Thursday, 10 July 2025
SPECIAL

จับ ‘กัญชาบิ๊กล็อต’ !! ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี แถลงจับ พร้อมขบวนการ

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พล.ต.บุญสิน พาดกลาง ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ พ.อ.วิระ สอนถม รอง ผอ.รมน.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.จารึก พุ่มระย้า ผกก.สภ.หว้านใหญ่ ร่วมกันแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติได้ผู้ต้องหา 2 คน พร้อมกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน  528 แท่ง

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายสมศักดิ์  บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบกลุ่มคนกำลังขนห่อพลาสติกสีดำขนาดใหญ่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านโป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กองร้อยเคลื่อนที่เร็วที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หว้านใหญ่ ออกไปตรวจสอบบริเวณพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งพบนายอาทร มีลา หรือโอม อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 10 ม.4 บ้านนาดี ต.คำใหญ่ อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ และนายธนพงศ์ ศรีประสงค์ หรือไมค์ อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 3 ม.8 บ้านสุขสำราญ ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พร้อมพวกกำลังช่วยกันขนห่อพลาสติกขนาดใหญ่ขึ้นจากริมฝั่งแม่น้ำโขงมาซุกซ่อนไว้บริเวณป่าละเมาะที่อยู่บริเวณริมตลิ่ง เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันวิ่งหลบหนีแต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามไปควบคุมตัวนายอาทรและนายธนพงศ์ไว้ได้

จากการตรวจสอบบริเวณพื้นที่โดยรอบ พบห่อพลาสติกบรรจุสิ่งของสีดำขนาดใหญ่ถูกวางทิ้งไว้รวม 12 ห่อ เมื่อเปิดออกดูพบว่าภายในเป็นกระสอบบรรจุกัญชาแห้งอัดแท่งหุ้มด้วยแผ่นฟอยล์สีทองรวม 528 แท่ง น้ำหนักประมาณ 528 กก. โดยนายอาทรและนายธนพงศ์ให้การยอมรับว่าร่วมกันขนกัญชาแห้งอัดแท่งจริงและทำมาแล้วหลายครั้ง โดยได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 4,000 - 7,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ(กัญชา)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และควบคุมตัวพร้อมกับกัญชาแห้งอัดแท่งของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.หว้านใหญ่ เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย

พังงา – ด่วน พบผู้ป่วยใหม่ 21 ราย กลุ่มนักเรียนศาสนากลับจากปัตตานี โครงการรับลูกหลานชาวพังงากลับบ้าน

วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ที่ศาลากลางจังหวัดพังงา นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกเมษายน 2564 โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดจังหวัดพังงามีผู้ป่วยสะสมรวม383ราย วันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ 21 ราย เป็นเด็กผู้ชาย 14 ราย เด็กผู้หญิง 7 ราย ทั้งหมดเป็นกลุ่มเด็กนักเรียนโรงเรียนจงรักสัตย์วิทยาจังหวัดปัตตานี ซึ่งเดินทางกลับมาเพื่อรักษาตัวในจังหวัดพังงา ตามโครงการรับลูกหลานชาวพังงากลับมารักษาตัวที่บ้าน ซึ่งจังหวัดพังงาได้เปิดโครงการนี้ขึ้นเพื่อจะได้ดูแลพี่น้องชาวพังงาที่มีความยากลำบากในการอยู่อาศัยและรักษาตัวอยู่ในจังหวัดอื่น จะได้กลับมาบ้านเกิด โดยทุกคนจะต้องดำเนินการตามมาตรการของสำนักงานสาธารรสุขจังหวัดพังงาอย่างเคร่งครัด

สำหรับโครงการรับลูกหลานชาวพังงากลับบ้าน มีผู้เดินทางกลับมาจากกรุงเทพ 1 ราย ประทุมธานี 4 รายกลุ่มนักเรียนศาสนาเดินทางกลับมาจากโรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา จังหวัดปัตตานี 59 ราย พบผู้ป่วยแล้ว33ราย

สำหรับสถานการณ์การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อโควิด 19 มีผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน-วันที่ 11 กรกฎาคม 2564 รวม 383 ราย ผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 322 ราย เสียชีวิต 1 ราย กำลังรักษา 48 ราย รับผู้ป่วยจากต่างจังหวัด 33 ราย ในพื้นที่ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ 3 วันต่อเนื่อง


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี / พังงา

ปทุมธานี - โควิดบุกหนัก จิตอาสาแชมป์โลก จำถอดใจ ช่วยส่งใจ ถึงแค่ 19 ก.ค.นี้

สืบเนื่องด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด แพร่ระบาดหนักขึ้นทุกวันเป็นจำนวนตัวเลขที่น่าตกใจ ล่าสุด นายนริส ห่วงใย เขาทรายและทีมงานจิตอาสา ที่ต้องเสี่ยงภัยเพื่อความปลอดภัย สรุปจะตระเวณส่งเสบียงให้แพทย์สนาม ได้จนถึงวันที่ 19 กรกฏาคม 64 ศกนี้เท่านั้น

กิจกรรมจิตอาสาของ ชมรมวีรบุรุษแชมป์โลกไทย ภายใต้การสนับสนุนของ นายนริส สิงหวังชา ซึ่งมี เขาทราย แกแล็คซี่ เป็นประธานชมรมพร้อมอดีตแชมป์โลก ตลอดจนผู้ร่วมมีจิตศรัทธาสมทบทุนมากมาย บริจาคข้าวกล่อง-น้ำดื่ม ไปตระเวณมอบให้ แพทย์ เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลสนาม หลายแห่งซึ่งดูแลผู้ป่วยโควิด และดำเนินกิจกรรมมาเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

