Saturday, 24 May 2025
SPECIAL

เผาแล้ว 35 ศพ เหยื่อโควิด!! เจ้าอาวาสวัดดังแห่งบางพลี​ ประกอบพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล เผย จะยอมเผาจนเตาพัง

วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้จัดพิธีทำบุญทักษิณานุปทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 โดยที่ทางวัดบางพลีใหญ่กลางเมตตารับอนุเคราะห์เผาศพให้ฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย​ รวม 35 ราย

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้)  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง  ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 โดยนายฉะโอด รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่  เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย 

โดยมี พ.ต.อ.รักศักดิ์  เมฆจินดา  ผกก.สภ.คลองด่าน ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง อดีตกำนันตำบลบางพลีใหญ่ ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี เจ้าหน้าที่ อสม. และทางครอบครัวผู้เสียชีวิตที่เดินทางนำอัฐิของผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิดเข้าร่วมทำพิธีในครั้งนี้

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้)  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง กล่าวว่า ในวันนี้ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลางได้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจึงได้ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 โดยทางวัดได้รับฌาปณกิจศพเหยื่อโควิดมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 64 ซึ่งขณะนี้ทางวัดบางพลีใหญ่กลางได้เผาศพด้วยโรคโควิด-19 ไปแล้วรวม 35 ราย  โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ ยังกล่าวต่ออีกว่า บางวันเผา 2 ราย บางวันเผา 3 ราย ตัวเลขสูงสุดที่ทางวัดบางพลีใหญ่กลางได้รับฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิดสูงสุดอยู่ที่ 11 รายต่อวัน กระทั่งมาระยะหลังทางวัดได้รับการประสานขอความอนุเคราะห์ให้เผาศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แบบว่าเผาศพกันรายวัน จนทางวัดต้องแยกเตาเผาศพไว้ 1 เตา เพื่อไว้เผาศพผู้เสียชีวิตแบบเสียชีวิตโดยธรรมชาติ ในส่วนญาติหรือครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มาติดต่อขอให้ทางวัดช่วยเผาศพให้นั้น ทางวัดบางพลีใหญ่กลางไม่เคยเรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ ทางวัดจะดูแลรับผิดชอบให้ทั้งหมดแต่หากญาติโยม หรือครอบครัวผู้เสียชีวิตจะร่วมทำบุญก็แล้วแต่ความศรัทธาหรือหากจะไม่ร่วมทำบุญทางวัดก็ไม่เรียกร้อง  เพราะถือว่าวัดคือที่พึ่งของประชาชนมีความทุกข์วัดก็รับอนุเคราะห์ ญาติโยมทุกคนใครมีความเดือดร้อนทางวัดช่วยเหลือได้ก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ โดยที่ผ่านมามีประชาชนได้นำน้ำมันมาบริจาคให้กับทางวัด เพื่อไว้ใช้เผาศพผู้ป่วยโควิด

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้เตาเผาศพที่ใช้เผาศพโควิดอาจมีการเสื่อมสภาพได้เพราะต้องใช้ความร้อนสูงมากและเผาอยู่ตลอดแทบทุกวันก็อาจมีการเสื่อมสภาพได้เป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ทางวัดจะอนุเคราะห์เผาศพโควิดจนกว่าเตาเผานั้นจะพังจนไม่สามารถเผาได้  ขณะนี้วัดบางพลีใหญ่กลางมีคิวจองเผาศพโควิด-19 อยู่อีกหลายรายทางวัดก็มีความยินดีรับอนุเคราะห์ทุกราย แต่ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจะไม่รับฌาปนกิจศพเฉพาะวันศุกร์เท่านั้น    

ที่มา: คิว-ข่าวสมุทรปราการ​ รายงาน

‘ฟ้าทะลายโจร’ ทางออกของโควิด-19 ??

ในช่วงนี้การระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากจะมีแนวโน้มที่ไม่ลดลงแล้ว ยังเพิ่มขึ้นแบบน่าใจหายอีกด้วยครับ ท่ามกลางการโจมตีผลงานรัฐบาลในเรื่องของการใช้วัคซีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ หรือแม้กระทั่งคุณภาพของวัคซีน จนชาวบ้านระดับรากหญ้าหลาย ๆ ราย ไม่กล้าที่จะฉีดวัคซีน ถ้ามีเงินหน่อยก็เลือกที่จะรอวัคซีนทางเลือก ที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งเริ่มให้มีการเปิดจองไปแล้ว 

ในส่วนของการจัดการ พอรัฐบาลมีมาตรการสั่งปิดแคมป์คนงานหลาย ๆ แห่งในกรุงเทพฯ ก็กลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของแรงงานจำนวนมากไปยังต่างจังหวัดเพื่อกลับภูมิลำเนา ส่งผลให้ในต่างจังหวัดที่สถานการณ์เริ่มจะคลี่คลายแล้วกลับมารุนแรงขึ้นอีก และมีคลัสเตอร์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดเพิ่มขึ้นมาคือคลัสเตอร์ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เนื่องจากการกระจายลงไปสู่เด็กเล็กที่ค่อนข้างลำบากมากในเรื่องของการดูแลตัวเอง 

ท่ามกลางกระแสอันเลวร้ายของโควิด-19 ก็มีอีกกระแสหนึ่งเกิดขึ้นมา นั้นคือกระแสที่ว่าด้วยแพทย์ทางเลือก คือ การใช้ฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันมานาน อาจจะมีสรรพคุณในการป้องกัน และรักษาไวรัสโควิด-19 ได้ สำหรับวันนี้เราจะมาดูรายละเอียดของเรื่องนี้กันครับ 

ก่อนอื่นเรามารู้จักพืชสมุนไพรที่ว่าด้วยฟ้าทะลายโจรกันก่อน ฟ้าทะลายโจรมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees และชื่อสามัญคือ Kariyat , The Creat ทั้งนี้นอกจากชื่อฟ้าทะลายโจร แล้วยัง มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก ตามแต่ละพื้นที่ เช่น หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน ฟ้าสาง เขยตายยายคลุม สามสิบดี เมฆทะลาย ฟ้าสะท้าน เป็นต้น ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ประเภทล้มลุก มีความสูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนของฟ้าทะลายโจรจะมีรสขม กิ่งเป็นใบสี่เหลี่ยม ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรใช้ได้หลายส่วน ทั้งต้น ใบสด ใบแห้ง ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร) กระทรวงสาธารณสุข ในรูปแบบยาเดี่ยว ลักษณะส่วนประกอบทางเคมีของฟ้าทะลายโจร มีสารเคมีประกอบอยู่หลายประเภท แต่ที่เป็นสารที่สำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สารกลุ่ม Lactone ได้แก่ สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) สาร 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) 

