจะมีสมาชิกท่านใดเสนอเรื่องเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมได้รับทราบและดำเนินการตามระเบียบและข้อบังคับนั้นสามารถที่จะกระทำได้ขึ้นอยู่กับกรมการบริหารพรรค ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นไม่ได้เป็นกรรมกีบริหารพรรคไม่สามารถที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจใด ๆ ได้ ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ภายในพรรคเท่านั้น และขอยืนยันว่าพรรคไม่มีปัญหาขัดแย้งใด ๆ ทุกคนตั้งใจทำงานเพื่อประเทศและประชาชน และหากมีการเสนอเปลี่ยนเลขาธิการพรรค บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าและมากว่าเลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน ซึ่ง กลุ่ม ส.ส.อีสานของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมที่จะเข้าร่วมประชุมพรรคในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียงและครบทุกคน

ขอนแก่น - นักท่องเที่ยวแห่ชม "เจ้าทองคำ" จระเข้แสนซน สุดแสนน่ารักตะมุตะมิ ที่เลี้ยงไว้ภายในวัดดังขอนแก่น ขณะที่ทางวัดติดป้ายเตือนระวังนักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัยในการเที่ยวชมอย่างเข้มงวด

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 13 มิ.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต ดอนแก่นเท้า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ มีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากราบไหว้และทำบุญที่วัดแห่งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางมาตรการคุมเข้มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งไฮไลท์และจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมากคือ "เจ้าทองคำ” จระเข้แสนซนสุดเชื่อที่พระในวัดเลี้ยงไว้ภายในสระของวัด โดยมีคณะกรรมการวัดและพระสงฆ์ยืนอยู่ริมสระ เพื่อให้อาหารและกำชับให้นักท่องเที่ยวชมความซนของเจ้าทองคำในจุดที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย

ขณะที่เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมและทำบุญที่วัดต่างพากันให้อาหารเจ้ทองคำ ด้วยการใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณ 2 เมตร พร้อมทั้งตะโกนเรียกชื่อให้มากินอาหาร ซึ่งไม่นานเจ้าทองคำก็จะมุดน้ำโผล่ขึ้นกินไก่สด ที่เสียบติดกับปลายไม้ไว้  สร้างความตื่นเต้นให้นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

พระลุน กันตะธัมโม พระลูกวัดวัดอุดมคงคาคีรีเขต กล่าวว่า เจ้าทองคำอาศัยอยู่ภายในสระของวัดมานานกว่า 10 ปี โดยมีญาติโยมนำมาถวาย ภายหลังจากจระเข้ตัวเก่าชื่อเจ้าบอดที่หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต พระชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง เลี้ยงไว้ได้ตายลง ซึ่งเจ้าทองคำนั้น สามารถสื่อสาร กับพระลูกวัดซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยง ที่สามารถสัมผัสตัวและลูบที่หัวเจ้าทองคำได้อย่างคุ้นเคย สร้างความประหลาดแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทำบุญและเข้ามาสักการะรูปเหมือนหลวงปู่ผาง อย่างมาก

"มาช่วงสถานการณ์โควิดพบว่ามีพุทธศาสนิกชนเข้ามาน้อยลงมาก แต่ยังคงมีแวะเวียนมาไม่ขาดสาย แม้ว่าเมื่อ 2 -3 ปีก่อนพระลูกวัดที่คุ้นเคยและคอยให้อาหารเจ้าทองคำจะย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น แต่ทางวัดทั้งพระและญาติโดยมยังคงเลี้ยงและดูแลโดยนำอาหารโยนให้จระเข้ทุกวัน พร้อมกับคอยเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังอย่าเข้าใกล้สระน้ำมากเพื่อความปลอดภัย"

สืบสวน ภ.จว.นครพนม ไล่ล่าขบวนการ ค้ากัญชาข้ามชาติ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 03.00 - 09.00 น. กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตำรวจน้ำนครพนม เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขยายผลการจับกุม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 5 กัญชาแห้งอัดแท่ง ซึ่งลักลอบขนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งในพื้นที่ จ.นครพนม  โดยเจ้าหน้าที่จับกุมได้ผู้ต้องหา 2 คน ที่บริเวณสามแยกไฟแดงหน้าโลตัสสาขาธาตุพนม จากการตรวจสอบภายในรถยนต์ พบหีบห่อถุงพลาสติกสีดำ ภายในบรรจุกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 13 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 520 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะโตโยต้า คันหมายเลขทะเบียน บต 4339 มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เวลาต่อมาในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดเดิมได้สอบสวนขยายผลจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน โดยได้ติดตามจับกุม ขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติกลุ่มเดียวกัน ได้ในขณะจอดพักที่บริเวณรีสอร์ท คุณเพียร รีสอร์ท ต.คำอาฮวน อ.เมือง จ.มุกดาหาร พิกัด 48Q VD 691256 ได้ผู้ต้องหา 3 ราย 1.นายสุวัชชัย แจ้งแสง อายุ 36 ปี 187 หมู่ 19 ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง  จ.นครราชสีมา 2.นายสมชาติ แสงสว่าง อายุ 36 ปี ที่อยู่ 628 ซ.บางบอน 3 ข.บางบอน เขตบางขุนเทียน กทม. และ 3.นายสุพัฒน์ โพธิ์ร่มขิง อายุ 32 ปี ที่อยู่ เลขที่ 4 ซอยบางกระดี่ 1 แยก 14 ข.แสมดำ ข.บางขุนเทียน กทม. พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 5 กัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 25 กระสอบ คาดว่าน้ำหนักประมาณ 1,150 กก. บรรทุกในกระบะหลังคาทึบของรถยนต์เชฟโรเล็ต โคโรลาโด สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 ฒน 4730 กทม. และรถร่วมขบวนการอีก 2 คัน เป็นรถตู้ โตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน นข 8712 ภูเก็ต และรถยนต์กระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ สีบรอนด์เทา ติดสัญญาณไซเรน หมายเลขทะเบียน ถข 7545 กทม. พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถืออีก จำนวน 5 เครื่อง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางกลับไปสอบสวนขยายผล และแถลงข่าว จากนั้นจะนำส่งเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร

