Sunday, 19 May 2024
SPECIAL

‘อุ๊งอิ๊ง’ ขนทัพ ‘เพื่อไทย’ ปราศรัยใหญ่ จ.เลย ลั่น!! มุ่งทำเพื่อ ปชช. ไม่มุ่ง ‘พาพ่อกลับบ้าน’

(27 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ท่าอากาศยานเลย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ในงาน #แลนด์สไลด์เพื่อไทยเท่านั้น โดยทันทีที่เดินทางมาถึงมี แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.จังหวัดเลย อาทิ นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ และประชาชนร่วมรอรับและมอบดอกกุหลาบ เพื่อให้กำลังใจ พร้อมส่งเสียงตะโกน “เพื่อไทย สู้ๆ” “อุ๊งอิ๊ง สู้ๆ” พร้อมชูป้ายความยินดีต้อนรับ จนเสียงดังสนั่น ณ สนามบินเลย โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่หาเสียงในนามพรรคเพื่อไทยครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะลงพื้นที่ในนามครอบครัวเพื่อไทย โดยจุดแรกที่ลงพื้นที่ปราศรัยคือที่สนามกีฬากลางจังหวัด อ.เมือง จ.เลย

จากนั้นคณะพรรคเพื่อไทยได้หารือกับตัวแทนภาคเอกชนจังหวัดเลยที่ร้านอาหารล้านช้าง ก่อนเดินทางไปยังเวทีปราศรัยจุดแรก โดย น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ว่า การลงพื้นที่หาเสียงครั้งนี้ถือเป็นการเดินสายหาเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อไทย หลังจากนี้พรรคจะเดินหน้าหาเสียงทั่วประเทศ เพื่อพบประชาชนให้ได้มากที่สุด ในส่วนของตนที่ยังสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ก็จะพยายามลงพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เมื่อใกล้คลอดจะปรับเป็นนั่งรถไปแทน โดยพยายามไปให้ได้มากที่สุดโดยปรึกษาคุณหมอตลอด จะไม่ทำอะไรให้มากเกินไป

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้นแต่มีการพูดถึงการจับมือทางการเมืองหลังเลือกตั้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ยังไม่เคยคุยกันเลย เราจะเดินสายอุ้มท้องหาเสียงต่อไปเพื่อเป้าหมายเลนส์สไลด์นี่คือสิ่งที่นี่คือเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจทำ

เมื่อถามย้ำว่า นายทักษิณ ระบุว่าจะกลับบ้านเมื่อใดให้ น.ส.แพรทองธาร จะเป็นผู้ประกาศ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า “ยังไม่ได้บอกจะกลับเมื่อไหร่อย่างไร ที่บอกให้อิ๊งค์เป็นคนบอกก็ตามนั้น ส่วนจะกลับมาแบบไหนนั้น คุณพ่อออกไปหลายปีแล้ว คงมีวิธีและวิธีการว่าจะมาอย่างไรอิ๊งค์ก็เคารพการตัดสินใจและท่านก็พูดเองว่าจะไม่เอาพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การที่มาอยู่ตรงนี้ พรรคเพื่อไทยอยู่ตรงนี้ เราจะมุ่งหน้าหาเสียงทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องพานายทักษิณกลับบ้าน ขอให้แยกเรื่องกัน”

เมื่อถามอีกว่า การจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตัดไปได้เลยใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนไม่เคยคุย และข่าวที่ออกมาจะกระทบกับกระแสพรรคหรือไม่นั้น ตนคิดว่าประชาชนติดตามข่าวน่าจะมีวิจารณญาณว่าเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ตนไม่ได้คุยจริงๆ ยังไม่มีดีล ไม่ได้คุย ก็ไม่รู้จะตอบประชาชนอย่างไร

เมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาโจมตีนายทักษิณหนักมาก พรรคจะดำเนินการอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีแนวทางตอบโต้กับนายจตุพร หรือใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบาย เราเชื่อว่าการทุ่มเททำงานหนักเพื่อนำประชาธิปไตยกลับคืนมา เปลี่ยนแปลงรัฐบาลเอานโยบายเพื่อไทยแก้ปัญหาประชาชนคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

สำหรับนายจตุพร แม้เหตุการณ์ตอนนี้ก็ไม่เคยรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ แต่ถ้าสื่อสารถึงกันได้บ้าง อยากบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าจะเพียงพอหรือได้ข้อยุติสำหรับการแสดงท่าทีแล้วหรือไม่ ขอให้พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ ได้ทำงานในสนามเลือกตั้ง เราไม่ทะเลาะกับนายจตุพร หากไม่สบายใจก็ไม่เป็นไร หากนายจตุพรจะหันมาที่ตน ตนยังพร้อมทำงานในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยต่อไป โดยไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์

