Wednesday, 9 July 2025
SPECIAL

ชัยภูมิ – ผู้ว่าฯ และคุณหมอ ห่วงใยสุขภาพ ชวนงดเหล้าเข้าพรรษาหลีกเลี่ยงสังสรรค์เป็นกลุ่ม ช่วยห่างไกลการติดเชื้อ ลดค่าใช้จ่าย ได้สุขภาพที่ดี และยังช่วยตัดวงจรโควิด-19 เน้นมาตรการงดการรวมกลุ่มเฮฮา

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดและพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จังหวัดชัยภูมิ ทั้งหมด 16 อำเภอ ตัวเลข ยอด ที่ป่วยสะสมระลอกเดือนเมษายน วันที่ 22 กรกฎาคมนี้ 1,800 กว่าราย โดยแบ่งเป็น ป่วยที่ทางจังหวัดได้รับการติดต่อจากผู้ป่วยจังหวัดกลุ่มเสี่ยง กลับรักษาตัวพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ในโครงการส่งรถรับพี่น้องกลับบ้านรักษาตัวกว่า 900 ราย ทั้งยังมียอด ผู้เสียชีวิตแล้ว 21 ราย

ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชัยภูมิ ได้มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ชะลอและงดการจัดกิจกรรมทางสังคมที่มีการรวมกลุ่มกันจำนวนมาก เพื่องดการสังสรรค์ และขอความร่วมมืองดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนั้น 

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า ปี 2564 เป็นอีกปีที่คนชัยภูมิและสังคมกำลังเผชิญกับสภาวะวิกฤติและสูญเสียคนที่เรารักจากโรคโควิด-19 จึงอยากใช้โอกาสเทศกาสงดเหล้าเข้าพรรษาปี 2564 นี้ ขอร้องและเชิญชวนพี่น้องชาวจังหวัดชัยภูมิ “งดเหล้า งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดอบายมุขในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อดูแลตัวเองและตัดตอนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีลูกหลานตกงานถูกเลิกจ้างจำนวนมาก การงดเหล้าเข้าพรรษาจะทำให้ประหยัดเงิน ดูแลคนในครอบครัว จึงเน้นมาตรการงดการรวมกลุ่มเพื่อเฮอาสังสรรค์ กำจัดเชื้อโควิด-19”  

ด้าน นายวชิระ บถวิบูลย์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ รองประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีหลาย ๆ คลัสเตอร์ที่เกิดขึ้นโดยมีงานบุญประเพณี งานเลี้ยง สังสรรค์และมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นเหตุสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตอนนี้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรับภาระหนักมากกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น หากจะช่วยลดภาระนี้ อยากให้ชาวชัยภูมิและทุกคน  ใช้โอกาส “เข้าพรรษาปี 2564 นี้ ทำความดีเพื่อตนเอง ครอบครัวและสังคม ด้วยการงดเหล้าเข้าพรรษา ตับเราก็ได้พัก สื่อรักด้วยการพักเล้า คนที่รักของเราก็ปลอดภัยจากโรคโควิด-19” เชื่อว่าทุกคนทำได้และขอเป็นกำลังให้กับคนที่ตั้งใจบวชใจงดเหล้าเข้าพรรษา อีกด้วย

ส่วนภาคการศึกษา นายชัยวัฒน์ ตั้งพงษ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ (สพม.ชัยภูมิ) กล่าวว่า ด้านการศึกษาก็ได้มีนโยบาย งดเหล้าเข้าพรรษา งดอบายมุขในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้บริหาร ครูและบุคลากร เข้าร่วมโครงการด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ยิ่งไม่ควรออกนอกบ้านเพื่อไปร่วมกิจกรรมที่ไม่จำเป็น การปฏิบัติหน้าที่ราชการก็มีการลดเวลาและจำนวนผู้มาปฏิบัติงานในสำนักงาน เน้นการทำงานที่บ้าน การเรียนการสอนออนไลน์ตามมาตรการจังหวัดชัยภูมิ แต่กิจกรรมสำคัญเช่น การถวายต้นเทียนและปัจจัยไทยธรรมในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาทางหน่วยงานก็ได้ให้ความสำคัญด้านวัฒนธรรมประเพณีอันดีของไทย แต่ก็ใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ลดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงให้มากที่สุดและปฏิบัติตามมาตการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด

ป.ป.ช. ร่วมมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง ณ ห้องพรหมนอก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561” ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. โดยนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล อาทิเช่น นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายมนต์ชัย วสุวัต ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ พลตำรวจโท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และเจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจนครบาล

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งหวังให้เกิดการส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับของสถานีตำรวจนครบาล เพื่อให้ปฏิบัติเกิดความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และเป็นช่องทาง ในการประสานความร่วมมือในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับคดีทุจริตระหว่างกัน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เสริมสมรรถนะและพัฒนาความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัย !! การล่วงละเมิดทางเพศ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้เสียหายจำนวนหลายรายจากทุกวงการทั้งที่ปรากฎเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ตามที่สื่อได้มีการนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า

สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างอิสระ แต่ด้วยความอิสระนี้เอง ทำให้มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์บางคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการคุกคามทางเพศ(Sexual Harassment) ซึ่งมีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงความคิดเห็นในลักษณะคุกคามทางเพศ การส่งข้อความส่วนตัวเพื่อชักชวนไปมีเพศสัมพันธ์ หรือการส่งภาพลามกอนาจาร และในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปเพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ และการคุกคามทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหรืออาชญากรรมอื่น ๆ ได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ จนอาจจะเกิดเป็นบาดแผลภายในจิตใจหรือทำให้บุคคลนั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

การกระทำลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น ทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ และเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการนำภาพในลักษณะลามกอนาจารไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใด ๆ ที่มีลักษณะลามกอนาจาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือการนำภาพบุคคลอื่นไปโพสต์ในลักษณะล่วงละเมิดทางเพศ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่ตนรับทราบการกระทำความผิด เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และขอให้เก็บภาพข้อความหรือโพสต์ที่เป็นความผิดไว้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากแนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศบนสื่อสังคมออนไลน์ว่าอย่าไว้วางใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์, เก็บข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้ดี ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์, เคารพสิทธิของผู้อื่นอยู่เสมอ มีสติทุกครั้งในการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่าง ๆ และควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีสติ หากพบเห็นการกระทำดังกล่าว ที่เข้าข่ายคุกคามหรือผิดกฎหมาย อย่าส่งต่อ อย่าแสดงความคิดเห็น อย่าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าจะทางใด และขอเตือนไปยังผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ให้หยุดการกระทำของท่านเสีย เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ในสังคม อีกทั้งยังเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของผู้อื่นเข้าไปอีก

นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดต่าง ๆ สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงข่าวการจับกุม 3 คดี ฝ่ามาตรการคุมเข้ม

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจจำนวน 3 คดี ดังนี้

1.กก.สส.บก.ตม.3 “จับหนุ่มผิวสีถอดหน้ากาก หวิดวางมวยกับฝรั่งกลางเมืองพัทยา”

ปัจจุบันจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) มีสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดกว่า 14,000 รายแล้วและมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงรายวันอย่างน่าตกใจ ในห้วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ปรากฏคลิปข่าวที่น่าสนใจ เป็นเหตุการณ์ที่ชายผิวสีซึ่งไม่ยอมสวมใส่หน้ากากอนามัยทะเลาะกับชายต่างชาติผิวขาวที่เข้ามาตักเตือนจนเป็นกระแสสังคม สตม.ตระหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของชายต่างชาติรายนี้แม้จะมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพียงสถานเดียว แต่เป็นเรื่องที่สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้ที่จะปล่อยไว้อย่างช้าไม่ได้ จึงสั่งการให้ กก.สส.บก.ตม.3 และ ตม.จว.ชลบุรี ดำเนินการเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในสังคม โดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้การสั่งการข้างต้น ชุดจับกุมได้โดยเดินทางไปยังร้านอาหารสไตล์แม็กซิกัน บริเวณหน้าชายหาดรอยัลการ์เด้น เมืองพัทยา สถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งจากการสอบถามผู้คนและสืบสวนหาพยานหลักฐานได้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชายผิวสีเดินเข้ามากับแฟนสาวเพื่อซื้ออาหารในร้านแต่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งทางร้านได้มีการแจ้งเตือนว่าไม่ให้บริการกับลูกค้าที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งมีลูกค้าอีกหนึ่งคนเป็นคนต่างชาติเข้ามาตักเตือน แต่ชายคนดังกล่าวได้โต้เถียงและแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจนทำให้คนแตกตื่นซึ่งทางร้านปฏิเสธจำหน่ายอาหารให้พร้อมทั้งมีคนในร้านร้องบอกว่าจะแจ้งตำรวจ ชายคนดังกล่าวและแฟนสาวจึงได้รีบหลบหนีออกไปจากร้าน ในเวลาต่อมาชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าชายผิวสีคนดังกล่าวคือนายแคเรน(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี สัญชาติ อเมริกัน พักอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมย่านเขาพระตำหนัก จึงได้เข้าไปสืบหาตัวจนพบนายแคเรน ฯ เดินอยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวจึงได้เข้าไปขอตรวจสอบก็พบว่าเป็นคนเดียวกัน จึงได้เชิญตัวมายังสภ.เมืองพัทยาเพื่อทำการแจ้งข้อกล่าวหาและเปรียบเทียบปรับในความผิดที่เกิดขึ้น

การแจ้งข้อกล่าวหา : แจ้งข้อกล่าวหา นายแคเรนฯ ว่า “กระทำการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป(ไม่สวมหน้ากากอนามัย) เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 36(6)”

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนก่อเหตุในคลิปข่าวจริง ขณะนี้รู้สึกสำนึกผิดและเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับคนต่างชาติคนอื่น ๆ ในประเทศไทยให้ใส่ใจร่วมมือกันสวมหน้ากากอนามัย และคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด

2.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “ รวบฝรั่งแสบแอบขนของห้องเช่าหนี เจ้าของห้องเดือดร้อนหนัก ”