วิชา BMAT: เรื่อง ติวฟรี BMAT Past Papers เตรียมสอบแพทย์ สำหรับม.ปลาย

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน
วิชา BMAT: เรื่อง ติวฟรี BMAT Past Papers เตรียมสอบแพทย์ สำหรับม.ปลาย

โดย ครูจึ๋ง สมนึก สงวนตระกูล
นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น Monbusho
เกียรตินิยม อันดับ 1 เหรียญทอง Computer Engineering Osaka University
#BMAT เรียนเตรียมสอบแพทย์ Critical Thinking, Problem Solving, Maths & Science

#DekThaiOnline
https://dekthai-online.com/browse
.

.

'หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์'​ ทรงประทาน 'ผ้าไตร'​ ในพิธีอุปสมบท ณ วัดดาวดึงษาราม (กทม.)

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ตามที่เจ้าภาพ กราบทูลขอประทาน 'ผ้าไตร'​ เนื่องในพิธีอุปสมบท 'นายวรกานต์ พรพรหมพิพัฒน์'​ ณ.พัทธสีมาวัดดาวดึงษาราม แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดย มี '​พระเทพสุวรรณเมธี'​ รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย 'นายบุญชู พรพรหมพิพัฒน์'​ (บิดา) และ นางสุภาวรรณ์ พรพรหมพิพัฒน์ (มารดา) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส  

ในการนี้ 'หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์'​ พระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงกรุณาให้ 'นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล'​ นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย เชิญ 'ผ้าไตรประทาน' แก่ 'นายวรกานต์ พรพรหมพิพัฒน์'​ ณ พัทธสีมา วัดดาวดึงษาราม แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัดกรุงเทพฯ ทรงอนุโมทนา และประทานพรขอให้เจริญในธรรม บำเพ็ญตนให้อยู่ในสมณะเพศ ปฏิบัติกรรมฐาน ศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อให้เป็นอานิสงส์ เกิดประโยชน์สุขต่อตนเอง และบุพการี สืบไปฯ 

ทั้งนี้ด้วยความตั้งใจในการอุปสมบทครั้งนี้ ผู้บวชขอน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่ สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เนื่องในวันภาณุพันธุ์ ตรงกับวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเสด็จทิวงคต 

ในพิธีอุปสมบทครั้งนี้ มี 'พระสิริชัยโสภณ'​ เจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม เจ้าคณะแขวงบางยี่ขัน เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้การอุปสมบท 'นายวรกานต์ พรพรหมพิพัฒน์'​ เป็นพระภิกษุสงฆ์ เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สืบไป ได้รับฉายาทางธรรมว่า 'อัตถกันโต'​ ผู้ใคร่ประโยชน์

การอุปสมบทในครั้งนี้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคระบาด เชื้อไวรัสโควิด -19 มีตรวจวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยแอลกอฮอร์ สวมหน้ากากอนามัย ลดการสนทนา ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อทำความสะอาด อย่างเคร่งครัด

ทางเลือกการลงทุนใน “ทองคำ” เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน | LOCK LENS GURU EP.29

???? GURU : อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา

▶️ หัวข้อ : ทางเลือกการลงทุนใน “ทองคำ” เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032809

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES .

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

5 วิธี พัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง และฉลาด เพราะคนเก่งและฉลาด มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

การพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่ดี อยากเป็นคนเก่ง ฉลาด ได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่นต้องเริ่มต้นจากอะไร?

1. รู้จักตัวเองให้มากกว่าผู้อื่น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาตัวเองมากกว่าคนอื่นหลายเท่า มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิด มุมมองในการใช้ชีวิต และการเลือก และการตัดบางอย่างออกจากชีวิต เพราะรู้ความต้องการของตัวเองชัดเจน  

2. สำรวจตัวเองตลอดเวลา ว่าตัวเองขาดอะไร ไม่รู้อะไร ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนที่หยุดอยู่กับที่เท่ากับเดินถอยหลัง เพราะกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกความเร็วมันต่างกัน ดังนั้นคนที่หยุดอยู่กับที่ คิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว เก่งแล้ว จึงยากที่จะเป็นคนเก่ง และฉลาด เพราะความรู้ที่มีนั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป อาจใช้ได้ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น การหยุดเรียนรู้ทำให้ตามโลกไม่ทัน 

