Wednesday, 9 July 2025
SPECIAL

ชลบุรี - เกาะล้านพัทยา ฉีดวัคซีน 70% แล้ว พร้อมเป็นพื้นที่ตัวอย่าง ป้องกันไวรัสมรณะ

เกาะล้านรุกคืบ พื้นที่แห่งความปลอดภัย นายกเมืองพัทยาเผย คนเกาะล้านได้รับวัคซีนแล้ว 70% สร้างระบบภูมิคุ้มกันหมู่ตามแนวทางสาธารณสุข พร้อมเป็นพื้นที่ตัวอย่างการป้องกันไวรัสมรณะ

ตามที่เมืองพัทยา ประสานงานการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยได้รับการจัดสรรวัคซีน มาจากส่วนกลางเพื่อฉีดต่อให้กับประชาชน ในพื้นที่เขตเมืองพัทยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสานแนวทางสร้างระบบภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ โดยประชาชนต้องได้รับวัคซีนร้อยละ 70 ที่ผ่านมาวัคซีนทยอยจัดสรรมายังเมืองพัทยา อย่างต่อเนื่องนั้น

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่า ในส่วนของพื้นที่ชุมชนเกาะล้านนั้น เมืองพัทยาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างในการนำร่องเป็นพื้นที่ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งในขณะนี้เราสามารถกระจายวัคซีนให้กับชาวชุมชนเกาะล้านได้มากกว่า 70% แล้ว

ทั้งนี้ เมืองพัทยาได้ดำเนินโครงการ Pattaya Moves on นำร่องให้พื้นที่เกาะล้าน ซึ่งเป็นพื้นที่เกาะ เหมือนเกาะภูเก็ต เกาะสมุย และเกาะเต่า ที่มีแผนจะนำร่องให้ประชาชน ได้รับวัคซีนจนสามารถสร้างภูมิค้มกันหมู่ได้ ซึ่งขณะนี้ทั้งชาวบ้านและประธานชุมชน ประชาชนบนเกาะล้าน ได้เข้ารับฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว และเป็นพื้นที่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ด้วยเช่นกัน


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

กาฬสินธุ์ – หวั่นโควิด ทำบุญวันพระใหญ่บางตา สวดรัตนสูตรคุ้มภัยป้องกันโควิด-19

พุทธศาสนิกชนในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ หวั่นโควิด-19 ระบาดหนักในช่วงวิกฤต เข้าวัดทำบุญบางตา แต่ยังร่วมกันสืบสานประเพณีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันอาสาฬหบูชา สวดภาวนาพุทธมนต์รัตนสูตร เพื่อเสริมสร้างกำลังใจคุ้มภัย ป้องกันในสถานการณ์โรคติดเชื้อโรคโควิดระบาดหนัก

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ที่ศาลาพระพุทธสุจิตตสุวรรณรังษี วัดประชานิยม เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ พระเทพสารเมธี เจ้าอาวาสวัดประชานิยม เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) พร้อมด้วยทายกทายิกาวัดประชานิยมนำพุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตร สวดมนต์ฟังธรรมเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ในปีนี้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พุทธศาสนิกชนเข้าวัดทำบุญในวันอาสาฬหบูชาบางตากว่าภาวะปกติมาก 

อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวพุทธที่ไม่หวั่นไหวที่กับโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการจรรโลงพระพุทธศาสนา และยึดมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในเส้นทางการความดี  ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษต่อยอดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะเข้าบริเวณด้านในศาลาหน้าประตูทางเข้า ยังได้ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิ เจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันไวรัสโรคติดเชื้อโควิด-19 เว้นระยะห่างทางสังคม ใส่หน้ากากอนามัย พร้อมกับทำตามมาตรการการประกาศของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

พระเทพสารเมธี เจ้าอาวาสวัดประชานิยม เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) กล่าวว่าวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมธรรมเทศนา หรือการประกาศพระศาสนาในวันแรกหลังจากทรงตรัสรู้ พระธรรมเทศนานี้เรียกว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หมายถึงพระสูตรที่กล่าวถึงการหมุนกงล้อแห่งธรรม พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิด การดับทุกข์ การทำให้พ้นจากทุกข์ การประกอบความดีตามหลัก มรรค 8 ทาง แสดงหลักของการไม่ยึดมั่น แต่ให้ดำเนินในมัชฌิมาปฏิปทาหรือเส้นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ทรงแสดงให้กับเหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปหรือประเทศอินเดียในปัจจุบัน  ทำให้พระโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าใจในหลักคำสอน ขอบวชในพระศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยสมบูรณ์ มีพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา พระธรรมทำสอนนำไปปฏิบัติ และพระสงฆ์นำพระธรรมไปปฏิบัติ และประกาศคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนา

ทั้งนี้ หลังจากทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ยังได้ร่วมกันสวดภาวนาพุทธมนต์รตนสูตร เพื่อเสริมสร้างกำลังใจคุ้มภัย ป้องกันในสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิดที่กำลังระบาดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.กาฬสินธุ์ ล่าสุดวันนี้ พบผู้ติดเชื้อ 200 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยัน 1,779 ราย กำลังรักษา 1,240 ราย หายป่วยแล้ว 533 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 6 ราย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

สกพอ.ร่วมกับกลุ่มสตรีอีอีซีฉะเชิงเทรา ส่งมอบน้ำใจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ในฉะเชิงเทรา

(24 กรกฎาคม 2564) ที่ร้านอาหารบลูม ต.บางตีนเป็ด อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นายกำพล เลิศเกียรติดำรง สมาชิกวุฒิสภา และนางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ สกพอ. ร่วมกับกลุ่มสตรีอีอีซี ฉะเชิงเทรา

ส่งมอบถุงยังชีพจำนวน 250 ถุง และหน้ากากอนามัย 15,000 ชิ้น ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและพนักงาน สายงานนโยบายและแผน และสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ สกพอ. ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา ใน 5 อำเภอได้แก่...

อำเภอเมือง, บางปะกง, บ้านโพธิ์, บางคล้า และบางน้ำเปรี้ยว เพื่อเป็นนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

โดยสิ่งของที่บรรจุในถุง​ จะเน้นของที่เป็นผลิตภัณฑ์ใน อีอีซี เช่น ข้าวสารจากชลบุรี รวมกว่า 1,200 กิโลกรัม น้ำปลา กะปิและอาหารทะเลจากวิสาหกิจชุมชน จ.ระยอง

นอกจากนี้ นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ท แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านการจัดหาน้ำเพื่ออุปโภค บริโภคและน้ำเพื่ออุตสาหกรรมในอีอีซี ได้ร่วมบริจาคน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 3,600 ขวด เพื่อร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปด้วยกัน

​​​​​​

มุกดาหาร - เหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร ต้มน้ำสมุนไพรให้ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มไม่มีอาการ

วันที่ 23 ก.ค.64 เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร ได้ช่วยกันต้มน้ำสมุนไพรให้ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว (ไม่มีอาการ) ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนาม ”ศูนย์ฮักแพงชาวมุกดาหาร” ได้ดื่ม เนื่องจากผู้ป่วยที่รักษาที่โรงพยาบาลสนามเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ การใช้สมุนไพรจะสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

นายวีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้ป่วยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนาม ”ศูนย์ฮักแพงชาวมุกดาหาร” ที่ดื่มน้ำต้มสมุนไพรนี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและไอน้อยลง หายใจได้โล่งขึ้น หายป่วยกลับบ้านแล้ว 94 คน เกี่ยวกับการรักษา คงต้องช่วยกันทุกทาง นอกจากนี้จะขยายผลไปสอนการทำน้ำต้มสมุนไพรในให้กับทั้ง 7 อำเภอ เพื่อส่งให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนามแต่ละอำเภอ

นางสาวหทัยรัตน์ ฟองชล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า สูตรน้ำต้มสมุนไพรนี้ ประกอบด้วย น้ำ 40 ลิตร ขิงแก่ง 2 กิโล กระชาย 1 กิโลกรัม หอมแดง 1 กิโลกรัม กระเทียม 1 กิโลกรัม เกลือไอโอดีน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 200 ซีซี ซึ่งน้ำผึ้งจะตัดรสเผ็ด และน้ำตาลอ้อย  ขั้นตอนล้างวัตถุดิบให้สะอาดทุบพอหยาบ ๆ ใช้หม้อต้มเบอร์ 50 ต้มน้ำให้เดือด นำส่วนผสมทั้งหมดลงไปต้มอีก 30-40 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ส่งให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนาม ”ศูนย์ฮักแพงชาวมุกดาหาร”

ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดมุกดาหาร ประจำวันที่ 23 ก.ค. 2564 พบผู้ป่วยรายใหม่ 35 คน แยกเป็นติดเชื้อนอกจังหวัด 34 คน และติดเชื้อในจังหวัด 1 คน ยอดผู้ป่วยสะสมระลอกใหม่ 464 คน รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 208 คน รักษาอยู่ในโรงพยาบาลสนาม 100 คน ผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 154 คน และเสียชีวิตสะสม 2 คน คงเหลือกำลังรักษา 308 คน


ภาพ/ข่าว  พวงเพชร / เดวิท โชคชัย ชุด ฉก.พญาอินทรีย์มุกดาหาร

ประวัติศาสตร์ดำมืดของ “Chinatown” กับการกดขี่ชาวจีนในสหรัฐอเมริกา (ตอนที่ 2)

มาต่อกันกับตอนที่ 2 “ชะตากรรมและจุดพลิกผัน” ของย่าน Chinatown ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ตอนแรกเราได้ทราบกันแล้วว่า ชะตากรรมของคนจีนในสหรัฐอเมริกานั้น ไม่ได้ราบรื่นเหมือนชาวจีนในสยามประเทศเลยแม้แต่น้อย

ทั้งการต้องตกเป็นแพะรับบาปว่าไปแย่งงานคนอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำ ถูกรังเกียจ ถูกเหยียดเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ (Racism) ดูมองเป็นเผ่าพันธุ์ที่โสโครก ชั่วร้าย ไร้ศีลธรรม ในสายตาคนผิวขาว และจากนี้ก็จะถูกวางแผนขับไล่ให้ออกไปจากที่ดินใน Chinatown 