“อยากให้มองมาที่พรรคเพื่อไทย เป็นพี่ เพื่อน น้อง ที่เคยยืนเคียงข้างกัน วันนี้เราทำงานหนักเพื่อนำบ้านเมืองให้รอดจากวิกฤต ดังนั้น ขอให้เราได้มีสมาธิทำหน้าที่ เราต่างเคยยืนเคียงข้างนายทักษิณ ในสนามเลือกตั้ง เคียงข้างผู้นำของพรรคการเมืองนี้ตลอด วันนี้ผมยืนข้าง น.ส.แพทองธาร พี่ก็ทราบว่าน้องอิ๊งค์มีหัวใจเป็นคนเสื้อแดง เติบโตมากับการเห็นภาพการถูกกระทำของคนเสื้อแดง หลั่งน้ำตาให้กับการสูญเสีย กับความเจ็บปวดของคนเสื้อแดง อยากให้พี่นึกถึงภาพวันแบบนั้น ให้น้องอิ๊งค์ได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะทำ อย่างที่ประชาชนตั้งความหวังอย่างที่ประเทศไทยกำลังรอโอกาส และเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงหากจะไปสนับสนุนพรรคอื่นในฝ่ายประชาธิปไตย คงเป็นด้วยเหตุผลอื่น ไม่น่าจะเป็นเพราะประเด็นที่นายจตุพรเปิดออกมา และยังเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่

ส่วนคนเสื้อแดงที่ไม่สมหวังกับการจัดตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ผมสอบถามกับคณะกรรมการสรรหาอยากให้มีการอธิบายแบบตรงไปตรงมา แต่ที่เปิดตัวไปมีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ได้โอกาส ยืนยันเราไม่เคยคิดทอดทิ้งทำลายน้ำใจกัน หวังเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งพี่น้องเสื้อแดงจะทบทวนวิธีคิดและจับมือร่วมกันเหมือนเดิม และเหมือนที่ น.ส.แพทองธาร บอก เป้าหมายแลนด์สไลด์ไม่ใช่เพื่อพานายกฯ ทักษิณ เป็นคนละประเด็นกัน ท่านก็พูดจะกลับหรือไม่อยู่ที่หัวใจท่าน ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมือง ดังนั้น แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย เพื่อเอาประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม) ประวิตรกลับบ้าน (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ) เอารัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการกลับบ้าน” นายณัฐวุฒิ กล่าว

พปชร.เคาะ ‘บิ๊กป้อม’ หนึ่งเดียวแคนดิเดตนายกฯ ชี้!! เป็นที่ ‘เคารพ-ศูนย์รวมใจ’ ลูกพรรค

เคาะ ‘บิ๊กป้อม’ หนึ่งเดียวแคนดิเดตนายกฯ พปชร. ชี้!! เป็นที่เคารพ-ศูนย์รวมใจลูกพรรค ไฟเขียว ตั้ง ‘บุญสิงห์-สกลธี-อภิชัย’ นั่งกก.บห.แทนที่ว่าง ด้าน ‘เสธ.โย’ นั่งนายทะเบียน ฟาก ‘อนุชา-สุรสิทธิ์’ ไขก๊อก กก.บห. ‘วิรัช’ ปลุกใช้ใจบันดาลแรงดัน ‘ประวิตร’ ผู้นำคนที่ 30

(27 ม.ค. 66) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ได้จัดประชุมใหญ่สามัญพรรค ครั้งที่ 1/2566 โดยมีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ทำหน้าประธานการประชุม โดยประธานแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงการแก้ไขข้อบังคับพรรค และมีกรรมการบริหารพรรคลาออก 3 คน คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ลาออกจาก ผอ.พรรค, นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ลาออกจาก กก.บห. และนายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ ลาออกจากนายทะเบียนพรรค และได้มีการเสนอให้สมาชิกลงมติเลือกกรรมการบริหารพรรค จำนวน 3 คน แทนตำแหน่งที่ว่างคือ พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เป็นนายทะเบียนพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล, นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ และนายอภิชัย เตชะอุบล เป็นกรรมการบริหารพรรค

และเห็นชอบตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. เป็นบุคคลที่พรรค พปชร.เสนอให้ได้รับการพิจารณาเป็นนายกฯ เพียงชื่อเดียว และขั้นตอนจากนี้จะมีการเสนอต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

ด้านนายวิรัช กล่าวว่า วันนี้ถือว่า พปชร.เราก้าวนำในพื้นที่ เราเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯก่อนทุกพรรค โดยเสนอเพียงชื่อเดียว ซึ่งพวกเราหมายมั่นปั้นมือกันทุกคน เราจะต้องร่วมแรงร่วมใจ หรือเอาใจบันดาลแรง ที่จะทำให้แคนดิเดตนายกฯ พปชร.ได้เป็นนายกฯคนที่ 30 และจากการที่เราเสนอจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เราได้เป็น นายกฯ คราวนี้เรามีความเชื่อมั่น 100% หรือ 1,000% ว่า หัวหน้าพรรคพปชร.จะได้เป็นนายกฯแน่นอน นอกจากนี้ขอแจ้งให้สมาชิกพรรคเข้าร่วมงานระดมทุนในวันที่ 30 ม.ค.นี้อย่างพร้อมเพรียง ห้ามขาด ขณะเดียวกัน นโยบายที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายแรกคือ บัตรประชารัฐ 700 บาท และจากสโลแกนของ พปชร. เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาพื้นที่ อยากให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์ ช่วยกันไปหาเสียงกับประชาชน จะใช้คำว่า 700 ทั่วไทย หรือจะใช้คำว่า ป้อม 700 หัวหน้าพรรคไม่ได้ขัดข้อง