3. ให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งสำคัญ ใส่ใจเฉพาะสิ่งสำคัญ โฟกัสในเรื่องสำคัญ ที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จในเป้าหมายเท่านั้น จะไม่สนใจกับสิ่งนอกกายที่ดึงดูดความสนใจทำให้เสียเวลา เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ทรัพย์สมบัติ เพราะยิ่งมีมาก ก็ยิ่งทำให้เสียเวลา คนเก่งหลายคนจึงมีชีวิตที่เรียบง่าย เพื่อลดปัญหาการบริหารจัดการ ความวุ่นวายที่ทำให้เสียสมาธิ เสียเวลาทำงาน เสียโอกาสดีๆ ที่เข้ามา 

4. ควบคุมตัวเองได้ดี ทำงานร่วมกับใครก็ได้ มีวินัยสูง และควบคุมตัวเองได้ดี เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จ เพราะการทำงานใหญ่ต้องใช้เวลานาน ต้องมีความอดทนสูง และต้องมีทีมงานในการขับเคลื่อน หากควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ก็ยากที่จะทำงานสำเร็จ การทำงานใหญ่ต้องร่วมมือกับคนหมู่มาก การรู้ว่าจะต้องวางตัวและปฎิบัติตัวกับผู้อื่นอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญ

5. มีความอึด ถึก ทน มุ่งมั่นเมื่อต้องทำงานใหญ่ เมื่อตัดสินใจเลือกว่าจะทำอะไร มีจุดหมายชัดเจนแล้ว ก็จะลุยเต็มที่ งานไม่เสร็จยังไม่พัก สู้ยิบตาไม่มีถอย คนรวย และคนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม มักมีคุณสมบัติสำคัญนี้ เพราะความสำเร็จมีความจำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเองก่อน

คุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ ใครฝึกฝนตัวเองมาก ทำมาก จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งเราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จ และคนรวย มักใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมาก เช่น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก วอร์เรนท์ บัฟเฟด บิลเกต เป็นต้น

การเป็นคนเก่ง ฉลาด และมีสติ เป็นคุณสมบัติของบุคคลในยุค ศต.21 ดูเหมือนยาก แต่สามารถทำได้ จงฝึกฝนด้วยตัวคุณเอง ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนค่ะ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล: http://www.siamebook.com/lbro/en/personal-developement/5452-intelligent-guides.html

'เฉลิมชัย'​ เดินหน้า '5ยุทธศาสตร์'​ ฝ่าวิกฤตโควิด จับมือเอกชน เร่งพัฒนา 'แอร์คาร์โก'​ พร้อมตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรอาหาร เพิ่มศักยภาพการส่งออกเริ่มแห่งแรกที่ดอนเมืองก่อนขยายไปสุวรรณภูมิ ตั้งเป้าฮับอาเซียน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (13​ มิ.ย) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งดำเนินการพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ (Agriculture and Food Air Cargo Terminal: AFCT) สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งจะมีการจัดตั้ง 'ศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหาร'​ โดยเริ่มโครงการนำร่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นลำดับถัดไปก่อนจะขยายโครงการไปยังท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีความพร้อมเช่น​ เชียงใหม่, ขอนแก่น, หาดใหญ่, ภูเก็ต เป็นต้น​ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาคเกษตรอาหารซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทยภายใต้วิกฤติโควิด19

นายอลงกรณ์​ กล่าวต่อไปว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารต้องการความสะดวกรวดเร็วส่งถึงลูกค้าปลายทางทั่วโลกด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล​ โดยคงความสดสะอาดอร่อยสามารถเพิ่มเวลาการบริโภคหรือเวลาการขาย (Shelf life) มากขึ้น

สำหรับศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรอาหาร ณ คาร์โกเทอร์มินัล​ ทำหน้าที่ให้บริการตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอาหารเพื่อส่งออกตามเงื่อนไขของประเทศผู้นำเข้า และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ประกอบด้วย สินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ โดยให้บริการกับผู้ขอรับบริการทั่วไปแบบวันสต็อปเซอร์วิสเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นฮับการผลิตและขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของอาเซียน

“อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโรคโควิด19 ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรในปีที่ผ่านมา การประเมินการส่งออกอาหารของไทยในปี 2564 โดยสถาบันอาหาร คาดการณ์ว่าสินค้าอาหารของไทยจะมีมูลค่า 1.08-1.10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2-12.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาที่หดตัวจากผลกระทบของโควิด19 

"ดังนั้น ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน จึงเป็นกลไกที่สำคัญในสนับสนุนการส่งออกผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรไทย จะเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศ เพิ่มปริมาณและมูลค่าสูงขึ้น และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป”

นายอลงกรณ์​ กล่าวอีกว่า​ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้ายุทธศาสตร์ 'ตลาดนำการผลิต'​ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่จะขับเคลื่อนการทำงานด้วย 5 ยุทธศาสตร์ และ 15 แนวทางนโยบายหลักโดยเฉพาะยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรและ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร เพื่อตอบสนองต่อห่วงโซ่อุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่ออํานวยความสะดวกในการส่งออก และนําเข้าสินค้าเกษตร

เราเคยรักกันใช่ไหม? Collab รัก Collab ร้าย แตกหักกันง่ายๆ แค่...