โดยสรรพคุณหลักของฟ้าทะลายโจรคือ ใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอและเจ็บคอ ทั้งนี้ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่ศึกษาเรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาไวรัสโควิด-19 อย่างจริงจังคือโรงพยาบาลอภัยภูเบศร โดยได้ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาวิจัยถึงกลไกในการต้านโควิด-19 ของฟ้าทะลายโจร ทั้งนี้จากผลการศึกษาพบว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญในฟ้าทะลายโจร มีความสามารถในการยับยั้งกระบวนการติดเชื้อไวรัสของเซลล์ปอดในมนุษย์ได้ โดยผ่านกลไกที่สำคัญ คือ การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทุกระยะ จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาการใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยารักษาและป้องกันโควิด-19 ได้ โดยสามารถใช้เป็นยาเดี่ยว หรือใช้ควบรวมกับสูตรยามาตรฐาน ในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้ ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ Journal of  Natural Products ซึ่งเป็นผลการศึกษาที่เกิดขึ้นในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากไวรัสโควิด-19 เป็นโรคอุบัติชนิดใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมา ในการพัฒนายาที่มาใช้ในการรักษานั้น จะต้องมีการศึกษา วิจัย และค้นคว้าให้มีความลึกซึ้งมากกว่านี้ และอาจใช้ระยะเวลาในการศึกษา เพราะการใช้ยาแต่ละชนิดในการรักษาหรือป้องกันโรคนั้นจะต้องศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการใช้ยาชนิดนั้นที่อาจเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น แต่ที่มีการศึกษาและเป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนแล้วคือการรับประทานฟ้าทะลายโจรจะช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้ ส่วนจะใช้ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้จริงหรือไม่ คงต้องมีการศึกษากันในระยะต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น 

แต่แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน 100% ยืนยันได้ว่าฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันหรือรักษาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้จริงหรือไม่ก็ตาม การรับประทานฟ้าทะลายโจรก็เป็นประโยชน์ต่อเราอยู่แล้ว ในเรื่องของการป้องกันการเป็นหวัดได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะหาพืชสมุนไพรที่ชื่อฟ้าทะลายโจรมารับประทาน ก็ไม่เกิดความเสียหายอะไร นอกจากจะป้องกันการเป็นหวัดได้แล้ว เผลอ ๆ อาจจะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเราในการป้องกันโควิด-19 ท่ามกลางกระแสความสับสนในเรื่องของการใช้วัคซีน ได้อีกด้วยก็เป็นได้ครับ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อิทธิพลของการสื่อสารแบบปากต่อปาก “Word - of - Mouth” บอกต่อไว้ให้จำอีกนาน

การบอกต่อ (word-of-mouth) เป็นการตลาดภาคพลเมือง (citizen marketing) คือการที่ผู้บริโภครีวิวสินค้าและบริการด้วยความสมัครใจ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าด้วยความคิดเห็น บทวิเคราะห์ รูปภาพ วิดิโอ หรือจัดทำเป็นโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือในเว็บไซต์ แต่ความหมายของ “การตลาดภาคพลเมือง” ไม่ได้หมายถึง การชักชวนให้ซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น เพราะการรีวิวสินค้าโดยกลุ่มผู้บริโภค อาจจะนำไปสู่การปฎิเสธ หรือการต่อต้านสินค้าและบริการได้เช่นกัน 

การตลาดภาคพลเมือง มีพลัง และมีอิทธิพลอย่างมาก เพราะมาจากคนทั่วไปที่ใช้สินค้าและบริการ ความคิดเห็นต่าง ๆ จึงมีความเป็นอิสระ ไม่ได้มาจากชุดคำพูดที่เอเจนซีโฆษณาสร้างสรรค์ให้ หรือไม่ได้มาจากนักเขียนรีวิว ที่ได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของสินค้าและบริการ

เมื่อมีการรีวิวจากผู้ซื้อหลาย ๆ ราย ที่ให้รายละเอียดต่าง ๆ โดยมีเจตนาที่จะแจ้งให้ผู้คนทั่วไปที่กำลังสนใจในสินค้าหรือบริการได้ทราบถึง ข้อดี ข้อเสีย ความพึงพอใจ ความผิดหวังในคุณภาพและการใช้งาน

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น สินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในตลาดมายาวนาน ผู้ใช้จำนวนมากอาจมีความภักดีในสินค้า (brand loyalty) ในระดับระดับหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัวที่พอใจในคุณภาพ จึงไม่มีการรีวิวตัวผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดมานานหลายปีมากนัก แต่หากเป็นสินค้าชนิดใหม่ ที่เพิ่งปรากฎในตลาด จะมีการรีวิวมากมาย จากผู้ที่ได้ลองซื้อมาใช้ รีวิวเหล่านี้ มีผลต่อความสำเร็จของสินค้า

ผู้ที่รีวิวสินค้าและบริการเหล่านี้ ใช้สิทธิของผู้บริโภคในการวิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยอาจแชร์ความไม่พอใจ ความแตกต่างจากความคาดหวังและกฎเกณฑ์ส่วนตัว ลักษณะสินค้าที่ไม่ตรงปก บางครั้งมีการแนะให้ปรับปรุงสินค้าราวกับเป็นผู้มีส่วนในการออกแบบและวางแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์ จนถือว่าเป็นผู้บริโภคที่เรียกว่า proactive consumer หรือผู้บริโภคเชิงรุก หรือ prosumer (producer+consumer)

การรีวิวสินค้านั้น เป็นการบอกต่อ (word-of-mouth) ชนิดหนึ่ง ในอดีต การบอกต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน จนเกิดการรับรู้ในกลุ่มใหญ่ขึ้นนั้นใช้เวลานาน จากหนึ่งคนกว่าจะรู้กันทั้งหมู่บ้าน จนรู้กันทั่วจังหวัดและประเทศอาจต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ในยุคดิจิทัล การสื่อสารด้วยโซเชียลมีเดียและอินเตอร์เน็ต ทำให้การบอกต่อ ในลักษณะของการรีวิว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่จะรับรู้กันได้ทั้งโลก !!

