Wednesday, 15 May 2024
SPECIAL

‘กรณ์’ ชู ‘ศก.สายมู’ สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เชื่อ!! ดูด นทท.ทั่วโลก สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท

‘กรณ์’ เดินหน้า ‘เศรษฐกิจสายมู’ หนึ่งในยุทธศาสตร์ Spectrum Economy หารายได้ 5 ล้านล้านบาท ดันส่งเสริมจังหวัดละพันล้าน สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เศรษฐกิจสายมู หรือเศรษฐกิจสีขาว เป็นหนี่งในนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่เราได้มีการพูดถึงและนำเสนอมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย เนื่องจากเห็นว่า ท่องเที่ยวสายมูไม่ใช่ความงมงาย ‘มูเตลู’ คือความเชื่อและความศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน โดยเฉพาะคนไทยเรา หลอมรวมกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แม้แต่ในช่วงโควิด ที่ทุกจังหวัดเหลือเที่ยวบินเพียงวันละเที่ยวสองเที่ยว แต่ที่นครศรีธรรมราชกลับมีเที่ยวบิน 50 กว่าเที่ยว เพราะมีวัดเจดีย์ไอ้ไข่ เงินสะพัดสู่ชุมชน ทำให้ชาวบ้านที่ค้าขายอยู่รอบ ๆ รวมทั้งโรงแรมที่พัก ยังคงมีนักท่องเที่ยวไปอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง 

“เศรษฐกิจสายมูกำลังเป็นเทรนด์ของทั่วโลก สามารถใช้ศรัทธาและแรงบันดาลใจแปรเปลี่ยนเป็นรายได้อย่างมหาศาล พรรคชาติพัฒนากล้า จึงได้นำมาบรรจุในนโยบายเศรษฐกิจ 7 สี หรือ Spectrum Economy ที่จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว   

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศรัทธามากมาย ถ้าเราฟื้นฟูหรือสร้างสตอรี่เรื่องเล่า คิดดูว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนแค่ไหน นโยบายของเราคือ 1 จังหวัด 1 พันล้าน โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดไหนไม่มีสถานที่ที่ดึงความน่าสนใจได้เพียงพอ ก็สร้างขึ้นใหม่ได้ ยกตัวอย่าง หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่อยุธยา ที่นายกอุ๊ วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างขึ้นมา มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีตลาดที่ชาวบ้านสามารถนำสินค้ามาค้าขายโดยรอบ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน สร้างรายได้ให้คนอยุธยาอย่างประเมินค่าไม่ได้ หรือแม้แต่พระพิฆเนศองค์ยืนที่องค์ยืนที่ฉะเชิงเทรา ที่เกิดขึ้นมาได้ก็มีนายกอุ๊เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหลากหลาย

นอกจากนี้นายกอุ๊ ยังเป็นกำลังหลักในการสร้างหลวงปู่โต วัดโบสถ์ อ.สามโคก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.ปทุมธานีด้วย 

“นายกอุ๊ ก็คือที่ปรึกษาด้านนโยบายของชาติพัฒนากล้าด้วย พวกเราเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจสีขาว หรือสายมู ที่ถ้าเราลงทุนหลักพันล้านต่อ 1 แหล่งท่องเที่ยว เราจะได้เงินกลับคืนมาอย่างมหาศาล ดูแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอย่างเจ้าแม่กวนอิมที่ฮ่องกง วัดอาซากุสะที่ญี่ปุ่น โบสถ์ที่งดงามในยุโรป หรือแม้แต่พระพรหมเอราวัณที่บ้านเรา ต่างก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมาชมด้วยตาตัวเอง” นายกรณ์ กล่าว 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวคือต้องมี 3 มิติควบคู่ ได้แก่ 

1. เพิ่มนักท่องเที่ยว ที่เราต้องลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ลงทุนในการอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติ 

2. เพิ่มเวลาที่นักท่องเที่ยวอยู่กับเรา จาก 10 วันเป็น 12 วัน ต้องเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวให้หลากหลายและดึงดูด 