ก่อนจะกลับมาพลิกผันด้วยวิสัยทัศน์ของชาวจีนที่ต้องการรักษา Chinatown ไว้ ซึ่งในตอนนี้ เราจะมาดูกันว่าเขาจะมีแผนรับมือกับคนผิวขาวอย่างไรบ้าง และทำอย่างไร Chinatown ถึงมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันได้

ย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโก ปี 1900

ในปี 1906 คณะกรรมการเมืองซานฟรานซิสโกได้มีแผนให้ทำการย้ายย่าน Chinatown ออกไปอยู่นอกเมืองในเขตห่างไกลจากตัวเมือง แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เช้าวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนทำให้เมืองซานฟรานซิสโกพังพินาศและเกิดเหตุไฟไหม้ไปทั่วทั้งเมือง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน

สภาพความเสียหายของเมืองซานฟรานซิสโกและย่าน Chinatown เดิม

ไม่มีใครทราบว่ามีชาวจีนเสียชีวิตไปกี่คน เนื่องจากการนับผู้เสียชีวิตครั้งนั้น ไม่นับรวมชาวจีนที่อยู่ในเขต Chinatown แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ทำให้ย่าน Chinatown พังพินาศ ซึ่งกลายมาเป็นโอกาสให้แผนการย้าย Chinatown ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี 

ถึงขนาดที่ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งได้ทำข่าวว่า “สิ่งที่น่าพึงพอใจอย่างเดียวท่ามกลางความสูญเสียของเมืองซานฟรานซิสโก ก็คือการที่ย่านคนจีนถูกทำลายลง ชุมชนเชื้อโรคนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว”

แต่ในเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์ต่อมา ได้มีการพิจารณาเรื่องการย้ายถิ่นคนจีนออกไปนอกเมืองใหม่อีกรอบ เนื่องจากธุรกิจของชาวจีนเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมด้านเศรษฐกิจของเมืองซานฟรานซิสโก และดีต่อความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐอเมริกาและจีน

อีกทั้งสินค้าจากจีนที่นำเข้ามาค้าขาย ยังทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเมืองซานฟรานซิสโก จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของเมืองที่ต้องการการฟื้นฟูหลังความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

การค้าระหว่างอเมริกัน-จีน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของเมือง จนทำให้เมืองรอบข้างอย่าง Seattle และ Los Angeles เสนอตัวจะขอรับชุมชนชาวจีนจากเมืองซานฟรานซิสโก หากว่าซานฟรานซิสโกไม่ต้องการชาวจีนในเมืองของตน

Look Tin Eli พ่อค้าชาวจีนในเมืองซานฟรานซิสโก ได้นำเสนอแผนต่อคณะกรรมการเมืองซานฟรานซิสโกเพื่อที่จะให้ย่านคนจีนตั้งอยู่ที่เดิมได้ต่อไป ด้วยการเนรมิตย่านคนจีนขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นำเอกลักษณ์บางอย่างของสถาปัตยกรรมจีนมาใส่ไว้กับตัวอาคาร

Look Tin Eli พ่อค้าชาวจีนผู้นำเสนอแผนปรับปรุง Chinatown

แบบสถาปัตยกรรมของ Chinatown ใหม่นั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชาวตะวันตก ซึ่งไม่เคยเห็นสถาปัตยกรรมจีนจริง ๆ แต่เป็นการเห็นจากรูปวาดหรือภาพถ่าย ดังนั้นสถาปัตยกรรมจีนที่เห็นอยู่ถูกสร้างออกมาไม่ได้ตรงตามระบบโครงสร้างหรือการรับน้ำหนักของสถาปัตยกรรมจีนอย่างแท้จริง แต่เป็น “สถาปัตยกรรมจีนที่อยู่ในความรับรู้ของชาวตะวันตก”

ส่วนที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดน่าจะเป็นซุ้มประตูสีแดงและหลังคาแบบจีน ซึ่งเด่นสะดุดตาชาวตะวันตก โดยที่จุดประสงค์ของ Chinatown ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้น มีไว้เพื่อเป็น Theme Park สำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังเมืองซานฟรานซิสโก ด้วยเหตุนี้ทำให้ย่าน Chinatown ไม่ถูกย้ายออกไป และยังคงอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกมาจนถึงทุกวันนี้

รูปแบบ Chinatown ที่ซานฟรานซิสโก ได้กลายมาเป็นต้นแบบของ Chinatown ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาทั้ง New York, Los Angeles, Washington DC และอื่น ๆ

สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์ของ Chinatown ในสหรัฐฯ นั้นเริ่มมาจากแหล่งเสื่อมโทรม และเป็นที่รวมของคนที่ถูกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเผ่าพันธุ์ ก่อนการพลิกผันกลับมาฟื้นฟูเป็น “Chinatown ใหม่” ด้วยวิสัยทัศน์ของพ่อค้าชาวจีน 

ซึ่งการสร้าง Chinatown ใหม่นั้น เป็นความพยายามในการเอาตัวรอด เพื่อให้คนจีนสามารถอยู่ต่อไปได้ในเมืองของคนผิวขาว อีกทั้งยังเป็นการทำเพื่อรักษาอัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของตนเองไว้ 

ในกรณีสถาปัตยกรรมของ Chinatown จึงเป็น “เครื่องมือต่อรอง” ในทางการเมืองของชาวจีนกับผู้มีอำนาจผิวขาวในสหรัฐฯ ในเวลานั้น ด้วยการนำเสนอ Chinatown ที่สามารถสร้างรายได้และเศรษฐกิจให้กับเมืองได้ จนทำให้พวกเขาอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สุโขทัย - นายกมนู ห่วงคนสุโขทัยไม่วางใจสถานการณ์ รุดสั่งจองวัคซีนโมเดอร์นา จากสภากาชาดไทย

อบจ.สุโขทัย โดยนายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย สั่งจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 (โมเดอร์นา) จากสภากาชาดไทย เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่ จ.สุโขทัย ไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยได้จัดทำแผนดำเนินการฉีดวัคซีน ตามที่สภากาชาดไทยกำหนด ในกลุ่มประชาชนเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง สตรีมีครรภ์ ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 มาก่อน  บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ในถิ่นทุรกันดาร ผู้ที่ทำงานประจำอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้สอนในโรงเรียนอนุบาล หรือครู อาจารย์ ผู้ที่ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียน ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 มาก่อน บุคลากรที่ต้องออกปฏิบัติงานสัมผัสประชาชน ตามโครงการฉีดวัคซีนของ อบจ. ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 มาก่อน และบุคคลที่ยังไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากติดขัดระเบียบหรือกฎหมาย และเสนอต่อสภากาชาดไทย เพื่อให้ชาวสุโขทัยได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และสร้างความเชื่อมั่น ในการป้องกันโรคโควิด – 19 ในพื้นที่ และลดติดเชื้อของประเทศ

นอกจากนี้นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย ได้ชี้แจงข้อสงสัยเรื่องวัคซีนที่หลายคนต้องการทราบ ของการสั่งจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของอบจ.สุโขทัย โดยได้สั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่เปิดให้สั่งจองในลำดับแรกจำนวน 100,000 โดส โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 88,800,000 บาท บวกค่าทำการฉีดพร้อมอุปกรณ์ที่ทางสาธารณสุข จ.สุโขทัยแจ้งมา เข็มละ 90 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 97,800,000 บาท

ต่อมาทางสภากาชาดไทยเปิดให้จองวัคซีนโมเดอร์นา ทางอบจ.สุโขทัย เห็นว่าใช้งบประมาณจองซิโนฟาร์มไปค่อนข้างเยอะแล้ว จึงจองโมเดอร์นาไปอีก 10,000 โดส ใช้งบ 11,000,000 บาท รวมวัคซีนทั้งสองชนิดจำนวน 110,000 โดส ซึ่งจะสามารถดูแลทั่วถึงทุกกลุ่ม ส่วนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดต้น ๆ ทั้ง 2 สถาบันเป็นผู้กำหนดมาทั้งสิ้น อบจ. มิได้เป็นผู้กำหนด

อบจ.สุโขทัย ขอยืนยันว่า ได้จัดเตรียมงบประมาณไว้พร้อมแล้ว หากทั้งสองสถาบันจัดสรรวัคซีนมาให้ครับ ทั้งนี้วัคซีนจะมาได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับทาง 2 สถาบันจะหาวัคซีนได้ แต่ก็คอยติดตาม แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้ติดต่อ ติดตาม สอบถามไปอย่างต่อเนื่องทั้ง 2 สถาบัน และจะรีบแจ้งถึงประชาชนในพื้นที่ทันทีที่ได้รับความชัดเจนจากทั้ง 2 สถาบัน ที่เราได้ขอสั่งจองไว้


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย

ชลบุรี - กองเรือยุทธการ มอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายวัตถุมงคล เหรียญกรมหลวงชุมพรฯ รุ่นเรือของพ่อ “เรือ ต.91” ให้กองทัพเรือ เพื่อนำไปใช้ในงานสาธารณกุศล ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19

วันที่ 23 ก.ค. 64 พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ รับมอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายวัตถุมงคล เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รุ่นเรือของพ่อ “เรือ ต.91” จาก พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เพื่อนำไปใช้ในงานสาธารณกุศล ในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ของกองทัพเรือ ณ ห้องรับรอง ชั้น 2 กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

กองเรือยุทธการจัดสร้างวัตถุมงคล เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รุ่นเรือของพ่อ “เรือ ต.91” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

             - จัดตั้งกองทุนในการบำรุงรักษาอุทยานประวัติศาสตร์เรือของพ่อ “เรือ ต.91”

             - ใช้ในกิจกรรมสาธารณกุศลของกองทัพเรือ

             - เป็นสวัสดิการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลกองเรือยุทธการ

จากวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างวัตวัตถุมงคลฯ ส่วนหนึ่งได้สอดรับกับเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารเรือที่มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือดำเนินการร่วมแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 เพื่อประชาชน และกำลังพลของกองทัพเรือ ที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤตอย่างเร่งด่วนอีกด้วย

