Saturday, 24 May 2025
SPECIAL

พิจิตร – ผู้ว่าฯ เผย แรงงานติดเชื้อโควิดขอกลับบ้านเพียบ ล่าสุดวันนี้พบผู้ป่วย 11ราย รอลุ้นผลตรวจ 213 ราย

วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้เป็นประธานในพิธีรับมอบรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย  Biosafety Mobile Unit ที่ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ นายก อบจ.พิจิตร ได้ดำเนินการใช้งบประมาณ 3.8 ล้านบาท จัดซื้อรถตรวจหาเชื้อโควิดเคลื่อนที่จำนวน 2 คัน ที่ติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยเพื่อมอบให้ นพ.กมล กัญญาประสิทธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร นำไปบริหารจัดการปฏิบัติการเชิงรุกในการตรวจหาเชื้อโควิด ซึ่งรถทั้งสองคันดังกล่าวนับเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการ Swab ให้กับกลุ่มเสี่ยงและเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะให้บริการประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่เกิดขึ้น

ซึ่งภายหลังจากรับมอบรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยแล้ว นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้มีชาวพิจิตรที่ไปทำงานในกรุงเทพและปริมณฑลต่างติดต่อขอกลับบ้านกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสงสัยตัวเองว่าจะติดเชื้อโควิดซึ่งตอนนี้หาที่ตรวจก็ไม่ได้ หาที่รักษาหรือหาเตียงเพื่อนอนรักษาก็ไม่มีที่ใดว่างดังนั้นจึงประสานขอกลับมาในแต่ละวันก็มีประมาณ 10-20 ราย ซึ่งจังหวัดพิจิตรก็ต้องอ้าแขนรับเนื่องจากเป็นคนพิจิตรกลับมาก็ต้องดูแลกัน ล่าสุดได้มีการประชุมวางแผนให้เพิ่มเตียงใน รพ.สนาม-รพ.พิจิตร-รพ.ชุมชนต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ยังมีเตียงว่างประมาณ 100 เตียง รวมถึงได้ขอให้ อบจ.พิจิตร เพิ่มเตียงในโรงพยาบาลสนามเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์ที่ส่อเค้าว่าจะหยุดไม่อยู่แต่มั่นใจว่าช่วงนี้ยังคงรับมือได้

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในเขตพื้นที่จังหวัดพิจิตร ตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 64 จนถึงวันนี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดเดินทางมาจากพื้นที่สีแดงมีกว่า 50 คนแล้ว ทำให้ล่าสุดวันนี้ จงพิจิตรมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 11 ราย ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 80 ราย และต้องรอลุ้นผลตรวจกลุ่มเสี่ยง 213 ราย ทำให้ขณะนี้พิจิตรมีผู้ป่วยสะสมแล้ว 233 ราย รักษาหาย 141 ราย อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงสำหรับนักเรียน ม.4

THE STUDY TIMES X DekThai Online

????วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงสำหรับนักเรียน ม.4

โดย ครูพี่ปุ๊ องอาจ สุภัคชูกุล

อดีตตัวแทนคณิตศาสตร์โอลิมปิก นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

#สอนวิชาคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ม.ต้น-ม.ปลาย

#DekThaiOnline

https://dekthai-online.com/browse

.

.

‘มายาคติ’ ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุ

ช่วงนี้สนใจอยากพูดถึงเรื่องของผู้สูงอายุในบ้านเรา เพราะไม่ปีนี้ก็ปีหน้าคาดว่าประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ มีสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศแล้ว ดังนั้นการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง และในฐานนักวิชาการด้านสื่อก็เกิดความสนใจว่าการศึกษาด้านสื่อกับผู้สูงอายุในเมืองไทยนั้นมีมากน้อยเพียงใดและว่าด้วยเนื้อหาเรื่องใดบ้าง ก็ไปพบว่าอาจารย์กาญจนา แก้วเทพ ได้ทำการศึกษาประเด็นการสื่อสารกับผู้สูงวัย (2554)

อาจารย์พบว่างานวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารกับผู้สูงอายุในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณปี พศ.2525 มาจนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน รวมเป็นเวลาเกือบ 30 ปีนั้น มีงานวิจัยที่ระบุหัวข้อชื่อตรงกับผู้สูงอายุและการสื่อสารไม่เกิน 10 เล่มทั้งที่จำนวนผู้สูงอายุนั้นมีถึงเกือบร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และยังพบว่าการวิจัยในประเด็นผู้สูงอายุที่มักเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการสำรวจขนาดใหญ่นั้นไม่ช่วยเห็นลักษณะเฉพาะของความเป็นผู้สูงอายุได้ และเมื่อผสมกับการขาดแนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่รอบด้านและชัดเจนจึงทำให้ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีข้อค้นพบเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของผู้สูงอายุในแง่มุมของการสื่อสาร และเมื่อศึกษางานวิจัยอื่น ๆ พร้อม ๆ ไปกับการสังเกตรายการในหน้าจอทีวี สังเกตได้ว่ามีความเข้าใจผิดหรือมีมายาคติเกี่ยวกับผู้สูงอายุอยู่มากในเรื่องใช้สื่อของผู้สูงอายุ ลองมาดูกันค่ะว่าเราเองก็เข้าใจผู้สูงอายุผิดไปหรือไม่

มายาคติผู้สูงอายุตื่นแต่มืดแต่ดึก : ผู้สูงอายุชอบตื่นแต่เช้ามืด ตี 4 - 5 มาดูทีวี มาฟังวิทยุ จริงหรือ?

อาจจะพูดได้ว่าการคิดว่าผู้สูงอายุชอบตื่นแต่เช้ามืดดังนั้นถ้าจะทำสื่อให้ผู้สูงอายุต้องใช้ช่วงเวลาตีสี่ตีห้า แต่แทนจริงแล้วเป็นเพียงมายาคติที่สังคมมองมายังผู้สูงอายุ เพราะมีงานวิจัยหลายเรื่องที่พบว่าผู้สูงอายุไม่ได้เปิดรับสื่อช่วงเช้ามืดอย่างที่สังคมเข้าใจ เช่น จากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ ของ จารุวรรณ นิธิไพบูลย์, สันทัด ทองรินทร์ และวิทยาธร ท่อแก้ว (2559) พบว่าผู้ชมที่มีอายุระหว่าง 60 - 65 ปีมีความต้องการในการชมรายการโทรทัศน์ ช่วงเช้า (06.01 น. - 09.00 น.) และ ช่วงสาย (09.01 น. - 12.00 น.) ผู้ชมที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความต้องการในการชมรายการโทรทัศน์ช่วงเช้า (06.01 น. - 09.00 น.) และช่วงเย็น (16.01 น. - 19.00 น.) 