เชื่อว่าหลายๆ คน คงจะมีคนที่เคยสนิท…

แต่ถ้าเกิดคนที่สนิทใน ‘วันนี้’ ไม่อาจสนิทใจกันได้เหมือน ‘วันก่อน’ หรือ ‘มิตรแท้’ ที่เคยเคียงข้างกลายเป็นเพียง ‘มิตรเทียม’ เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างมากระชากความสัมพันธ์ให้ขาดกันล่ะ เราจะทำอย่างไร?

>> พังกันไปข้างนึงเลย?
>> หรือหันหน้ากลับมาพูดคุยกันได้ใหม่?

เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นภาพของการกลับมาคุยกันได้ แต่สุดท้ายในโลกความจริงมันช่างยากเหลือ!!

THE STATES TIMES มีหลากกรณีศึกษาชวนคิด ผ่านเหล่าคนดังที่เมื่อก่อนก็เข้าใจว่าสนิทกัน ไว้ใจกัน แต่พอมาถึงวันนี้กลับกลายเป็นว่ามองหน้ากันไม่ติด เพื่อให้เราหันกลับมาคิดในสังคมที่การ ‘แตกหัก’ เกิดขึ้นได้ แค่...(ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบในช่องว่างกันดู)

>> กรณีแรกกับเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ของ ‘หมอปลา’ กับ ‘ลุงพล’ ผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ ซึ่งหมอปลาเคยลั่นวาจาไว้ว่า “หากลุงพลเป็นผู้กระทำผิดจริง หมอปลาจะยอมฆ่าตัวตาย” 

จนเมื่อไม่กี่วันก่อนตำรวจได้ออกหมายจับลุงพล ผู้คนในสังคมจึงออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่หมอปลาเคยพูดไว้ แต่ทางด้านหมอปลาก็ออกมายืนยันว่าไม่ได้สนิทกับลุงพลตั้งนานแล้ว 

อันที่จริงจุดประสงค์ของการตั้งคำถามในครั้งนี้จากคนในสังคม ไม่ได้ต้องการตอกย้ำหรือเร่งรัดให้หมอปลาฆ่าตัวตายแต่อย่างใด แค่อยากอยากชี้ว่าการที่หมอปลาออกตัวแรงเข้าข้างลุงพล ทั้งๆ ที่คดีความยังไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำตั้งแต่แรก 

ขณะเดียวกันการที่หมอปลาออกมายืนยันว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับลุงพล ก็ยิ่งทำให้คนในสังคมงงเข้าไปใหญ่ว่า เอ้า!!  สรุปแล้วสองคนนี้สนิทกันจริงไหม? แล้วไปสนิทกันตอนไหน? แล้วเพราะอะไรหมอปลาถึงกล้าออกตัวให้ลุงพลมากขนาดนั้น??

ส่วนบทสรุปความสัมพันธ์ในอนาคตของคู่จะลงเอยไปแบบไหนต่อไป (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> อีกคู่ต่อมา ขอยกให้กับดราม่าของนางเอกสาวสวยอย่าง ‘จั๊กจั่น อคัมย์สิริ’ ที่ก่อนหน้านี้โดนดราม่าหนักเกี่ยวกับเรื่องมือที่สาม ซึ่งเรื่องนี้หลุดออกมาจากอดีตผู้จัดการของเธอที่เคยทำงานด้วยกันมากว่า 15 ปี ถือเป็นเวลาที่ยาวนานและมากพอที่จะทำให้ไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่พอสืบไปสืบมากลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกปั้นแต่งขึ้นมา 

ทว่าดราม่าครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่จั๊กจั่นกับอดีตผู้จัดการเท่านั้นที่แตกหักกันไป แต่เพื่อนสนิทของจั๊กจั่นอย่าง ‘นก อุษณีย์’ ก็ถึงคราวแตกหักกับตัวจั๊กจั่นด้วยอีกคน เมื่อเธอเชื่อปักใจเกี่ยวกับเรื่องมือที่สามและยังแสดงออกในเชิงหมิ่นประมาทแฟนหนุ่มของจั๊กจั่น ทำให้เกิดความเสียหาย ท้ายที่สุดก็ได้มีหมายจับแสดงออกมาจนเป็นข่าวดัง 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราสาวอย่างจักจั่น อคัมย์สิริ นอกจากจะเป็นที่สนใจของคนในสังคมแล้ว ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามอีกว่า ทำไมคนที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน ถึงกล้าปั้นแต่งเรื่องราวโกหกขึ้นมา และทำไมเพื่อนสนิทถึงได้เชื่อเรื่องโกหกนั้นอย่างสนิทใจจนกลายเป็นคดีความ (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> ย้อนอดีตไปกับอีกกรณีที่เคยเป็นกระแสดังทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่าง ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กับ ‘เก้า เกริกพล’ เจ้าของเพลงดังฮิตติดหู ‘เลิกคุยทั้งอำเภอ เพื่อเธอคนเดียว’ ซึ่งเพลงนี้สามารถกวาดยอดการรับชมใน YouTube ไปได้กว่า 350 ล้านวิว แต่สุดท้ายเรื่องราวดราม่าก็บังเกิด เมื่อหนุ่มเก้าออกมาแฉว่าได้ค่าตัวไม่คุ้มกับแรงที่เสียไป และการแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการทำกำไรของเพลงก็ยังไม่เท่าเทียม งานนี้ทำให้คนในสังคมต่างออกมาวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักจนสื่อทุกช่องหยิบยกไปทำข่าว 