โดยกองเรือยุทธการดำเนินการจัดพิธีมังคลาภิเษก 5 วาระ 4 ทิศ ทั่วประเทศไทย ซึ่งได้จัดให้มีพิธีมังคลาภิเษกใหญ่ วาระที่ 5 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค. 64 ณ อุทยานประวัติศาสตร์เรือของพ่อ “เรือ ต.91” อ่าวดงตาล อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทั้งนี้ได้รับความเมตตาจากพระเกจิเถราจารย์ ที่ประชาชนเคารพศรัทธาร่วมประกอบพิธีอย่างเรียบง่าย แต่เข้มขลัง ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ที่ ศบค. และ สสจ.ชลบุรี กำหนดอย่างเคร่งครัด

เหรียญชนิดต่าง ๆ ได้รับความสนใจจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ยังสามารถร่วมบูชาวัตถุมงคลฯ ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ น.ต.ศิรภพ ภักดี 0969359163 หรือ น.ต.สายชล ผลาสิงห์ 0882141393


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

สำรวจ !! โอกาสในวิกฤต กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในภาวะโคโรน่า 2019

วิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 นั้น จัดได้ว่าเป็นวิกฤตที่ทำลายธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคนทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ การติดต่อผ่านทางละอองฝอย และการเปื้อนเชื้อบนพื้นผิว ทำให้ต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ตรวจค้นโรค กักตัว รักษาผู้ป่วย ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นทั้งสิ้น มาตรการทางระยะยาวขึ้นอยู่กับการมีวัคซีน การปลอดเชื้อ และการป้องกันเชื้ออย่างถาวร ในอดีตผู้รู้หลายท่านเปรียบเปรยว่า การป้องกันโรคอย่างถาวรของไวรัสโคโรน่า 2019 นั้น ต้องทำให้คล้ายกับถุงยางอนามัยที่ป้องกันการติดเชื้อเฮชไอวี แต่กระนั้น การป้องกันเชื้ออย่างถาวรกรณีไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทำได้ไม่ง่ายนักเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมไม่สอดคล้องกับเกราะป้องกันเชื้อเท่าไรนัก การป้องกันเชื้ออย่างถาวรจึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติวิถีใหม่ และความสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคน เทคโนโลยี และการมีภูมิคุ้มกันหมู่เป็นสำคัญ

ผมถือโอกาสนี้ในการพูดถึงโอกาสสี่เรื่องในวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยผ่านทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวในการบริหารจัดการในวิกฤตนี้ และเรากำลังเผชิญกับภูเขาน้ำแข็งก้อนโตที่ด้านล่างโตกว่าสิ่งที่เห็นเสียอีก โอกาสที่ผมพูดถึงนี้ จะช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากผู้มีอำนาจนำไปปรับใช้อย่างถูกวิธี

โอกาสที่หนึ่ง โอกาสของการแพทย์แผนไทย และห่วงโซ่อุปทานของสมุนไพร

เป็นที่ทราบกันดีว่า การรักษาโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 นั้น เป็นการรักษาตามอาการ และมีวิธีและทิศทางในการรักษาที่มีหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยอาการหนักต้องพึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงห้องปลอดเชื้อความดันลบ และกระบวนการที่ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์เมื่อทำการรักษาโรคอื่นที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงติดเชื้อโคโรน่า 2019 แต่ในผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการไม่หนัก ไม่มีอาการ การรักษาโดยการแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ของประชาชน เหมาะสำหรับผู้ป่วยรอการรักษา รอเตียง กักตัว หรือทำการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรนั้น ไม่จำกัดแต่เพียง “ฟ้าทะลายโจร” แต่ยังรวมถึงสมุนไพรอื่น ๆ เช่น รากทั้งห้า สัตตโกฐ ยาเขียว และยาอื่น ๆ ที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือภูมิปัญญาพื้นบ้าน แบบยาสุม การรมสมุนไพร เป็นต้น การรักษาทางเลือกในระหว่างรอเตียงหรือกักตัวนั้น หากทำอย่างถูกวิธี นอกจากจะทำให้ต้นทุนในการรักษาโรคที่มาจากไวรัสโคโรน่า 2019 อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้แล้ว ยังเสริมภูมิคุ้มกันในกรณีของผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงอีกด้วย โดยอาจใช้แนวทางทานอาหารเป็นยา ตามข้อมูลเผยแพร่ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ และอีกหลายสถานพยาบาล เป็นต้น 

การใช้สมุนไพร หรืออาหารเป็นยานั้น มีห่วงโซ่อุปทานที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงที่พืชผักหรือธัญญาหารมีปัญหาด้านราคาผันผวน อันเนื่องมาจากความต้องการสินค้าเพื่อการบริโภคลดลง ในขณะที่ความต้องการยาหรือสมุนไพรมีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการป้องกัน การเก็งกำไร ก็ตาม สิ่งที่ภาครัฐต้องทำก็คือ 

(1) ทำอย่างไรให้ทุกคนในห่วงโซ่อุปทานนี้ได้รับการกระจายผลตอบแทนที่เป็นธรรม เพราะการที่ราคาของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรทะยานขึ้นมาถึงกิโลกรัมละ 1 พันบาทนั้น ผู้ปลูกอาจไม่ได้ผลตอบแทนที่เป็นธรรมเท่าไรนัก 

(2) มีมาตรฐานของสมุนไพรที่ขึ้นทะเบียน และมีการตรวจสอบการปนเปื้อนโลหะหนักของสมุนไพรบรรจุขวด และ/หรือ แคปซูล เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำเพื่อผู้บริโภค เพราะนอกจากต้องจ่ายแพงในภาวะเช่นนี้แล้ว การรับประทานสมุนไพรปนเปื้อนจะส่งผลร้ายต่อผู้บริโภคมากกว่า

(3) ประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องการปลูกสมุนไพรที่มีคุณภาพและการผลิตที่ปลอดภัย เพื่อให้ผู้ซื้อผู้ขายวัตถุดิบได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม 

(4) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการสกัดสารออกฤทธิ์สำคัญในพืชสมุนไพร หรือตำรับยารับรองในกรณีการปรุงยาแบบภูมิปัญญาท้องถิ่น 

(5) ส่งเสริมการวิจัยและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรในลักษณะที่ชุมชนสามารถร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจได้ ในกรณีนี้จะช่วยสร้างรายได้ของชุมชนและผู้เกี่ยวข้องกับการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการผูกขาดในธุรกิจสมุนไพร

(6) การขึ้นทะเบียน การจดลิขสิทธิ์ การจดความลับทางการค้า จะช่วยให้การดำเนินการพัฒนาสมุนไพรนั้น มีความยั่งยืนมากขึ้น และป้องกันการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และ

(7) การสนับสนุนการวิจัยเชิงคลินิกของการใช้ตำรับยาแผนไทยในผู้ป่วยจริง

โอกาสที่สอง เสริมสร้างสถาบัน “บวร” 

บ้าน วัด โรงเรียน เป็นสามสถาบันที่เข้ามาเกี่ยวพันในภาวะวิกฤตโคโรน่า 2019 ในภาวะล็อกดาวน์นั้น หากบ้านไหนไม่มีผู้ติดเชื้อ ก็มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่หากบ้านไหนมีผู้ติดเชื้อและไม่สะดวกในการกักตัวที่บ้านเนื่องจากความแออัด การใช้โรงเรียน สนามกีฬา ค่ายลูกเสือ ศูนย์ประชุม ห้องจัดเลี้ยง มาเป็นส่วนเสริมในการแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อจะทำให้การจัดการง่ายขึ้น เสริมกับ การให้คำปรึกษาและติดตามพัฒนาการทางไกล และระบบจัดส่งร่วม ทั้งเวชภัณฑ์ และอาหาร สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การล็อกดาวน์ในสภาวการณ์แออัดของที่อยู่อาศัย และการไม่ปลอดเชื้อในที่อยู่อาศัยนั้น กลับเป็นตัวเร่งในยอดผู้ติดเชื้อและทำลายระบบสาธารณสุข

ดังนั้น การใช้โรงเรียน สนามกีฬา ค่ายลูกเสือ ศูนย์ประชุม ห้องจัดเลี้ยง และจ้างผู้ที่เกี่ยวข้อง/ผู้ที่ว่างงานจากการปิดกิจการมาดำเนินการ “การกักตัวแบบบริหารจัดการ” จะสามารถจ้างงานตรงเป้า บรรเทาการติดเชื้อ และชะลอความรุนแรงของระบบสาธารณสุขที่กำลังเปราะบาง

ในส่วนของ “วัด” ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นั้น บางวัดดำเนินการเผาศพฟรี ก็จำเป็นที่ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณลงไปช่วย เพราะหากที่เผาศพ มีปัญหา จะทำให้ความเดือดร้อนฝังรากลึกเกินเยียวยา และนโยบายเผาศพฟรีนั้น เป็นการช่วยครอบครัวผู้สูญเสียได้ตรงเป้าที่สุด และไม่รั่วไหล

โอกาสที่สาม ปรับแนวทางการบริหารจัดการแบบใช้ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารอย่างถูกต้อง

ในวิกฤตครั้งนี้ หากติดตามข้อมูลเป็นระยะจะพบว่า มีการกักตุนหน้ากากอนามัยทั้งที่เป็นสินค้าควบคุม กักตุนแอลกอฮอล์ กักตุนชุด PPE กักตุนน้ำยาตรวจหาเชื้อ กักตุนชุดตรวจเชื้อ เก็งกำไรเครื่องวัดออกซิเจน เก็งกำไรสารฆ่าเชื้อ เก็งกำไรยาฟ้าทะลายโจร การอมวัคซีนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ สิ่งที่ผู้มีอำนาจควรทำก็คือ ดำเนินการบริหารจัดการอย่างโปร่งใสเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ในอนาคต และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน มุ่งเป้า อาศัยข้อมูลผ่านทางนโยบายที่เกี่ยวข้อง และระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการโดยรัฐเปิดเผยและโปร่งใสมากที่สุด ในขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายก็จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อสร้างมาตรฐานทางสังคมและสร้างสังคมที่ไม่สนับสนุนและอดทนต่อการคอร์รัปชัน