ด้วย ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งให้บริการเช่าที่พักอาศัย ว่ามีชายชาวต่างชาติมาเช่าห้องพัก แต่เมื่อเลิกเช่าแล้วปรากฏว่าได้ขนเอาทรัพย์สินของหอพักไปด้วย ทำให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อทราบแล้ว ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวและดำเนินการสืบสวนร่วมกับตม.จว.ราชบุรีจนสามารถจับกุมตัวผู้กระผิดมาดำเนินคดีได้ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ได้รับการประสานข้อมูลว่ามีชาวต่างชาติ มาเช่าห้องพักแห่งหนึ่งใน ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากเลิกเช่าแล้วได้เอาสิ่งของอันได้แก่ เครื่องปรับอากาศ,เครื่องทำน้ำอุ่น ,เก้าอี้ไม้, โซฟา และผ้าม่าน ไปด้วย ซึ่งคำนวณเป็นมูลค่าความเสียหาย เป็นจำนวนกว่า 40,000 บาท ทางเจ้าของห้องได้รับความเดือดร้อนจึงได้ขอความช่วยเหลือมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนจึงทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นาย ฟาดิล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี สัญชาติ ฝรั่งเศส มาพักอาศัยกับภรรยาคนไทย(ขอสงวนชื่อสกุลซึ่งถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้) จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานสอบสวนจนศาลจังหวัดหัวหินได้ออกหมายจับ ที่ จ.61/2564

ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทำการสืบสวนสวนทราบว่าคนร้านรายนี้หลบหนีไปอยู่ละแวกอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้ประสานข้อมูลกับ ตม.จว.ราชบุรีอย่างใกล้ชิด ให้เข้าไปสืบสวนติดตามตัว จนพบว่านายฟาดิลฯ หลบหนีมาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้เข้าไปสอบถามที่บ้าน นายฟาดิลฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ พร้อมกับนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : นาย ฟาดิลฯ “ ร่วมกันยักยอกทรัพย์ ” 

สอบถามนายฟาดิล ฯ รับสารภาพผิดว่าตนและภรรยาได้เอาสิ่งของห้องเช่าไปจริง สาเหตุมาจากนายฟาดิล ฯ กับภรรยามีปากเสียงและเลิกรากันจึงได้ขอย้ายออกจากห้องเช่าซึ่งเจ้าของห้องเช่ายังไม่ได้คืนเงินประกันทันทีเพราะยังค้างค่าน้ำค่าไฟและยังต้องสำรวจความเสียหายก่อน แต่นายฟาดิล ฯ ต้องการเงินโดยทันทีประกอบกับอารมณ์เสียที่เลิกรากับแฟนสาว จึงเกิดความโกรธเก็บเอาทรัพย์สินในห้องเช่าติดตัวไปด้วยหลายรายการ

3.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี “ทะลายก๊วนแรงงานจับกลุ่มมั่วสุมกินเหล้า เย้ย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”

ด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ จังหวัดจันทบุรีได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด(พื้นที่สีแดง) ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19 ) มาตรการที่เกี่ยวข้องทางหน่วยงานราชการโดยเฉพาะตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรีมีการดำเนินการ ที่เข้มงวดและประสานงานกับหน่วยงานราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเหตุดังกล่าวนี้กลุ่มแรงงานต่างด้าวได้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ศบค. มั่วสุมดื่มสุรา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

ก่อนการจับกุมชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากประชาชนละแวกใกล้เคียงกับแคมป์คนงานก่อสร้างของร้านอาหารแห่งหนึ่งใน ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี ว่ามีกลุ่มคนคล้ายคนต่างด้าวมั่วสุมกันดื่มเหล้าส่งเสียงดัง ได้รับความเดือดร้อนหวั่นว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ชุดสืบสวนจึงได้ทำการสืบสวนโดยสั่งกำลังไปซุ่มดูพบว่ามีคนนั่งมั่วสุมดื่มสุรากันจริงจึงได้วางแผนจับกุมโดยบูรณาการกำลังกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีการนั่งดื่มสุราอาหารกันจริง จำนวน 32 คน ทั้งหมดเป็นคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา มีหลักฐานเป็นหนังสือเดินทางติดตัว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและจับกุมดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 32 คน ว่า

1.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรีที่ 2054/2546 เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส

โคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564

2.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรี ที่ 1330ฝ2564 เรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสติดเชื้อโคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 30 เมษายน 2564

ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรี มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วจำนวน 1,830  คน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าสถานที่แห่งนี้มีแรงงานต่างด้าวทั้งหมดจำนวน 155 คน ทั้งหมดยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาตรการของสถานประกอบการที่เกิดเหตุนี้ยังดำเนินการด้วยความหละหลวม ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลหากพบความผิดที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯ จะมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป  

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1198 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

รวบแก๊งมังกรทำ Hybrid scam หลอกผู้เสียหายชาวไทยหลายราย ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.

มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 1.นายฮู  สัญชาติจีน อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.223/2564 2.นายกวินทร์ฯ อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.196/2564 3.น.ส.วารินทร์ฯ อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.197/2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายชาวไทยเบื้องต้นจำนวน 15 ราย กรณีคนร้ายชาวต่างชาติเข้ามาตีสนิทผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Instagram, Tinder, Hello talk หรือแอพพลิเคชั่นสอนภาษาต่างประเทศ เมื่อได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับมากขึ้น คนร้ายจะแอบอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล ชักชวนให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล อาทิ BTC USDT BNB เป็นต้น ผ่านทางแอพพลิเคชั่น BLACK STONE, ZON XIN , Grayscale , PKEX , BLACK ROCK เป็นต้น

โดยอ้างว่าหากซื้อขายตามคำแนะนำของคนร้าย จะได้ผลตอบแทนที่สูง ผู้เสียหลงเชื่อจึงได้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลไปตามคำแนะนำของคนร้าย ในคราวแรก ๆ ได้ผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง แต่ต่อมาภายหลัง ไม่ได้ผลตอบแทนแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายมีความประสงค์จะถอนเงินออกจากระบบ ซึ่งแสดงยอดเงินที่ตนเองมีอยู่ ก็ไม่สามารถถอนได้ และจะถูกคนร้ายชักจูง หลอกลวงให้โอนเงินเพิ่มเข้าไปในระบบ ซึ่งเมื่อโอนเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกหลอกลวง จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามท้องที่เกิดเหตุต่าง ๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มคนร้าย มีทั้งชาวจีนและชาวไทยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยกลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยกลุ่มชาวจีน จะสั่งหรือจ้างให้คนไทยไปตระเวนซื้อสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมาก เมื่อมีเงินจากผู้เสียหายโอนเข้ามาแล้ว จะใช้ให้คนไทยไปตระเวนกดเงินออกจากบัญชี เพื่อนำเงินสดมาให้ตน และจากนั้นจะนำเข้าไปซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ  เพื่อให้ยากต่อการสืบสวนติดตาม

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้ทำการสืบสวน จนกระทั่งจับกุมตัวผู้ต้องหาบางส่วนได้ จำนวน 3 ราย ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะจับกุม สามารถยึดเงินสดจำนวน 640,000 บาท (หกแสนสี่หมื่นบาท) พบสมุดบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรกดเงินสด จำนวนหลายบัญชี และอายัดทรัพย์สินรถยนต์จำนวน 2 คัน รวมมูลค่า 8,000,000 บาท(แปดล้านบาท) เจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนต่อทราบว่ายังมีชาวจีนอยู่ในขบวนการกังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

ลำปาง - มทบ.32 พร้อมช่วยเหลือปชช. จัดกำลังพลสนับสนุนช่วยจัดตั้ง ร.พ.สนาม

“เมื่อได้รับการประสาน ทหารพร้อมนำกำลังมา ช่วยขจัดปัญหาที่มี ยิ่งในสถานการณ์โควิดแบบนี้  ค่ายสุรศักดิ์มนตรีช่วยทันทีทันใด” ตามที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นตามลำดับ โดย จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมในการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยเหล่านั้น ในการนี้ พลตรี อโณทัย ชัยมงคล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ในการเตรียมการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อ 22 กรกฎาคม 2564 เวลา 15.00 น. หน่วยได้รับการประสานจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ในการช่วยจัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ณ โรงพยาบาลลำปาง ได้จัดกำลังพลจิตอาสา 10 นาย ร่วมในการประกอบเตียงสนาม จำนวน 20 เตียง ก่อนหน้านี้หน่วยได้จัดกำลังพลและยานพาหนะเข้าให้ความช่วยเหลือในการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่ จังหวัดลำปาง มาแล้วทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง , โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี และ โรงเรียนวังเหนือวิทยา

ทั้งนี้การให้การสนับสนุนหน่วยงานหรือช่วยเหลือประชาชนของหน่วยทหารในพื้นที่ จังหวัดลำปาง นั้น ทุกหน่วยพร้อมเข้าให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามศักยภาพที่หน่วยมี เพื่อให้ชาวลำปางได้มั่นใจว่าทหารพร้อมเคียงข้างและช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส  


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

ชลบุรี - ส.ส.เขต 7 พร้อมทีมงานผู้ช่วย ทำข้าวกล่อง 400 กล่อง มอบให้บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลบางละมุง

เมื่อเวลา 18:00 น วันที่ 22 กรกฎาคม 64 ที่โรงพยาบาลบางละมุงอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชลบุรีเขต 7 พร้อมทีมงานผู้ช่วยดำเนินงานทำข้าวกล่อง 400 กล่องมอบ บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบางละมุงเ เพื่อเป็นกำลังใจให้คณะแพทย์ ในการทำงานเฝ้าผู้ป่วยดูแลผู้ป่วย ยามกลางคืน

เนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิค-19 มีจำนวนมากขึ้นรายวันและทำให้พื้นที่ของโรงพยาบาล เต็มไปด้วยผู้ป่วย และผู้กับตัวจากโควิด-19 ระบาดอยู่ในขณะนี้ เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนเท่าเดิมจึงทำให้ทำงานหนักถึง 2 เท่า ดังนั้น นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ แสดงความห่วงใยด้วยการทำข้าวกล่อง 400 กล่องหมอบให้บุคลากรทางการแพทย์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้คณะแพทย์ในการทำงานเฝ้าดูแลผู้ป่วยในยามเข้าเวรเวลาค่ำคืน