สุดท้ายเรื่องราวนี้ก็ไปถึงชั้นศาล เกิดการฟ้องร้องค่าลิขสิทธิ์กันไปตามกฎหมาย พอเรื่องนี้ได้ถึงหูคนในสังคม ก็ทำให้คนตั้งคำถามอีกแล้วว่า ก่อนตัดสินใจร่วมงานกัน ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมกันอย่างชัดเจนหรือ? แล้วทำไมค่าตัวจากการทำงานถึงน้อยขนาดนั้น? (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> ขยับไปดูเรื่องราวของ (อดีต) เพื่อนรักเพื่อนสนิทในแวดวงผู้จัดการดารากันบ้าง ระหว่าง ‘เกล้า น้ำพราว’ กับ ‘หวานเจี๊ยบ’ ทั้งสองคนเคยเป็นผู้จัดการร่วมกันให้กับดาราสาว ‘ดิว อริสรา’ แต่ถึงอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็มีดาราในสังกัดของตัวเองให้คอยดูแล 

‘เกล้า น้ำพราว’ ดูแลดาราสาวพันล้านอย่าง ‘ใหม่ ดาวิกา’ ส่วน ‘หวานเจี๊ยบ’ ก็ดูแลดาราเบอร์ใหญ่อย่าง ‘ชมพู่ อารยา’ 

สิ่งที่นำมาสู่การแตกหักของทั้งสองผู้จัดการหลาย แหล่งข่าวต่างๆ มักเห็นไปในทางเดียวกันว่ามาจากการแย่งชิงงานพรีเซ็นเตอร์มาให้ลูกๆ ในความดูแล ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วค่าตัวดาราแต่ละคนราคากี่บาท และแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนี้ก็ถึงกับทำให้ ‘เกล้า น้ำพราว’ และ ‘หวานเจี๊ยบ’ แตกหักกันไป 

อย่างไรซะ พอประเด็นบาดหมางดังกล่าวกลายเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง ผู้คนที่ติดตามข่าวก็ตั้งคำถามว่า สรุปคำว่าเพื่อนรักเพื่อนสนิทไม่มีอยู่จริงในแวดวงบันเทิงเลยหรือ? แล้วตลอดเวลาที่คบกันมา มันแตกหักเพราะแค่การชิงงานให้ดาราในสังกัดจริงๆ เหรอ? (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

โดยสรุปแล้ว จากทั้ง 4 เหตุการณ์ความสัมพันธ์ที่ยกมานี้ มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ‘ทุกกรณีดูจะเคยมีความสัมพันธ์อันดี มีความสนิทชิดเชื้อ และเคยไว้ใจกันอย่างมากมาก่อนทั้งนั้น’ แต่ก็มีเรื่องหรือเหตุการณ์บางอย่างทำให้แตกหักกันจนมองหน้ากันไม่ติด โดยเรื่องหลักที่เห็นได้ชัดเจน ก็จะเป็นเรื่องเงิน-เรื่องงาน ที่อาจจะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว หรือตัดผลประโยชน์กันจนมีอีกฝ่ายที่เสียเปรียบ ส่งผลให้เกิดการผิดใจและไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม 

ฉะนั้นจากกรณีที่กล่าวมาทั้งหมด อยากให้ลองย้อนมาอยู่ในโลกสวยๆ ด้วยการตั้งสติ รับฟังกันให้มาก และอย่าเพิ่งรีบตัดสินเรื่องราวใดๆ กันไปก่อน เพราะเรื่องของความสัมพันธ์หากแตกหักกันแล้วก็ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือถึงแม้ว่าจะกลับมาคุยกันได้ แต่ความสนิทสนมหรือความไว้เนื้อเชื่อใจก็คงไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม

ยิ่งมีเรื่องผลประโยชน์มาแทรกด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า ขนาดความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็พังพินาศลงได้ง่ายๆ แม้เราจะเคยรักกันมากแค่ไหนก็ตาม...

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.sanook.com/news/8359818/
https://www.komchadluek.net/news/ent/468858
https://www.thairath.co.th/entertain/news/1915823
https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000053553
https://www.daradaily.com/news/97862/read
https://www.youtube.com/watch?v=z3yk_gW56LA


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจเตือน!! ผู้มีรสนิยมชื่นชอบ 'สื่อลามกเด็ก'​ มีไว้ในครอบครอง-ส่งต่อ-ขาย ระวังจะติดคุกรับโทษหนัก

ตำรวจเตือน!! ผู้มีรสนิยมชื่นชอบ 'สื่อลามกเด็ก'​ มีไว้ในครอบครอง-ส่งต่อ-ขาย ระวังจะติดคุกรับโทษหนัก

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 ใช้เครื่องมือพิเศษจับครูอัตราจ้างโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โหลดคลิปลามกเด็กนับร้อย โดยที่เจ้าตัวรับสารภาพอ้างว่าเก็บไว้ดูเล่น  

สำหรับกรณีดังกล่าว พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)​ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในเรื่อง สื่อลามกเด็ก หรือ ที่เรียกว่า Child Pornography นั้น ต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก​ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของเด็ก 

ในประเทศไทยก็เช่นกัน มีการบัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีอัตราโทษค่อนข้างสูงโดยหากมีในครอบครองโดยมีเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น​ ก็ถือเป็นความผิด มีอัตราโทษจำคุกถึง 5 ปี ดังเช่นในกรณีที่มีการจับกุมดังกล่าว  