หลังจากล็อกดาวน์ 14 วันในพื้นที่สีแดงเข้ม สิ่งที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการคือ 

(1) การเยียวยาทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม โดยที่มุ่งเป้ากลุ่มเปราะบาง โดยอาศัยฐานข้อมูลที่หลากหลายเชื่อมต่อกัน 
(2) แนวทางที่ชัดเจนในการได้มาซึ่งวัคซีน ทั้งด้านการทูต ความช่วยเหลือ และการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจที่เป็นธรรม 
(3) แนวทางเศรษฐกิจหลังจากโควิด-19 ที่เป็นรูปธรรม โดยอาศัยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวแบบเดิม หาโอกาสสร้างการท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่เน้นการลดการทำลายทรัพยากรและการกระจายรายได้สู่ชุมชนไปพร้อมกัน และ 
(4) ปรับรูปแบบการสื่อสารโดยเน้นความเข้าอกเข้าใจ การสร้างจิตสำนึกสาธารณะร่วมกัน และการสื่อสารแบบเอื้ออาทร

โอกาสที่สี่ เอาตัวรอดในภาวะ “หนี้”

วิกฤตนี้ยังมีผลกระทบอีกเรื่องที่ผมบอกว่าเป็นฐานของภูเขาน้ำแข็งซึ่งใหญ่กว่าที่เรามองเห็นยอดภูเขาน้ำแข็งมากนัก สิ่งนั้นคือ ภาวะ “หนี้” ซึ่งหน่วยงานรัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยก็พยายามรับมือและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหา “หนี้” จะแก้ได้อย่างถาวรนั้น ผู้ก่อหนี้มีส่วนสำคัญมาก ๆ ในการทำให้ปัญหาเบาบางลง สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจว่าปัญหานั้นคืออะไร หากเป็นปัญหาการก่อหนี้จากพฤติกรรมส่วนตัวที่ชอบใช้จ่ายเกินตัว ก็จำเป็นต้อง ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่จะสร้างปัญหาในอนาคต โครงการแก้หนี้และคลินิกแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญของการแก้ปัญหาภูเขาน้ำแข็งที่จะมาหลังจากฝุ่นควันโควิด-19 เริ่มจางลง

การเอาตัวรอดในภาวะ “หนี้” นั้น จำเป็นต้องประกอบอาชีพสุจริตและพยายามสร้างรายได้จากศักยภาพของตน และคิดเหมือนนักธุรกิจว่ากระแสเงินสดที่เป็นรายได้นั้นควรมาจากหลายช่องทาง มากกว่าพึ่งพารายได้ทางเดียว การพยายามหาอาชีพเสริมรายได้หลัก เป็นสิ่งที่ควรทำ และรู้จักบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งผู้ที่อยู่ในกับดักหนี้นั้นจำเป็นต้องมีกลไกช่วยให้หลุดพ้นจากภาวะนี้ รวมไปถึงการออกกฎหมายการฟื้นฟูการเงินส่วนบุคคล ที่คล้ายกับการฟื้นฟูกิจการ เพราะการปล่อยให้ภาวะ “หนี้” บีบคนที่พอมีศักยภาพในการสร้างประโยชน์ให้ประเทศหนำซ้ำบีบให้ไปทำผิดกฎหมายเพื่อมาชำระหนี้นั้น นับเป็นความสูญเสียของประเทศในอีกทางหนึ่ง

หากจะขออะไรในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างโอกาสที่ดีของเรื่องนี้ คือ ขอวิชาความรู้การเงินพื้นฐาน ให้ถูกบรรจุในการเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ผ่านบทเรียน ผ่านการ์ตูนสำหรับเด็ก เน้นเรื่องการค้าขาย การประกอบสัมมาอาชีพ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในสังคม การก่อหนี้ที่เป็นประโยชน์ และการไม่ก่อหนี้ที่จะสร้างปัญหา โอกาสในการให้เด็กเรียนรู้การเงินพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว และแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ที่มีให้เห็นจำนวนมากในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 

ในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน การป้องกันการติดเชื้อ การตรวจคัดกรอง และวัคซีน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถย่อหย่อนได้เพราะวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 ก่อผลกระทบในวงกว้าง ทั้งครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม แต่เราจะเห็นได้ว่าในวิกฤตยังมีโอกาส และแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หากแต่เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องจะมองเห็นและใช้โอกาสในทางที่ถูกที่ควร การเห็นปัญหาเป็นเรื่องที่ดี และการหาทางออกแบบยั่งยืนเป็นการใช้โอกาสในวิกฤตซึ่งต้องอาศัยทุกภาคส่วนในการผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบ.ตร.​ เข้ม!! กวดขันจับกุมผู้มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายชัด​ ทั้ง Fake News ก่อความสับสน ตื่นตระหนก​ และอาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการตำรวจทุกหน่วยขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล หลังประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.64 เน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ พร้อมเข้มงวดกวดขันจับกุมผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายชัดเจน อาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน เน้นหนักการสร้าง Fake News ก่อความสับสน ตื่นตระหนก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆกษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ กล่าวว่า​ ตามที่เว็บไชต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ลงวันที่ 23 ก.ค.64 เรื่อง 'การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร'​ (คราวที่13) โดยให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีกคราวหนึ่งสำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ตั้งแต่ 1 ส.ค.64 – 30 ก.ย.64 นั้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ห้วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมกำชับการปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคง สาธารณะสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงขับเคลื่อนตามนโยบายของทางรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19​ (ศบค.) อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง 

โดยสั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) ลงไปขับเคลื่อนกำชับทุกหน่วยงานในสังกัด ประสานการปฏิบัติหน้าที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สนับสนุนภารกิจเมื่อมีการร้องขอ

การจำกัดการเคลื่อนย้ายของบุคคลเพื่อสกัดกั้นป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสให้อยู่ในวงจำกัด​ การตรวจคัดกรองการ เข้า-ออกพื้นที่จังหวัดที่มีการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามที่รัฐบาลได้ประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) 

พร้อมเน้นสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ เพื่อปฎิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด ของ ศบค. และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกพื้นที่ และกวดขันบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่มีเจตนาฝ่าฝืนหรือท้าทายกฎหมาย โดยเฉพาะการผลิตและแชร์ Fake News ต่างๆ​ สร้างความสับสนตื่นตระหนกให้กับประชาชน

การรวมกลุ่มกัน การมั่วสุม การลักลอบจัดกิจกรรม  การมั่วสุม ลักลอบจำหน่ายสุราและยาเสพติด การลักลอบเล่นการพนัน อบายมุขในรูปแบบต่างๆ​ การแข่งรถ หรือกิจกรรมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค รวมทั้งดำเนินคดีอาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชนห้วงการแพร่ระบาดโควิด19 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่ออีกว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่ร่วมกันปฎิบัติหน้าที่และมีผลการจับกุมผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยในห้วงที่ผ่านมามีผลจับกุมการรวมกลุ่มมั่วสุม ลักลอบจัดกิจกรรมสังสรรค์ เสพยาเสพติด เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ส่งดำเนินคดีไปแล้วหลายราย 

อีกทั้งยังได้กำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง หน่วยสาธารณะสุข และหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด สนับสนุนกำลังพลในการปฏิบัติภารกิจเมื่อมีการร้องขอ ออกตรวจสอบ ดำเนินคดีกับผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนหรือท้าทายกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาทิ การมั่วสุม จัดงานสังสรรค์ ลักลอบเล่นการพนัน การแข่งรถหรืออบายมุขในรูปแบบต่างๆที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยึดการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพื้นที่ใดมีการปล่อยปละละเลย ก็จะพิจารณาความบกพร่องทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป 

นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติหมายเลข 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

​​​​​

เปิดใจ ไป “ลาปาซ” (La Paz) เมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก !! บนความแตกต่างของโบลิเวีย

“ที่สุดในโลก” ต้องยกให้ลาปาซ คือการรั้งตำแหน่งเมืองหลวงที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล นครบนเทือกเขาแอนดีสแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของโบลิเวีย ประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมสเปนอย่างยาวนานหลายร้อยปี เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในโลกซีกนี้ ร่องรอยแห่งยุคล่าเมืองขึ้นยังปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปผ่านทางสิ่งก่อสร้าง ศาสนา ภาษา สิ่งตกค้างทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ดนตรี การเต้นรำ และเทศกาลต่าง ๆ

“ลาปาซ” (La Paz) เป็นชื่อเรียกภาษาสเปน มีความหมายว่า “สันติภาพ” ฟังแล้วไพเราะ หากมองเมืองนี้แต่ผิวเผินด้วยสายตานักท่องเที่ยวก็คงเห็นด้วย เพราะโดยรวมขณะไปเยือนและอยู่ที่นั่นก็สามารถสัมผัสถึงความสงบสุขมีชีวิตชีวามากทีเดียว ทว่า หากย้อนกลับไปคุ้ยค้นประวัติศาสตร์และสภาพปัญหาที่หยั่งรากลึก ณ ปัจจุบันนี้ก็เริ่มเห็นภาพการพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชาวเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะว่าไปไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดสำหรับประเทศ “กำลังพัฒนา” ทั้งหลาย (รวมเมืองไทยด้วยไหม?)