และพนม คลี่ฉายา (2555) ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง ความต้องการข่าวสาร การใช้สื่อ และนิสัยการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุไทย โดยมีสำรวจการเปิดรับสื่อ โดยพบว่าเปิดรับสื่อเป็นประจำมากที่สุด ได้แก่ โทรทัศน์ บุคคลใกล้ชิด และโทรศัพท์มือถือ ผู้สูงอายุมักจะชมโทรทัศน์มากที่สุด โดยชมรายการข่าวเป็นประจำ ในช่วงเวลา 17.01 - 21.00 น. ใช้เวลาในการชม คือ 1 - 3 ชั่วโมง/ครั้ง สอดคล้องกับแนวคิดของบริษัทอาร์เอสโปรโมชั่น ในการผลิตรายการโทรทัศน์ช่องเพลินทีวี ทีวีเพื่อผู้สูงอายุ ระบุว่าผู้สูงอายุมีวิถีชีวิต (Lifestyle) ในการรับชมโทรทัศน์อยู่กับบ้านเฉลี่ยมากกว่าบุคคลวัยอื่นถึงร้อยละ 10 โดยที่เวลาไพร์มไทม์ของกลุ่มคนสูงอายุอยู่ในช่วงเวลา 17.30 - 21.30 น. (แต่แอบกระซิบเบา ๆ ว่าหลังจากที่ออกอากาศได้เพียงแค่ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558 บริษัทอาร์เอสฯได้ประกาศยุติออกอากาศในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ)

ดังนั้นจะเห็นว่าสังคมมีความเข้าใจผิดคิดว่าผู้สูงอายุนั้นมักชอบชมรายการโทรทัศน์หรือฟังวิทยุในช่วงเวลาเช้ามืดนั้นไม่เป็นความจริง และหากจะถามหาเวลาที่เหมาะในการทำสื่อเพื่อผู้สูงอายุควรจะเป็นช่วงเย็น ๆ มากว่าช่วงเช้ามืดด้วยซ้ำไป

มายาคติผู้สูงอายุชอบทำบุญเข้าวัด : ผู้สูงอายุชอบรายการธรรมะที่สุด จริงหรือ?

มายาคติอีกเรื่องที่ไม่รู้ใครบัญญัติมาให้เชื่อตาม ๆ กัน คือการเหมารวมว่าการที่ผู้สูงอายุชอบเข้าวัดทำบุญดังนั้นจึงชอบดูรายการธรรมะที่สุด แต่จริง ๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

จากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ ของ จารุวรรณ นิธิไพบูลย์, สันทัด ทองรินทร์ และวิทยาธร ท่อแก้ว (2559) ในประเด็นการเปิดรับความต้องการและการใช้ประโยชน์รายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ พบว่าส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชน์จากการชมรายการโทรทัศน์ 3 อันดับแรก ได้แก่

1) เพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสาร
2) เพื่อสร้างความเบิกบานใจ ความสุข และคลายเหงา
3) เพื่อนำเนื้อหาไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง ลักษณะเนื้อหาในสื่อที่ผู้สูงอายุต้องการ จากผลงานวิจัยนี้ทำให้เชื่อมโยงได้ว่าผู้สูงอายุชอบรายการที่ให้ทราบข้อมูลข่าวมากว่ารายการธรรมะแน่ ๆ นอกจากนี้ยัง พบว่า

ผู้สูงอายุต้องการเนื้อหาให้สื่อนำเสนอให้เห็นถึงศักยภาพของผู้สูงอายุ ส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกหรือเชิดชูผู้สูงอายุ เนื้อหาที่แสดงให้เห็นความรักความผูกพันระหว่างผู้สูงอายุกับครอบครัว และเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การรักษาสุขภาพ สิทธิทางกฏหมาย และสวัสดิการต่างๆ เป็นต้นด้วย จากงานวิจัยที่กล่าวไปนี้น่าจะพอสรุปได้ว่ารายการธรรมะอาจไม่ได้เป็นรายการที่ผู้สูงอายุจะชื่นชอบที่สุดหรือจะเลือกชมเป็นลำดับต้น ๆ ด้วยซ้ำไป

มายาคติว่าผู้สูงอายุทุกคนก็ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน : ผู้สูงอายุมีความต้องการใช้สื่อเหมือน ๆ กันหมดจริงหรือ?

มายาคตินี้เราเจอกับบ่อย ๆ เพราะการคิดเหมารวมอีกเช่นกันว่าขึ้นชื่อว่าผู้อายุก็คงจะมีความต้องการใช้สื่อเหมือนกันหมดเพราะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน แต่จากการศึกษาพบว่ากลุ่มผู้สูงวัยนั้นก็มีความต้องการในการใช้สื่อที่หลากหลายและแตกต่างกันไม่แพ้วัยเด็กและเยาวชน โดยสิ่งที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยมีทั้งปัจจัยส่วนตัว เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ ความชอบ ความถนัดและปัจจัยด้านการศึกษา และปัจจัยทางด้านสังคม สภาพครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนปัจจัยทางกายภาพ เช่น พื้นที่อยู่อาศัยนั้น ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้สื่อทั้งสิ้น ส่วนในภาพรวมนั้นอาจกล่าวได้ว่าแม้กลุ่มผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่ใช้อินเตอร์เน็ตน้อยที่สุดหากเทียบกับกลุ่ม Gen X และ Gen Y สื่อหลักอย่างโทรทัศน์และวิทยุก็ยังคงเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้สูงอายุได้มากที่สุด

โดยที่สื่อวิทยุนั้นจะเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุในเขตต่างจังหวัดได้มากกว่าเขตเมือง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือมีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นและสื่อออนไลน์ก็เป็นที่นิยมของผู้สูงอายุมากขึ้น และยังพบว่าผู้สูงอายุที่มีอายุแตกต่างกัน มีความพึงพอใจในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์แตกต่างกัน ดังเช่นงานวิจัยของ กันตพล บันทัดทอง (2557) เรื่อง พฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และความพึงพอใจของกลุ่มคนผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่มีอายุแตกต่างกัน มีความพึงพอใจในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์แตกต่างกัน โดยผู้สูงอายุที่มีอายุ 66 ปีขึ้นไป มีความพึงพอใจในการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์น้อยที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 66 ปีขึ้นไป อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพมากกว่ากลุ่มอื่น เช่น ปัญหาสายตา ปัญญาการใช้นิ้วหรือมือ จึงไม่สามารถใช้บริการเครื่อข่ายสังคมออนไลน์ได้ จึงมีความพึงพอใจต่ำกว่าผู้สูงอายุกลุ่มอื่น