ล่าสุดวันที่ 12 ก.ค.64 เขาทราย แกแล็คซี่ พร้อมด้วย นายศุภกฤษ พิบูลศิลป์  ยูทูปเบอร์จากช่อง god dragon พร้อมทีมงาน ทีม shock story และทีมงาน สักกะผี นำข้าวกล่อง ก๋วยเตี๋ยว พร้อมน้ำดื่ม ไปมอบที่ โรงพยาบาล ประชาธิปัตย์ อ.รังสิต จ.ปทุมธานี ซึ่งมี "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ และ ยูทูปเบอร์ ช่วยสนับสนุนเรื่องอาหารเพิ่มเติม

หลังการรับมอบ เขาทราย เปิดใจกับสื่อว่า "การดำเนินการต้องรีบกระทำอย่างเร่งด่วน ให้รวบรัดและเสร็จสิ้นโดยใช้เวลาไม่นาน วันนี้ต้องขอบคุณน้อง ๆ ทีมงานยูทูปเบอร์ที่มาช่วย เพราะเป็นที่ทราบกันจากข่าวรายวัน ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ บางวันเก้าพันคนบางวันแปดพันคน เฉลี่ยแต่ละวันยอดพุ่งเกือบถึงหมื่น"

อดีตแชมป์โลกใจบุญกล่าวอีกว่า "เท่าที่ทราบข่าว ขณะนี้ บางพื้นที่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่สามารถรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดได้ ถึงขนาดต้องให้คนป่วยกลับไปดูแลตัวเองที่บ้าน และคอยรับยารักษาเท่านั้น ถือเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เมื่อคืนที่ผ่านมา คุณนริส สิงหวังชาได้โทรมาหา และปรึกษาด้วยความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ทั่วไป ของกิจกรรมของชมรมและอดีตแชมป์โลกอีกหลายคน ที่ต้องสุ่มเสี่ยงภายในพื้นที่โรงพยาบาลซึ่งนับว่า มีความอันตราย อาจติดเชื้อโควิดได้ง่าย ๆ และเห็นสมควรว่า เราควรจะหยุดพักกิจกรรมนี้ เพื่อรอดูสถานการณ์ให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น"

"ถือเป็นเรื่องน่าเห็นใจเจ้าหน้าที่แพทย์สนามเหล่านี้เป็นอย่างยิ่งครับ อย่างวันนี้ ตัวผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอง ยังต้องลงมาช่วยขนน้ำดื่มข้าวกล่องด้วยตัวเอง เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานกันอย่างหนักมาก เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่งจำนวยเยอะขึ้นทุกวัน คุณหมอท่านยังขออนุญาต นำน้ำดื่มบางส่วนเหล่านี้ไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยด้วยเลย ซึ่งผมก็บอกไปว่า ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่หากเรามีกำลังทุนมากกว่านี้ ก็อยากจะช่วยเหลือแจกจ่ายไปยังผู้ป่วยด้วย ตอนนี้ สภาพโดยรวมทั่วไปภายในโรงพยาบาลแต่ละแห่งที่เราไป น่าเป็นห่วงมากครับ"

เขาทรายกล่าวอีกว่า "อย่างไรก็ตาม ตามเป้าหมายของโครงการ จะทำหน้าที่ให้ครบ อีก 4 ครั้งคือ วันอังคารที่ 13 ก.ค.โรงพยาบาลสนาม สนามศุภชลาศัย ,วันพุธที่ 14 ก.ค. โรงพยาบาล บางใหญ่

โดยพรสวรรค์ ป.ประมุข จะเป็นตัวแทนเดินทางไปมอบข้าว 200 กล่อง ,วันศุกร์ที่ 16 ก.ค. ที่ ศูนย์ฉีดวัคซีน กกท และ วันจันทร์ที่ 19 ก.ค. ที่ โรงพยาบาลสนาม ศุภชลาศัย ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของ กิจกรรม ช่วยเหลือจาก ชมรมวีรบุรุษแชมป์โลกไทย 

"สุดท้ายนี้ ผมจึงขอเรียนเชิญพี่น้องชมรมฯ และทุกท่านผู้มีจิตศรัทธา ที่สะดวกเดินทางมาร่วมมอบกันได้ครับ และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่แพทย์สนาม ตลอดจนผู้ป่วยโควิดทุกท่าน ขอให้อยู่รอดปลอดภัย หายไว ๆ มา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณมากครับ"  แชมป์โลกขวัญใจชาวไทยกล่าว

ดีเดย์บังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน สมุทรปราการเริ่มวันแรกจับจริง หากมีการฝ่าฝืน

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นายณัชวันก์  อัลภาชน์ เตชะเสน นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมือง ออกตรวจเยี่ยมการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดคัดกรองโควิด- 19 ซึ่งเป็นบูรณาการกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 

เพื่อป้องกันการเดินทางข้ามจังหวัด อำเภอ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ บริเวณด่านตรวจจุดสกัดป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิทขาเข้านครบาล หน้าปั้มน้ำมันเชลล์ ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามประกาศคำสั่งการห้อมออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00- 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตามข้อกำหนดมาตร 9 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 27 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้เป็นวันแรก โดยบังคับใช้อย่างน้อย 14 วัน พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดทุกนายปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

โดยนายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียงให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาทราบเรื่องการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจัง สร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจบอกข่าวสารแจ้งประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บังคับใช้ พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง ห้ามเคลื่อนย้ายห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น. ไปจนถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น หากพี่น้องประชาชนที่ยังสัญจรไปมาและอยู่นอกเคหสถานโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ก็จะมีความผิดฐาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน

โดยจะมีการตรวจบัตรประชาชน และหนังสือรับรองเหตุผลความจำเป็นจากหน่วยงานของรัฐ ว่าด้วยเหตุใดที่จำเป็นต้องออกนอกเคหสถานในห่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในวันนี้เป็นการดีเดย์วันแรกของการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.ฉุกเฉิน จึงเน้นการเตือนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ผ่านไปมาได้ทราบและเข้าใจและดูเจตนา และในวันพรุ่งนี้จะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย พรก.ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง หากยังมีการฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามที่ข้อกฎหมายกำหนดก็จะต้องถูกดำเนินคดีส่งฟ้องศาลต่อไป


ภาพ/ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

นนทบุรี – “โครงการบ้านหลังสุดท้าย” วัดราษฎร์ประคองธรรม ขอโรงศพแต่งภายในบุผ้าสวยงาม เพื่อผู้เสียชีวิตโควิด-19 ฌาปนกิจศพฟรี โดยไม่มีเสียค่าใช้จ่าย

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 12 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่วัดราษฎร์ประคองธรรม ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยวัดแห่งนี้ได้รับสงเคราะห์ฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 และศพไร้ญาติ แบบครบวงจรฟรี โดยเริ่มตั้งแต่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิสยามนนทบุรี ไปรับศพออกจากโรงพยาบาลที่เสียชีวิต แล้วนำกลับมาฌาปนกิจศพให้ที่วัดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ตามความเดือดร้อนของประชาชนที่ติดต่อร้องขอเข้ามาที่วัดราษฎร์ประคองธรรมแห่งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตามนโยบายของมหาเถรสมาคมด้วย

โดยพระครูสมุห์ อำนวยโชติปัญโญ หรือพระอาจารย์ กุ่ย เจ้าอาวาสวัดโปรยฝน คลอง 11 ได้ทราบข่าว ว่าทาง พระครูกิตติวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดราษฏร์ประคองธรรม และเป็นเจ้าคณะอำเภอบางใหญ่ จ.นนทบุรี ทางวัดมี "โครงการบ้านหลังสุดท้าย" ในการส่งศพฟรี ฌาปนกิจศพฟรี โดยไม่มีเสียค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็ทราบว่าทางวัดท่านได้ฌาปนกิจศพ ทุกวันวันละ 4-5 ศพ จึงขอรวมเป็นส่วนหนึ่งในการถวายปัจจัยจำนวน 10,000 บาท สนับสนุนค่าน้ำมันในการเผา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมมอบโรงศพให้จำนวน 7 ใบ ในการช่วยเหลือทางวัดอีกแรง ขอเจริญพรฯ

พระครูกิตติวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดราษฏร์ประคองธรรม กล่าวว่า ที่ได้ทำโครงการบ้านหลังสุดท้ายช่วยผู้ยากไร้และผู้ไม่มีทรัพย์ ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดคือโรคโควิค อาจารย์ก็ได้ทำพิธีเผาศพให้ ที่วัดเราเผาทั้งหมดตอนนี้ 113 ศพแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมมานี้ หากโยมท่านใดที่นำลงมาถวายที่วัดอาจารย์ขออย่างเดียว 1 ต้องกุผ้านวมข้างในเป็นสีฟ้า เป็นสีแดงเป็นสีเหลือง หรือสีอะไร ให้กุผ้านวมมาหน่อยนึง และอาจารย์ถึงจะรับถ้าไม่กุผ้านวมมาอาจารย์ไม่อยากรับเลย เพราะว่ามันไม่น่านอน ผีก็อยากได้ของดี เราก็อยากได้ของดี เหมือนกัน เพราะนั้น เราต้องให้ของดีต่อทุก ๆ ศพนะและขอขอบคุณ พระครูสมุห์อำนวยเจ้าอาวาสวัดโปรยฝน ที่นำปัจจัยมาถวายช่วยค่าน้ำมันแก่วัดราษฎร์ประคองธรรม แล้วก็มีมอบโลงศพให้มาด้วย 7 โลงเจริญพร


ภาพ/ข่าว  กำพลศิลป์ วงษ์เดือน ผู้สื่อข่าวนนทบุรี

สมุทรปราการ - "ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ" ให้เกียรติรับมอบน้ำดื่ม 1,200 ขวด เพื่อนำไปข่วยเหลือประชาชน

วันจันทร์ 12 กรกฎาคม 2564 เวลา 14.00 น. ณ.ศาลาว่าการจังหวัดสมุทรปราการ "นายวันขัย คงเกษม" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ให้เกียรติรับมอบน้ำดื่มจำนวน 1,200 ขวด จาก "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน พร้อมด้วย "นายโกสินธ์ จินาอ่อน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์  "นายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร" ผู้อำนวยการข่าวจังหวัดสมุทรปราการ (หนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์) ที่ได้รับบริจาคน้ำดื่ม จาก "นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์" ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ "นายภิญโญ กิจเลิศไพโรจน์" เลขานุการคณะกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ "มูลนิธิกิจเลิศไพโรจน์" ส่งมอบน้ำดื่ม จำนวน 1,200 ขวด เป็นสะพานบุญนำน้ำดื่มจำนวนดังกล่าว มามอบให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ

เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลพี่น้องประชาชน และผู้อาศัย อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ที่กำลังประสบปัญหาจากสถานการณ์เหตุเพลิงไหม้ที่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และผู้ประสบปัญหาจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้

ในการนี้ "นายวันชัย คงเกษม" ผู้ว่าราชการจังหวัด ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรปราการ ที่ทางรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนใช้กำลังกาย กำลังใจ และเครื่องมือต่าง ๆ ในการดำเนินงานช่วยเหลือ ดูแล ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดสมุทรปราการ และผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ มีความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19