หากส่งต่อสื่อลามกเด็ก หรือ หากเป็นการประกอบการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกเด็ก อัตราโทษก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก 

สำหรับสื่อลามกเด็กคือ ภาพหรือคลิปลามกของบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่มีลักษณะทำให้เกิดความใคร่ทางกามารมณ์ ซึ่งจะมีกลุ่มบุคคลที่มีรสนิยมชื่นชอบสื่อลามกเด็ก พยายามเข้าถึงเว็บไซต์สื่อลามกเด็ก แล้วดาวน์โหลดเก็บไว้ในโทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจมีการส่งต่อให้กับเพื่อนหรือบุคคลในกลุ่มที่มีรสนิยมเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการเพิ่มความเข้มข้นกับการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สมควรกับเด็กและเยาวชน 

จึงอยากจะฝากเตือนบรรดาผู้มีรสนิยมชื่นชอบสื่อลามกเด็กให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะอาจถูกจับกุมดำเนินคดี​ ซึ่งมีอัตราโทษค่อนข้างสูง

สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจารเด็ก มีดังนี้...

มาตรา 287/1 ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และ​ มาตรา 287/2 ผู้ใด​ (1) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก

(2) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก

(3) เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็กแล้ว โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือโฆษณาหรือไขข่าวว่าสื่อลามกอนาจารเด็กดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Onitsuka Tiger x DoiTung ‘เสือญี่ปุ่นห่มผ้าไทย’ ไลฟ์สไตล์สุดเท่ เก๋แบบยั่งยืน

เรียกเสียงฮือฮา ให้กับวงการสนีกเกอร์ไทยอย่างมาก เมื่อ Onitsuka Tiger แบรนด์รองเท้าสปอร์ตแฟชั่นชื่อดังจากญี่ปุ่น ได้เปิดตัวแคมเปญพิเศษที่ร่วมกับ DoiTung ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Onitsuka Tiger ที่ได้ทำ Collaborationกับแบรนด์สินค้าไทย สร้างสรรค์ผ่านสนีกเกอร์สุดคูล

สำหรับ โปรเจกต์ Onitsuka Tiger x DoiTung เป็นอีกความเคลื่อนไหวของวงการแฟชั่น ระหว่างแบรนด์ดังจากแดนปลาดิบที่มาร่วม Collaborationกับโครงการพัฒนาดอยตุง โครงการหลักของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในราชอาณาจักรไทย ถ่ายทอดเป็นคอลเล็กชั่นรองเท้าแฟชั่นสุดคูล

โดยทั้งสองแบรนด์ ได้คิดเห็นและตกลงร่วมกันที่จะผลิตรองเท้าภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ความยั่งยืน’ ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์คงประวัติศาสตร์ได้อย่างยาวนาน ลดกระแสแฟชั่นที่มาเร็วไปไว (Fast Fashion) โดยมีไฮไลท์ที่การนำวัสดุรีไซเคิลมาทอเป็นผ้าจากฝีมือชาวบ้าน แล้วนำไปผลิตเป็นสนีกเกอร์ 3 รุ่นฮิต อย่าง Mexico 66, Mexico 66 Paraty และ Serrano โดยความพิเศษของผ้าทอแบบมือ จะให้งานละเอียดมากกว่าผ้าที่ทอด้วยเครื่องจักร ทำให้สะท้อนเอกลักษณ์ของผ้าทอมือจากเหนือสุดแดนสยามของได้อย่างสวยงาม 

ความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ของทั้ง Onitsuka Tiger และโครงการพัฒนาดอยตุงเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของโลก ที่กำลังให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจภายใต้แนวคิดของความใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้  เริ่มในปี 2562 โดยทางดอยตุงได้เริ่มติดต่อเป็น Partnership กับ Onitsuka Tiger จากนั้น 18 เดือนต่อมา นักออกแบบสิ่งทอไทยและทีมการผลิตของญี่ปุ่นได้ร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีโจทย์ที่สำคัญอย่างการสะท้อนตัวตนทางธุรกิจ ที่ต้องการขับเคลื่อนไปอย่างยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย และคงไว้ซึ่งโลกใบสวยๆ 

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การร่วมกันผลิตรองเท้าที่เล่าเรื่องผ้าอย่างเดียว (ดอยตุง) แต่ยังเป็นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานอย่างลงตัว

จากนั้นในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทางทีมงานก็ยังทำงานกันอย่างต่อเนื่อง และผลที่ออกมาคือ การเลือกใช้ผ้าแบบ Better Cotton มาทอมือ (ใช้เวลาในการผลิตหนึ่งสัปดาห์) ตั้งแต่การปั่นด้ายไปจนถึงรูปแบบของลวดลาย ซึ่งเมื่อเทียบกับผ้าทอด้วยเครื่องจักรแล้ว วัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะนุ่มกว่าและงานดีไซน์ที่สำเร็จแล้วจะมีความละเอียดอ่อนกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นผ้าแบบ Better Cotton ยังใช้น้ำน้อย โดยผ้าปริมาณหนึ่งกิโลกรัมจะใช้น้ำน้อยกว่าปกติ 30% ส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ใช้ในอนาคตได้ เนื้อผ้าที่ทอออกมาก็เหมาะที่จะเอาไปทำรองเท้า 