มายาคติที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุที่กล่าวไปข้างต้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ผลิตสื่อ ยังมีความเข้าใจผิดถึงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุและยังไม่มีข้อมูลองค์ความรู้สำคัญพื้นฐานที่จะทำให้การผลิตสื่อที่เหมาะสมตรงความต้องการของผู้สูงอายุ ดังนั้นการทำความรู้จักและเข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุอย่างถ่องแท้ จะเป็นประโยชน์มากในการพัฒนาสื่อเพื่อผู้สูงอายุ ภาครัฐควรสนับสนุนนโยบาย งบประมาณและพัฒนาบุคลากร เพราะในประเทศไทยการทำสื่อเพื่อผู้สูงอายุก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับการทำสื่อเพื่อเด็ก คือผู้ประกอบการมองว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่ากับผลกำไรที่ได้ในทางธุรกิจ ดังนั้นรัฐจึงต้องเข้ามาช่วยหนุนเสริมภารกิจนี้อีกทาง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสื่อเพื่อผู้สูงอายุเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดึงศักยภาพของผู้สูงอายุออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม นอกจากนี้สื่อยังสามารถทำหน้าที่ช่วยให้คนในสังคมที่มีความหลากหลายของช่วงวัยเกิดความเข้าใจซึ่งกันละกัน ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่ยอมรับในความหลากหลายและเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกช่วงวัย อย่างที่ย้ำเสมอว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นแต่เป็นเรื่องของเราทุกคนจริง ๆ

เขียนโดย: อาจารย์ระวีวรรณ ทรัพย์อินทร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาตรีการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (BMCI) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 


ข้อมูลอ้างอิง
กาญจนา แก้วเทพ.(2554).ผู้คนที่หลากหลายในการสื่อสาร: เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ.พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ.
ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์
พนม คลี่ฉายา. (2555). ความต้องการข่าวสาร การใช้สื่อ และนิสัยการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุไทย: รายงาน
การวิจัย (Information Need, Media Uses and Media Habit of Thai Elderly: Research Report). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กันตพล บันทัดทอง.(2558) พฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และความพึงพอใจของกลุ่มคนผู้สูงอายุใน
เขตกรุงเทพมหานคร.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
“ช่องทีวีคนสูงวัย เซกเม้นท์นี้ “อาร์เอส” จอง.สืบคนเมื่อ 20 มกราคม 2556.จาก http://positioningmag.com/60832
Positioning. (2558) ช่องทีวีคนสูงวัย เซกเม้นท์นี้ “อาร์เอส” จอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559. จาก http://positioningmag.com/60832
เผยแนวโน้ม “สื่อรุ่ง – สื่อร่วง” ปี ’59 ชี้ชะตาอนาคตสื่อปีหน้า ใครจะได้ไปต่อ !! สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2559. จาก http://www.brandbuffet.in.th/2016/12/kantar-worldpanel-media-profiler-2016

ตราด - ทัพเรือภาคที่ 1 เปิดหลักสูตรทบทวนการประมงกับความมั่นคงของชาติ และไทยอาสาป้องกันชาติทางทะเล

ทัพเรือภาคที่ 1 ยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง จัดหลักสูตรทบทวน การประมงกับความมั่นคงของชาติและไทยอาสาป้องกันชาติทางทะเลระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2564 ณ วัดตะกาดร่วมสุข ต.ไม้รูด อ.คลองใหญ่ จว.ตราด

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2564 พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเลเขต ทัพเรือภาคที่ 1 มอบหมายให้ นาวาเอก กรัณย์ กลิ่นบัวแก้ว รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการฝึกอบรมไทยอาสาป้องกันชาติในทะเลเขต ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรความมั่นคงของชาติ และไทยอาสาป้องกันชาติทางทะเล ณ วัดตะกาดร่วมสุข ต.ไม้รูด อ.คลองใหญ่ จว.ตราด ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ มีสมาชิกอาชีพประมง และอาชีพต่อเนื่องจากประมง สมัครเข้ารับการอบรมรวมทั้งสิ้น 65 คน การอบรมในหลักสูตรดังกล่าว ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย และระเบียบปฏิบัติของกรมเจ้าท่า การติดต่อสื่อสารกับกองทัพเรือ ความสำคัญของ ทสปช.ในทะเล การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กฎหมายการทำประมงและการติดต่อสื่อสารกับวิทยุชายฝั่งของกรมประมง การอนุรักษ์ทรัพยากรกับสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งกล่าวคำปฏิญาณตามครูฝึก ทำให้ผู้ที่ผ่านการอบรมทุกคน ไม่เพียงแต่ได้รับความรู้จากการอบรมเพียงเท่านั้น แต่ยังได้มิตรภาพที่ดีจากครูฝึกและเพื่อนร่วมรุ่น อีกด้วย

พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเลเขต ทัพเรือภาคที่ 1 ได้กล่าวให้โอวาทผ่านระบบวิดีทัศน์ว่า การดำเนินการ อบรม การประมงกับความมั่นคงของชาติและไทยอาสาป้องกันชาติทางทะเลในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายให้ชาวประมงและผู้มีอาชีพทำการประมง ในท้องถิ่น ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลต่าง ๆ จว.ตราด ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน มีความรู้ทางวิชาการที่ได้รับจากการอบรมไปประกอบอาชีพให้เกิดผลดีต่อตนเองต่อเศรษฐกิจของชาติ สามารถเป็นเครือข่ายเป็นหูเป็นตาในการให้ข่าวสารกับทางราชการ ร่วมมือในกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รู้จักบทบาทหน้าที่ของการเป็นสมาชิกศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีความเสียสละ และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติบ้านเมืองต่อไป


ภาพ/ข่าว  กองกิจการพลเรือนทัพเรือภาคที่ 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน !! กรณีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยให้ผู้อื่นร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ให้ประชาชนและร้านอาหารออกมาร่วมกันเปิดร้านซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า

จากกรณีที่มีแกนนำกลุ่ม “ราษฎร” ได้ประกาศบนสื่อสังคมออนไลน์ ชักชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมการเปิดร้านอาหาร หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 6 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป หลังจากที่มีการโพสต์เรื่องราวดังกล่าว ก็มีพี่น้องประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นและสนใจ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และขอเตือนไปยังผู้ที่ประกาศชักชวน รวมถึงผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างถึงที่สุด