การทำการตลาดภาคพลเมือง โดยผู้บริโภคเชิงรุกนั้น สร้างผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบได้รุนแรง มีพลังไม่แพ้การโฆษณาที่ใช้งบประมาณมหาศาล

เหตุการณ์ที่แสดงถึงผลกระทบด้านลบต่อสินค้าและบริการ ที่เริ่มต้นโดย citizen marketing มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาที่สังคมแตกแยก แบ่งฟาก และนำการเมืองเข้ามาปนกับนโยบายการดำเนินธุรกิจ เห็นได้จากเหตุการณ์ที่ผลิตภัณฑ์ขนมปัง ฟาร์มนมสด ร้านสุกี้ ร้านชาไต้หวัน และสินค้าอื่น ๆ ที่ประกาศตัวว่า ไม่ยินดีให้บริการ “สลิ่ม” ไม่ว่านโยบายที่เชื่อมธุรกิจเข้ากับจุดยืนทางการเมืองดังกล่าว จะมาจากเจ้าของผลิตภัณฑ์เอง หรือคนอื่นถือวิสาสะจัดชุดข้อมูลให้เอง การบอกต่อของสังคมและกลุ่มผู้บริโภค ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจอย่างชัดเจน สินค้าเหลือค้างบนชั้นวางในร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายนมและไอศครีม ซึ่งเคยเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กลายเป็นลูกค้าลดฮวบ 

Citizen marketing ทำโดยผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจ และไม่แคร์ว่า ยอดขายจะลด หรือลูกค้าจะหดหาย เพราะไม่ใช่ปัญหาของนักการตลาดภาคพลเมือง ซึ่งโฟกัสไปที่การกระจายข้อมูลให้กว้างที่สุด แรงที่สุด และเร็วที่สุด 

ในขณะที่นักการตลาดมืออาชีพ จะต้องเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายในมิติต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ การศึกษา รายได้ รสนิยม ไลฟสไตล์ เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคอย่างรอบคอบ นักการตลาดพลเมืองมองสินค้าและบริการแบบแบน ๆ เท่านั้นคือ “เชียร์” หรือ “ต่อต้าน”

การทำการตลาดโดยแสดงการกีดกัน หรือเลือกผู้บริโภค (discriminatory marketing) มีอยู่รอบตัวแต่เราไม่ได้สร้างประเด็น เช่น การตั้งราคาสินค้าให้สูงย่อมเป็นการแบ่งชนชั้น การที่ร้านอาหารตั้งราคาอาหารสูงลิ่ว แม้ว่าคุณภาพและปริมาณอาหารจะไม่ได้ต่างจากร้านทั่วไปมากนัก ถือว่าเป็นการคัดเลือกลูกค้า ร้านกาแฟก็เช่นกัน การทำการตลาดแบบกีดกัน เป็นการเลือกอย่างเต็มใจของผู้ผลิตสินค้าและผู้ให้บริการ การตั้งราคาสินค้าแพงย่อมมียอดขายน้อยกว่าสินค้าราคาถูกกว่า ร้านอาหารราคาแพง ได้ลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากกว่า แต่ต้องรับแรงกดดันและการคาดหวังของผู้จ่ายเงินเช่นกัน

ในยุคที่บรรยากาศของสังคมเต็มไปด้วยความคับข้องใจทางการเมือง จุดยืนทางการเมืองถูกนำมาใช้ในลักษณะ การตลาดแบบกีดกันมากขึ้น เช่น
>> โรงแรมที่เชียงใหม่ ประกาศตัวว่าไม่ต้อนรับสลิ่ม 
>> ร้านอาหารย่านซอยอารีย์ในกรุงเทพฯ ประกาศตัวว่าพนักงานที่ร้านไม่พูด “นะจ๊ะ” เพื่อเหน็บนายกรัฐมนตรี ถ้าลูกค้าได้ยินขอให้แจ้งทางร้าน จะไล่พนักงานออก 
>> แท็กซี่ติดสติกเกอร์ด้านข้างรถว่า “ไม่รับตำรวจและทหาร” 
>> ร้านขายเนื้อสัตว์และผักสดในตลาด แขวนป้ายประกาศไว้ว่า “ไม่ขายให้ทหารและตำรวจในเครื่องแบบ”

การประกาศแบบกีดกันกลุ่มลูกค้า เป็นสิทธิที่เจ้าของธุรกิจทำได้โดยไม่มีข้อห้าม และเมื่อมี citizen marketing เข้าร่วมช่วยทำการตลาด โดยการบอกต่อ ความต้องการที่จะกีดกันลูกค้ากลุ่มที่ไม่ชอบก็ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ในขณะที่การกีดกันด้วยราคานั้น สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขไปตามสถานการณ์โดยรอบ เช่น สภาพเศรษฐกิจ โดยการลดราคาให้ถูกกว่าเดิม หรือออกสินค้ารุ่นใหม่ในราคาใหม่

แต่การกีดกันกลุ่มผู้บริโภคด้วยทัศนคติทางการเมือง นอกจากกลุ่มที่ระบุแล้ว ยังมีผลทำให้กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด เลี่ยงที่จะใช้บริการนั้นด้วย เพราะความรู้สึกว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่รู้จักแยกแยะ และกังวลว่า การไปใช้บริการทั้งในร้านอาหาร พักในโรงแรม หรือขึ้นแท็กซี่ อาจไม่รื่นรมย์ ต้องระวังตัวทั้งคำพูด การแต่งกาย และพฤติกรรมต่าง ๆ จึงขอตัดปัญหาโดยการเลือกผู้ให้บริการรายอื่น และการตีตราให้ธุรกิจนั้นจะเป็นที่จดจำไปอีกนาน แม้จะกลับลำภายหลัง ก็ยากที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้

ผู้ประกอบธุรกิจ เชื่อมั่นว่าจะดำเนินธุรกิจเชิงกีดกันกลุ่มผู้บริโภค ควรตั้งชื่อร้านอาหาร โรงแรม และสินค้าต่าง ๆ ให้ชัดเจนไปเลยว่าต้องการลูกค้ากลุ่มไหน สีไหน วัยไหน นอกจากจะให้ความสะดวกแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ต้องการแล้ว ยังช่วยเรียกกลุ่มที่ต้องการให้มาสนับสนุนธุรกิจด้วย

ในต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค โดยร้านอาหารไม่สามารถปฎิเสธลูกค้าด้วยพื้นฐานของ เพศสภาพ เชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา แต่ร้านอาหารมีสิทธิปฎิเสธลูกค้าที่แต่งกายไม่เหมาะสม หรือมีลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อลูกค้าอื่น ๆ ได้ และมีการฟ้องร้องระหว่างร้านอาหารและลูกค้าที่ถูกปฎิเสธ มากมายตลอดมา

การปฎิเสธกลุ่มลูกค้าในเมืองไทย คงไม่ถึงกับขึ้นโรงขึ้นศาล แต่น่าจับตามองเป็นกรณีศึกษา ว่าจะไปต่อได้ตลอดไปจนกลายเป็นแนวทางการตลาดที่ได้รับความนิยมหรือไม่


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประชาชน “ฟ้อง” รัฐบาล ได้หรือไม่ ?