ขณะนายไพบูลย์ แถลงผลการประชุมใหญ่สามัญพรรค ว่า ประเด็นสำคัญของการประชุมคือ การแก้ไขข้อบังคับ โดยเฉพาะการคัดเลือกเสนอบุคคลที่เห็นสมควรเสนอให้พิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกฯของพรรค ที่ปกติต้องรอให้มีการประกาศเลือกตั้งทั่วไปก่อน จึงจะดำเนินการ แต่เนื่องจากพรรคพปชร. พลังประชารัฐอยากให้เกิดความชัดเจน จึงได้ดำเนินการก่อนจะมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)การเลือกตั้งออกมา

นายไพบูลย์ กล่าวว่า โดยที่ประชุมใหญ่ได้ดำเนินการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ หลังตนได้รับฟังความเห็นจาก ส.ส. ตัวแทนพรรค สาขาพรรค และสมาชิก ทุกท่านเห็นตรงกันว่าพรรคต้องเสนอบุคคลที่สมาชิกพรรคเคารพสูงสุด และเป็นศูนย์รวมจิตใจมาโดยตลอด คือ พล.อ.ประวิตร จึงได้เสนอท่านเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงชื่อเดียว เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ และศักดิ์ศรีของพรรค 

"ทุกคนเห็นตรงกันเสนอ พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงท่านเดียว เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และศักดิ์ศรีของพรรคพลังประชารัฐ จึงต้องเสนอท่านที่สูงสุด เหมาะสมที่สุด ที่ประชุมทุกระดับชั้น เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร มีความเหมาะสม และเชื่อว่าท่านจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แน่นอน" นายไพบูลย์ กล่าว

‘สันติ’ เผย ‘สมคิด’ ยกทีม ‘สอท.’ กลับ ‘พปชร.’ เป็นเรื่องดี มีมือ ศก. มาช่วยหัวหน้าพรรค

‘สันติ’ ไม่รังเกียจ!! ‘สมคิด’ ยกทีม สอท.กลับ พปชร. บอกดีเสียอีกมีมือเศรษฐกิจมาช่วยหัวหน้าพรรค เชื่อทำงานกับ ‘นฤมล-มิ่งขวัญ’ ได้

(27 ม.ค. 66) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค พปชร.ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่สามัญพรรค พปชร.ถึงกระแสข่าว นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) จะนำ สอท.กลับมาอยู่กับ พปชร.อีกครั้ง ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร.ได้วางแนวทางเอาไว้ว่าเราจะเป็นพรรคก้าวข้ามความขัดแย้ง อีกทั้งบุคคลที่มีชื่อตามข่าวไม่ได้ข้อด้อยอะไร โดยเฉพาะเป็นนักวิชาการ นักเศรษฐกิจ มีความตั้งใจที่จะมาช่วยกันดูแลบ้านเมือง ถ้าเป็นคนดีพรรคไม่เคยรังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ผู้สื่อข่าวถามได้สอบถามหรือบุคคลต่าง ๆ ตนและสมาชิกพรรคจะส่งเสริม

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวพูดคุยและดีลกับนายสมคิด กลับสู่ พปชร.เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่านักเศรษฐกิจและผู้ที่มีความรู้ความสามารถมีมาคุยกับพวกเราและหัวหน้าพรรค พปชร.จำนวนมาก และจะมีบุคคลที่มีคุณลักษณะดังกล่าวเข้ามาช่วยงานพรรคอีกจำนวนมาก ดังนั้น ที่สื่อมวลชนถาม นายสมคิดก็ดี นายอุตตม สาวนายน ก็ดี หากขอเข้ามาร่วมกับพรรค โดยส่วนตัวเห็นว่าดีเสียอีก ไม่มีความเสียหายใด ๆ เพราะนายสมคิดมีความตั้งใจที่จะดูแลบ้านเมือง มีความรู้ความสามารถค่อนข้างมาก ท่านมีกำลังที่จะมาช่วยหัวหน้าพรรคในเรื่องเศรษฐกิจ ลงทุน จะทำให้ดีขึ้น ซึ่งพรรคของเราไม่ปฏิเสธแน่นอน

‘บิ๊กป้อม’ โดดประชุมใหญ่ พปชร. อ้างเวลาราชการ คาดเตรียมคุย ‘อุตตม-สนธิรัตน์’ ชวนกลับพรรค บ่ายนี้

‘บิ๊กป้อม’ โดด ประชุมใหญ่ พปชร. อ้างเวลาราชการ เตรียมเปิดโต๊ะดีล ‘อุตตม-สนธิรัตน์’ บ่ายนี้ ชวนกลับพรรค ลุยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 ม.ค.ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พรรคพลังประชารัฐจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1 / 2566 มีวาระสำคัญแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 เลือกคณะกรรมการบริหารพรรค เลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยมีกรรมการบริหารพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัทธิยกุล หัวหน้าทีมกทม. และสมาชิกพรรค เข้าร่วม ตามที่กฎหมายกำหนด

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค และส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวก่อนประชุมว่า การประชุมวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ในเวลาราชการ จึงมอบหมายให้ตน ทำหน้าที่ประธานการประชุม