เรียกได้ว่า รองเท้าที่ผลิตออกมาจากการ Collaboration ในครั้งนี้ ผสมผสานทั้งคุณภาพอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งของไทย และสไตล์อันเฉียบขาดแบบ Onitsuka Tiger เข้าไว้ มีโครงสร้างที่ทนทานและสวมใส่ได้สบาย ได้รับการชื่นชมจากผู้คนที่หลากหลายทั่วโลกที่ได้สัมผัส

สำหรับสิ่งทอที่นำมาใช้สำหรับรองเท้าทั้งสามรุ่นในCollaboration นี้ เป็นลวดลายที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีจากผ้าแบบดั้งเดิมหลายประเภทที่ผลิตในท้องถิ่น อาทิ สีแดงและสีน้ำเงินที่นำมาใช้ผสมผสานเป็นคาแรคเตอร์ของสีจดจำจาก Onitsuka Tiger Stripes สไตล์ออริจินัล

ในส่วนของรองเท้า MEXICO 66 อีกสองรุ่นที่เอ็กซ์คลูซีฟ วางขายเฉพาะประเทศไทยนั้น ได้ใช้ด้าย PET รีไซเคิล 100% จากขวดพลาสติก ที่ถูกทออย่างพิถีพิถันที่ดอยตุง โดยรุ่นหนึ่งจะเป็นผ้าสีดำพร้อมปักโลโก้ Onitsuka Tiger ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็นลายเสือ ผ้าลายเสือที่สลับซับซ้อนให้ความรู้สึกเก๋และทันสมัย นอกจากนี้สีแดงและสีเหลืองบนพื้นรองเท้านั้นมาจากสีหลักของดอยตุงและ Onitsuka Tiger

สำหรับการ Collaboration นี้นอกจากจะเป็นการผสมผสานระหว่างงานฝีมือของคนไทยกับรองเท้าไอคอนิกของ Onitsuka Tiger แล้ว ยังเป็นการจ้างงานที่มีความหมายและการดำเนินการเพื่อสังคมในเชิงบวก เป็นการสร้างความยั่งยืนในชุมชน ทำให้คนในพื้นที่โครงการฯ มีงานทำ สอดคล้องกับห้วงเวลานี้ ที่ ‘งาน’ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ

เพราะฉะนั้น รองเท้าที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ จึงเป็นตัวแทนทั้งวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของไทย ตลอดจนมิตรภาพของไทยกับญี่ปุ่น การร่วมมือกันครั้งนี้ทำให้เกิดรองเท้าสนีกเกอร์ที่มีเรื่องราว พร้อมเป็นนิยามใหม่ของคำว่า ‘เท่’ ในแฟชั่นยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว 

ภาพตอกย้ำ ที่ไม่เพียงแต่ ‘เท่’ แต่ยังเลอค่าควรคู่ครองได้สะท้อนสู่สายตาคนไทยอย่างปลาบปลื้ม เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงสวมรองพระบาท ‘Onitsuka Tiger x DoiTung’ ในพระอิริยาบถสบายๆ ที่ทรงคุณค่ายิ่งนักอีกด้วย

ขอบคุณภาพ จากเพจ : เรารักสมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จากน้ำแร่ สู่แฟชั่นสายเฟรช กลยุทธ์ Collaboration สุดปัง ที่ทำให้ ‘เพอร์ร่า’ ยืนหนึ่ง

ถ้าพูดกันตรงๆ สินค้ากลุ่ม ‘น้ำแร่’ แทบจะหาความต่างด้านภาพลักษณ์ได้ยากมากๆ 

ยิ่งถ้าเอาเรื่องจุดขายอย่างคุณภาพมาเล่นด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า เหนื่อย!! เพราะในแง่ของคุณประโยชน์ของน้ำ หาความต่างลำบาก นอกจากความสดชื่น

นั่นจึงทำให้ตลาดน้ำแร่ที่เข็นกันอยู่ในท้องตลาด กลับมาสู่การเล่นสงคราม ‘ราคา’ 

อย่างไรก็ตาม แบรนด์น้ำแร่อย่าง ‘เพอร์ร่า’ ก็เป็นกรณีอีกศึกษาที่น่าสนใจ ในการนำความต่างบางอย่างมาทำให้เกิดความฉีก โดยไม่ต้องสนใจแต่เรื่องสงครามราคาอย่างเดียว

>> ความต่างที่ว่าคืออะไร?

ความต่างที่ว่า คือ การทำการตลาดแบบ Collaboration หรือ Collab ด้วยการผสมผสานเรื่องของแฟชั่นเข้ามามิกซ์กับน้ำแร่ ให้กลายเป็นสินค้ากึ่งไลฟ์สไตล์ จนทลายกำแพงความไม่คุ้นเคยของผู้บริโภคได้อย่างถูกจริต

>> แล้วอะไรที่ทำให้เพอร์ร่าเติบโตไวในกระแสธารของธุรกิจที่หาลูกเล่นดิ้นยาก แถมตลาดก็ไม่ได้หวือหวา ออกจะซบเซาด้วยซ้ำ?