ดังเช่นในกรณีที่มีการจัดกิจกรรมชุมนุมรวมถึงกิจกรรมลักษณะเดียวกับกิจกรรมข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 2-4 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานและ มีบุคคลที่ต้องถูกดำเนินคดีกว่า 70 ราย และจะยังมีเพิ่มเติมอีกในภายหลัง

การกระทำในส่วนของผู้ที่ประกาศชักชวนนั้น เข้าข่ายความผิดฐานทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14(3), ความผิดฐานโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด มีโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 ส่วนผู้ที่ออกมาร่วมกิจกรรม เข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว ซึ่งการออกมาทำกิจกรรมหรือการชุมนุมในห้วงนี้นั้นเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลโดยเคร่งครัด เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐบาล ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า การชักชวนให้ผู้อื่นออกมากระทำสิ่งผิดกฎหมายนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด และขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูลข่าวสาร หลีกเลี่ยงการถูกชักชวนให้กระทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สืบ สตม.เปิดยุทธการ “ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ” บุกจับกุม หัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดชาวเยอรมัน หนีมากบดานที่ไทย

บก.สส.สตม.เปิดยุทธการ ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ ( Operation 2 Island ) นำหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนและหมายค้น เข้าจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวเยอรมัน คดีค้ายาเสพติดที่ทางการเยอรมันต้องการตัวเนื่องจากเป็นหัวหน้าขบวนการผลิตและค้ายาเสพติด(สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท) ให้กลุ่มแก๊งกระจายออกขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายเสพแล้วถึงกับเสียชีวิต หลังก่อคดีหนีกบดานที่ประเทศไทยนายหลายปี ทางการเยอรมันประสานทางการไทยให้จับกุมและส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมทีมสืบสวน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย,พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ปฎิญญา จีรชนาสิน ผกก.๒ บก.สส.สตม. ติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดชาวเยอรมัน ตามที่สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทยขอให้ส่งตัว นาย Alex KARTUN สัญชาติเยอรมันและรัสเซีย และนาย Alexander WOLFIEN สัญชาติเยอรมัน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีความผิดฐานค้ายาเสพติด (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 14 คดี  ความผิดฐานค้าสารที่ออกฤทธิ์ทางประสาทชนิดใหม่ (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 2 คดี 

ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ข้อมูลว่า ได้ทำการจับกุมกลุ่มขบวนการผลิตยาเสพติด จำนวนประมาณ 20 คน ซึ่งทำการผสมสารเคมีกับสารสมุนไพร ให้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหมือนกัญชา และกระจายขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายถึงแก่ความตาย แต่ปรากฏว่า นาย Alex KURTEN ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว ได้หลบหนีออกจากเยอรมัน พร้อมกับลูกน้อง นาย Alexander WOLFIEN จึงได้มีการออกหมายจับ และหมายแดง Interpol ในเวลาต่อมา

จากนั้น ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ส่งคำร้องขอต่อรัฐบาลไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจาก มีข้อมูลว่าบุคคลทั้งสองราย ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย ศาลอาญาจึงออกหมายจับ นายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) และ นายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) (หมายจับศาลอาญาที่ 150/2564 และ 151/2564  ลง 20 เม.ย.64) ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ค้ายาเสพติด” (ผู้ร้ายข้ามแดน)  

หลังจากได้รับคำสั่ง พ.ต.ท.ทวีป ช่างต่อ รอง ผกก.2 บก.สส.สตม. พ.ต.ท.พิเชษฐ์ แสงบัณฑิตย์ สว.กก.2 บก.สส.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้แบ่งกำลังออกสืบสวนติดตาม และเฝ้าสังเกตการณ์ จากการสืบสวนทราบว่านายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) กบดานอยู่ที่วิลล่าหรูบนเกาะพะงัน จว.สุราษฎร์ธานี ส่วนนายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) กบดานอยู่ที่บริเวณใกล้กับหาดราไวย์ เกาะภูเก็ต โดยทั้งสองคนอยู่กับกลุ่มเพื่อนชาวรัสเซียที่คอยให้ความช่วยเหลือและเป็นหูเป็นตาให้หากมีเจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการติดตามสืบสวน เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว วันที่ 6 ก.ค. 2564 จึงได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลจังหวัดสมุย แบ่งกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นทั้งสองแห่ง และจับกุมตัวตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อประสานส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป 

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามขบวนการผลิตและค้ายาเสพติดรายใหญ่ในประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีมายังประเทศไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หากประชาชนพบเห็นการกระทำความผิดของชาวต่างชาติ สามารถแจ้งเบาะแสมายัง สตม. Call center 1178 หรือ www.immigration.go.th

ยะลา - ศปก เบตง เปิดพื้นที่หมู่บ้านและชุมชน หลังครบ 14 วัน ในการสอบสวนโรคไร้ผู้ป่วยเพิ่มตั้งเป้าเปิดเมือง

ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอเบตง เปิดพื้นที่หมู่บ้านและชุมชนที่ปิดตามคำสั่ง ศบค.ยะลา เพื่อผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมภายหลังถูกปิดพื้นที่เสี่ยงเพื่อทำการสอบสวนโรคครบ 14 วัน ไร้ผู้ป่วยเพิ่ม นายอำเภอเบตงกำชับอย่าประมาทให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายภายในเดือนตุลาคมนี้ ประชาชนในพื้นที่ต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เมืองเบตงในการเตรียเปิดเมืองเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 6 ก.ค.64 ที่จุดปิดพื้นที่เสี่ยงชุมชนกุนุงจานอง ในเขตเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตงและผอ.ศปก.อ.เบตง เป็นประธานเปิดหมู่บ้านพื้นที่เสี่ยงหลังปิดครบ 14 วัน เพื่อทำการสอบสวนโรค โดยมี นายสกุล เล็งลัคน์กุล นายกเทศมนตรีเมืองเบตง พร้อม สมาชิกสภาเทศบาล คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา สาขาเบตง ผู้นำชุมชน หัวหน้าส่วนราชการ และคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคอำเภอเบตง (ศปก.อ.เบตง) ร่วมทำพิธีละหมาดฮายัต เพื่อขอให้ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เกิดความสงบสุขและผ่านพ้นภัยจากโรคไวรัสโควิด-19 โดยเร็ว

นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง กล่าวว่าสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ ข้อมูล ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยยืนยันสะสม 244 ราย แยกเป็นผู้ป่วยในอำเภอเบตง 242 ราย พบใน state Quarantine 2 ราย กำลังรักษา 108 ราย รักษาหายแล้ว 131 ราย ส่งต่อ 1 ราย และเสียชีวิตสะสม 4 ราย พร้อมทั้งแผนการฉีดวัคซีนทุกกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่อำเภอเบตง เดือนกรกฎาคม 2564 ให้ได้จำนวน 6,582 คน ซึ่งขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 6,427 คน คิดเป็น 17% จากเป้าหมาย 37,087 คน และตั้งเป้าหมายภายในเดือนตุลาคมนี้ ต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เมืองเบตงในการเตรียมพร้อมเปิดเมืองรองรับการท่องเที่ยว

ส่วนมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ได้มีการคัดกรองเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่มาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและพื้นที่อื่น ๆ ณ ด่านตรวจคัดกรอง กม.23 การตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยงระหว่างวันที่ 5-11 กรกฎาคม 2564 ในชุมชนและหมู่บ้านพื้นที่เสี่ยง มาตรการควบคุมดูแลการขนส่งสินค้าเข้า-ออกระหว่างประเทศและการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านด่านพรมแดนเบตง พร้อมกำชับแคมป์ก่อสร้าง โรงงานงดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในพื้นที่

นอกจากนี้ในวันนี้ได้ทำการเปิดพื้นที่เสี่ยง จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย 1.บ้าน กม.32 ม.2 ต.อัยเยอร์เวง 2.บ้านธารมะลิ ม.4 ต.อัยเยอร์เวง 3.บ้านบาแตตูแง ม.2 ต.ธารน้ำทิพย์ 4.ชุมชนบูเก็ตตักโกร ต.เบตง 5.ชุมชนกือติง ต.เบตง และ 6.ชุมชนกุนุงจนอง ต.เบตง เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มหลังจากปิดพื้นที่มาแล้วกว่า 14 วัน

สำหรับมาตรการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมตามคำสั่ง ศบค.ยะลา ที่ 132/2564 ขณะนี้มีร้านค้าและสถานประกอบการในพื้นที่ที่ได้ยื่นคำร้องและผ่านการประเมินแล้วจำนวน 8 ราย หากร้านค้าหรือสถานประกอบการใดที่จะขออนุญาตเปิดกิจการสามารถยื่นคำร้องต่อ ศปก.อำเภอได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รวมทั้งมาตรการรับซื้อส่งออกผลไม้จังหวัดยะลาตามคำสั่ง ศบค.ยะลา ที่ 108/2564 ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนสถานประกอบการต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดยะลาและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เบตงรวมพลัง DMHTTA (อยู่ห่างไว้ ใส่แมสก์กัน หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจหาเชื้อโควิด ใช้แอพลิเคชั่นไทยชนะและหมอชนะ) และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 100%


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง

ขอนแก่น - ชาวขอนแกนยืนรอต่อคิวลุ้นรับทองคำ จากการฉีดวัคซีนแน่นห้องประชุม ขณะที่เจ้าหน้าที่จัดเก้าอี้ให้นั่งอยู่กับที่ ลดการสัมผัสและเว้นระยะห่าง พร้อมส่งทีมแพทย์-พยาบาล ตรวจคัดกรองและให้บริการวัคซีนในทุกขั้นตอน

ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอพล จ.ขอนแก่น ตลอดทั้งวันมีประชาชนที่ได้รับการยืนยันการฉีดวัคซีนจาก รพ.พล ทยอยเดินทางมายืนยันตัวตนและเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามแผนการฉีดวัคซีนของ รพ.พล ที่ดำเนินการตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 20 ก.ค.ตามแผนการบริหารจัดการวัคซีนจากสำนักงานสาธาณสุขจังหวัดและคณะกรรมการควบคุมโรค จ.ขอนแก่นได้กำหนดไว้ โดยในวันนี้ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. เป็นรอบคิวการฉีดวัคซีนของคนในเขตเทศบาลเมืองเมืองพล ทำให้มีประชาชนที่ได้รับการยืนยันสิทธิ์ทยอยกันเดินทางมาฉีดวัคซีนกันอย่างต่อเนื่อง โดยมี นพ.ประวีร์  คำศรีสุข ผอ.รพ. และ นายกิตติโชติ  เตรียมวุฒิไกร นายกเทศมนตรีเมืองเมืองพล คอยกำกับควบคุมการฉีดวัคซีนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด

ซึ่งในการจัดจุดฉีดวัคซีนของศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยหน่วยฉีดวัคซีนเครือข่ายบริการสุขภาพ อ.พล ซึ่งนอกจากการลงทะเบียนและการตรวจวัดความดัน และการตรวจคัดกรองตามระบบที่กำหนดแล้ว ภายหลังจากการพบแพทย์ จะเข้าสู่ขั้นตอนของการฉีด ซึ่งพบว่า ที่หน่วยฉีดแห่งนี้ ได้จัดให้ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน ได้นั่งประจำที่ ตามแถวที่กำหนด แถวละ 11 คน โดยเมื่อครบจำนวนคนแล้ว ทีมแพทย์และพยาบาล จะทำการยืนยันตัวบุคคลในขั้นตอนสุดท้ายแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการฉีดแบบล้อลาก คือให้ผู้ที่รับการฉีดวัคซีนนั้นได้นั่งอยู่กับที่ ตั้งแต่ขั้นตอนการยืนยันรายชื่อ การฉีดวัคซีน การให้ความรู้เกี่ยวกับวัคซีน รวมไปถึงพักรอ 30 นาที และ ออกเอกสารนัดหมายการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ที่ทุกคนจะนั่งอยู๋กับที่โดยไม่ต้องขยับตัวไปไหน โดยมีทีมแพทย์ และพยาบาล คอยสังเกตอาการและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และเมื่อครบกำหนดพักรอ 30 นาที ทุกคนจะเดินผ่านจุดบริการของเทศบาลเมืองเมืองพล ในการร่วมลุ้นรับรางวัลทองคำหนัก 1 สลึง 3 เส้น ที่ผู้มีจิตศรัทธาและเทศบาลเมืองเมืองพล ได้จัดเตรียมไว้ สำหรับการร่วมรับโชคให้กับผู้ที่มารับการฉีดวัคซีนตามที่รัฐบาลได้รณรงค์ให้คนไทยทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

นายกิตติโชติ  เตรียมเวชวุฒิไกร นายกเทศมนตรีเมืองเมืองพล กล่าวว่า ในเขตเทศบาลเมืองเมืองพล มีประชากรกว่า 8,000 คน ซึ่งเป้าหมายของการฉีดวัคซีนตามที่รัฐบาล และ ทางจังหวัดกำหนดนั้นคือให้ได้ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าคนในเขตเทศบาลเมืองเมืองพล จะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 คนและในจำนวนนี้แยกเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคประมาณ 3,000 คน ดังนั้นเมื่อรัฐบาลได้กำหนดให้ อปท.และทุกพื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ลงพื้นที่เชิญชวนให้ประชาชนในพื้นที่ได้มารับการฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุด เทศบาลฯจึงร่วมกับผู้ใจบุญ แจกโชคให้กับผู้ที่มาฉีดวัคซีนด้วยการจับสลากทองคำ น้ำหนัก  1 สลึง  3 เส้นให้กับผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค.