และ 3. เพิ่มเงินที่นักท่องเที่ยวใช้ตอนอยู่กับเรา เพิ่มการใช้จ่ายจับจ่าย ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าเราให้มีราคามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของฝาก อาหาร ที่พัก ฯลฯ ซึ่งยุทธศาสตร์สายมูตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติ

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘พปชร.’ VS ‘รทสช.’ ปชช. มอง ‘ป้อม-ตู่’ ไม่แตกกัน พร้อมจับมือตั้งรัฐบาล

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ การแข่งขันระหว่าง ‘พี่ป้อม’ พลังประชารัฐ ปะทะ ‘น้องตู่’ รวมไทยสร้างชาติ พบส่วนใหญ่เชื่อ ‘บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม’ ไม่ได้แตกกัน มอง ทั้ง 2 พรรคได้ ส.ส. เท่า ๆ กัน และพร้อมจับมือตั้งรัฐบาล

(29 ม.ค.66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปะทะ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)’ ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 23-25 มกราคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการแข่งขัน ทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการแข่งขันทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ กับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า 

- กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 46.56 ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แตกกัน เป็นเพียงแค่การแข่งขันทางการเมือง 
- รองลงมา ร้อยละ 28.93 ระบุว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศรัตรูที่ถาวร 
- ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เป็นสีสันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 
- ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจทางการเมืองและการบริหารประเทศ 
- ร้อยละ 10.76 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วน้อยกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 
- ร้อยละ 9.01 ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์ แตกกันอย่างแน่นอน 
- ร้อยละ 8.78 ระบุว่า พลเอกประวิตร และ พรรคพลังประชารัฐ เป็นอิสระมากขึ้น สามารถร่วมรัฐบาลกับฝั่งไหนก็ได้หลังการเลือกตั้ง
- ร้อยละ 6.56 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 
- ร้อยละ 6.34 ระบุว่า ผู้ที่เคยสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ แต่ไม่ชอบ พรรคพลังประชารัฐ จะกลับมาสนับสนุน พลเอกประยุทธ์มากขึ้น 
- และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

'ไตรรงค์' ลั่น!! 'บิ๊กตู่' นี่โง่จริงๆ เป็นนายกฯ มา 8 ปี ไม่กินสักบาท ยกคำ 'ตู่-จตุพร' นักการเมืองที่โกงประชาชน เลวกว่าหมา

เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.66) บรรยากาศเวทีปราศรัยใหญ่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นเวทีแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเป็นครั้งแรก ภายใต้ม็อตโต้ ลุงตู่เปิดประตูสู่ภาคใต้ 

นายเอกนัฎ พร้อมพันธ์ุ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาทดิ์ เขต 1 นายสันต์ แซ่ตั้ง เขต 2 และ นายสุพล จุลใส หรือลูกช้าง เขต 3  และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภาคใต้ รวมถึงแกนนำพรรค เช่น นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค บอกกับชาวชุมพรว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน ชาวอีสานให้การต้อนรับ ลุงตู่ และกระแสดี อยากให้ลุงตู่อยู่ต่อ พร้อมเย้ยพรรคเพื่อไทย ที่เปิดเวทีปราศรัยเมื่อวานนี้ที่ จ.เลยว่ามีคนมาแค่หลักพันเท่านั้น 

นอกจากนี้นายเอกนัฎ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะชนะยกจังหวัดชุมพรเพียงจังหวัดเดียวไม่ได้ เพราะ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ก็ชนะยกจังหวัด จึงหวังว่าในภาคใต้ จะได้ไม่น้อยกว่า 30 ที่นั่ง

ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แนะนำว่าตนเองเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มาทำงานกับลุงตู่ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่นำพาประเทศหลุดพ้นวิกฤตมาได้ พร้อมยกตัวอย่างนโนยบายที่สำเร็จแล้ว คือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แม้มีนักการเมืองจังหวัดตนเองที่มีแกนนำพรรคไม่ติดคุกหรือหนีไปต่างประเทศนำมาโจมตี แต่บอกว่าได้เต็มปากว่านโยบายนี้เป็นความคิดของพล.อ.ประยุทธ์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวย้ำด้วยว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน ทุกสิ้นเดือนชาวบ้านจะรอคอยและเรียกว่าบัตรลุงตู่ พร้อมพูดถึงการทำงานของลุงตู่ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เช่นการแก้ปัญหาโควิด เพราะลุงตู่ตัดสินใจเด็ดขาด ทำให้เราผ่านพ้นสถานการณ์โควิดมาจนถึงทุกวันนี้