ช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่ต้องนอนรอรับการรักษาอยู่ที่บ้าน เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเตียงว่างมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ติดเชื้อและครอบครัวของผู้ติดเชื้อต่างใช้ความพยายามในการติดต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ รวมถึงโทรเข้าไปที่เบอร์สายด่วนโควิดที่หน่วยงานรัฐแจ้งไว้เพื่อหาเตียงให้กับผู้ติดเชื้อ

แต่ก็ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อทุกรายจะได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ผู้ติดเชื้อบางรายนอนรอเตียงอยู่เป็นสัปดาห์ สุดท้ายร่างกายก็ไม่สามารถต้านทานความร้ายกาจของเจ้าไวรัสโควิดนี้ได้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องจากไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้รับการรักษาพยาบาลตามที่ควรจะเป็น

มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสะเทือนใจมาก คือ พลเมืองดีรายหนึ่งได้ลงไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ปรากฏว่าผู้ที่ประสบอุบัติเหตุนั้นมาทราบในภายหลังว่ามีเชื้อโควิดอยู่ จึงได้แจ้งให้พลเมืองดีที่ลงไปช่วยเหลือตนทราบ หลังจากทราบเรื่องเพื่อน ๆ และครอบครัวของพลเมืองรายดังกล่าวได้พยายามติดต่อโรงพยาบาล โทรสายด่วนต่าง ๆ จนผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์กว่าก่อนที่จะมีรถพยายาลมารับตัวเขาไปรักษา แต่เนื่องจากการที่ได้รับการรักษาที่ล่าช้าทำให้อาการของเขาทรุดหนัก ผ่านไปเพียง 2 วัน พลเมืองดีท่านนี้ก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

หลายคนที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้วอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของความโชคร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน สถานการณ์โรคระบาดเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครอยากให้เกิด 

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของพลเมืองดีรายดังกล่าวกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น โชคชะตาอาจเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ แต่การบริหารจัดการที่ดี ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

ครอบครัวดังกล่าวจึงได้ตัดสินใจยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยมี 2 ประเด็นที่สำคัญ คือ

1.) การที่รัฐบาลปล่อยปละละเลยให้มีการเปิดสถานบันเทิง จนนำมาซึ่งคลัสเตอร์ทองหล่อ และ
.
2.) การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงการให้ข้อมูลหรือข้อแนะนำของผู้ติดเชื้อที่ให้กักตัวรอการมารับของเจ้าหน้าที่จนนำมาซึ่งการเสียชีวิต

โดยทางครอบครัวได้เรียกร้องให้รัฐชดใช้ค่าเสียหายจำนวนทั้งสิ้น 4,530,000 บาท แบ่งเป็นค่าปลงศพ 30,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูบุพการี อีกเดือนละ 15,000 บาท เป็นระยะเวลา 25 ปี 

หากมองที่ตัวเงินแล้ว คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่เล็กมาก แต่ถ้าเราพิจารณาในเชิงสัญลักษณ์ คดีนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิฟ้องรัฐที่บริหารจัดการผิดพลาด ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วปกติประชาชนธรรมดาอย่างเรานี้ จะสามารถลุกขึ้นมาฟ้องหน่วยงานรัฐได้หรือไม่

แม้ว่าผมจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าคดีที่ผมกล่าวถึงข้างต้นศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ หรือว่ารับพิจารณาไปแล้วจะมีคำพิพากษาออกมาแบบใด 

แต่ผมก็ขอเล่าถึงอุทาหรณ์จากคดีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และแนวทางการวินิจฉัยของศาลปกครองที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร

คดีแรก เป็นกรณีที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลายหนึ่งเมาสุรา แล้วปรากฏว่าขับรถไปประสบอุบัติเหตุตกช่องเปิดท่อระบายน้ำข้างทางที่ไม่มีฝาปิด จนทำให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ โดยมีอาการอวัยวะซีกซ้ายไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ เนื่องจากการที่สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง รวมถึงรถจักรยานยนต์ที่ขับมานั้นเสียหายไปด้วย

หลังจากที่ได้รับการรักษาตัวแล้ว ผู้ขับขี่ที่ประสบเหตุคนดังกล่าวได้ออกมาฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ว่าไม่มีการดูแลและตรวจสอบฝาบ่อพักท่อระบายน้ำที่ตั้งอยู่ริมขอบทางของถนนให้อยู่ในสภาพปลอดภัย จึงถือว่า อบต. ดังกล่าวละเลยต่อหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับตนด้วย

อ่านถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า คนฟ้องคดีขับรถจักรยานยนต์ไปตกท่อเอง แถมยังตอนขับยังเมาด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไปเรียกร้องให้ อบต. รับผิดชอบได้อย่างไร ?

แต่ศาลปกครองท่านไม่ได้คิดแบบนั้นครับ ในคดีดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า อบต. และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ มีหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลรักษาบำรุงทางในเขตพื้นที่ของตนเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้ทางได้รับความสะดวกและปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจตราฝาท่อระบายนำหรือสิ่งใด ๆ ที่อยู่บนถนนหนทางให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง หากละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ผู้ใช้ทางสัญจรประสบอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นการทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายด้วย

อย่างไรก็ตามแม้ว่า อบต. จะละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตรวจตราฝาท่อระบายน้ำให้ดี แต่ในส่วนของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวก็มีส่วนประมาทที่ขับขี่ขณะเมาสุรา ศาลจึงละค่าสินไหมทดแทนที่จะได้ลงร้อยละ 50 ของค่าสินไหมทดแทนที่พึงจะได้

สรุปสุดท้าย คดีนี้ศาลได้ตัดสินให้ อบต. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มาฟ้องคดี แต่ลดจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ลงครึ่งหนึ่งเนื่องจากผู้ฟ้องคดีมีส่วนประมาทที่เมาแล้วขับด้วย

อีกคดีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ คดีที่คุณพ่อท่านหนึ่งพาลูกไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำของเทศบาล ปรากฏว่าลูกของเขาจมน้ำเสียชีวิต พ่อของเด็กที่เสียชีวิตจึงไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองเนื่องจากเห็นว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเทศบาลไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณริมสระ จึงไม่สามารถช่วยลูกของเขาได้อย่างทันท่วงที ถือว่าละเลยต่อหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้บริการสระว่ายน้ำ

ฝ่ายของเทศบาลก็ต่อสู้ว่า สระได้เขียนระเบียบว่าด้วยการใช้สระน้ำไว้แล้วว่า ผู้ที่มาใช้บริการสระว่ายน้ำจะต้องระมัดระวังในการใช้สระว่ายน้ำ และหากเกิดเหตุสุดวิสัยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทางเทศบาลจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี 

อ่านดูแล้วก็เหมือนว่ามีเหตุผลทั้งสองฝ่าย แต่มาลองดูกันครับว่าในเคสนี้ ศาลปกครองท่านวินิจฉัยเอาไว้ว่าอย่างไร

ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาว่า ขณะเกิดเหตุมีเด็กมาใช้บริการจำนวนมาก เทศบาลย่อมคาดหมายได้ว่าอาจเกิดกรณีเด็กจมน้ำได้ง่าย จึงต้องควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในบริเวณที่สามารถสอดส่องดูแลผู้ใช้บริการได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่บริเวณริมสระว่ายน้ำได้ ถือได้ว่ามาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้มาใช้บริการสระว่ายน้ำนั้นยังไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้เด็กจมน้ำเสียชีวิต เทศบาลจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียไหมทดแทนให้กับพ่อของเด็ก

จากอุทาหรณ์ทั้งสองคดีดังกล่าว เราไม่สามารถเทียบเคียงได้ว่าครอบครัวของพลเมืองดีที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะชนะคดีนะครับ

ผมต้องการแต่เพียงชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ หากได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับความเสียหายจากการที่หน่วยงานหรือองค์กรใดของรัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ก็เป็นสิทธิของเราที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีได้ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

เรามารอติดตามกันนะครับว่าในคดีครอบครัวของพลเมืองดีฟ้องรัฐว่าปล่อยปละละเลยจนทำให้โควิดระบาด และการบริหารจัดการที่ล่าช้าจนทำให้ผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีนั้น ศาลท่านจะพิพากษาออกอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าคำพิพากษาในคดีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งบรรทัดฐานของประเทศไทยเราอย่างแน่นอนครับ 


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เลิกกันแล้ว กลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม? อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า หรือแค่อยากมีเขาอยู่ในชีวิต

บางครั้งความสัมพันธ์ที่จบลง อาจจะไม่ได้จบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆ เสมอไป บางคู่จบกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน เป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน นิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการหมดรักหรือมีมือที่สามเสมอไป

บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์จบลงจึงพบว่ามีทั้งคนที่อยากประคองความสัมพันธ์ไว้ในรูปแบบเพื่อน เพราะไม่อยากเสียความสัมพันธ์ดี ๆ แต่ก็มีอีกหลายคนที่แฟนเก่าถือเป็นของแสลง จบแล้วคือจบ ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือมีกันอยู่ในชีวิต 

Rachel Sussman นักจิตบำบัด จาก New York ผู้เขียนหนังสือ The Breakup Bible ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องการจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนกลับไปเป็นเพื่อน ซึ่งงานวิจัยปี 2000 พบว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า ส่วนมากแล้วจะค่อนไปทางติดลบ ไม่ได้ดีอย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน "ถ้าคุณคบกันจริงจัง ผ่านอะไรต่างๆ ร่วมกันมามากมาย และยิ่งมีเรื่อง Sex เข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ยังไง" Sussman กล่าว

Sussman ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าว่า "บางทีมันอาจจะเป็นตัวฉุดรั้งที่ทำให้คุณไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับคนใหม่ได้ หรือถ้าคุณเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่ และบอกกับคนใหม่ว่า "แฟนเก่าของฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของฉันด้วยนะ" ถ้าเป็นแบบนั้นคุณคิดว่ามันดีจริงๆ หรอ? แต่ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า Sussman แนะนำให้ทั้งคู่ห่างกันจริงๆ หยุดติดต่อกันสักพัก เว้นระยะให้ทำใจ โดยใช้เวลาช่วยเยียวยา 


แต่ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและความรู้สึกของแต่ละบุคคล สำหรับเราแบ่งออกเป็นสองกรณีคือ เราไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ดีๆ ไปเพียงเพราะเราไปกันต่อไม่ได้ในความสัมพันธ์รูปแบบคนรัก เราก็สามารถลดสถานะเหลือแค่ความเป็นเพื่อนได้ แต่ข้อนี้อาจใช้สำหรับคู่รักที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน คู่ที่คบกันมาไม่นาน หรือใครที่คบกันเล่นๆ แก้เหงา คนในกลุ่มนี้ก็สามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก แต่คำว่าเพื่อนต้องแลกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากทำได้จริง เราจะมีเพื่อนที่รู้ใจมากๆ เพิ่มอีกหนึ่งคน 

แต่ประเด็นมันอยู่ที่หลายคนมักทำไม่ได้นี่สิ เพราะหากจะให้มองเขาในฐานะเพื่อน ก็อาจมีห้วงหนึ่งที่เผลอหวนคิดถึงวันเวลาเก่าๆ หรือสำคัญที่สุดคือ ถ้าต่างคนต่างมีความรักครั้งใหม่ แฟนใหม่ของเขาหรือของเราจะโอเคหรือเปล่าหากรับรู้ว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน บางทีความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องของคนหลายคน ไม่ใช่เฉพาะการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง  

กฎของการเป็นเพื่อน คือต่างคนต้องอยากเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนให้ความร่วมมือ เพราะความเป็นเพื่อนไม่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ฝ่ายเดียว บางทีเราอาจจะอยากมีเขาแค่เพียงเพราะไม่ต้องการจะเสียเขาไป จึงหยิบยกสถานะใหม่ที่ทำให้ประคองเขาในชีวิตได้ แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้มีท่าทีที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ ก็คงเหมือนการบังคับฝืนใจ กลายเป็นความอึดอัด 


บางความสัมพันธ์ กับคนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ดีๆ ทิ้ง แต่อีกมุมหนึ่งเราไม่ได้มีหน้าที่รักษาทุกความสัมพันธ์ในชีวิต คนที่ไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยให้เขาเดินจากไป 

บางครั้งเราอาจต้องถามตัวเองดีๆ ว่า อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า หรือแค่อยากมีเขาอยู่ในชีวิต? และสิ่งนั้นมันเป็นความต้องการของคนทั้งสอง หรือแค่ของเราฝ่ายเดียว 

เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://time.com/5320054/stay-friends-with-ex-expert-advice/
https://www.gangbeauty.com/love/125033

“โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)” ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก หนามยอกเอาหนามบ่ง !!