“ผู้ที่จะมาสิทธิ์ได้ลุ้นรับโชคนั้นจะต้องเป็นคนในเขตเทศบาลเมืองเมืองพล และมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาลฯเท่านั้น โดยจำกัดให้เฉพาะกับผู้สูงอายุ คือเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนนั้นได้มารับวัคซีนตามที่รัฐบาลได้จัดสรรให้ ดังนั้นวันนี้วันแรกของการฉีดวัคซีน รอบคิวของเทศบาลและพื้นที่ตำบลข้างเคียงทำให้มีประชาชนมายืนรอต่อคิวแบบ New Normal รับการฉีดวัคซีนกันตั้งแต่ช่วงเช้า”

นายกเทศมนตรีเมืองเมืองพล กล่าวต่ออีกว่า เมื่อผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วและเป็นคนในเขตเทศบาลเมืองเมืองพล และมีทะเบียนบ้านในเขตเทศบาลฯเจ้าหน้าที่จะให้บัตรชิงโชค โดยที่ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้รับบัตรที่มีต้นขั้วและเรียงลำดับหมายเลข จะมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดเพื่อให้ส่งเอกสารชิงรางวัล ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับคูปองส่วนลดร้านอาหารในเขตเทศบาลฯที่มีเข้าร่วมกว่า 50 ร้าน ที่ทั้งลดแลกแจกแถมให้กับผู้ที่มาฉีดวัคซีนที่ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ครั้งสำคัญของคน อ.พล อย่างไรก็ตามเมื่อครบกำหนดการฉีดวัคซีนในวันที่ 9 ก.ค.แล้ว เจ้าหน้าที่จะรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบรายชื่อ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและเป็นคนในเขตเทศบาลฯได้ลุ้นรับทองคำที่เป็นรางวัลใหญ่ 3 รางวัล รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธาได้มาร่วมบริจาค โดยจะทำการจับรางวัลในวันที่ 16 ก.ค.ที่จะถึงนี้

เตือนประชาชน !! ระวังตกเป็นเหยื่อ วายร้ายในคราบนักบุญ แอบอ้างขอรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ จว.สมุทรปราการ

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จว.สมุทรปราการ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย ที่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เกิดเหตุจนเสียชีวิตนั้น ปรากฎว่าในสื่อสังคมออนไลน์ มีมิจฉาชีพแอบอ้างขอรับการบริจาคเงินจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา

ขอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นภัยสังคม เป็นการฉวยโอกาสก่อเหตุโดยอาศัยความเดือดร้อนของผู้อื่น และจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลแอบอ้างดังกล่าว หากประสงค์จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวในทุกกรณี ขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมูลการขอรับการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพราะอาจมีการแอบอ้างโดยมิจฉาชีพได้ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือจากแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ

สำหรับผู้ที่กระทำความผิดในการแอบอ้างขอรับบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จะมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สุโขทัย - อบจ.สุโขทัย ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน แก่ประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้มีรายได้

วันที่ 5 กรกฏาคม 2564 นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย มอบหมายให้ นางกัลยากร จั่นแก้ว เลขานุการ อบจ. นางสาวศรีสุรางค์ จูทอง หัวหน้าสำนักปลัด อบจ. พร้อม บุคลากรในสังกัด อบจ.สุโขทัย ลงพื้นที่มอบเงินช่วยเหลือ ตามโครงการ อบจ.สุโขทัย ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน ประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้มีรายได้น้อย ในพื้นที่ จ.สุโขทัย รายละ 3,000 บาท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในเขต ต.บ้านกล้วย ในเขต ต.ธานี อ.เมืองสุโขทัย ณ สำนักงานเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี และในเขต ต.ไกรนอก ต.กกแรต ต.บ้านใหม่สุขเกษม อ.กงไกรลาศ  ณ หอประชุม อบต.ไกรนอก

โดยมีนายเชนท์ ผาสุก สมาชิกสภา อบจ.สุโขทัย อ.เมือง เขต 1 นายประทีป สุริเย สมาชิกสภา อบจ.สุโขทัย อ.เมือง เขต 2 นายลูกคิด ไกรสีกาจ สมาชิกสภา อบจ.สุโขทัย อ.กงไกรลาศ เขต 1 นายพัฒ ตั้งเบญจผล สมาชิกสภา อบจ.สุโขทัย อ.กงไกรลาศ เขต 2 ผู้นำท้องที่-ท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่มอบเงินตามโครงการดังกล่าว

ชลบุรี - พัทยา แจงภาพ ปชช.รอรับแจกของในโซเชียล เป็นการวางระบบตามมาตรการป้องกันโควิด

ตามที่มีภาพนำเสนอ ในสื่อโซเชียลเป็นภาพผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังเข้าคิวรอรับแจกอาหารบริเวณชายหาดเมืองพัทยา จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา และเป็นที่สนใจต่อสาธารณชนอยู่ในขณะนี้นั้น

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่า จากภาพที่เห็นหากมองมุมเดียวก็จะเห็นถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านจากผลกระทบโควิด-19 แต่ถ้ามองภาพรวมจะเห็นได้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีคนไทยผู้ใจบุญอีกเป็นจำนวนมากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก ในภาพก็จะเป้นกลุ่มลูกหลานของเพื่อนของตนเองที่ขออนุญาตทางเมืองพัทยาเตรียมอาหารมาแจกจ่ายให้ประชาชน

ซึ่งในทุกระลอกของการแพร่ระบาดก็จะเห็นคนไทยใจดีออกมาช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ให้สังคมมากขึ้น แต่ต้องมีการขออนุญาตกับทางเมืองพัทยาเพื่อเป็นไปตามมาตรการการควบคุมและป้องกันโรคระบาดของ ศบค. เป็นการเน้นย้ำการรักษาและปฏิบัติตามาตรการเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้นในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งประชาชนที่มารับแจกจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก ดูแลไม่ให้เกิดภาวะเสี่ยงตลอดจนจบกิจกรรม