อาจจะโชคดีที่ผมไม่ได้สิงสถิตนานมากพอ จึงได้แต่บอกเล่าสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมนต์เสน่ห์ของเมืองหลวงแห่งเทือกเขาแอนดีสนี้ โดยไม่อาจล้วงลึกถึงแก่นปัญหาสังคม ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็ทำให้รื่นรมย์ชื่นชมเมืองในขณะเป็นแขกเหรื่อชั่วคราวที่นั่นได้มากทีเดียว เพราะภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกและอารมณ์ขุ่นมัวนั่นเอง 

เนื่องจากเป็นเมืองที่ขยายตัวออกค่อนข้างกว้าง แถมตึกรามบ้านช่องยังปลูกสร้างกันบนไหล่เขาลดหลั่นเสียขนาดนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยว หากจะตั้งต้นทำความรู้จักลาปาซ ก็คงต้องเริ่มกันที่จุดศูนย์กลาง ในที่นี้ คือย่านเมืองเก่าคาสโกเวียโฮซึ่งมีทุกอย่างพร้อมสรรพสำหรับทัวริสต์ เปรียบเทียบก็คงคล้ายพื้นที่โดยรอบคูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวพึงประสงค์ 

แน่นอน ย่านนี้ได้รับการบูรณะอย่างดี ถนนปูด้วยก้อนหินคนเดินเหยียบย่ำกันทุกวันจนสึกกร่อนมันเลื่อม สินค้าที่ระลึกอาจจะแปลกตาสำหรับคนต่างชาติต่างภาษา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ งานถักทอจักสาน แม้กระทั่งเจ้าก้อนหินซากฟอสซิลก็มีจำหน่าย ซึ่งซากหอยโบราณที่พบบนเทือกเขาแอนดีสความสูงตั้งหลายพันเมตรเหล่านั้นก็มีอายุอานามพอ ๆ กับหินเก่าแก่ประเภทเดียวกันที่พบบนเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน เช่นนี้แล้วก็น่าสนใจมากในแง่ที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วน้ำเคยท่วมทั้งโลกตามที่คัมภีร์โบราณตะวันออกกลางได้บันทึกไว้นั้นมีมูลความจริงหรือไม่

ระยะที่ห่างออกจากตัวเมืองเก่าเพียงเล็กน้อยแค่ระยะเดินถึง สามารถสำรวจตลาดใหญ่ขายทุกอย่างชนิดสำเพ็ง เยาวราช ประตูน้ำ บางลำพูรวมกันอาจไม่สามารถเทียบได้ เดินสำรวจตรวจตราและถ่ายรูปไปพลางอาจหอบหายใจถี่เพราะปริมาณออกซิเจนต่ำกว่าค่าปกติที่อยู่บนพื้นที่สูงเกือบสี่พันเมตรเช่นนี้ แต่สนุก เพราะมีสีสันและมีชีวิตชีวา คล้ายตลาดสดของประเทศในแถบเอเชียซึ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกฝรั่งมังค่าอาจจะตื่นตา ทว่าคนไทยอาจจะรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางประการแม้จะจากบ้านเมืองตัวเองมาไกลค่อนโลกเช่นนี้ ต้องเรียกว่าเป็นความเหมือนแบบ same same but different ล่ะ เพราะสีสันฉูดฉาดที่แตกต่าง กลิ่นที่จมูกรับสัมผัสก็ไม่ใช่กลิ่นแบบเอเชีย สิ่งที่เหมือนคือความวุ่นวายขวักไขว่และไร้ระเบียบนั่นแหละ 

คนดั้งเดิมอาศัยอยู่กันมาก่อนพวกสเปนจะมารุกรานคือชนเผ่าอินคาหลากหลายชาติพันธุ์ เทียบกับเมืองไทยก็คงเหมือนชนเผ่าบนดอย ไม่ว่าจะเป็นอาข่า ลีซู ปวากะญอ ลาหู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่โบลิเวียนั้นคนท้องถิ่นเชื้อสายหลักคือ คนไอยมารา และเกชัว คนเหล่านี้มีผิวสีน้ำตาล ผมดำ และโครงหน้าคล้ายคนอินเดียนแดงทางอเมริกาเหนือ สันนิษฐานว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงกันทางพันธุกรรม และน่าจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกับคนเอเชียด้วย หากพิจารณาเฉพาะในตัวเมืองลาปาซแล้วจะพบว่าประชากรราว 80% เป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิม มีคนขาวซึ่งเป็นลูกหลานชาวยุโรปซึ่งตกค้างมาจากสมัยล่าอาณานิคมอยู่เพียงเล็กน้อย นัยหนึ่งก็คือโบลิเวียเป็นประเทศซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดีก็เป็นคนที่ปกครองยาวนานมากที่สุดคนหนึ่ง คือโมราเลส ก็เป็นคนเผ่าไอยมารา แถมยังมีนโยบายแข็งกร้าวต่อท่าทีของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพืชโคคา เป็นที่ทราบกันดีว่าใบโคคานั้นนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นร่วมกับการผลิตยาเสพติดร้ายแรงโคเคน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโคคาเป็นพืชประจำถิ่นบนเทือกเขาแอนดีสและผู้คนก็เคี้ยวใบโคคาแห้งกันมายาวนานหลายศตวรรษ เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมอินคาอย่างหนึ่งก็ว่าได้ โบลิเวียเป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ที่ออกกฎหมายอนุญาตให้มีการขายใบโคคาแห้งในตลาดร้านค้าได้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก ทั้งนี้ก็เพราะมองกันคนละมุมนั่นเอง

ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย ส่วนใหญ่ผู้หญิงหลังแต่งงานไปจนถึงวัยกลางคนมักเริ่มกลายสภาพเป็น “ตุ่มเคลื่อนที่” เพราะรูปร่างและน้ำหนักตัวของพวกเธอ ด้วยเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายเฉพาะไม่ซ้ำแบบหรือพยายามตามกระแสโลกปัจจุบันที่นิยมหญิงร่างบางสูงโปร่ง ผู้หญิงโบลิเวียปล่อยให้ร่างท้วมฉุเพราะเชื่อว่าคือความอุดมสมบูรณ์ สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ดีกว่า อีกทั้งแฟชั่นเครื่องแต่งกายก็ยังคงเป็นการนุ่งกะโปรงจับจีบคล้ายสุ่มไก่สีสันฉูดฉาด พร้อมกับสวมหมวกทรงคาวบอยหรือหมวกนักมายากล อันที่จริง ผู้หญิงโบลิเวียแข็งแกร่งกว่าที่คิดมาก เพราะมีกีฬามวยปล้ำที่เรียกว่าโชลิตา ซึ่งนักกีฬาจะต่อสู้กันในสังเวียน อาจจะเป็นผู้หญิงสู้กับผู้หญิงด้วยกันเอง หรือผู้หญิงต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกก็ได้ ดังนั้น ถ้าจะให้ดี อย่าได้ริต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงประเทศนี้จะดีที่สุด  

แม้ศาสนาตะวันตกจะมีบทบาทในสังคม แต่คนโบลิเวียจำนวนมากยังคงเหนียวแน่นในจารีตและความเชื่อดั้งเดิมแห่งบรรพบุรุษ ยังคงเชื่อถือโชคลางและผีสาง ยังมีการบนบานสานกล่าว สังเกตได้ง่ายจากย่านหนึ่งใกล้คาสโกเวียโฮที่เต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเซ่นไหว้ รวมถึงของบวงสรวงอย่างเช่นรกและตัวอ่อนสัตว์ประเภทลามาขายเป็นสินค้าปกติ นั่นก็อีกหนึ่งความน่าสนใจในลาปาซ 

หากอยากเห็นเมืองในมุมกว้างและสูง ชนิดตื่นตาตื่นใจ ด้วยสนนราคาถูก ก็ต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าอันเป็นขนส่งสาธารณะชั้นเยี่ยม เพราะมีเครือข่ายครอบคลุมแทบทั่วทั้งเมือง และยังคงมีการขยายมากขึ้นไปอีก เทียบแล้วก็คงคล้ายกับระบบรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินในเมืองใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งกรุงเทพมหานครที่พยายามเชื่อมทั้งเมืองเข้าด้วยกัน แต่ลาปาซไม่สามารถใช้ระบบรถไฟฟ้า เพราะเมืองตั้งอยู่บนไหล่เขาลาดชันมาก กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นวิธีที่สมเหตุสมผลมากกว่าโดยประการทั้งปวงนั่นเอง นอกจากจะได้ชมทั้งเมืองแล้ว ในวันฟ้าเปิดยังมองเห็นภูเขาหิมะในระยะไกลออกไปอีกด้วย

จะได้ “สัมผัส” สิ่งละอันพันละน้อยในเมืองใหญ่ลาปาซมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเวลาที่มี กับความกว้างของใจของผู้ไปเยือนที่เปิดออก ...ไหน ๆ ก็ยากเย็นกว่าจะไปถึงแล้ว ก็อยู่ให้นานหน่อย เปิดใจให้กว้าง ๆ เพื่อรับทราบเรียนรู้ และซึมซับความประทับใจที่เมืองนี้สามารถหยิบยื่นให้ได้ ดีไหม?    


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้” (Shanghai marriage market) เมื่ออยากช่วยลูก ’สละโสด’ !! พ่อแม่จีนจึงโปรดให้...

เรื่องของการมีครอบครัว มีชีวิตคู่ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชาวโลกตะวันออก โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งครอบครัวมักห่วงอาทรในเรื่องของมีชีวิตคู่ของบุตรหลานอยู่เสมอ จึงทำให้เกิด “ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai marriage market)” ขึ้น จึงขอนำมาเล่าในบทความประจำสัปดาห์นี้ครับ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นสถานที่จัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงาน ณ People's Park ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยผู้ปกครองของหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างก็แห่แหนกันไปยังสวนสาธารณะ People's Park ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงห้าโมงเย็น เพื่อนำเสนอ แลกเปลี่ยน ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรหลานของตน ซึ่งยังครองตัวเป็นโสดอยู่

ตลาดนัดคนโสด ณ People's Square มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 มีค่าใช้จ่ายประมาณ $3.20 USD สำหรับโฆษณาที่แสดงเป็นเวลาห้าเดือน และมีนายหน้าหาคู่แต่งงานโดยสามารถเข้าถึงหมายเลขโทรศัพท์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน $16.00 ตลาดนัดคนโสดที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ณ สวนสาธารณะ Longtan กรุงปักกิ่ง ผู้เกษียณที่ไปสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายตอนเช้ามักพบว่าในการสนทนามีเด็กที่ยังไม่แต่งงานในวัยยี่สิบกลางถึงปลาย ด้วยความกระวนกระวายที่จะแต่งงานกับลูก ๆ ของพวกเขา ผู้อาวุโสเริ่มจัดงานจับคู่ที่พวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเขา และมองหาการจับคู่ที่เป็นไปได้ ตั้งแต่นั้นมา สวนสาธารณะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เซินเจิ้น หวู่ฮั่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว และเทียนจิน ก็กลายเป็นสถานที่จับคู่อย่างไม่เป็นทางการ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นการรวมตัวของคนโสด แต่ส่วนมากจะเป็น พ่อ แม่ ที่กังวลว่า ลูกชาย ลูกสาวของตนจะไม่มีคู่ จึงมารวมตัวกัน จับคู่ หาคู่แต่งงานให้กับลูก ๆ ของตน มีการตั้งป้าย บอกคุณลักษณะ รูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา การงาน ไม่ต่างจากโปรไฟล์ที่พบเห็นตามเว็ปไซต์นัดเดทเลยแม้แต่น้อย 