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบช.สตม. แถลงผลจับกุมคดีสำคัญ ตม.จว.ชลบุรี กวาดล้างนายห้างแขก เร่ขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยโหด ซ้ำเติมประชาชนช่วงโควิด-19

วันนี้ 9 ก.ค. 64 เวลา 10.00 น. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

เนื่องด้วย ตม.จว.ชลบุรี ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีบุคคลลักษณะคล้ายแขก มีพฤติการณ์ออกเร่ขายสินค้าประเภทเงินผ่อน ก่อความเดือดร้อนรำคาญในพื้นที่รับผิดชอบจำนวนหลายราย จึงได้ทำการสืบสวนหาข้อมูลก็พบว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเร่ขายสินค้าและจูงใจให้มีการผ่อนชำระเป็นรายวัน แต่เมื่อรวมยอดเงินที่ผ่อนครบแล้วพบว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงได้รีบสืบสวนหาข่าว จนนำมาซึ่งการจับกุมโดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนข้างต้น ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนพบคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายรามสัญชาติอินเดีย พร้อมกับกลุ่มชายแขกยังไม่ทราบชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ได้เฝ้าดูพฤติกรรมก็พบว่ามีการตะเวนเร่ขายสินค้าให้กับประชาชนทั่วไปในละแวก เมืองพัทยาและทาง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อยู่หลายครั้งซึ่งชุดจับกุมเข้าไปสอบถามประชาชนในบริเวณที่กลุ่มคนเหล่านี้ตระเวนไป พบว่ามีข้อมูลว่ามีการเสนอให้ซื้อผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยสูงจริง ต่อมา

ชุดจับกุมได้พบนายราม กำลังเร่ขายสินค้าเช่นเคย จึงได้เข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบพบหลักฐานเป็นเงินสดและหนังสือสมุดพกรายการทางบัญชีลูกค้ากว่า 40 ราย จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน และในบริเวณใกล้เคียงยังพบกลุ่มชายลักษณะคล้ายแขกจำนวน 3 คน จึงได้เข้าตรวจสอบบุคคลดังกล่าว พบนายอูเมส ตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) ๕๓๖ วัน พบนายเอเชรัม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 910 วัน และพบนายซีรอม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 1,023 วัน จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อหาในความผิดที่พบเบื้องต้นและจับตัวนำส่งเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : ในเบื้องต้นมีการแจ้งข้อกล่าวหา นายรามฯ ว่า “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน

หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้” (ม.8 พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2561)

 นายอูเมส ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (536 วัน)

 นายเอเชรัม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (910 วัน)

 นายซีรอม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (1,023 วัน)

การตรวจยึดของกลาง :

1. เงินสด 100 บาท

2. สมุกพกปรากฎรายการทางบัญชีลูกค้า จำนวน 1 เล่ม

3. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น N MAX สีดำ ทะเบียน ชลบุรี

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย ได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยถูกต้องประเภทเกษียณอายุ ที่ จ.นครสวรรค์ แต่มาประกอบอาชีพขายสินค้ารายการลักษณะเงินผ่อนรายวันในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชุดจับกุมพบว่า เฉพาะนายรามฯคนเดียว อาจมีลูกค้าจำนวนมากกว่า 40 ราย ดอกเบี้ยสูงร้อยละ 20 ถึง 30 ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน มูลค่าความเสียหายประเมินไว้ร่วม 500,000 บาท และในส่วนของนายอูเมส นายเอเชรัม และนายซีรอม ซึ่งพบอยู่บริเวณใกล้เคียง นอกจากจะพบว่าลักลอบอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาวีซ่ามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ก็ยังมีข้อมูลว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยสูงอีกด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบการตรวจสอบในรายละเอียดหากแน่ชัดจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวเนื่องกัน และบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติที่คอยสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้มาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี   เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์  สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รอง โฆษก สตม. กล่าวว่า ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

เชียงราย ไม่รอด !! ทหารชายแดนจับยาไอซ์ 12 กระสอบ กลางป่าชายแดนอำเภอแม่ฟ้าหลวง

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชากองกำลังผาเมืองเข้าตรวจสอบพื้นที่และของกลางยาเสพติดจำนวนมากหลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาโดยการนำของ พันเอก อุไร ศรีม่วงสุข บก.ควบคุม ปส.พื้นที่ 4 อำเภอ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบจึงร่วมกับ บก.ควบคุมที่ 1หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 และ บก.ควบคุมพื้นที่พิเศษ 2 อำเภอ อำเภอแม่ฟ้าหลวง-อำเภอแม่จัน ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่

จนกระทั่งเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่พบนาย อาเคอ เวยเม ชาวเขาสัญชาติเมียนมา อยู่ในกระท่อมบริเวณบ้านสวนป่าหมู่ที่14 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จึงควบคุมตัวมาสอบสวนแต่ให้การวกไปวนมา เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจบริเวณใก้ลเคียงพบกระสอบจำนวน 12 ใบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเปิดดูภายในพบว่าเป็นยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 156 กิโลกรัม ต่อมาทางด้าน พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลงผาเมืองบอกว่ายาล็อตนี้เป็นของกลุ่มอาข่าบ้านผาขาวและกลุ่มว้า

จากข่าวที่ได้รับแจ้งพบของกลางทั้งหมด 70 กระสอบ มีทั้งยาบ้าและยาไอซ์ ซึ่งตอนนี้พบแล้ว 12 กระสอบ เป็นยาไอซ์ทั้งหมด โดยใช้คนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นคนลำเลียง มีคนในพื้นที่นำทางและจะมีคนมารับต่อไปอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการขยายผลดำเนินการต่อไป


ภาพ/ข่าว  สันติ วงศ์สุนันท์ / ผู้สื่อข่าวเชียงราย

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

‘จีน’ ใช้ประโยชน์จากภาวะโลกร้อน บุกขั้วโลกเหนือ เปิดเส้นทางเดินเรือ  ‘Polar Silk Road’

‘จีน’ ใช้ประโยชน์จากภาวะโลกร้อน บุกขั้วโลกเหนือ เปิดเส้นทางเดินเรือ  ‘Polar Silk Road’

พูดถึงมหาสมุทรอาร์กติกหลายท่านอาจไม่คุ้นว่าอยู่แถวไหน แต่หากบอกว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของหมีขาวและเต็มไปด้วยน้ำแข็งก็น่าจะพอคุ้นกันบ้าง

มหาสมุทรแห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาสมุทรที่เล็กที่สุดและอยู่เหนือสุดของโลก ด้วยความหนาวเย็นจึงทำให้บางส่วนเป็นน้ำแข็งตลอดปี และเป็นน้ำแข็งเกือบทั้งหมดในช่วงหน้าหนาว นอกจากนั้นยังเชื่อมทวีปเอเชียกับยุโรปด้วยเส้นทาง Northern Sea Route

Northern Sea Route คือ เส้นทางเดินเรือที่เริ่มจากรัสเซียฝั่งตะวันออกที่อยู่ในเอเชีย แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือเข้าสู่มหาสมุทรอาร์กติก เลาะริมชายฝั่งของรัสเซียจนถึงฝั่งตะวันตกที่อยู่ในทวีปยุโรป เส้นทางเดินเรือนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1872 แต่เพราะทะเลเป็นน้ำแข็ง จึงแล่นเรือได้เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน และต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งแล่นนำทาง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือในเส้นทางนี้สูงและไม่สะดวกเมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น