ภาพ/ข่าว  สมชาย โคตล่ามแขก ผู้สื่อข่าวพัทยาจังหวัดชลยุรี

ชัยภูมิ - นายกฯธี เชิงรุก ฟัง-แก้ไข-พัฒนา ส่งเครื่องจักรเคลียร์ทางน้ำพร้อมรับแผนปรับระบบผังเมืองน่าอยู่

22 ก.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่นายธีวรา วิตนากร นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ ได้ชนะการเลือกตั้งมานั่งเก้าอี้บริหารงานในตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ คนใหม่ได้เร่งประชุมวางแนวทางนโยบายการบริหารงาน เร่งด่วนเช่น การปรับปรุงซ่อมแซมและพัฒนาระบบผังเมือง การสาธารณสุขเรื่องความสะอาดในชุมชนเพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมือง ระบบถนน-คูคลองหรือทางน้ำ และการบริหารงานในด้านต่าง ๆ ตามลำดับ เพื่อรับฟังหาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนชาวเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ตามที่ได้รับปากและสัญญาไว้ ทั้ง 25 ชุมชน

ขณะที่นายธีวรา วิตนากร นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ ได้มีการสั่งการให้ทาง จนท.กองช่างเทศบาลเมืองชัยภูมิ ออกดำเนินการตามนโยบายสร้างพื้นฐานมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ตามแหล่งน้ำห้วย-หนอง-คลอง-บึง หรือทางน้ำที่ไหลผ่าน ภายในชุมชนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนนี้โดยได้นำ จนท.รถและเครื่องจักร ลงเคลียร์และกำจัดพวกวัชพืช ขยะ ถุงพลาสติก กิ่งไม้ท่อนไม้ที่ เป็นสาเหตุทำให้มีการ กีดขวางทางระบายน้ำภายในเขตเทศบาลเมือง ทั้งยังเร่งนำรถดูดดินโคลนขนาดใหญ่ ออกปฏิบัติงาน ตามท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ

โดยในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลเมืองชัยภูมิ ได้ดำเนินการในเบื้องต้นจนแล้วเสร็จในพื้นที่ห้วยลำปะทาว ชุมชนราษฎร์เจริญสุข ห้วยดินแดง ฝั่งตะวันออก สะพานแยกโรงต้ม คลองสิงห์ทอง ตะวันตกวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยภูมิ บริเวณคลองคูขาด หรือคลองห้วยเสวน้อย ชุมชนเมืองเก่า ลำห้วยชีลอง ฝั่งทิศตะวันออกถึงสามแยกหนองระเริง ลำห้วยเสว ช่วงที่ 5 ฝั่งทิศเหนือสะพานบายพาส-ผ่านชุมชุนหนองสังข์-สะพานเมืองเก่า สองฝั่งถนนสายชุมชนกุดแคน-โนนสมอ ห้วยชีลอง หลังบขส.2ถนนชัยภูมิ-ตาดโตน 

ซึ่งขณะนี้เพื่อเป็นการรับเรื่องร้องทุกข์ช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนโดยเร่งด่วนให้ทันโลกโซเชียล ทางเทศบาลเมืองชัยภูมิ ได้เปิดเพจ Facebook ชื่อ เทศบาลเมืองชัยภูมิ หรือ เพจ Facebook ธีวรา วิตนากร เพื่อไว้เป็นช่องทางการสื่อสารการ ประชาสัมพันธ์ ในเรื่องต่าง ๆ ให้เข้าถึงประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิทั้ง 25 ชุมชนให้เร็วที่สุด ซึ่งหากประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ท่านใดได้รับเรื่องเดือดร้อน ไม่ได้รับความสะดวก ทั้งพบเห็นปัญหาที่ต้องการให้แก้ไข และอยากเสนอแนวทางแก้ไข ก็สามารถแจ้งข้อความหรือ Comment เรื่องร้องเรียนมาได้ตลอด และทางเทศบาลเมืองชัยภูมิ จะได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขตามลำดับให้ครบทุกเรื่องอีกด้วยต่อไป

กรุงเทพฯ - กองทัพบก นำเครื่องบินลำเลียงแบบ 295 มาเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด19 ที่อยู่ห่างไกลทั่วประเทศ

พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้นำขีดความสามารถและทรัพยากรที่กองทัพบกมี มาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 สั่งการเพิ่มเติมให้นำอากาศยานของกองทัพบก คือ “เครื่องบินลำเลียงแบบ 295” มาเป็นยานพาหนะในการเคลื่อนย้าย ส่งผู้ป่วยไปยังพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ

ล่าสุดในวันนี้ ทีมลำเลียงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทางอากาศกองทัพบก จากกรมการขนส่งทหารบก พร้อมด้วยแพทย์เวชศาสตร์การบินจากกรมแพทย์ทหารบก ได้นำ "เครื่องบินลำเลียงแบบ 295" ที่ดัดแปลงเป็นยานพาหนะส่งป่วยขึ้นบินทดสอบระบบ และซักซ้อมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายตั้งแต่การรับและนำผู้ป่วยขึ้นเครื่องอากาศยานและกระบวนการบริหารจัดการผู้ป่วยมีความพร้อมรองรับภารกิจ

ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีความประสงค์จะกลับไปรักษายังภูมิลำเนาสามารถ ประสานไปยังศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก (กทม.) โทร. 02-270-5685-9 กองทัพบก , ยุทโธปกรณ์ , ทหาร เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส

พิจิตร - คนดีน่ายกย่อง!นายก อบต.ห้วยเกตุ ให้ใช้ออฟฟิตและโรงงานมูลค่ากว่า 40 ล้านเป็นรพ.สนามตะพานหิน

ในสถานการณ์วิกฤตโควิดสิ่งที่ได้เห็นคือความมีน้ำใจของผู้ใจกว้าง ใจบุญ ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นน้ำดี จิตใจงดงาม และเป็นเจ้าของโรงงานยอมยกอาคารสถานที่มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท บนเนื้อที่ 12 ไร่  ให้เป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน เพราะเชื่อมั่นว่าผู้ให้คือผู้ที่มีความสุข

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายธนรักษ์ พงศ์วุฒิเศรษฐ์ นายก อบต.ห้วยเกตุ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเคมีเกษตรช้างแดง ซึ่งตั้งอยู่ที่ 394/1 หมู่ 3 ต.ห้วยเกตุ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยเฉพาะที่ อ.ตะพานหิน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ และมีประชากรเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าหลังจากที่มีมาตรการล็อคดาวน์กรุงเทพฯและปริมณฑลทำให้ชาว อ.ตะพานหิน ที่ไปทำงานอยู่ในเมืองใหญ่และติดเชื้อโควิดต่างขอกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด  คือที่อำเภอตะพานหินกันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน เตียงเต็มและไม่เพียงพอต่อการบริการแก่ผู้ที่ติดเชื้อโควิด

ดังนั้นตนเองจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเสียสละและร่วมด้วยช่วยกันช่วยเหลือสังคม จึงได้ร่วมปรึกษากับนายอำเภอตะพานหิน และ ผอ.รพ.ยุพราชฯ ว่า  ที่โรงงานของตนซึ่งมีขนาดพื้นที่ 12 ไร่ มีอาคารเป็นตึกสำนักงาน 2 หลัง ที่เคยใช้เป็นออฟฟิตและห้องประชุมติดแอร์อย่างดีรวมถึงมีโกดังขนาดใหญ่อีก2หลังที่มีสภาพสมบูรณ์ตีราคามูลค่ามากกว่า 40 ล้านบาท แต่ปัจจุบันอาคารและสถานที่ดังกล่าวไม่ได้ใช้งานเนื่องจากโรงงานผลิตเคมีเกษตรช้างแดงได้ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่ ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใช้งานแต่ตั้งใจว่าจะรีโนเวทปรับปรุง แต่เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตโควิดจึงตัดสินใจมอบอาคารสถานที่ให้กับศูนย์บริหารจัดการโควิดตะพานหิน ให้ใช้อาคารสถานที่ในช่วงสภาวะวิกฤตโควิดตามสมควรและตามเวลาที่เหมาะสม โดยไม่คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อให้ชาว อ.ตะพานหิน ได้มีโรงพยาบาลสนามที่เป็นห้องแอร์ขนาด 70 เตียง เพื่อไว้ใช้เป็นที่พักรักษาตัวจากโรคไวรัสโควิด

โดย นายธนรักษ์ นายก อบต.ห้วยเกตุ หรือ “เฮียช้วงช้างแดง” กล่าวเพิ่มเติมว่า พวกเราใช้เวลาแค่ 4 วัน ในการดำเนินการจัดหาเตียงเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสนามตะพานหินแห่งนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้ก็มีผู้ป่วยทั้งชาย-หญิง เข้ามาใช้อาคารสถานที่แล้ว อีกทั้งมีบุคลากรทางการแพทย์และฝ่ายปกครองมาช่วยกันดูแลอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ว่าฯสุราษฎร์ แถลงจับกุม 2 พ่อค้ายาเครือข่าย สุราษฎร์-กระบี่ ยึดทั้งยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีนมูลค่า 69 ล้าน

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่กองร้อย ตชด.ที่417 อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายวิชวุทย์  จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์, พ.ต.อ.กิจต์ณศักดิ์ เกี้ยวเพ็ง ผกก.ตชด.41 , พ.ต.ท.กุลนริศร์ นวมมณีรัตน์ รอง ผกก.ตชด.41และพ.ต.ท.อภิสิทธิ์ รอดน้อย ผบ.ร้อย ตชด.417 แถลงจับกุมนายอุทัย หรือสี เพ็ชร์รัตน์ อายุ 33 อยู่บ้านเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรี ธรรมราช และนายอนุเชษฐ์ หรือเชษฐ์ ศรีทองนาค อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ยึดของกลางยาบ้า 275 มัด จำนวน 550,000 เม็ด , ไอซ์ น้ำหนัก 100 กรัม , เฮโรอีน น้ำหนัก 4 กิโลกรัม และรถจักรยาน ยนต์ 1 คัน รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาณ 69 ล้านบาท ได้ที่บริเวณศาลาริมถนนหลักกิโลเมตรที่ 61 ถ.สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ต่อเนื่องที่บ้านพักนายอุทัยเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม

จากการสืบสวนชุดปราบปรามยาเสพติดกองร้อย ตชด.417 ทราบว่า นายอุทัย เป็นผู้พ่อค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.ดอนสัก ต่อมาวันที่ 20 ก.ค.64 จึงติดต่อสั่งซื้อยาบ้า 2,000 เม็ด นายอุทัยพร้อมนายอนุเชษฐ์ ได้ขับรถจักรยายนต์นำมาส่งมอบ ที่บริเวณศาลาริมถนน ปากทางเข้าคลองวัง ถนนสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จึงจับกุมได้และ นำไปค้นที่สวนข้างบ้านนายอุทัยพบทั้งไอซ์, ยาบ้า และเฮโรอีน ทั้งหมด

นายอุทัย ให้การรับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจากนายโด่ง (ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) อยู่ที่ จ.กระบี่ ให้ไปรับยาเสพติดที่วาง ไว้บริเวณริมถ.สุราษฎร์ธานี-กระบี่(เซาท์เทิร์น)หลักกิโลเมตรที่ 62 ท้องที่หมู่ 2 ต.อรัญคามวารี อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานีนำมาเก็บไว้ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายโด่งไปส่งให้ลูกค้าได้ค่าจ้างครั้งละ 150,000-200,000 บาท โดยจะมีการขยายผลจับกุม ผู้เกี่ยวข้องต่อไป ในโอกาสนี้พลโทเกรียงไกร และนายวิชวุทย์ ได้มอบเงินรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้ชุดจับกุมด้วย

นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานการณ์ปัญหายาเสพติดภาพรวม พบว่าการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานียังมีการแพร่ระบาดสูงในพื้นที่ชุมชนเมืองและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุน มีระบบคมนาคมขนส่งที่สะดวกรวดเร็ว ครบทุกมิติ มีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคหรือ LOGISTICS HUB เป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งระดับประเทศ และนานาชาติ และเป็นที่พัก/เส้นทางลำเลียงสู่ภาคใต้ตอนล่าง สำหรับผลการดำเนินการผู้ค้ายาเสพติด ในห้วงปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 63 – ก.ค. 64) มีผลการจับกุมผู้ค้า ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในภาพรวมของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นคดียาเสพติดทุกข้อหาจำนวน 9,771 คดี ผู้ต้องหา 9,802 คน ของกลาง ยาบ้า 3,431,757เม็ด ยาไอซ์ 60.32 กิโลกรัม เฮโรอีน 0.39 กรัม กัญชาแห้ง 18.61 กิโลกรัม และดำเนินการยึดทรัพย์แล้ว จำนวน 21 คดี เป็นเงิน 257,293,602 ล้านบาทซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง


ภาพ/ข่าว  สรเดช ส้มเกลี้ยง สุราษฎร์ธานี

กรุงเทพฯ - นิพนธ์ เติมเสบียงตู้ปันสุขในกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19”

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 กรกฏาคม 2564 ที่บริเวณหน้ากระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19” นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มาเติมเต็มเสบียงที่ตู้ปันสุข

นำอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมจัดทำข้าวกล่องแจกฟรีให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่ตกงาน วินมอเตอร์ไซค์ คนขับแท็กซี่ คนที่หาเช้ากินค่ำ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 200 กล่องต่อวัน โดยเริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา และจะแจกต่อเนื่องไป 10 วันทำการซึ่งเป็นการสนับสนุนอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานจากร้านค้าบริเวณรอบกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นการกระจายเม็ดเงินให้สะพัดในชุมชนบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลายความทุกข์ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

สำหรับกิจกรรมนี้ กรมการปกครองได้จัดกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและกำกับดูแลแถวตามมาตรการ “D-M-H-T-T-A ป้องกันโควิด - 19” Distancing เว้นระยะห่างทางสังคม Mask wearing สวมหน้ากาก Hand washing ล้างมือบ่อย ๆ และ Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ และ Application ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อเป็นไปตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด

ชลบุรี - กองทัพเรือโดย ฐานทัพเรือสัตหีบ จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19”

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ที่สโมสรสัญญาบัตรฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อนุชาติ อินทรเสน ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่กำลังพลที่เข้าร่วมบริจาคโลหิต ในกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID-19” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2019 อีกทั้งเพื่อเป็นการสำรองปริมาณโลหิตให้แก่สภากาชาดไทย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้การจัดกิจกรรมได้แบ่งกำลังพลเป็นชุดเข้ารับบริจาคโลหิต เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) จังหวัดชลบุรีกำหนดโดยเคร่งครัด โดยมีภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 3 จังหวัดชลบุรี สภากาชาดไทยมาดำเนินการรับบริจาค ซึ่งมีกำลังพลฐานทัพเรือสัตหีบ เข้าร่วมบริจาคโลหิต ได้ปริมาณโลหิต 27,450 มิลลิลิตร