ป้ายบอกคุณลักษณะในตลาดนัดหาคู่

เป้าหมายหลักในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ คือ ให้พ่อแม่หาคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับลูก ๆ ของตน มาตรฐานในการหาคู่ที่ใช่อาจขึ้นอยู่กับ (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) อายุ ส่วนสูง งาน รายได้ การศึกษา ค่านิยมของครอบครัว ราศีจีน และบุคลิกภาพ ผู้สูงอายุที่เกิดระหว่างปี 1950 ถึง 1960 มักจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ของตลาดนัดแห่งนี้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ต่างพากันโฆษณาคุณสมบัติของลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน ซึ่งเกิดในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990 โดยในตลาดนี้ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งจากนั้นจะแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ 

ป้ายโฆษณานำเสนอบุตรหลานแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้นตรงข้ามสวน People's Park ผู้ปกครองเดินไปรอบ ๆ เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ เพื่อดูว่า หนุ่มสาวมีความเหมาะสมคล้องจองกันหรือไม่ หลังจากที่มาตรฐานของลูก ๆ หนุ่มสาวตรงกันแล้วก็จะมีการนัดเจอกัน

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้น

ตลาดนัดคนโสดมีสองโซนหลัก : เขตปลอดอากร และ โซนจับคู่สมัครเล่น 

เขตปลอดอากร เป็นที่ซึ่งผู้ปกครองของหนุ่มสาวมองหาคู่ที่มีเหมาะสมสำหรับลูกชายหรือลูกสาวคนเดียวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหญ่บางคนซึ่งกำลังมองหาคู่ของตัวเอง ภายในเขตปลอดอากรมีโซนย่อยมากมายที่ผู้ปกครองสามารถติดโปสเตอร์ของบุตรหลานได้ โซนย่อยบางโซนจะแบ่งตามปีเกิด เช่น โซนทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 โซนอื่น ๆ ได้แก่ โซนต่างประเทศ โซน “เซี่ยงไฮ้ใหม่” เขตหย่าร้าง โซนมุสลิม และโซนภูมิภาค 

เขตจับคู่สมัครเล่น ผู้จับคู่มืออาชีพหรือแบบสมัครใจจะแบ่งปันรายชื่อผู้สมัครที่มีเหมาะสมให้กับผู้ปกครองที่เข้าร่วม มีนักจับคู่มืออาชีพในตลาดที่คิดค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา 100-200 หยวนสำหรับหญิง และไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับชาย กล่าวกันว่า ความไม่สมดุลนี้เกิดจากหญิงในตลาดคนโสดมีมากกว่า ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นักจับคู่มืออาชีพเหล่านี้มักจะกลายเป็นนักเล่นกลที่หายตัวไปหลังจากได้รับค่าธรรมเนียมจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองที่ต้องการหาคู่ให้กับลูก ๆ ของตน

ร่มสำหรับโฆษณา ผู้ปกครองหลาย ๆ คนไม่ได้รับความยินยอมจากลูก ๆ ให้เข้าร่วมงานนี้ และได้รับการอธิบายว่า ใช้บริการ "match.com จะตรงใจกว่า" ด้วยอัตราความสำเร็จต่ำ ในสายตาของผู้ปกครองหลาย ๆ คน การรวมตัวเพื่อจับคู่ลูก ๆ ของพ่อแม่ เช่น ตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ เป็นวิธีเดียวที่จะรักษารูปแบบการออกเดทแบบดั้งเดิมสำหรับลูก ๆ ของพวกเขาในประเทศจีนสมัยใหม่ ประเพณีในอุดมคติอันยาวนานของจีนในการสืบสานสายเลือดของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมจีนตามนโยบายลูกคนเดียว เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแต่งงานทั่วไป "ตลาดหาคู่" ของจีนจึงมีเสถียรภาพที่สั่นคลอน โดยเฉพาะสำหรับชายในจีน มหาวิทยาลัย Kent คาดการณ์ว่าภายในปี 2021 ชายจีนราว 24 ล้านคนจะยังไม่ได้แต่งงานและไม่สามารถหาภรรยาได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ

รูปแบบของตลาดนัดหาคู่ ตลาดเหล่านี้ไม่มีผู้จัดงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดนัดหาคู่มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ประการแรก อัตราส่วนทางเพศมักเป็นการจะมองหาฝ่ายชายมากกว่า แม้ว่าในประเทศจีนจะมีจำนวนประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงก็ตาม ในสวนจงซานของปักกิ่ง ผู้ปกครอง 80% มองหาสามีสำหรับลูกสาวคนเดียวของพวกเขา ฝ่ายหญิงที่ถูกส่งเข้าร่วมหาคู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งมีงานทำ และเติบโตในเซี่ยงไฮ้ สาว ๆ ในเมืองเหล่านี้เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางคนใหม่ของจีน แต่มักถูกจัดอยู่ในประเภท "หญิงสาวที่เหลือ" ในตลาดนัดหาคู่ ผู้ปกครองจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำการตลาดให้บุตรหลานของตน เช่น ทักษะที่มี การบริการลูกค้า และการเจรจาต่อรองที่ดี การออกแบบ ป้าย โปสเตอร์ อย่างรอบคอบ และการแต่งกายที่ดีเพื่อแสดงถึงการอบรมเลี้ยงดูที่ดี

แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่เป็นทางการสำหรับการโฆษณาในตลาด แต่ลักษณะบางอย่างถือเป็นที่ต้องการมาก สำหรับฝ่ายหญิง คือ อายุน้อย รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี หัวอ่อน เชื่อฟัง จะเป็นที่ต้องการ สำหรับชาย การมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น การงานที่ดี และรายได้สูง เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยคาดว่า ฝ่ายชายจะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์และรถยนต์ การมีทะเบียนบ้านในเซี่ยงไฮ้ (Hukou) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เข้าร่วมในตลาดนัดหาคู่ทุกคน

ตัวอย่างข้อความโฆษณา “สาวสวย เกิดปี พ.ศ. 2524 สูง 162 เซนติเมตร จบการศึกษาปริญญาตรี ทำงานเป็น Project director ของบริษัทต่างชาติ เงินเดือนมากกว่า 10,000 หยวน (ราว 52,000 บาท) ต้องการหาชายที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2526 จบปริญญาตรีหรือสูงกว่า และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว”

การวิจัยชาติพันธุ์วิทยาเพื่อศึกษาแรงจูงใจของผู้ปกครองในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่า ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้มีอัตราความสำเร็จต่ำ และผู้ปกครองส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่น่าจะพบคู่ที่ตรงกัน แต่ผู้ปกครองมักจะกลับมาที่ตลาดเพื่อโฆษณาบุตรหลานของตนต่อไป งานวิจัยชิ้นหนึ่งอธิบายว่าตลาดตอบสนองต่อความวิตกกังวลโดยรวมของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดในปี 1950 และ 1960 ผู้คนรุ่นนี้เป็นพ่อแม่ของลูกคนเดียว เพื่อที่จะรักษาทะเบียนบ้านในเขตเมือง หลายคนยังคงเป็นโสดในวัยสามสิบ เมื่อพวกเขากลับบ้านเกิด รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงจัดการนัดพบเพื่อแก้ปัญหานี้ แหล่งที่มาของความวิตกกังวลของผู้ปกครองอีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกที่ครอบคลุมถึงความผันผวนและความไม่มั่นคงตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศจีน ผู้ปกครองกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงินของบุตรหลาน ที่พักอาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาแพงอย่างรวดเร็ว เช่น นครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีระบบสวัสดิการสังคมที่แข็งแกร่งในการจัดหาที่อยู่อาศัยและความมั่นคง 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองเหล่านี้จึงกังวลว่า ลูกเพียงคนเดียวของพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตที่ยากลำบาก และมีชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข ตลาดนัดหาคู่จึงเป็นช่องทางสำหรับผู้ปกครองที่จะแบ่งปันความกังวลส่วนตัวของพวกเขาในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเห็นว่า ไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ดังนั้น หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้ แรงจูงใจอื่น ๆ ในการไปตลาดนัดหาคู่รวมถึงการเน้นที่การรักร่วมเพศ เนื่องจากผู้ปกครองจำนวนมากพิจารณาเฉพาะผู้สมัครที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น และความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของลูกของตนในการหาคู่ครองที่เหมาะสม

หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงในประเทศจีน ต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะแต่งงาน พวกเธอมีทางเลือกมากกว่าหญิงในรุ่นก่อน ๆ และไม่กลัวที่จะให้ความสำคัญกับอาชีพของตนเป็นอันดับแรก การเปลี่ยนแปลงในอุดมคติในการแต่งงานทำให้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และมีอำนาจทางสังคมมากขึ้นจากเดิมที่ชายเคยครอบงำตามประเพณี ปัจจุบันมีหญิงจำนวนมากขึ้นที่พยายามหาชายที่มีความรับผิดชอบและมีความซื่อสัตย์ แทนที่จะเป็นแค่งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง

อัตราการแต่งงานในจีนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคง

เช่นกันมาตรฐานของชายหลายคนเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของสถานภาพของหญิงตามหน้าที่การงานเช่นกัน พวกเขาคาดหวังจะได้ภรรยาเป็นหญิงที่ได้รับการศึกษาและอยู่ในเส้นทางอาชีพที่ดี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือมุมมองของคนรุ่นก่อนในเรื่องนี้ พวกเขาเห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสองประการในภรรยาคือ "ความสง่างามและเส้นทางอาชีพที่ดี" ค่อนข้างเปลี่ยนจาก "ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจเป็น แบกรับภาระแห่งชีวิต"

ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้ยังเป็นการตอบสนองต่อความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างรวดเร็วในประเทศจีนตั้งแต่ยุคปฏิรูปตลาด การเปิดตลาดและการถอนตัวของรัฐจากบริการทางสังคมจำนวนมากทำให้เกิดความจำเป็นในการขัดเกลาทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในรุ่นนั้น ดังนั้นตลาดนัดหาคู่จึงเป็นการตอบสนองต่อความวิตกกังวลทางสังคมของชาวจีนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ท่ามกลางวิกฤติ พลังความคิดที่จะช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน “ไม่ได้วัดที่ระดับไอคิว” แต่วัดที่ “ระดับจิตสาธารณะ”

ในช่วงภาวะปกติ ชีวิตแต่ละคนดำเนินไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ ยิ่งปกติ ยิ่งทำให้วางแผนไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก ขอให้ทำตามแผน ต่อให้ไม่ถึงดวงจันทร์ แต่อย่างน้อยก็จะอยู่ท่ามกลางดวงดาวแน่นอน 

วัยเรียน วัยศึกษาค้นคว้า วัยรุ่น วัยโลดโผนโจนทะยาน วัยที่ต้องมีพื้นที่ในการปล่อยของ สายคงแก่เรียนเป้าหมายการทำคะแนนสอบให้ดี เกรดสูง ใฝ่ฝันศึกษาสถาบันในฝัน วาดฝันอนาคตทางวิชาการ ภาพฝันเหล่านั้น เกิดขึ้นไม่ยากจนเกินไป หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ โดยที่โฟกัสเฉพาะแค่ตัวเราเองให้ขยันหมั่นเพียรในเรื่องการเรียนก็เพียงพอ 

ณ วันนี้ ความจริง คือ สถานการณ์ไม่ปกติเสียแล้ว ทุกคนบนโลกทรงส้มแป้นนี้ เผชิญกับภาวะที่ยากลำบากครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การเผชิญกับภาวะโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ ยังไม่พอเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วแตกเป็นหลายสายพันธุ์อีกต่างหาก จุดจบเรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ๆ แต่ระหว่างนั้น พวกเราจะอยู่กันอย่างไร? นี่เป็นคำถามที่ทุกช่วงทุกวัยต้องเผชิญ อยู่ด้วยการด่าทอ อยู่ด้วยความสิ้นหวัง หรืออยู่ด้วยพลังที่จะสู้เพื่อความอยู่รอด พลังที่จะช่วยเหลือกัน คิดถึงส่วนรวม ให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน  วิธีคิดเหล่านี้ “ไม่ได้วัดที่ระดับไอคิว” แต่วัดที่ “ระดับจิตสาธารณะ”

“จิตสาธารณะ” ไม่ใช่คำสวยหรูดูดี เมื่อใครทำความดีตามหน้าสื่อ และไม่ได้หมายถึงแค่การบริจาคสิ่งของ สละทรัพย์เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว หมายถึง การมีจิตใจ ความคิด วิธีปฏิบัติที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน วิธีคิดแบบจิตสาธารณะนั้น ใช้ได้กับทุกสถาบันทางสังคม ตั้งแต่เพื่อน คนรัก ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และระดับโลก 

“จิตสาธารณะ” จะยิ่งเห็นชัดเมื่อเกิด “วิกฤติ” เสมอ ในสภาพปกติ การจะแยกว่าใคร สังคม สถาบันไหน มีความเป็น “จิตสาธารณะ” นั้น ก็จะดูกันตามชื่อหน่วยงาน มูลนิธิ แต่เมื่อเกิด “วิกฤติ” เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะ “คนปกติที่เห็นกันทั่วไป” คนไหนมี “จิตสาธารณะ” อันหมายถึง บุคคลไหน คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตนอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าหมายรวมถึงในระดับที่ใหญ่ขึ้นอย่างหน่วยงาน สถาบันต่าง ๆ ในระดับรัฐด้วย 

“จิตสาธารณะ” มีหลายระดับ ระดับดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระผู้อื่น นี่ก็ถือว่าเป็นจิตสาธารณะ เพราะคิดถึงผู้อื่นจึงดูแลตัวเอง ระดับครอบครัว การหลีกเลี่ยงไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงของครอบครัวเพียงเพราะความสุขสบายของตัวเอง ก็เพราะคิดถึงส่วนรวมคือความมั่นคงภายในครอบครัว เช่นนี้ก็คือจิตสาธารณะ สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่สถาบันระดับชาติก็ไม่ต่างกัน หากองค์กรต่างๆ มี “จิตสาธารณะ” ในภาวะวิกฤติจะผ่านไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เจ็บมากไปกว่าเดิม ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะมีจิตที่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน 

ด้วยประการข้างต้น ในภาวะวิกฤติจึงกล่าวได้ว่า ไอคิวไม่เท่าไหร่ แต่ใจต้องมีจิตสาธารณะ นั่นเอง 

เขียนโดย: ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Program Director THE STUDY TIMES 

วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ทำไมใครๆ ก็อิจฉาสวีเดน หนึ่งในประเทศผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมโลก และการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

...ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เคยติดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดในโลก

...ประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศ เพราะขยะไม่พอรีไซเคิลใช้ในประเทศ

...ประเทศแรกในโลกที่ประกาศเป้าหมายปลอดการใช้พลังงานคาร์บอน

...และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังระดับโลกอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก

สวีเดนทำได้อย่างไร? วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ปัจจัยสำคัญที่สร้างสวีเดนให้มีความมั่งคั่ง และยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คือ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล การพัฒนาด้านนวัตกรรม สังคมคุณภาพ และการศึกษาที่มีเป้าหมายหากนับย้อนหลังไปเมื่อร้อยปีก่อน ประเทศสวีเดน อาจเป็นเพียงหนึ่งในประเทศยากจนในดินแดนยุโรป ที่อาศัยรายได้จากกสิกรรมเป็นหลัก และมักได้ผลผลิตน้อยเนื่องจากอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวจัด และประชากรเบาบาง แต่สิ่งที่ทำให้สวีเดนสามารถพัฒนาจนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลในด้านสิ่งแวดล้อมประเทศหนึ่งของโลก มีอยู่หลายปัจจัย

จุดเด่นของรัฐบาลสวีเดน คือการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน และเห็นเป้าหมาย ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆ ในโลก ที่ผ่านร่างกฏหมายด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศที่ชื่อว่า Environmental Protection Act ตั้งแต่ปี 1967 และยังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมโลกขององค์การสหประชาชาติเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1972

และทราบหรือไม่ว่าเมือง Växjö ในสวีเดนเป็นเมืองแรกของโลกที่ประกาศเป้าหมายเป็นเมืองปลอดพลังงานจากคาร์บอนตั้งแต่ปี 1996 ให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 ซึ่งเมือง Växjö ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเขียวขจีที่สุดในยุโรป

ทั้งนี้ รัฐบาลสวีเดนยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2045 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของชาติที่เรียกว่า ‘1 เจนเนอเรชั่น 16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’

หมายความว่า สวีเดนตั้งเป้าที่จะส่งมอบประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยและยั่งยืน ให้สำเร็จให้ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคนที่ครอบคลุม 16 เป้าหมายดังนี้

1. จำกัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
2. อากาศบริสุทธิ์
3. รักษาสมดุลย์ของกรดในธรรมชาติ
4. สิ่งแวดล้อมที่ปลอดสารพิษ
5. ปกป้องชั้นบรรยากาศ
6. มีความปลอดภัยจากพิษรังสี
7. ปลอดมลภาวะทางน้ำ
8. แม่น้ำ ลำธารงดงาม
9. น้ำบาดาลที่มีคุณภาพดี
10. รักษาสมดุลย์ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล
11. พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์
12. ป่าไม้ยั่งยืน
13. เกษตรกรรมหลากหลาย

14. ป่าเขาอุดมสมบูรณ์
15. สร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
16. พืชพันธุ์ สัตว์ป่าสารพัน

‘16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’ จึงเป็นเหมือนเป็นแนวทางที่รัฐบาลตั้งธงไว้ อาทิ ลดผลกระทบด้านภูมิอากาศ การบริหารจัดการขยะ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กำจัดสารพิษ และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

นอกจากจะมียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนแล้ว รัฐบาลสวีเดนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการทุ่มงบประมาณสูงถึง 400 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 1.44 พันล้านบาท) ในแต่ละปีเพื่องานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในประเทศ

โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย ซึ่งปัจจุบันนี้ 80% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของสวีเดน มาจากแหล่งพลังงานปลอดคาร์บอนแทบทั้งสิ้น เช่นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พลังงานจากน้ำ คลื่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวภาพ  หรือแม้แต่ความร้อนจากร่างกายมนุษย์ก็สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้เช่นกัน นับเป็นประเทศที่ใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานคาร์บอนสูงที่สุดในยุโรป

ส่วนภาคสังคมชาวสวีเดน ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะพาประเทศไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชาวสวีเดนมีความตระหนักรู้ในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก นิยมสินค้าออแกนิคส์ มีระเบียบวินัยสูงในการคัดแยกขยะรีไซเคิล ที่สามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังงานต่อได้ จนถึงขนาดขยะในประเทศไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เรื่องการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวนขยะทั้งหมดที่มีในสวีเดน มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จำเป็นต้องเหลือทิ้งจริงๆ ส่วน 49% นั้นชาวสวีเดนจะใช้วิธีแปรรูปนำกลับมาใช้ใหม่ และอีก 50% ถูกส่งไปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานในประเทศ ซึ่งในสวีเดนมีโรงงานแปรรูป ขยะ-สู่-พลังงาน ถึง 34 แห่ง 