แต่จากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายมากขึ้น จนในปี 2017 เรือบรรทุกแก๊สของรัสเซียสามารถเดินเรือผ่านเส้นทางนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรือตัดน้ำแข็งนำขบวน

จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้จีนเห็นโอกาสในการขยายเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่จึงประกาศในปี 2018 ว่าจะบุกเบิกเส้นทางสายไหมขั้วโลก (Polar silk road) เพราะหากใช้เส้นทางเดินเรือนี้จะประหยัดระยะเวลาเดินทางจากจีนไปยังท่าเรือรอตเตอร์ดาม ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เป็นแหล่งกระจายสินค้าที่สำคัญของยุโรปได้ถึง 30 - 40%

นอกเหนือจากเส้นทางการค้าใหม่แล้วจีนยังเข้าถึงแหล่งพลังงานที่สำคัญนั้นก็คือแก๊สธรรมชาติ โดยมีการถือหุ้นโครงการ Yamal ในประเทศรัสเซีย ผ่านทาง China National Petroleum Corp. (CNPC) จำนวน 20% และกองทุน China’s Silk Road อีก 9.9% ซึ่งบริเวณที่ตั้งของโครงการ Yamal นั้น คาดการณ์ว่ามีแก๊สธรรมชาติอยู่ถึง 15% ของทั้งโลก และจีนเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ การพัฒนาเส้นทางเดินเรือนี้จึงส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สของจีน เมื่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สถูกลงก็ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าภายในประเทศ

นอกจากนั้นจีนยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยและเทคโนโลยี โดยสถาบันอวกาศและเทคโนโลยีของจีนร่วมมือกับมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็นได้ส่งดาวเทียมสำรวจขึ้นไปบริเวณนี้เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงสภาพของน้ำแข็งและส่งข้อมูลกลับมาเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเดินเรือ

จากเรื่องนี้เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานว่าจะใช้ในการขนอะไร และจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศอย่างไร รวมถึงยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยเพื่อนำผลที่ได้มาใช้ในภาคธุรกิจ แล้วคงต้องถามกลับว่าโครงการก่อสร้างพื้นฐานหลายโครงการในไทยมีแผนการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติชัดเจนแบบนี้หรือไม่

เขียนโดย อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 

เจ้าหน้าที่ศุลกากรภาคที่ 4 จับกุมบุหรี่เถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ จำนวน 371,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท ในโกดังพื้นที่ จ.นราธิวาส คาดขนมาจากเวียดนามทางเรือและเตรียมส่งขายในพื้นที่

วันนี้ ( 9 ก.ค.64 ) ที่สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับ นายจรูญ ราชกิจจา ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 นายภาณุพงศ์ ศรีเกตุ สรรพสามิตพื้นที่ สงขลา,จำแลง บัวสงค์ ผู้อำนวยการส่วนตรวจสอบป้องกันและปราบปรามสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9

ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมบุหรี่ต่างประเทศล๊อตใหญ่หลายยี่ห้อ จำนวน 37 1,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน  มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท โดยถูกนำมาเก็บไว้ภายในโกดังไม่มีเลขที่ ใน ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปรามศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตภาคที่ 9 และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่สงขลา เข้าตรวจค้นและจับกุมได้เมื่อวานนี้ ( 8 ก.ค.64 )

หลังจากสืบทราบจะว่ามีการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร เจ้าหน้าที่จึงยึดเอาไว้

นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนที่มาของบุหรี่ล๊อตนี้โดยคาดว่าลักลอบขนมาทางเรือและต้นทางอาจจะนำมาจากประเทศเวียดนาม และเตรียมกระจายส่งขายตามท้องตลาด ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลที่มาที่ไปและผู้ที่ลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามา


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ยะลา - นายอำเภอเบตงให้กำลังใจประชาชนเข้ารับวัคซีน โควิดเพื่อเสริมภูมิต้านทานหมู่ฉีดครบ 70% ตุลาคมนี้ พร้อมเปิดเมืองเบตงทันที

นายอำเภอเบตงให้กำลังใจประชาชนเข้ารับวัคซีน โควิด-19 เพื่อเสริมภูมิต้านทานหมู่เพื่อเบตงรวมใจสู้ไปด้วยกันและขอให้ทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 70% ภายในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมเปิดเมืองเบตงทันที

เมื่อวันที่ 8 กรกรฎาคม 2564 ที่ โรงพยาบาลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา นายเอก ยังอภัย ณสงขลา นายอำเภอเบตง พร้อมด้วยนางมุกดา ยังอภัย ณ สงขลา นายกกิ่งกาชาดอำเภอเบตง ร่วมมาให้กำลังใจประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZenecaX)และวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) เพื่อสร้างความมั่นใจ ด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งภายหลังจากรับฉีดวัคซีนแล้วเจ้าหน้าที่จะให้มีการนั่งพักเพื่อดูอาการ 30 นาที ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำหนดไว้ โดยประชาชนในวันนี้ที่มาลงทะเบียนฉีดจำนวน 11,00 รายยังไม่พบอาการข้างเคียงหรืออาการผิดปกติแต่อย่างใด

นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง ยังกล่าวอีกว่า จากความร่วมมือในมาตรการเฝ้าระวังป้องกันที่ผ่านมาถือว่าเป็นความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ซึ่งได้มีการควบคุมดูแลพร้อมปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังกันอย่างจริงจัง จนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ 3 ชุมชน และ 3 หมู่บ้าน เข้าสู่ภาวะปกติชาวบ้านกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

ภายใต้เงื่อนไข ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยที่ผ่านมาทุกภาคส่วนต่างให้ความร่วมมือที่จะปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันของจังหวัด จนทำให้มีจำนวนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อวานนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม แต่ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็จะยังคงมีการติดตามกลุ่มคนผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อต่อไป โดยจะมีการวัดไข้ และสังเกตอาการต่อเนื่องไปอีก 14 วัน เป็นอย่างน้อย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 หลงเหลืออยู่นอกจากนี้นายอำเภอเบตงได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมมือกันเพื่อ เบตงรวมพลัง ปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A. อย่างเคร่งครัด

และร่วมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 70% ภายในเดือนตุลาคมนี้ จะสามารถเปิดเมืองเบตงให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งได้ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ซึ่งในการฉีดวัคซีนก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัว เพื่อชุมชนที่เราอยู่ และ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในการป้องกันโควิด-19 ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้จะได้หมดไปจากพื้นที่จังหวัดยะลาของเราและขอเชิญชวนประชาชนในทุกกลุ่ม ลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนโควิด19 โดยสามารถลงทะเบียนได้ตามช่องทางที่สะดวก ทั้ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แจ้งกับ อสม.ในชุมชน และ แอพพลิเคชั่นไลน์ หมอพร้อม หรือ สแกน QR โค้ท ของจังหวัดยะลา 