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ตม.เลย รวบต่างด้าวไม่ยอมกลับประเทศ หนีความลำบาก เสี่ยงแพร่เชื้อโควิด-19

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์ ผกก.ตม.จว.เลย ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตม.จว.เลย บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามนโยบายสกัดกั้น ป้องกันบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโควิด–19 เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่ จ.เลย โดยสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวได้ 7 ราย กระทำผิดฐาน “อยู่ในรายอาณาจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต” จำนวน 4 ราย และ “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 3 ราย

ตม.จว.เลย ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบบุคคลต่างด้าว พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติ ลาว จำนวน 7 คน กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

 1. MRS.BOUATOUM อายุ 33 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 2. MRS.LAE อายุ 33 ปี อยู่เกิน 116 วัน

 3. MR.BOUNYOK อายุ 38 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 4. MR.LATH อายุ 37 ปี อยู่เกิน 166 วัน

 5. ท้าวไร่ อายุ 13 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 6. MR.BOUN อายุ 19 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 7. MRS.MOR อายุ 20 ปี หลบหนีเข้าเมือง

จากการสอบถามบุคคลต่างด้าวแจ้งว่า ตนกับพวกรับจ้างใช้แรงงานอยู่ในจังหวัดในภาคใต้ ต่อมาถูกเลิกจ้าง ตนกับพวก จึงต้องการเดินทางกลับ สปป.ลาว แต่เมื่อมาถึง จ.เลย เห็นว่า เมื่อกลับไปแล้วจะไม่มีงานไม่มีรายได้ จึงลักลอบอยู่ในพื้นที่ จ.เลย และหางานทำ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุม โดยท้าวไร่ อายุ 13 ปี ตรวจไม่พบเอกสารสำคัญประจำตัว โดยรับว่าตนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเพื่อมาพักอาศัยอยู่กับ MR.BOUNYOK และ MRS.BOUATOUM บิดามารดา ส่วน MR.BOUN และ MRS.MOR รับว่าพวกตนลักลอบเดินทางข้ามแม่น้ำเหือง ช่วงก่อนสงกรานต์ เพื่อเข้ามาหางานทำ จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองเลย ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

นราธิวาส - "บิ๊กอู๊ด" ชี้ หากคุมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้ มีโอกาสทยอยเปิดเมืองท่องเที่ยวทั่วไทย

วันที่ 4 ก.ค. 64 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.ได้เดินทางมายังด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อมอบสิ่งของบำรุงขวัญและเยี่ยมให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ 7 หน่วยงานหลัก ที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก รวมไปถึงปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนและช่องทางข้ามธรรมชาติ ที่ทุกหน่วยงานหลักมีความเสียสละ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด 19 โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่ตรวจพบว่ามีการแพร่ระบาดจากพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน จากบุคคลที่ลักลอบข้ามแดนจากช่องทางธรรมชาติ

ต่อมา พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ได้เข้ารับฟังบรรยายสรุป ณ ห้องประชุมชั้น 3 ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ พ.ต.อ.ศุภชาติ เวชพร ผกก.ตม.จว.นราธิวาส พ.อ.อายุพันธ์ กรรณสูต ผู้บังคับชุดควบคุมป้องกันชายแดน นายวัลลภ วุฒาพาณิชย์ นายด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก นายปรีชา นวลน้อย ปลัด จ.นราธิวาส นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ฯลฯ

ซึ่งในที่ประชุมมีใจความพอสรุปได้ว่า ขณะนี้ประเทศมาเลเซียได้ประกาศปิดประเทศแบบไม่มีกำหนด โดยยอดผู้หลบหนีเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติในปี 2563 ที่ผ่านมามีจำนวน 434 คน ส่วนปี 64 จากต้นปีถึงปัจจุบันมีผู้ลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติลดลง เหลือเพียง 172 คน จากมาตรการความร่วมมือของชาวบ้านที่ช่วยชี้เบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ โดยพื้นที่ที่มีการลักลอบเข้าเมืองมากที่สุด คือ สุไหงโก-ลก คิดเป็นร้อยละ 75 และมีมาตรการคัดกรองโรคเข้มข้น จนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จากประเทศเพื่อนบ้านในขณะนี้ มีตัวเลขเป็น 0 และพบว่าที่ระบาดในขณะนี้เป็นการระบาดของกลุ่มบุคคลภายในประเทศเท่านั้น

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ทุ่มเทเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้เราสามารถควบคุมบุคคลที่แอบลักลอบเข้าทางช่องทางธรรมชาติได้ แต่อย่าประมาทการปฏิบัติหน้าที่ต้องมีความเข้มงวด ปล่อยปะละเลยหรือละหลวมเมื่อใดเขาอาจจะจ้องแอบลักลอบเข้ามาในประเทศได้ และยากต่อการควบคุมหากโควิด19 จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาระบาดอีกครั้ง

หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ได้เดินทางไปยังสะพานด่านพรมแดน โดยมี พ.ต.อ.ศุภชาติ เวชกร ผกก.ตม.จว.นราธิวาส นำชมการจัดกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางธรรมชาติ ที่มีแม่น้ำสุไหงโก-ลก ซึ่งมีความกว้างประมาณ 50 ถึง 70 เมตร เป็นเขตแบ่งพรมแดนกับพื้นที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งง่ายต่อการลักลอบเดินทางข้ามมายังพื้นที่ จ.นราธิวาส ซึ่งปัจจุบันที่เจ้าหน้าที่ทหารชุดควบคุมป้องกันชายแดน ถูกส่งตัวมาปฏิบัติหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกันตลอด 24 ชั่วโมง

ซึ่งก่อนเดินทางกลับ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. เปิดเผยว่า การทำงานนั้นต้องบูรณาการกันและเฝ้าระวัง สิ่งสำคัญถ้าพบเห็นการลักลอบเข้าเมืองนั้น ต้องมีมาตรการในการป้องกันประสานทาง จนท.สาธารณสุข โดยภาพรวมการทำงานมีความเข้มแข็งจากการบูรณาการทั้งจังหวัด