รู้จัก 'ปลื้ม สุรบถ' ลูกนายหัวชวน หลังขยับนั่ง ส.ส.ป้ายแดงของ ปชป.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า นายสุรบถ หลีกภัย หรือ ปลื้ม ลูกชายของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จ่อจะได้เป็นผู้เเทนฯ สมัยเเรก ในช่วงท้ายของสภาฯ ชุดปัจจุบันซึ่งจะครบวาระ 4 ปี ในเดือนมี.ค. 2566 เนื่องจากนายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ยื่นใบลาออกจาก การเป็นส.ส.ในวันที่ 19 ม.ค.2566 ต่อเนื่องจากนางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น ส.ส. ต่อประธานสภาฯไปก่อนหน้า 

ทั้งนี้ นายอิสระ เป็นคณะทำงานใกล้ชิดของนายชวน หลีกภัย ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานต่าง ๆ ของประธานสภาฯ โดยตลอด รวมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็น เลขานุการประธานรัฐสภา ก่อนหน้าจะมาดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ส่วน นายสุรบถ หรือ ปลื้ม อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 33 ของ ปชป. เป็นอดีตรองโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม และเคยเป็นพิธีกรวีอาร์โซ และยังเคยเป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการด้วย

นายสุรบถ เกิดเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2530 ปัจจุบัน อายุ 36ปี เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของชวนและนางภักดิพร สุจริตกุล เป็นที่รู้จักของสังคมมาตั้งแต่ยังเล็ก เนื่องจากเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมักนิยมเรียกติดปากว่า 'น้องปลื้ม' โดยชื่อ 'สุรบถ' นั้น แปลว่า ท้องฟ้า เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องจากภักดิพร ผู้เป็นมารดาได้ขอพระราชทานจากพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็นสหายร่วมชั้นเรียนมาด้วยกันในโรงเรียนจิตรลดา

>> ประวัติการศึกษา 
นายสุรบถสำเร็จการศึกษาชั้นอนุบาลจากโรงเรียนจิตรลดา ประถมศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มัธยมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนพร้าววิทยาคม (เป็นประธานนักเรียน และตั้งวงดนตรี ชื่อ 'วงหมากเหนือ' เป็นมือคีย์บอร์ดของวง) และระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

>> บทบาททางการเมือง
ที่ผ่านมานายสุรบท นอกจากความเป็นบุตรชายของนายชวนแล้ว ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมักได้รับคำวิจารณ์ว่าเสนอความคิดเห็นได้เฉียบแหลม จนได้รับฉายาว่า 'มีดโกนน้อย' คู่เคียงกับฉายา 'มีดโกนอาบน้ำผึ้ง' ของบิดาเคยช่วยนายชวนหาเสียงให้แก่พรรคประชาธิปัตย์อย่างสม่ำเสมอ 

‘รักษามะเร็งฟรี’ ประโยชน์ที่ดีต่อคนทั้งชาติ เกมฉีกจาก ‘ภูมิใจไทย’ ในจังหวะนโยบายชู ศก.เดือด

ตามกติกา เหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ก็จะหมดวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้ว และหน้าสื่อตอนนี้ ก็เริ่มหันไปสนใจกับนานาพรรคการเมือง ที่ปล่อยก๊อกนโยบายของพรรคตนออกมา ‘ปาดหน้า’ ชิมลาง เรียกคะแนนทิพย์จากประชาชนกันแบบเล่นใหญ่ บ้างชูนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน บ้างเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการเป็น 700 บาททันทีหากได้เป็นรัฐบาล บ้างปลดล็อกการจ่ายภาษีขั้นต่ำ ฯลฯ

แน่นอนว่า พอปล่อยเป็นนโยบายเชิงหาเสียง ก็ย่อมสัมผัสได้ถึงนานาประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับกันทั้งนั้น แต่จะทำได้จริงหรือไม่ หรือต่อให้ตั้งใจจะทำจริง จะต้องใช้อายุขัยรัฐบาลกี่เดือน กี่ปี ก็ต้องตามดูกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียน มีข้อติดใจเรื่องหนึ่ง คือ นานานโยบายที่ก่อตัวขึ้นในห้วงเวลานี้ ล้วนต่อยอดสถานภาพการเงินแบบเกทับ แต่หลังจากชีวิตผู้คนที่เริ่มหลับนอนในท้องห้องโรงพยาบาลบ้าง ศูนย์พักพิงบ้าง ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา มันก็พลันให้คิดว่า มิมีใครอยากจะถอยนโยบายด้านสุขภาพมาให้ประชาชนได้ฝากผีฝากไข้กันบ้างเลยหรือ

ทั้งที่เรื่องสาธารณสุข หรือเรื่องสุขภาพ มันเป็นเรื่องใกล้ตัว และประชาชนทุกคนหากคิดจะเดินหน้าไปทำมาหากินได้ ก็ต้องมีสุขภาวะที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็ต้องเสียทั้งเงินและเสียเวลาไม่มากก็น้อย แล้วจะไปต่อยอดชีวิตได้อนาคตได้เยี่ยงไร 

พลันคิดได้เช่นนี้ ก็แอบเซ็ง แต่ก็เอาวะ เพราะแนวนโยบายเปิดปฐพีในช่วงแรก มันก็ต้องยิงกระแสแรง ๆ ไว้แซงพรรคเพื่อนพ้องไว้ก่อน เพียงแต่หลังจากได้เห็นกระแสนโยบายเกทับด้านการเงินแรง ๆ ไปช่วงหนึ่ง ก็ต้องจ้องอ่านอย่างคนสงสัย เมื่อยังมีพรรคที่ชูนโยบายสุขภาพขึ้นแรงดูดี 

นโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ ของพรรคภูมิใจไทย เป็นอีกข้อความที่สะกดใจ และรู้สึกว่า ‘หมอหนู’ อยู่สาธารณสุขจนอิน เลยเบนเข็มจากกัญชาเสรี มารักษามะเร็งฟรี หรือเป็นกลยุทธ์แสนครีเอทที่เข้าใจปัจจัยแห่งทุกข์พื้นฐานของประชาชนกันแน่

โฆษก ตร. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีสาวชาวไตหวันเที่ยวไทย อ้างว่า ถูกตำรวจไทยขอค้น ไถเงินกว่า 20,000 จนปล่อยตัว

วันนี้ (26 ม.ค.66) เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
กรณีสาวชาวไตหวันเที่ยวไทย อ้างว่า ถูกตำรวจไทยขอค้น ไถเงินกว่า 20,000 จนปล่อยตัว

จากเพจ มติชน: สาวชาวไต้หวัน อ้างถูก ตร.ไทยค้นตัว เรียกเงิน 27,000 บาท เตือน นทท.อย่าพกเงินสดเยอะ 
(วันที่ 25 มกราคม 2566 - 15:42 น.) สาวชาวไต้หวัน อ้างถูก ตร.ไทยค้นตัว เรียกเงิน 27,000 บาท เตือน นทท.อย่าพกเงินสดเยอะ

เมื่อวันที่ 25 มกราคม เฟซบุ๊กแฟนเพจ หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว ซึ่งนำเสนอเรื่องราวการท่องเที่ยว สังคม วัฒนธรรม ในไต้หวัน ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก เล่าข่าวที่เกิดขึ้นกับสาวชาวไต้หวันรายหนึ่ง ที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย โดยอ้างว่าถูกตำรวจไทยขอค้นตัว และรีดไถเงินกว่า 2 หมื่นบาท ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายแห่ง โดยเฟซบุ๊กหนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “สาวชาวไต้หวันเที่ยวไทย อ้างว่า ถูกตำรวจไทยขอค้นตัว ค้นกระเป๋า รีดไถเงินกว่า 20,000 บาท จนยอมปล่อยตัว” นั้น

ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทราบว่า 

- ผู้กล่าวอ้างเป็น หญิงสาวชาวไต้หวัน อายุ 33 ปี  ให้ข่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 4 ม.ค.66 เวลาประมาณ 01.00 น.
- พบว่ามีการเช็คอิน FB ที่แอสคอท(Ascott) ทองหล่อ ระหว่างที่พักในไทย
- เริ่มออกข่าววันที่ 7-8 ม.ค.ที่ไต้หวัน เพราะโพสในสตอรี่ IG ทุกสำนักข่าวออกข่าวเพียงวันเดียว แล้วก็ไม่มีข่าวออกมาอีกเพราะไม่มีหลักฐานมาขยายความต่อ  มีแต่คำกล่าวอ้างของเจ้าตัว
- สอบถามไปยัง สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคนไต้หวันในประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า หลังเกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ไม่พบข้อมูลขอความช่วยเหลือ หรือร้องเรียน รับแจ้ง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว 
- ตรวจสอบกับระบบ สตม.พบว่า เดินทางเข้าเมื่อ 29 ธ.ค.65 ทาง สนามบินสุวรรณภูมิ วีซ่า VISA ON ARRIVAL เพื่อการท่องเที่ยว  และเดินทางออกเมื่อ 5 ม.ค.66 สนามบินสุวรรณภูมิ 

สอบขยายผล  หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการตามที่เป็นข่าวจริง  จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาต่อไป

อาละวาดหนัก! ‘ผู้ช่วยฯสมพงษ์-ศปอส.ตร.’ เปิด 4 กลโกงโจรออนไลน์มาแรง เตือนปชช.ระวัง

26 มกราคม 2566 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หัวหน้าอำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) , พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบช.ศปก.ตร./หัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ศปอส.ตร. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ศปอส.ตร. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก./รองหัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ร่วมกันเปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม 2566 ฝ่ายบริหารการรับแจ้งความออนไลน์ ศปอส.ตร. และ บก.ตอท. พบคดีที่น่าสนใจควรเตือนประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อฉ้อโกง 4 คดี คือ

1) หลอกให้ลงทุนกับสถาบันติวสอบครูผู้ช่วย
2) ปลอมเพจโรงรับจำนำอีซี่มันนี่หลอกขายสินค้าหลุดจำนำ
3) หลอกให้โอนเงินโดยอ้าง 'โครงการประชารัฐ'
4) หลอกลงทุนอ้างบริษัทยักษ์ใหญ่ 'CP ALL'

นอกจากนี้พบว่ากลุ่มโจรออนไลน์ยังแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หลอกลวงประชาชน โดยหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมมือถือระยะไกล ลงในมือถือ หลอกว่าจะคืนภาษี ทวงภาษี หรือให้เราตรวจสอบการเสียภาษี โดยการตรวจสอบผ่านโปรแกรมที่ส่งเป็นลิงค์มาให้โหลด ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเราโดยตรง เมื่อมือถือถูกมิจฉาชีพเข้าควบคุม ซึ่งมีคนตกเป็นเหยื่อมาแล้วหลายราย เบื้องต้นให้ตั้งสติ แล้วรีบกดปุ่มปิดมือถือให้ไว เพื่อตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในเครื่อง แล้วคนร้ายจะไม่สามารถใช้งานบนมือถือเราได้ แล้วรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงไว้เป็นหลักฐานเพื่ออายัดบัญชีของเราไว้ก่อน 