หากย้อนไปราวๆ 10 ปีก่อน ตอนที่ ‘สิงห์ คอร์เปอเรชั่น’ ส่ง ‘น้ำแร่เพอร์ร่า’ เข้าสู่ตลาด ต้องเจอกับโจทย์ที่หินไม่น้อย เพราะตลาดน้ำแร่ในขณะนั้นก็มีผู้เล่นเดิมครองอยู่

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มวางขายและทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 เพอร์ร่า ค่อยๆ เติบโต และกลายเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตมากที่สุดในตลาด โดยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 ราว 23.3% ห่างจากอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่ง 26.5%

หลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.ค. 62-มิ.ย. 63 เพอรร่า สามารถสร้างยอดขายการเติบโตได้ถึง 12% สวนกระแสกับสภาพตลาดน้ำแร่ที่มีอยู่ในภาวะติดลบ 13.3% ในขณะที่แบรนด์น้ำแร่ ในตลาดอยู่ในภาวะติดลบตามตลาด 

ผลักดันให้ น้ำแร่เพอร์ร่า ก้าวขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำตลาดน้ำแร่’ ในประเทศไทยสำเร็จ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 25.7% หรือมียอดขายในเชิงปริมาณ 70 – 95 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่าราว 1,450 ล้านบาท 

ว่ากันว่า ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญที่นำให้ เพอร์ร่า มาไกลถึงทุกวันนี้ ล้วนเกิดจากการที่เลือกสื่อสารกับผู้บริโภคในมุมที่ ‘แตกต่าง’ อินไซต์โดนใจ จนดันโตก้าวกระโดด ด้วยการปรับโฉมตัวเองเป็น ‘แบรนด์น้ำแร่สายแฟชั่น’ 

อย่างที่บอกไปว่าในตลาดน้ำแร่ ทุกคนแคร์เรื่องราคา แต่ก็ต้องพยายามแคร์คุณค่าด้าน Functional Benefits ด้วยการพูดถึงคุณสมบัติสินค้าอย่างต่อเนื่อง

แต่ในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ น้ำแร่เพอร์ร่า กลับนำไอเดีย ‘Emotional Benefits’ มาสื่อสารควบคู่ ไปกับการชูคุณสมบัติน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่มีแร่ธาตุสำคัญในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ตอบโจทย์คนสายรักสุขภาพ

>> กลยุทธ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากเพอร์ร่า พบคำตอบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อน้ำแร่ เพียงเพื่อดับกระหาย หรือให้ความสดชื่นเท่านั้น แต่พวกเขาจะซื้อเพราะสนใจภาพลักษณ์ และเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่ภาพลักษณ์แตกต่าง จนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตนเอง <<

เรื่องนี้สอดคล้องกับผลวิจัยของเพอร์ร่า โดยปรากฎผลว่ากลุ่มเป้าหมายของน้ำแร่เพอร์ร่า 70% เป็นผู้หญิง และผู้ชายมีเพียง 30% ทางแบรนด์จึงมองว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความสนใจเรื่องการแต่งตัว และชอบความสวยงามดูดี

จากอินไซด์ดังกล่าว กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่ภาพลักษณ์ใหม่!!

น้ำแร่เพอร์ร่า ได้เริ่มค่อย ๆ ปรับและนำเสนอผ่านเรื่องราวความสนใจใกล้ตัวผู้หญิง เช่น ‘แฟชั่น’ มามัดใจลูกค้า โดยตลอด 3 ปีมานี้ Collaboration Marketing ดูจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรันธุรกิจ ผ่านการเปิดตัวขวดรุ่น Limited Collection 

โดยเพอร์ร่าจับมือกันกับดีไซเนอร์ไทยชั้นนำระดับประเทศ ที่มาร่วมกันสร้างสีสันออกแบบลวดลายบนขวดแตกต่างกันไปในทุกปี ไม่ว่าจะเป็น Disaya, Issue, Asava, Vatanika, Poem, SIRIVANNAVARI BANGKOK, Jennifer Bouron ศิลปินระดับโลกชาวฝรั่งเศส... 

หรือแม้แต่ จี๊ป – ภาสินี คงเดชะกุล ศิลปินชื่อดังผู้เคย Collaborate ออกคอลเล็กชั่นพิเศษกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Rimowa จนทำยอดขายได้รวดเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 3 เดือนทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์วันนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งจีรังสำหรับอนาคต เพียงแต่ในวันนี้ตลาดน้ำแร่มีแบรนด์เพอร์ร่ายืนหนึ่งบนโพเดี้ยมนี้ เพราะเดินเกมมาถูกทาง เข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคของตนเอง และรู้ว่าจะต้องบรรเลงท่วงทำนองของสินค้าบทไหนให้เข้ากับบริบท 

กรณีศึกษาของเพอร์ร่านี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า ในยุค Digital Disruption ที่ทุกอย่างสามารถ ‘ปัง’ หรือ ‘พัง’ ได้ในชั่วข้ามคืน ใครพลวัตกว่า ก็คว้าโอกาสได้ก่อน และพลวัตที่เหมาะสมของเพอร์ร่า คือ Collaboration Marketing ที่มาได้ถูกจังหวะกับพฤติกรรมคนเหลือเกิน

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.marketingoops.com/news/biz-news/sirivannavari-bangkok-purra/
https://marketeeronline.co/archives/179054
https://www.brandage.com/article/20068/Purra
https://mgronline.com/business/detail/9630000077479
https://www.brandbuffet.in.th/2017/08/purra-mineral-water-thai-designer/
https://www.gqthailand.com/gq-hype/article/gq-hype-vol-75


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top