อีกทั้ง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ยังแสดงความห่วงใย สุขภาพ อนามัย และความเป็นอยู่ มายังพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดสมุทรปราการ และพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โปรดร่วมแรง ร่วมใจกันปฎิบัติตามมาตรการที่ทางภาครัฐได้ขอ ความร่วมมือ เพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์ นี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ต่อไป

ดีอีเอส-ศปอส.ตร. บุกจับพนันออนไลน์เครือข่าย MGM99 เงินหมุนเวียน 1.2 พันล้าน

ดีอีเอส ประสานความร่วมมือ ศปอส.ตร. วันเดียวบุก 6 จุดเมืองปทุมธานี จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ MGM99 เงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท จ่อใช้ยาแรงทั้ง พ.ร.บ.การพนันฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายฟอกเงิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (12 ก.ค. 64) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เข้าสืบสวนติดตามจับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ เครือข่าย MGM99  โดยจากการสืบสวนพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ ไลน์ไอดี @MGM99VP,@MGM99TH และเว็บไซต์ WWW.PD24H.COM  มีเงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท ดำเนินการมาประมาณ 2 ปี

โดยช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเทคนิคและสืบสวนชุดที่ 1 และ 3   (ศปอส.ตร.)  ได้นำหมายจับผู้ต้องหาศาลแขวงปทุมวันในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดธัญบุรีเพื่อทำการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกระทำความผิด จำนวน 6 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหารวม 18 ราย (ผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ราย ผู้ต้องหาอื่น 15 ราย) พร้อมตรวจยึดของกลางซึ่งรวมถึงรถยนต์หรู 8 คัน และเงินสดของกลางประมาณ  11 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และความผิดฐาน “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่รวมกันมากกว่า 5 คน) ประกอบคำสั่งจังหวัดปทุมธานี ที่ 6728/64 ลง 11 ก.ค. 64” (เฉพาะจุดตรวจค้นที่ 3)

“เนื่องจากคดีการพนันออนไลน์เป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งทาง ศปอส.ตร.จะได้ดำเนินการประสานกับทาง ปปง. เพื่อยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีฐานฟอกเงินต่อไป” นายชัยวัฒน์กล่าว

สำหรับประชาชนที่พบเห็นหรือทราบถึงการกระทำความผิดของผู้ลักลอบชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อันเป็นการมอมเมาเยาวชน และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ https://m.facebook.com/DESMonitor/ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งมายัง ศปอส.ตร. ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1599 และ สายตรง 081-8663000 เวลาราชการ  เพื่อดำเนินการสืบสวนหาพยานหลักฐานจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เชียงใหม่ - มทบ.33 ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ

มณฑลทหารบกที่ 33 ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน ทำการพัฒนาลอกคลองช้างคลาน (สาขาคลองแม่ข่า) ชุมชนบ้านเอื้ออาทรป่าตัน ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 ก.ค.64 โดยได้ดำเนินการลอกคลอง , เก็บจอกแหน , ผักตบชวา , เศษวัชพืช และปรับปรุงภูมิทัศน์สองฝั่งคลอง ระยะทาง 500 เมตร 

โดยมีหน่วยงานร่วมพัฒนาประกอบด้วย มณฑลทหารบกที่ 33 , ศูนย์ปฏิบัติการบริหารการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ( ศป.บส.ชน.) , เทศบาลนครเชียงใหม่ และประชาชนจิตอาสาชุมชนบ้านเอื้ออาทรป่าตัน ซึ่งได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด - 19 อย่างเคร่งครัด 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ได้มอบหมายให้ รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 มาพบปะเยี่ยมให้กำลังใจแก่กำลังพลในการปฏิบัติงาน


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

จับกระแส “กัญชง” ในดงอินเดีย โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

ปัจจุบันกระแสกัญชงกับกัญชาในไทยกำลังมาแรงมากจากกระแสการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายทั้งในด้านการครอบครอง การปลูก และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า “กัญชง” กับ “กัญชา” เหมือนหรือต่างกันยังไง ผมเลยไปสืบค้นจากอินเตอร์เน็ตก็พบความกระจ่างในเพจ “ทันข่าว Today” ซึ่งระบุว่า ทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตในเบื้องต้นได้คือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูงและแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา จึงมีการนำกัญชงไปใช้เป็นพืชเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้าและเยื่อกระดาษ

แต่ถ้าต้องการจำแนกให้ลึกลงไป เพจดังกล่าวก็ให้พิจารณาจากสารประกอบที่เรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นั่นคือ THC (Delta-9-Tetrahydrocannabinol) และสารสำคัญอีกชนิดคือ CBD (Cannabidiol) ซึ่งช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของ THC ถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น Hemp หรือกัญชง แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น Marijuana หรือกัญชา กรณีใช้ทางการแพทย์ต้องสกัดสาร THC, CBD รวมถึงสารประกอบแคนนาบินอยด์อื่น ๆ ออกมาจากต้น ซึ่งแตกต่างจากการเสพกัญชาที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยตรง

สำหรับที่อินเดีย มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย ระบุว่า กระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบันคือ “กัญชง” แต่ว่าการแปรรูปกัญชง (Hemp / Cannabis Sativa) เชิงอุตสาหกรรมในอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ดี คนอินเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากกัญชงมาตั้งแต่โบราณ โดยนำกัญชงมาเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรแบบอายุรเวท (Ayurveda) และเครื่องเทศประกอบอาหาร รวมถึงเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า กระเป๋าและเชือกด้วย ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิจัยของอินเดียเข้าใจในศักยภาพของกัญชงเป็นอย่างดี และตระหนักในการควบคุมผลกระทบต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กัญชงมีแนวโน้มที่จะได้รับการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ง่าย