มหากาพย์ เลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 กกต.ถูกจำคุก-จ้างพรรคเล็ก-ยุบพรรคไทยรักไทย

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตั้งอีกครั้ง โกำหนดให้วันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป

แต่ทว่า ก่อนการเลือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549 ฝ่ายค้านในห้วงนั้นประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน ได้ทำหนังสือถึงพรรคไทยรักไทย เรียกร้องให้ทำสัตยาบันร่วมกันว่า หลังการเลือกตั้งจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 313 เพื่อตั้ง ‘คนกลาง’ ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่พรรคไทยรักไทยประกาศไม่ลงสัตยาบันร่วมกับฝ่ายค้าน แต่เชิญหัวหน้าพรรคทุกพรรคให้มาทำสัญญาประชาคมร่วมกันว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างการเลือกตั้ง จากนั้นค่อยมาตั้ง ‘คนกลาง’ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฝ่ายค้านจึงประกาศคว่ำบาตรไม่ส่งผู้สมัคร

การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 จึงเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมาย มีการฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อแสดงอารยะขัดขืน เช่น รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร, มีการกรีดเลือดมาเป็นหมึกกาบัตรเลือกตั้ง, คูหาเลือกตั้งหันหลังออก, มีผู้สมัคร ส.ส. หลายสิบเขตได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าคะแนนโนโหวต มีการใช้ตรายางประทับบัตรเลือกตั้ง และมีบัตรเสียเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความเคลือบแคลงใจในความโปร่งใสของการเลือกตั้งครั้งนั้นอย่างหนัก

ส่วนผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ มีผู้มาใช้สิทธิ 29 ล้านคนเศษ จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 44.9 ล้านคน คิดเป็น 64.77% มีบัตรเสีย 1,680,101 ใบ หรือ 5.78% มีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือ โนโหวต สูงถึง 9,051,706 คน คิดเป็นสัดส่วน 31.12%

และผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต มีผู้มาใช้สิทธิเกือบ 29 ล้านคน หรือ 64.76% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง มีบัตรเสีย 3,778,981 ใบ 13.03% มีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน 9,610,874 คน 33.14%

หลังจากนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพิกถอนการเลือกตั้ง และให้มีการเลือกตั้งใหม่

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549 ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 และคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 607-608/2549 วันที่ 16 พฤษภาคม 2549 วินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการจัดคูหาที่อาจส่งผลให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยลับ และให้จัดเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549

นอกจากนี้ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ศาลอาญา ได้พิพากษาให้ กกต. ที่จัดการเลือกตั้งมีความผิดเนื่องจากการจัดการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม โดยให้ลงโทษจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แต่ต่อมา เมื่อปี 2556 หลังจากที่ กกต. (สามคนในเวลานั้น) ผ่านการติดคุก/ต่อสู้คดีแล้ว ศาลกลับได้มีคำสั่งยกฟ้อง กกต. ทั้งสาม

หลังจากนั้นก็มีการสรรหา กกต.ใหม่ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ แต่ยังไม่ทันได้เลือกตั้ง ก็ถูก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการปฏิวัติเสียก่อนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

แต่ผลพวงจากการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสในครั้งนั้น ยังตามหลอนพรรคไทยรักไทยไม่จบสิ้น เมื่อ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน กกต.ว่า พรรคไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองขนาดเล็ก อย่างพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทยลงสมัคร ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนีเกณฑ์ร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ กกต.ปลอมแปลงฐานข้อมูลสมาชิกพรรคเล็กเมื่อปี 2549

‘ณัฐธิดา’ รองปธ. อบจ.ปทุมธานี สวมเสื้อ ภท. เผย ชื่นชอบนโยบายพรรค ‘พูดแล้วทำ’

‘ภูมิใจไทย’ เปิดบ้านต้อนรับ ‘หนึ่ง-ณัฐธิดา’ รองปธ.อบจ. ปทุมธานี เข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ เจ้าตัวบอกชื่นชอบนโยบายพรรค ‘พูดแล้วทำ’   

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่พรรคภูมิใจไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ให้การต้อนรับ น.ส.ณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัย สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ลำดับที่ 1 เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และสวมเสื้อแจ็คเก็ตพรรคภูมิใจไทย

‘ไอติม’ อัด!! ศธ.ยกเลิกระเบียบทรงผม ยิ่งเปิดช่องโรงเรียนออกกฎไร้ขอบเขต

‘พริษฐ์-ก้าวไกล’ ชี้ ศึกษาธิการ ยกเลิกระเบียบทรงผม ไม่ได้แก้ปัญหา ยิ่งเปิดช่องโรงเรียนออกกฎไร้ขอบเขต แนะ ต้องมีมาตรฐานให้ชัด ห้ามโรงเรียนบังคับทรงผมเด็ก พร้อมสะท้อน ศธ. บทบาทกลับหัวกลับหาง เรื่องที่ควรให้อิสระโรงเรียนกลับไม่ให้ เรื่องที่ควรต้องคุ้มครองสิทธิเด็กในทุกโรงเรียน กลับไม่ทำ