ส่วน ตม.เป็นการเสริมการป้องกันลักลอบเข้าเมือง นโยบายของรัฐบาลที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ มีมาตรการนักท่องเที่ยวที่เข้ามาต้องฉีดยาวัคซีนป้องกันครบโดส และต้องผ่านการตรวจหาเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง ถ้าได้ผลดีผมเชื่อว่าคงขยายไปเมืองท่องเที่ยวต่างๆทั่วประเทศ ถ้าป้องกันการแพร่ขายได้ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะว่าต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวก็จะมีการจับจ่ายใช้สอยสร้างรายได้ให้กับคนไทยเรา


ภาพ/ข่าว  กรียา นราธิวาส

โรงงานระเบิด !! ทำบ้านเรือนเสียหายหลายร้อยหลัง ขณะที่ผู้ว่าสั่งอพยพชาวบ้านรัศมี 5 กิโลเมตร

จากกรณีเมื่อช่วงกลางดึกเมื่อคืนนี้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ภายในบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการได้เกิดรั่วและระเบิดขึ้นทำให้ไฟไหม้ตัวโรงงานส่วนแรงระเบิดทำให้โรงงานในละแวกใกล้เคียงและบ้านเรือนประชาชนร่วมทั้งหมู่บ้านหรูที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร หลายร้อยหลังคาเรือนได้รับความเสียหายกระจกฝ้าเพดานรวมทั้งหลังแตกกระจายล่วงลงมา ส่วนโรงงานใกล้เคียงอาคารและหนังปูนถูกแรงอัดจนถล่มลงมาได้รับความเสียหาย และตั้งแต่เกิดเหตุมาจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้เพลิงยังคงลุกลามเข้าใกล้ถังบรรจุเคมีขนาด 20,000 ลิตรหรือ 30 ตัน ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของโรงงาน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าฉีดน้ำสกัดได้เนื่องจากมีกลุ่มควันสีดำที่เกิดจากการเผาไหม้เม็ดโฟรมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ได้ระดมน้ำยาโฟรมจำนวนมากเข้าทำการฉีดสกัดแต่ยังไม่เป็นผลเนื่องจากลมมีการเปลี่ยนทิศตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้เพลิงยังคงลุกโหมอย่างรุนแรง

หลังเกิดเหตุ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจากการประเมิลสถานการณ์คาดว่าไม่น่าจะปล่อยภัยเนื่องจากเปลวไฟยังลุกโหมอย่างรุนแรงและเข้าประชิดตัวถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ของโรงงาน จึงได้มีการประกาศให้ประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรทำการอพยพ ออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงหากควบคุมเพลิงยังไม่ได้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่อาจเกิดการระเบิดได้ชาวบ้านและประชาชนจะได้รับอันตรายจึงได้สั่งอพยพประชาชนทั้งหมดออกจากพื้นที่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนต่างพากันแตกตื่นและเร่งอพยพออกจากบ้านโดยได้รับร่วมมือจากเจ้าหน้าที่อาสาและมูลนิธิต่าง ๆ ที่ระดมกำลังกันมาช่วยกันขนประชาชนออกนอกพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อความปล่อยภัย โดยได้มีการจัดเตรียมสถานที่เอาไว้ที่บริเวณลานอเนกประสงข้างที่ทำการ อบต.บางพลีใหญ่ และ ลานดินข้างมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมทั้งลานด้านหน้าโรงเรียนบางพลีอนุสรณ์ ไว้ลองรับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลำเลียงประชาชนออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่ามีการร้องขอเฮลีคอปเตอร์ ที่ใช้ดับไฟป่าลำเลียงน้ำเข้ามาปล่อยน้ำเพื่อดับเพลิง  ส่วนค่าเสียหายคาดว่าหลายร้อยล้าน

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกิ่งแก้ว ห่างจากจุดทีเกิดเหตุประมาณ 500 เมตรได้เร่งย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลโดยใช้รถของโรงพยาบาลและรถสองแถว กระจายไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุจึงกลายเป็นจุดที่อันตราย


ภาพ /ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

นิพนธ์ รุดติดตามเหตุไฟไหม้ โรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ร่วมถกด่วน “ปภ.-ผู้ว่าฯ ปากน้ำ-ทีมผู้เชี่ยวชาญ” ระดมสรรพกำลังหนุนดับไฟ สั่งฮ.2 ลำบินดับเพลิงทางอากาศ

มูลนิธิร่วมกตัญญู ถนนกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ด่วนติดตามสถานการณ์กรณีโรงงานกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเดียวกัน

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "กระทรวงมหาดไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ โดยได้ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งเครื่องจักรกลสนับสนุนการดับเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกกิ่งแก้ว พร้อมด้วยเครื่องจักรกลสาธารณภัยสนับสนุนการดับเพลิงฯ ประกอบด้วย รถหอน้ำ รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถบรรทุกน้ำช่วยดับเพลิง รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเพื่อขนโฟมดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ ซึ่งจนท.นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินโปรยโฟมเพื่อดับเพลิงทางอากาศไปแล้ว 3 รอบ โดยจะวางแผนและประเมินสถานการณ์การขึ้นบินเป็นระยะ ซึ่งนักบินขอปรับแผนเป็นเทโฟม 300 ลิตรผสมน้ำ 3,000 ลิตร โปรยโฟมแบบเต็มพื้นที่ พร้อมสนธิกำลังภาคพื้นดิน สถานการณ์โดยรอบยังมีเพลิงลุกไหม้และมีกลุ่มควันดำหนาแน่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าปฏิบัติ เนื่องจากจะต้องทำการบินระดับต่ำ และประเมินเหตุระเบิดซ้ำจากถังสารเคมีที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวกันได้สั่งประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานดังกล่าวในรัศมี 5 กิโลเมต รอพยพด่วน เนื่องจากยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ และหวั่นไฟลามไปติดถังสารเคมี 20,000 ลิตรที่อยู่ใกล้เคียง"

สำหรับการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เป็นไปตามระเบียบการดูแลสถานการณ์ในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ และขอให้ปฎิบัติตามกลไกลในการดูแลอย่างรวดเร็วที่สุด” นายนิพนธ์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 16.15 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แถลงรายงานความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด โดยยืนยัน เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว 1 บ่อ แต่ยังมีอีก 1 บ่อที่จะต้องใช้อากาศยานเข้าไประงับเหตุ ก่อนจะใช้ทีมภาคพื้นดินเข้าตามไป เบื้องต้นหากเป็นไปตามแผน คาดจะสามารถทำให้เพลิงสงบได้ในระยะเวลาไม่นานนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้โฟมผสมน้ำในการรักษาอุณหภูมิจุดที่เกิดเพลิงไหม้ และระดมทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงาน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top