และชาวสวีเดนมักยอมจ่ายแพง หากค่าใช้จ่ายนั้นจะช่วยในเรื่องการเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆของโลก ที่เก็บภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 1991 แถมจ่ายในอัตราที่แพงที่สุดในโลก ที่ 1,190 โครเนอร์ (4,290 บาท) ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอน 1 เมตตริกตัน และตั้งแต่เก็บภาษีคาร์บอนมาได้กว่า 30 ปี การปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับการเติบโตด้านเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากรัฐบาลนำเงินภาษีที่ได้ไปพัฒนาสวัสดิการด้านพลังงานในประเทศ ชาวสวีเดนส่วนใหญ่จึงจิตสาธารณะในการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังนิยมเลือกพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี

นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบว่า มากกว่า 80% ของชาวสวีเดนอาศัยอยู่ไม่ไกลเกินรัศมี 5 กิโลเมตรจากพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ แหล่งอนุรักษ์ทางธรรมชาติ ที่มีอยู่มากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ กิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินป่า ปีนเขา นอนแคมป์ จึงเป็นที่นิยมของชาวสวีเดน และยังเป็นหนึ่งในหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้ชาวสวีเดนสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย

สังคมคุณภาพของสวีเดนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่เริ่มต้นตั้งแต่ระบบการศึกษา ที่ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในทุกระดับชั้น ด้วยการสอนให้รู้ถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะ การใช้ของอย่างคุ้มค่า ลดการใช้ขวด แก้วพลาสติก ใช้อุปกรณ์การเรียน การสอนด้วยวัสดุรีไซเคิล

โรงเรียนในสวีเดนไม่ได้สอนวิชาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะแทรกอยู่ในทุกวิชาที่เด็กเรียน เพื่อเน้นให้เด็กเห็นถึงปัญหาของสิ่งแวดล้อมในภาพรวมว่าอยู่ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน จึงไม่แปลกใจว่า ระบบการศึกษานี้ได้สร้างนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคนสำคัญอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก ที่ออกมารณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างเข้มแข็งตั้งแต่อายุ 15 ปี

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงขับเคลื่อนให้สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานทางเลือก และการอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ปราศจากมลภาวะ จนเป็นที่อิจฉาของหลายๆประเทศ

แต่การที่จะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับเดียวกับสวีเดนได้นั้น ต้องพัฒนาโครงสร้างทางสังคมทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน สังคม และการศึกษา ให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกันนั่นเอง

เขียนโดย: อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นามปากกา Jeans Aroonrat


อ้างอิง:
https://sweden.se/nature/7-examples-of-sustainability-in-sweden/
http://www.inquiriesjournal.com/articles/1555/sweden-the-worlds-most-sustainable-country-political-statements-and-goals-for-a-sustainable-society
https://www.thehumble.co/blogs/news/sweden-aka-the-most-sustainable-country-in-the-world-1
https://hoting-tasjodalen.com/how-did-sweden-become-the-most-sustainable-country-in-the-world/
https://www.nbcnews.com/news/world/sweden-s-environmental-education-building-generation-greta-thunbergs-n1106876
https://taxfoundation.org/sweden-carbon-tax-revenue-greenhouse-gas-emissions/

ยะลา – ประชาชนแน่น รพ.เบตง รอคิวฉีดวัคซีนโควิด บ่นพรึบ !! คิวจองยังไม่ได้ฉีด ดันเปิด walk in แบบนี้ไม่ต้องเว้นระยะห่าง

ประชาชนในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา แน่นโรงพยาบาลเบตง แห่เข้าคิวรอรับการฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกและเข็มสองกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้มีน้ำหนักตัว 100 กก.ขึ้นไป จำนวน 1,060 โดส โดยมี ประชาชนมารอรับการฉีดจำนวนมาก ขณะที่ประชาชนบางส่วน บ่นกันว่า คิวจองรอฉีดวัคซีนยังไม่ได้ฉีดดันเปิด walk in ทำให้ ประชาชนเดินทางมาเป็นจำนวนมากซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

วันนี้ (22 ก.ค. 2564) ที่โรงพยาบาลเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ประชาชนในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ต่างเดินทางมาเพื่อเข้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ในช่วงเช้าจำนวนมาก มีการต่อแถวยาวตลอดทางเข้าจนถึงหน้าสหกรณ์โรงพยาบาลฯ ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้ประชาชน สามารถวอล์คอิน เข้ามาฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลเบตงได้ เพื่อให้บริการฉีดวัคซีน โควิด-19 แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้มีน้ำหนักตัว 100 กก.ขึ้นไป และที่มีนัด เนื่องจากปัจจุบันปัญหาผู้ติดเชื้อโควิค-19 ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หากกลุ่มดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะสามารถลดการติดเชื้อ ลดป่วยรุนแรง และลดการเสียชีวิต จึงเปิดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 (เข็มที่ 1) ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่ตั้งครรภ์มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจะต้องแสดงเอกสารการตั้งครรภ์ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ และผู้ที่มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป

ขณะที่ในวันนี้ ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางมาตามนัดแต่ต้องต่อรอคิวนานเนื่องจากทาง รพ.เบตง ได้เปิดรับบริการฉีดวัคซีนโควิด ทุกกลุ่มที่ walk in ทั้งที่มีนัดและไม่ได้นัด โดยเริ่มตั้งแต่ เวลา 08.30-16.00 น. ขณะที่ประชาชนในพื้นที่อำเภอเบตงส่วนใหญ่ได้เริ่มฉีดไปแล้วเข็มที่ 1 คือ วัคซีนซิโนแวค และเข็มที่ 2 คือ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และในวันนี้ประชาชนที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีน รวม 1,060 โดส

อย่างไรก็ตาม จากการเปิด walk in ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจต่างบอกว่า ”ทำไมไม่แบ่งเป็นวันครับ คนลงทะเบียนยังฉีดไม่ครบเลย เปิด walk in แล้วแบบนี้จะลงทะเบียนเพื่ออะไร ผมว่าทาง รพ.ต้องจัดแบ่งวันเวลาใหม่แล้ว ไม่ใช่เรียกมาพร้อมกันหมด ถ้าในนั้นมีคนติดสักคน จะเป็นยังไง คนเยอะขนาดนี้จะมาบอกให้เค้าเว้นระยะ ก็คงทำยาก”

ขณะที่ประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ยังคงต้องปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ อย่างเคร่งครัด โดยการรักษาระยะห่างทางสังคม ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง

กาฬสินธุ์ - อบจ.กาฬสินธุ์ทุ่ม 20 ล้าน ซื้อวัคซีน ‘โมเดอร์นา’ ฉีด ช่วยประชาชน 5 กลุ่ม เปราะบาง

อบจ.กาฬสินธุ์จัดเต็มทุ่ม 20 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีน “โมเดอร์นา” จากสภากาชาดไทย ฉีดสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน 5 กลุ่มเป้าหมายฟรี พร้อมเตรียมงบอีก 10 ล้านบาทสนับสนุนโรงพยาบาลสนามและสถานที่กักกันตัว

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ประชุมชั้น 5 องค์การบริหารส่วน จ.กาฬสินธุ์ นายชานุวัฒน์ วรามิตร นายกอบจ.กาฬสินธุ์ นายวรากรณ์ ภูอาภรณ์ ประธานสภาอบจ.กาฬสินธุ์ นายนพกุล ปัญญาแก้ว รองปลัด อบจ.กาฬสินธุ์ นายมานพ เวฬุวณารักษ์ รองปลัด อบจ.กาฬสินธุ์ พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมกันแถลงแผนการจัดซื้อวัคซีน “โมเดอร์นา” จากสภากาชาดไทย เพื่อกระจายไปยังโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 18 อำเภอ ดำเนินการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มต่าง ๆ 5 กลุ่มเป้าหมายฟรี  เป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต พร้อมแถลงการจัดเตรียมงบอีก 10 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักกันตัว และศูนย์พักคอยต่าง ๆในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาด และพบผู้ป่วยจำนวนมาก หลังก่อนหน้านี้ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 4 ล้านบาทในการสร้างโรงพยาบาลสนามไปแล้ว 2 แห่ง

นายชานุวัฒน์ วรามิตร นายกอบจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ล่าสุดได้แพร่ระบาดในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนทั้งจังหวัด ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรร ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ซึ่งทาง อบจ.กาฬสินธุ์ มีความห่วงใยในชีวิตของพี่น้องประชาชน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน ลดการแพร่ระบาด และลดความรุนแรงของโรค จึงได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 20 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีน โมเดอร์น่า (Moderna) จากสภากาชาดไทย โดยผ่านความเห็นชอบของสภา เพื่อกระจายฉีดวัคซีนไปยังโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 18 อำเภอ ฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มต่าง ๆจำนวน 5 กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ฟรี   ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความปลอดภัยในชีวิต ให้กับประชาชนชาวกาฬสินธุ์

โดย 5 กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง สตรีมีครรภ์ ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน, กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไปที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19  มาก่อน, กลุ่มที่ 3 บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ในถิ่นทุรกันดาร, กลุ่มที่ 4 ผู้ที่ทำงานประจำอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้สอนในโรงเรียนอนุบาล หรือครูอาจารย์ผู้ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียน ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน และกลุ่มที่ 5 บุคลากรที่ออกปฏิบัติงานสัมผัสประชาชน ตามโครงการฉีดวัคซีนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรค โควิด -19 มาก่อน ซึ่งบุคคลที่มีคุณสมบัติเข้าตามเกณฑ์ใน 5 กลุ่มดังกล่าว ที่มีความประสงค์จะรับการฉีดวัคซีนจากอบจ.กาฬสินธุ์ สามารถลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอป “วัคซีน อบจ.กาฬสินธุ์” สำหรับรายละเอียดและขั้นตอนการลงทะเบียน จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ได้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง และสำหรับการสั่งจองผ่านสภากาชาดไทยจะได้รับวัคซีนมาในช่วงเดือนตุลาคม 2564 นี้

นายชานุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา อบจ.กาฬสินธุ์ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 4 ล้านบาท ในการสร้างโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 โรงพยาบาลฆ้องชัย และโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ด้านหลังศูนย์ราชการจังหวัด และขณะนี้ได้จัดเตรียมงบประมาณไว้อีกจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักกันตัว และศูนย์พักคอยจุดต่างๆในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาดและพบผู้ป่วยจำนวนมากอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top