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าในปัจจุบันตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียยังมีมูลค่าเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของตลาดโลกเท่านั้น ในขณะที่ การใช้/บริโภคในอินเดียจะขยายตัวได้อีกมาก ทั้งการนำกัญชงไปใช้ในการผลิตน้ำมัน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้สำหรับทำความสะอาด ปุ๋ย และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กระดาษรีไซเคิล วัสดุเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงพลังงานชีวมวล นอกเหนือจากการนำมาผลิตเพื่อใช้ในทางการแพทย์ อาทิ ยาบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และอาการเจ็บปวดเรื้อรังต่าง ๆ นอกจากนี้ คาดว่าภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้คนอินเดียหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งเมล็ดกัญชงจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ทดแทนถั่วและเนื้อสัตว์ โดยปราศจากกลูเตน และมักจะเป็นการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ด้วย เพราะกัญชงเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง 

ผลิตภัณฑ์จากกัญชง

ขอบคุณภาพจาก : https://medium.com

ทั้งนี้ ผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) ประมาณการณ์ว่า ในปี 2567 ตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 584.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลการสำรวจของ All India Institutes of Medical Sciences ที่พบว่าผู้บริโภคชาวอินเดียจะตอบรับต่อผลิตภัณฑ์กัญชงได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีคนอินเดียจำนวนไม่น้อยกว่า 7.2 ล้านคนที่เคยใช้กัญชงมาแล้ว โดยการซื้อมาทดลองใช้เอง และมีราคาขายปลีกในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกรัม

ตาม พรบ. The Narcotic Drugs and Psychotropic Substances Act (1985) รัฐบาลกลางของอินเดียอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้เฉพาะที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลหรือ THC ไม่เกิน 0.3 % โดยน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกัญชงในอินเดียส่วนใหญ่มีระดับสาร THC สูงกว่าที่กำหนดไว้ การผลิตและซื้อ-ขายกัญชงในอินเดีย จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พรบ. ดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐให้สามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์จากใบและเมล็ดของกัญชงได้ ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบและส่งเสริมโดยกระทรวงการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย (Ministry of Ayurveda, Yoga & Naturopathy: AYUSH) เป็นระยะ

ในปัจจุบันมีเพียงสามรัฐในอินเดียที่อนุญาตให้มีการปลูกกัญชงได้ ได้แก่ รัฐอุตตราขัณฑ์ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐมัธยประเทศ ส่วนรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็มีแนวโน้มจะอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเช่นกัน อาทิ รัฐมณีปุระ รัฐอานธระประเทศ และรัฐหิมาจัลประเทศ โดยรัฐอุตตราขัณฑ์เป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกได้ โดยได้ให้ใบอนุญาตแก่ Indian Industrial Hemp Association (IIHA) ซึ่งเป็น NGO สามารถเพาะปลูกเพื่อทำการทดลองในพื้นที่ 6,250 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเป็น 62,500 ไร่ และมุ่งเน้นการผลิตเมล็ดพันธุ์ และนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับป็นสิ่งทอเป็นหลัก

แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกในไม่กี่รัฐ แต่มีผู้นำกัญชงมาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วภายใต้กิจการของสตาร์ทอัพประมาณ 30-40 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (Biotech Startups) อาทิ บริษัท Bombay Hemp Company (BOHECO) โดยมีโรงงานแปรรูปอยู่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ (เมือง Almora) และในรัฐอุตตรประเทศ (เมือง Lucknow) นอกจากนี้ ยังมี Startups อีกหลายรายที่พร้อมจะผลิตเชิงอุตสาหกรรม และขยายตลาดทั้งภายในอินเดียและตลาดโลก อาทิ Hemp Street, Best Weed และ India Hemp Organics โดยมีแบรนด์หลักในตลาด ได้แก่ VEDI, SATLIVA, BOHECO Life และ B LABEL

ขอบคุณภาพจาก : https://www.vice.com

ทั้งนี้ การผลิตสินค้าจากกัญชงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2564 จากการที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางอาหาร (The Food Safety and Security Authority of India : FSSAI) ของอินเดียซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ได้จัดทำร่างกฎระเบียบสำหรับการกำกับดูแลสินค้าที่นำกัญชงมาผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ The Food Safety and Standards (Food Products Standards and Food Additives) Amendment Regulations, 2020 ซึ่งผู้ประกอบการในอินเดียมองว่าจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสัญญาณที่เปิดให้สินค้ากัญชงมีการแข่งขันกันอย่างเสรีในตลาด โดย FSSAI ได้ยอมรับว่ากัญชงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งล่าสุดได้มีการกำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกัญชงต้องมี THC ไม่เกิน 0.2mg/kg โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการเตรียมการผลิตเครื่องดื่มกัญชงและสถานบริการเครื่องดื่มกัญชงตามมาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม คุณสุพัตรา แสวงศรี ทูตพาณิชย์ไทยประจำนครมุมไบ ประเทศอินเดียได้ให้ความเห็นว่าการเพาะปลูกและการแปรรูปในอินเดียยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่สินค้าจากต่างชาติจะเข้าไปแทรกตลาดหากมีราคาที่เทียบเคียงได้กับจีน ทั้งนี้ อินเดียเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับกัญชงในอัตรา 30% โดยผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตให้นำเข้าไปเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น โอกาสที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย จึงน่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในการแปรรูปกัญชงเพื่อการแพทย์และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีสภาพอากาศเหมาะสมและเกษตรกรมีทักษะในการปลูกที่ดี รวมถึงโอกาสจากการเข้าไปถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนให้กับ Tech-Startups ของอินเดียที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อภาครัฐของอินเดีย (FSSAI) มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าจากกัญชงที่ชัดเจนแล้ว ในขณะที่ ผู้บริโภคในอินเดียเองก็มีความคุ้นเคยกับกัญชงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอื้อให้เกิดการตอบรับของตลาดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย

ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยหรือนักลงทุนไทยที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ที่ประเทศอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากประเทศจีน

ขอขอบคุณสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างปรแทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย


เขียนโดย: อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญการค้าในอินเดียแบบเจาะลึก

ชลบุรี - เมืองพัทยา ลุยเดินหน้าพ่นยาฆ่าเชื้อสร้างความอุ่นใจแก่ประชาชน หลังพบมีจำนวนผู้ป่วยเกิดขึ้นในพื้นที่

รองนายกเทศมนตรี จับมือ เลขานุการนายก ลุยเดินหน้าพ่นยาฆ่าเชื้อ เร่งสร้างความอุ่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่ หลังพบมีจำนวนผู้ป่วยเกิดขึ้นในพื้นที่  

วันที่ 10 ก.ค. 64 ที่เทศบาลตำบลบางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลบางละมุง  นำโดย นางณัฐธินีย์ เฉิดฉาย , นางสาวทิพย์วิมล หอมขจร รองนายกเทศมนตรี , นายกัณป์ชสาน รัตนะ เลขานุการนายกเทศฒนตรีตำบลบางละมุงได้เตรียมอุปกรณ์การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อทำการลงพื้นที่ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อสร้างความอุ่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่ หลังจากที่พบว่าในพื้นที่ตำบลบางละมุง พบผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยในวันนี้รองนายกเทศฒนตรี และเลขานุการนายกเทศมนตรี ลงพื้นที่ฉีดยาฆ่าเชื้อให้กับประชาชนด้วยตัวเอง

นางณัฐธินีย์ เฉิดฉาย รองนายกเทศมนตรีตำบลบางละมุง เผยว่า สำหรับภภารกิจในการพ่นยาฆ่าเชื้อป้องกันไวรัสโควิด-19  ตามแหล่งชุมชนและบ้านพักอาศัย ถือว่าเป็นภาระกิจสำคัญที่ทางเทศบาลเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชานในพื้นที่ ถึงแม้ว่าเรื่องของการพ่นยาในส่วนของภาครัฐจะไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างความอุ่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี 

 ซึ่งการที่จะตัดวงจรการเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ดีที่สุดก็คือการเว้นระยะห่าง การสวมใส่หน้ากากอนามัย และการหมั่นทำความสะอาดและใช้อุปกรณ์น้ำยาฆ่าเชื้อผสมน้ำ เพื่อทำการชุบและเช็ดตามพื้นที่สาธารณะ ซึ่งในส่วนของน้ำยาฆ่าเชื้อนั้นทางเทศบาลได้ทำการสนับสนุนและแจกให้กับประชาชนทุกหลังคาเรือนที่ต้องการ โดยสามารถเดินางมารับน้ำยาฆ่าเชื้อได้ที่เทศบาลทุกวันในวันและเวลาราชการ  

ซึ่งในส่วนของกองสาธารณสุขเทศบาลตำบลบางละมุง ปัจจุบันพบว่าได้ออกปฏิบัติหน้าที่กันอย่างหนัก  ต่อเนื่องมาโดนตลอด ดังนั้นในส่วนของภาคประชาชนเองก็ต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค.อย่างเข้มข้น  เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่ลงให้ได้ต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ขอนแก่น - “อีสาน โคตรซิ่ง” ใน “เทศกาลอีสานสร้างสรรค์” หนุนอัตลักษณ์ความเป็นอีสานสื่อสารผ่านนวัตกรรม

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ร่วมกับองค์กรเครือข่าย เปิดงาน “อีสานโคตรซิ่ง” ในงานเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ เพื่อหวังหนุนอัตลักษณ์ความเป็นอีสานสื่อสารผ่านนวัตกรรม นำสู่การสร้างเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA จ.ขอนแก่น ร่วมกับจังหวัดขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น ผู้จัดงานทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และกลุ่มธุรกิจสร้างสรรค์ต่าง ๆ เปิดกิจกรรมใน “เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2564” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด “Isan Crossing: อีสานโคตรซิ่ง” เพื่อสะท้อนการผสานสินทรัพย์ทางภูมิปัญญาเเละวัฒนธรรมเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ เเละนวัตกรรม แสดงศักยภาพของบุคลากรและธุรกิจสร้างสรรค์ ผ่านผลงานที่เก็บเกี่ยวและได้รับแรงบันดาลใจจากสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม “อีสาน” อาทิ งานหัตถกรรม, การออกแบบผลิตภัณฑ์, ภาพยนตร์, ศิลปะ, ดนตรี และ อาหาร หวังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย

โดยมุ่งเน้นส่งเสริม 3 อุตสาหกรรมหลักที่ชูอัตลักษณ์ถิ่นอีสาน ได้แก่ อุตสาหกรรมบันเทิงอีสาน อุตสาหกรรมการออกแบบและงานฝีมือ และอุตสาหกรรมอาหารอีสาน ชวนชมผลงานจากหลากหลายสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กว่า 200 รายการ ผ่าน 9 รูปแบบกิจกรรมไฮไลต์ ในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดขอนแก่น และ 19 จังหวัดภาคอีสาน โดยงานเทศกาลฯเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2564

นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า อีสานเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยสินทรัพย์และภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง ซึ่งหลายเรื่องเป็นที่รู้จักดีในระดับโลก เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2564 จึงเป็นเทศกาลที่แสดงถึงศักยภาพความสร้างสรรค์ของคนอีสานในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถต่อยอดของดีของเดิมของอีสาน ให้เข้ากับตลาดในยุคสมัยใหม่ ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ และสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่นที่ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจใหญ่ของภาคอีสาน และมีเป้าหมายการพัฒนาเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่ออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

พ.ต.ท.สมชาย โตเจริญ รองนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวว่า การจัดงานเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2564 ถือเป็นมิติใหม่ของชุมชนชาวขอนแก่นที่ได้ร่วมจัดงานเทศกาลฯ เพื่อเป็นเวทีในการแสดงศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ของชาวอีสาน โดยตลอดช่วงที่ผ่านมา เทศบาลนครขอนแก่น ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในขอนแก่น โดยเริ่มที่ย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์ เพื่อปลุกย่านเมืองเก่าให้กลับมามีชีวิตชีวา พร้อมพัฒนาชีวิตของผู้คนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน ซึ่งเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2564 ในครั้งนี้ ได้สะท้อนถึงความร่วมมือและการพัฒนาต่อยอดของคนอีสาน และคาดว่าจะสามารถขับเคลื่อนชุมชนและเศรษฐกิจอีสานให้เติบโตต่อไป

ด้านนายชุตยาเวศ สินธุพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ขอนแก่น เปิดเผยว่า เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2564 จะสร้างประสบการณ์ร่วมและปลูกฝังแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน คนในชุมชน และประชาชนที่สนใจ ด้วยกิจกรรมถ่ายทอดประโยชน์ของการออกแบบ กระตุ้นความคิด และการพัฒนาทักษะ ณ 2 พื้นที่หลัก ได้แก่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ศรีจันทร์ และศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ สาขาขอนแก่น ในย่านกังสดาล ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2564 โดยการจัดเทศกาลฯ ครั้งนี้ ได้มีการออกแบบรูปแบบการจัดงานเพื่อให้สอดรับชีวิตวิถีใหม่ โดยปฎิบัติตามมาตรการเข้าชมงานและหลักเกณฑ์การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ด้วยมาตรฐาน SHA พร้อมทั้งมีกิจกรรมบางส่วนให้สามารถเข้าร่วมทางออนไลน์ เพื่อตอบรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

อุบลราชธานี- นิพนธ์ ลุยแจกโฉนดที่ดิน “อุบลราชธานี-อำนาจเจริญ” สร้างหลักประกันที่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในโครงการ“มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน” ขอบคุณ ทุกฝ่ายช่วยดูแลรักษาชีวิตประชาชนจากโควิด-19

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 ที่ศาลาประชาคม บ้านนาสีดาน้อย ตำบลชานุมาน อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีมอบโฉนดที่ดินให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลชานุมาน อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 30 แปลง ตามโครงการ “มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน” โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ  นายอำเภอชานุมาน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอำนาจเจริญตลอดจนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ตำบลตำบลชานุมานร่วมในพิธี ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัดตามหลัก D-M-H-T-T-A  ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการป้องกันโรคโควิด-19

นายนิพนธ์ กล่าวว่า การมอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย และนโยบายของกรมที่ดินในการที่จะเร่งรัดในการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินให้แก่พี่น้องประชาชนที่ถือครองที่ดินอยู่ และได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นมายาวนาน และที่ดินนั้นไม่ใช่ที่ดินของรัฐในประเภทต่างๆ ในปีงบประมาณ 2564 นี้ กระทรวงมหาดไทย โดยตนในฐานะที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ได้ลงนามประกาศเดินสำรวจที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินหนังสือสำคัญของทางราชการแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินไปแล้วจำนวน 50 จังหวัด การมอบโฉนดที่ดิน ตามโครงการ "มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน" ให้กับประชาชนเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลชานุมาน อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ  จึงเป็นหลักประกันความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ ในที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน สามารถนำโฉนดที่ดินไปประกอบการพัฒนาในอาชีพของตนเอง เพิ่มผลผลิต และรายได้ ซึ่งเป็นผลดีในทางเศรษฐกิจของตนเอง

จากนั้น นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางต่อไปมอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชน บ้านหนองแสง ตำบลดุมใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามโครงการ “ มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุข คลายทุกข์ให้ประชาชน” อีก จำนวน 30 แปลง

นายนิพนธ์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมที่ดินยืนยันว่านโยบายการเดินออกสำรวจโฉนดที่ดินก็จะเร่งรัดดำเนินการต่อไปในส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทยให้พี่น้องประชาชน ได้สามารถเข้าถึงการมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของตนเองถือว่าเป็นความมั่นคงในการถือครองที่ดิน และเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการใช้ทรัพยากรที่ดินของชาติ สร้างความมั่นใจ ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี ข้อหาบุกรุกที่ดินของทางราชการ โดยโครงการที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะเอาที่ดินของรัฐ ที่ประชาชนทำมาหากินอยู่แล้วมาจัดให้กับประชาชน แม้ว่าประชาชนจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ก็ถือว่าประชาชนเข้าทำกินโดยชอบ เพราะมีกฎหมายให้ดำเนินการได้ ขณะเดียวกันจะมีการดำเนินการเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิ์โดยกรรมสิทธิ์ที่เป็นนส.3 และนส.3ก ให้ออกเป็นโฉนดเพิ่มมากขึ้นด้วย” นายนิพนธ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายนิพนธ์ ยังได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรต่าง ๆ ที่ได้ช่วยกันดูแลป้องกันสถานการณ์โควิด ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกท่านได้ช่วยกันทำงานอย่างหนักแข่งกับเวลาเพื่อดูแลรักษาชีวิตประชาชนไท่ให้เหิดการสูญเสีย ซึ่งตนขอเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้วิกฤตครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็ว