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

ชลบุรี - กองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบ จัดกิจกรรม “กองทัพเรือเพื่อประชาชนร่วมใจต้านภัย โควิด-19” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ชั่วคราว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พลเรือโท อนุชาติ อินทรเสน ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ในกิจกรรม “กองทัพเรือเพื่อประชาชนร่วมใจต้านภัย COVID - 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) โดยจัดสิ่งของอุปโภคบริโภคจำนวน 400 ชุด โดยแต่ละชุดประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ ปลากระป๋องโรซ่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำตาลทราย น้ำมันพืช หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์

โดยฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ส่งมอบให้กับผู้นำชุมชนเพื่อนำไปมอบให้แก่ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ใน 8 ชุมชน รวม 400 ชุด ประกอบด้วย ชุมชนบ้าน กม.10 วัดราษฎร์สามัคคี ต.พลูตาหลวง จำนวน 50 ชุด ชุมชนช่องแสมสาร วัดช่องแสมสาร ต.แสมสาร จำนวน 50 ชุด ชุมชนบ้านเตาถ่าน ม.4 ต.สัตหีบ จำนวน 50 ชุด

ชุมชนบ่อนไก่ ม.5 ต.สัตหีบ จำนวน 50 ชุด ชุมชนบางเสร่ ม.1, ม.4 และ ม.8 ต.บางเสร่ จำนวน 50 ชุด ชุมชนบ้านอำเภอ ม.4 ต.นาจอมเทียน จำนวน 50 ชุด ชุมชนธรรมวิทยา ม.2 เทศบาลเมืองสัตหีบ จำนวน 50 ชุด ชุมชนชายโสด ม.2 เทศบาลเมืองสัตหีบ จำนวน 50 ชุด

กิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” จัดขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคล ห้วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 กองทัพเรือ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

กิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” จัดขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคล ห้วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 กองทัพเรือ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ หน้ากองบัญชาการ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ชั่วคราว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

กาฬสินธุ์ – หมอใหญ่ระบุ ‘ฟ้าทะลายโจร’ ระงับความรุนแรงเชื้อโควิดได้ผล

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ระบุใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เผยยืนยันผลการวิจัยจากโรงพยาบาลสมุทรปราการและเรือนจำ ขณะที่โรงพยาบาลสนามฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์นำมาใช้กับคนไข้ได้ผล ทั้งนี้ การใช้ต้องอยู่ในการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอ ด้านสถานการณ์ล่าสุดพบผู้ป่วยเพิ่ม และเตรียมขยายเตียงรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลสนามยางตลาดและโรงพยาบาลสนามสมเด็จ 

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์  หลังทาง ศบค.ประกาศให้พื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เป็นกลุ่มจังหวัดสีแดง พื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยวันนี้ยังพบว่ามีประชาชนจากพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดพื้นที่เสี่ยง เดินทางกลับมาภูมิลำเนาจำนวนมาก ทำยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นรายวัน ล่าสุดพบผู้ป่วยรายใหม่ 131 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างจังหวัดขอกลับมารักษาในภูมิลำเนา 19 ราย ผู้ติดเชื้อที่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง 92 ราย ผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน 9 ราย และตรวจพบจากระบบเฝ้าระวังอื่นๆ 11 ราย

นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พบรายวัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดเชื้อจากต่างจังหวัด ส่วนที่พบพื้นในพื้นที่ถือว่าเป็นคลัสเตอร์ขนาดเล็ก เช่น สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทำการเปิดโรงพยาบาลสนามทั้ง 18 อำเภอแล้ว ยังมีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ปัจจุบันโรงพยาบาลสนามจะสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยเพียงพอ แต่เพื่อรองรับสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มสูงอยู่ ทางโรงพยาบาลสนามยางตลาดและโรงพยาบาลสนามสมเด็จ ก็จะได้ขยายเตียงเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับและเพียงพอ และได้รับการบริหารทางระบบสาธารณสุขอย่างดีที่สุด

นายแพทย์อภิชัยกล่าวอีกว่า สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปนั้น จากสถิติผู้เสียชีวิตจากการได้รับเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว เป็นในกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้น ในการจัดสรรฉีดวัคซีนที่ จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงที่สถานการณ์ของโรครุนแรงอยู่ จึงจะจัดสรรให้บุคลากรกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัวและหญิงมีครรภ์ หรือกลุ่ม 608 เสียก่อน จึงจะกระจายไปยังกลุ่มอื่นๆตามลำดับต่อไป

นายแพทย์อภิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการบำบัดรักษาอาการผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นั้น ตามที่มีการกล่าวถึงการนำสมุนไพรทางเลือก เช่น กระชาย และฟ้าทะลายโจร มาใช้ในการบำบัดรักษาอาการนั้น ยืนยันผลวิจัยที่ใช้ในโรงพยาบาลสมุทรปราการและเรือนจำ พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในขณะที่โรงพยาบาลฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ก็ได้นำมาใช้เช่นกัน โดยพบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ อย่างไรก็ตามการใช้ต้องอยู่ในการกำดับดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอรักษาไข้ ทั้งนี้ วิธีที่ป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้ผลที่สุดคือการรักษามาตรการ D-M-H-T-T-A เช่น รักษาระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ตรวจวัดอุณหภูมิ ไม่เข้าไปในสถานที่แออัดและพื้นที่เสี่ยง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top