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง

กระบี่ - กฟผ. มอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนการปฏิบัติงานป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของจังหวัดกระบี่

วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 คณะผู้บริหาร กฟผ. กระบี่ นำโดยนายธันยบูรณ์ สกลกิติวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าภาคใต้ เป็นตัวแทนหน่วยงาน มอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์

รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่ต้องเข้ารับการรักษา ประกอบด้วย ถุงมือ 1,500 ชิ้น , เสื้อกาวน์  1,000 ชุด , หน้ากาก N95  250 ชิ้น , ผ้าห่ม 30 ผืน , หน้ากาก Medical mask 10,000 ชิ้น , gift set 10 ชุด , หน้ากาก 3M 100 ชิ้น , ชุด PPE 100 ชุด , เจลแอลกอฮอล์ขนาด 5 ลิตร 6 แกลลอน และเจลแอลกอฮอล์ขนาด 450 มล. 30 ขวด โดยมีนายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นผู้รับมอบ ณ ศาลากลางจังหวัดกระบี่


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

ขอนแก่น - พร้อมรับคนบ้านเดียวกันกลับภูมิลำเนาเข้ารักษาตัว เปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 8 ก.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่โรงพยาบาลสนามขอนแก่นแห่งที่ 2 (พุทธมณฑลอีสาน) ถนนเลี่ยงเมืองขอนแก่น-กาฬสินธุ์ บ.เต่านอ ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2564 โดยมีนายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายพงษ์ศักดิ์  ตั้งวานิชกพงษ์ นายก อบจ.ขอนแก่น นางพัฒนาวดี วิริยปิยะ ปลัด อบจ.ขอนแก่น และ นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุข จ.ขอนแก่น นายแพทย์วีระศักดิ์ อนุตรอังกูร ผอ.รพ.สิรินธร ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม จ.ขอนแก่น 2 เพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ตามแผนบริหารจัดการด้านสาธารณสุขตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่นกำหนด

นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายก อบจ.ขอนแก่น กล่าวว่า เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดขอนแก่นได้มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่นจึงมีมติเปิดใช้โรงพยาบาลสนาม แห่งที่ 2 เพื่อรองรับผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของ รพ.สิรินธร ที่ได้เริ่มรับผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนา ในเขต จ.ขอนแก่น เข้ารับการรักษาและดูอาการ ตามแผนระบบการส่งต่อผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2564 เป็นต้นมา ซึ่ง อบจ.ขอนแก่น ได้จัดเตรียมอาหาร 3 มื้อต่อวัน ให้กับผู้ป่วย การจัดสถานที่ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมไปถึงอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ในด้านต่าง ๆ 

โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2  ที่ พุทธมณฑลอีสาน แห่งนี้ มีเตียงรองรับผู้ป่วยรวมจำนวน 110 เตียง แยกเป็นชาย 32 เตียง หญิง 78 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจำนวน 37 ราย ชาย 17 ราย หญิง 20 ราย คงเหลือจำนวนเตียงว่าง 61 เตียง ชาย 13 เตียง หญิง 58 เตียง โดยการดำเนินงานด้านการแพทย์นั้น รพ.สิรินธร ได้จัดกำลังบุคลากรทางการแพทย์มาปฎิบัติงานตลอดทั้ง 24 ชม. อบจ.ขอนแก่นได้จัดทีม รปภ. รักษาความปลอดภัย 24 ชม. และมอบหมายเจ้าหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของทางจังหวัดและกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ อย่างไรก็ดี สำหรับชาวขอนแก่นที่ต้องการกลับบ้านเพื่อมารักษาตัว

จากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นสามารถประสานงานมาได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หมายเลขโทรศัพท์  082-2839170 หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรงผ่านระบบไลน์ ประสานโควิดขอนแก่น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ประสานงานเพื่อสอบถามข้อมูลและจัดระบบการส่งต่อผู้ป่วยตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมไปถึงการประสานงานร่วมกับคนในครอบครัวเพื่อที่จะประสานการส่งต่อผู้ป่วยที่ถูกต้อง รัดกุม และลดการแพร่กระจายของเชื้อและให้คนบ้านเดียวกันได้กลับมารักษาอาการที่บ้านได้อย่างปลอดภัย

นรข.นครพนม สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง ตรวจยึดไม้พะยูง 32 ท่อน เตรียมลงเรือส่งข้ามโขง

สโมสรนายทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง น.อ.เสริมศักดิ์ บุญทา หัวหน้ายุทธการและข่าว หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตนครพนม น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หน.สถานีเรือนครพนม น.ท.บุญเชิด กุลอำภา หน.สถานีเรือบ้านแพง ร่วมแถลงว่า

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากชาวบ้านผู้หวังดีในพื้นที่ ว่าจะมีการลักลอบไม้พะยูงนำออกนอกราชอาณาจักรบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านพนอมเหนือ ม.5 ต.พนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จึงได้สั่งการให้ น.อ.ฤทธิ์ นาทวงศ์ ผบ.นรข.เขตนครพนมทราบ และให้ น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้าสถานีเรือนครพนม จัดชุดลาดตระเวนทางบก ร่วมบูรณาการกับชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง

จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.08 น. ชุด ลาดตระเวน สน.เรือนครพนม ได้ใช้กล้องส่องกลางคืน ตรวจพบชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน กำลังลำเลียงไม้พะยูงลงเรือ ที่จอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุ จึงแจ้งชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง พร้อมกับแสดงตนเข้าจับกุม เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์เห็นเจ้าหน้าที่ฯ แสดงตน จึงได้ทิ้งของกลางหลบหนีไปชุดลาดตระเวนได้วิ่งตามกลุ่มชายฉกรรจ์ไปเห็นผู้ต้องหากำลังจะติดเครื่องเรือเพื่อหลบหนี

ชุดลาดตระเวนสามารถควบคุมตัวได้ จำนวน 1 คน สอบถามเบื้องต้นทราบชื่อ คือ ท้าวเพ็ง อานุลัก อายุ 47 ปี เป็นชาว สปป.ลาว บ้านกะวะเหนือ เมืองหินบูน แขวงคำม่วน สปป.ลาว ตรวจพบไม้พะยูงอยู่บนเรือ จำนวน 11 ท่อน อยู่บนรถบรรทุกขนาดเล็ก ยี่ห้อ นิสสัน สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 21 ท่อน รวมทั้งสิ้น 32 ท่อน ปริมาตร 1.054 ลบ.เมตร มูลค่า 500,000 บาท จึงได้นำของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบโดยละเอียดที่ สน.เรือนครพนม และทำบันทึกการตรวจยึด/จับกุม พร้อมทั้งนำผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดส่ง สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top