(25 ม.ค. 66) พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงนามยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 เปลี่ยนเป็นการกำหนดแนวปฏิบัติกว้าง ๆ เกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนหรือนักศึกษา ให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ไปกำหนดเป็นระเบียบหรือข้อบังคับเอง

พริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าพูดเฉพาะประเด็นการกำหนดทรงผม สิ่งที่รัฐมนตรีทำ ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องทรงผมของนักเรียน และอาจทำให้เป้าหมาย 'เสรีทรงผม' ห่างไกลกว่าเดิม เพราะการยกเลิกกฎระเบียบส่วนกลางเกี่ยวกับทรงผม และโอนความรับผิดชอบและการตัดสินใจทั้งหมดไปที่โรงเรียน จะยิ่งเปิดช่องให้โรงเรียนแต่ละแห่งออกกฎเกณฑ์เรื่องทรงผมที่ละเมิดสิทธิผู้เรียนอย่างไรก็ได้แบบไร้ขอบเขต เช่น โรงเรียนแห่งหนึ่งสามารถออกกฎให้เด็กทุกคนต้องโกนหัวก็ได้ ดังนั้น ถ้าอยากแก้ปัญหาจริง ๆ กระทรวงควรออกระเบียบหรือมาตรฐานขั้นต่ำจากส่วนกลางให้ชัด ห้ามไม่ให้โรงเรียนออกกฎระเบียบตนเองที่บังคับเด็กเรื่องทรงผม

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินแจกตั๋วเครื่องบินฟรีในฤดูกาลท่องเที่ยว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินส่งข้อความสั้น (SMS) และโทรศัพท์ไปหลอกลวงประชาชนแจ้งว่าเป็นผู้โชคดีได้รับคูปองเที่ยวบินฟรี ดังนี้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) มายังโทรศัพท์มือถือของตน แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินต่างๆ เช่น สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air) พร้อมกับข้อความในลักษณะว่า “ ขอบคุณที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ท่านได้รับบินเที่ยวฟรี ” โดยให้กดลิงก์ที่แนบมากับข้อความดังกล่าวเพื่อเป็นการเพิ่มเพื่อนสายการบินทางแอปพลิเคชันไลน์ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้เสียหายสอบถามข้อมูลต่างๆ และหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันของสายการบินที่ส่งให้ทางไลน์อีกครั้ง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าว มิจฉาชีพจะหลอกให้เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงิน หรือให้ตั้งรหัส PIN 6 หลัก รวมถึงการให้สิทธิ์แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ทำให้มิจฉาชีพสามารถเชื่อมต่อระบบเข้ามา และควบคุมหน้าจอโทรศัพท์ของเหยื่อเมื่อใดก็ได้ โดยจะทิ้งระยะเวลาให้เหยื่อตายใจ ระหว่างนี้มิจฉาชีพจะสังเกตพฤติกรรมของเหยื่อ เช่น ใช้ธนาคารใด มีเงินในบัญชีเท่าไหร่ และจดจำรหัสผ่านจากที่เหยื่อกดเข้าระบบของแอปพลิเคชันธนาคาร กระทั่งเวลาผ่านไปจนเหยื่อเผลอ เมื่อได้โอกาสมิจฉาชีพจะเชื่อมต่อแล้วโอนเงินออกจากบัญชีไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแอบอ้างเป็นหน่วยงานต่างๆ ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมถึงวางมาตรการป้องกันสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ

พิษณุโลก ตำรวจภาค 6 กวดล้างอาชญากรรม ยึดปืน ยาบ้า อาวุธสงคราม

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 66 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ตำรวจภูธรภาค 6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พร้อมรองผู้บัญชา และผู้บังคับการตำรวจภูธรในสังกัดภาค 6 ร่วมกันแถลงข่าวผลงานการกวาดล้างอาชญากรรม และยาเสพติด ในช่วงระหว่างวันที่ 15-24 ม.ค. 2566 ตามแผนป้องกันปราบปรามอาชญกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 'ป้องราษฎร์ ปราบภัย หัวใจคือประชาชน' 

สำหรับการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในครั้งนี้ เป็นกลุ่มเป้าหมายในภาพรวมของหน่วยอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม โดยใช้ผลวิเคราะห์ข้อมูล สถานภาพอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และนาฬิกาอาชญากรรม เป็นข้อมูลในการวางแผนปฏิบัติ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค ได้ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เน้นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม การพนัน ยาเสพติด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง อาวุธปืน ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และบุคคลตามหมายจับ บังเกิดผลการปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ 

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ 'บี พุทธิพงษ์' ตัดสินใจเลือก พรรคภูมิใจไทย เป็นเส้นทางใหม่ทางการเมืองให้กับตน

“เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ ส่วนตัวมองว่าพรรคภูมิใจไทย มีจุดเด่นที่แข็งแกร่ง คือ 4 ปีที่ผ่านมา พูดจริงทำจริง หาเสียงเสนอนโยบายอะไรเอาไว้สามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า…ทำได้จริงเสมอ”