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

อุทัยธานี - ถึงยุคที่ผีต้องมารีวิวสิ้นค้าแล้วหรอ! !ผีหลวงขาวทอง ช่วยแม่ค้าออนไลน์สมใจทุกรายเป็นที่นิยมในโลกออนไลน์

เมื่อเวลา 14.00.น. ของวันที่ 9 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง ณ ศาลเจ้าพ่อเสือ ต.หนองไผ่แบน อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยไปพบกับนายวงเกษม ศาสตระคมฤทธิ์ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นเป็นร่างเจ้าแม่ขาวทอง พร้อมทีมงานจำนวน 4 คน ที่คอยดูแลเจ้าแม่ขาวทอง

โดย ศาลเจ้าพ่อเสือจังหวัดอุทัยธานี เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัด และเป็นสถานที่สำคัญ ที่นักท่องเที่ยวเข้ามากกราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมากแต่ในช่วงสถานการณ์ covid ที่ระบาดขึ้นระลอกใหม่ ทางศาลเจ้าพ่อเสือจึงปิดทำการชั่วคราว ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ดังนั้น จึงขาดการติดต่อกับทางกลุ่มผู้มีความศรัทธาต่อศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ ทีมงานจึงจัดทําช่อง TikTok ขึ้นมาชื่อว่า ช่องผีหลวงขาวทอง เพื่อเป็นช่องทางในการพูดพบปะทักทายและตอบคำถามชี้แนะแนวทางข้อคิดให้กับกลุ่มผู้มีความศรัทธาในศาลเจ้าพ่อเสือ และองค์ประทับที่ชื่อว่าองค์เจ้าแม่ขาวทอง โดยจะทำการไลฟ์สดในช่องติ๊กตอกเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลา 3 ทุ่ม ถึง ตี 2 รวมประมาณ 5 ชั่วโมง 

แต่ช่วงที่ผ่านมาได้มีกลุ่มผู้ศรัทธาซึ่งประกอบกิจการต่าง ๆ ในหลายจังหวัดได้ขอให้เจ้าแม่ขาวทองช่วยแนะนำร้านอาหารของตัวเองหรือที่เรียกว่าช่วยรีวิวร้านค้า  รีวิวสินค้า เจ้าแม่จึงช่วยรีวิวแนะนำให้กลุ่มลูก ๆ ให้รู้จักสินค้า จากนั้นจึงมีการขอให้ช่วยรีวิวมาจำนวนมาก  อีกทั้งมีกระแสที่ดราม่ามั้ง ตลกมั่ง ครายเครียดให้กับแม่ค้าพ่อค้าออนไลน์ เพื่อเป็นการพูดคุยกันและตอบโต้กัน กันในกลุ่มผู้รับชมในช่อง TikTok จึงเป็นที่มาของช่องผีหลวงขาวทอง ที่วัยรุ่นนิยมเป็นส่วนมากของจังหวัดอุทัยธานีและต่างจังหวัด ซึ่งมีคนดูอยู่หลายหมื่นคนที่เข้ามารับชม


ภาพ/ข่าว  ภาวิณี ศรีอนันต์

ชลบุรี – นายกเมืองพัทยา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33

สำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรีร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา เปิดหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยใช้พื้นที่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลมารีนา พัทยา จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ให้บริการวัคซีน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีประชาชนในเขตอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 37,000 คน ได้ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมเพื่อแสดงความประสงค์ในการรับบริการวัคซีน ตามระบบและแนวทางการจัดสรรวัคซีนของภาครัฐ ก่อนวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 13,000 โดส จะถูกจัดสรรมาในวันนี้

สำหรับการให้บริการัคซีนสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในครั้งนี้ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. ของทุกวันยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะให้บริการประชาชนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ด้วยการแบ่งฉีดวันละ 660 คน

ข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับในวันนี้ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจในการให้บริการวัคซีน ม.33 โดยทางศูนย์การค้าเซ็นทรัลมารีนา พัทยา ได้กำหนดใช้พื้นที่ Party House บริเวณชั้น 1 ของศูนย์การค้าเป็นสถานที่ให้บริการวัคซีนสำหรับประชาชนผู้ประกันตน ม.33 ที่พากันมารอคิวตามระบบคัดกรองตั้งแต่ช่วงเช้า


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ลำปาง - ศคพ.ลป.จับมือหลายหน่วยงานเมืองล้อมแรด เยี่ยมยามถามไถ่และดูแล ผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 รอบ 3

นาย ณรงค์ฤทธิ์ นุปิง ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดลำปางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายหลายหน่วยงานในพื้นที่เทศบาลเมืองล้อมแรด อำเภอเถิน จังหวัดลำปางลงพื้นที่เยี่ยมยามถามไถ่ใส่ดูแล กลุ่มคนเปาะบางผู้ได้รับคนตกงานผลกระทบโควิด-19 รอบ 3 จำนวน 13 ราย

โดย นายชยพล ชมภูรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองล้อมแรด พร้อมคณะ ผู้บริหาร สมาชิกสภาฯโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเด่นแก้ว สสอ.อสม.อพม.ท้องถิ่นท้องที่ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ประสบปัญหาทางสังคมในเขตตำบลล้อมแรด และตำบลเถินบุรีโดยดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย จำนวน 16 ราย พร้อมเงินทุนประกอบอาชีพผู้ติดเชื้อเอดส์ จำนวน 1 ราย รายละ 5,000 บาท เงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์และครอบครัว จำนวน 2 ราย รายละ 2,000 บาท


ภาพ/ข่าว  ปฏิญญา เรือนงาม รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top