ตำรวจ ปส.ทลายเครือข่ายไอซ์ข้ามชาติ ของกลางกว่า 1.1 ตัน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. และ พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้สืบสวนหาข่าว เครือข่ายค้ายาเสพติดในทุกระดับ เพื่อจะตัดวงจรการลักลอบลำเลียงยาเสพติด รวมไปถึงจับกุม และขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศที่สาม เน้นย้ำ ในการสืบสวนหาข่าวเครือข่ายหน้าใหม่ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเก่า ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่ง บช.ปส. ได้สืบสวนขยายผลจนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหา 3 คดี รวมไอซ์กว่า 1 ตัน  

คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปส.4 ร่วมกับศูนย์วิเคราะห์ข่าวสงขลา บก.ขส. จับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ 1.นายอาคม สุทธิโพธิ์ อายุ 27 ปี  ได้ที่ปั๊มน้ำมัน PT สาขาท่าแค ถ.เพชรเกษม ต.ท่าแค อ.เมือง จว.พัทลุง 2.น.ส.แหม่ม หมื่นบำรุง อายุ 32 ปี และ 3. น.ส.ชญาดา หมื่นบำรุง อายุ 35 ปี จับกุมได้ริมถนนสาย 41 ระหว่าง กม.128-กม.129 อ.ไชยา จว.สุราษฎร์ธานี  หลังพบว่าเมื่อวันที่ 16 ม.ค.66 กลุ่มผู้ลักลอบจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลาง นำไปส่งให้กับขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้านทางภาคใต้ และพบรถของกลาง 3 คัน หนึ่งในนั้นบรรทุกสินค้าทางการเกษตรมาเต็มคัน ขับตามกันมา กระทั่งรถบรรทุกสินค้าจอดแวะที่ปั้มพีที สาขาท่าแค อ.เมือง จว.พัทลุง ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบนายอาคม สุทธิโพธิ์ เป็นผู้ขับขี่  สารภาพว่า มียาเสพติดซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าทางการเกษตรเพื่อใช้อำพรางการตรวจค้น ส่วนรถอีก 2 คัน จับกุมได้บริเวณริมถนนสาย 41 ในพื้นที่ ต.ป่าเว อ.ไชยา จว.สุราษฎร์ธานี ตรวจยึด ไอซ์ 688 กก., รถยนต์กระบะ 3 คัน ซึ่งใช้ซุกซ่อนยาเสพติดอำพรางมากับผลผลิตทางการเกษตร และ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง สำหรับขบวนการนี้เป็นเครือข่ายขบวนการค้าไอซ์ข้ามชาติ มาจากทางภาคอีสาน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เพื่อไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยมีขบวนการมารอรับยาเสพติดที่บริเวณชายแดน ซึ่งจะอาศัยช่วงเปิดประเทศ และประชาชนเดินทางท่องเที่ยว ประกอบกับระบบการขนส่งสินค้าเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น เพื่อเตรียมลักลอบลำเลียงไปจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปส.4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.น.7 และเจ้าหน้าที่ ศรภ. กองบัญชาการกองทัพไทย จับกุม 4 ผู้ต้องหา คือ 1.น.ส.วรวรรณ หรือโรส นันทรุจินนท์ ที่หน้าร้านบิ๊กซี มินิมาร์ท ถ.เพชรเกษม ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร พร้อมของกลางไอซ์ 3.8 กรัม, ยาบ้า 100 เม็ด ก่อนขยายผลจับกุม 2.นายณัฐพงษ์ หรือณัฐ สมรรถบุตร ที่ ซ.จำเนียรสุข 3 ถ.เพชรเกษม แขวงวังท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลาง ไอซ์ 64  กรัม, 3.นายณัฐวุฒิ หรือป็อก แสนเมือง และ 4.นายนัส หรือมอส วัจนลักษณ์ ที่ หมู่บ้านจรัญวิลล่า 3 ซอยบางแวก 37 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางไอซ์ 43.285 กก. และ ผงเมทแอมเฟตามีน 660 กรัม โดยเครือข่ายนี้จากการตรวตสอบพบมีการซื้อขายยาเสพติดกันผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุม นายทวีชัย  แซ่ย้า อายุ 25 ปี ภูมิลำเนาอยู่ อ.เชียงของ จว.เชียงราย สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนและติดตามกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าม้ง ผู้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน/จัดหาคนรับจ้างลำเลียงเสพติด ติดต่อประสานกับกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลักลอบลำเลียงยาเสพติดประเภทยาบ้า และ ไอซ์ จำนวนมาก จากพื้นที่ภาคเหนือผ่านเข้ากรุงเทพฯ และ ปริมณฑล โดยจะลำเลียงยาเสพติดสู่ไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสั่งการของผู้ว่าจ้างในพื้นที่ จว.สตูล และออกไปยังประเทศที่ 3 จนกระทั่งวันที่ 19 ม.ค.66 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหา ได้ที่บริเวณลานจอดรถห้างบิ๊กซี สาขาบ้านดู่ อ.เมือง จว.เชียงราย พร้อมตรวจยึดของกลาง (ไอซ์) จำนวน 10 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม อยู่ในห่อชาสีเขียว วางบรรทุกอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ MAZDA BT50 สีดำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลที่หลบหนี บุคคลในเครือข่ายและ ยึดทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top