นายสุชาติ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ ออก พรบ.นิรโทษกรรม โดยบอกว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์สุดซอยในคืนนั้น เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ไม่ได้เห็นด้วย และในคืนนั้น ได้ยิน เจ๊คนหนึ่งที่อยู่ภาคเหนือ กล่าวว่า "อ้ายๆ ตีสามเอาให้จบเลยนะ" จึงเป็นเหตุผลให้ตนมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และ เราจะสนับสนุน ลุงตู่ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต่อไป เพราะลุงตู่เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมชม นายชุมพล จุลใส หรือ ส.ส.ลูกหมี และ นายสุพล จุลใส หรือส.ส.ลูกช้าง ว่าจัดเวทีได้ยิ่งใหญ่ ถ้าตนจะจัดเวทีชลบุรี ไม่รู้ว่าจะทำได้ยิ่งใหญ่เท่านี้หรือไม่

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นกล่าวปราศรัยท่ามกลางเสียงเชียร์ของประชาชน โดยยอมรับว่า กลายเป็นประเพณีที่ตนเองไปขึ้นเวทีปราศรัยในภาคใต้ จะมีคนแก่นำหมากมาให้กิน สร้างเสียงหัวเรา วันนี้ตั้งใจมาขอบคุณประชาชน เคยมาหาเสียงให้ นายชุมพล หรือ ส.ส.ลูกหมี ไปต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทักษิณ ที่โกงไปนับหมื่นล้าน และยังออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยให้ตัวเอง เพราะอยากกลับประเทศ แต่คดีมีการตัดสินไปแล้ว 12 ปี ยังมีอีกหลายคดี ยังไม่รวมคดีฆ่าคนไป 2,500 คน ในสมัยปราบปรามยาเสพติด มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ในสมัยนั้น จึงขอขอบคุณประชาชนได้วางมาตรฐานให้คนในชาติ ในการเลือกตั้งว่าคนที่ต่อสู้แบบ ส.ส.ลูกหมี ที่ต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นคนดี  

ตนมาพูดครั้งนี้ ออกจากพรรคนั้นแล้ว แต่จำชื่อไม่ได้ แต่พรรคนี้มีอุดมการณ์มั่นคง รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเลือกคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกริดสีดวงตนเอง หรือ ถูกใจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ นี่โง่จริง ๆ เป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี ไม่กินสักบาท พร้อมดูนาฬิกาว่ามีเวลาพูดไม่มาก แต่นาฬิกานี้ภรรยาซื้อให้ ไม่ได้ยืมใครมา 

‘บิ๊กป้อม’ ลงพื้นที่ ‘ตลาด อ.ต.ก.’ พบปะ ปชช. พ่อค้า-แม่ค้า แห่ถ่ายรูป เชียร์นั่งนายกฯ คนที่ 30

(29 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ใช้เวลาวันหยุดลงพื้นที่ โดยไปเดินตลาด อ.ต.ก. เมื่อเวลา 08.00 น. จับจ่ายซื้ออาหารและผลไม้ ซื้อแกงเขียวหวานเนื้อ ปลาดุกกรอบ หน่อไม้ดอง ผัดพริกขิง แกงเทโพ ต้มข่าไก่ เมนูโปรด และแวะร้านประจำ ซื้อกะปิโหว่ มะม่วง ตะลิงปลิง ระหว่างทางได้ทักทายพ่อค้าแม่ค้า และประชาชน อย่างอารมณ์ดี สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และถ่ายรูปร่วมกับประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และเด็ก ๆ มาขอถ่ายรูป อย่างเป็นกันเอง

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2566

"คนดี" พอ ๆ กัน
จึงจะคบกันได้...

"คนชั่ว" ก็เหมือนกัน
ต้องเป็นคนชั่วพอ ๆ กัน
มันจึงจะคบกันได้...

'ก้าวไกล' เล่นใหญ่!! 'กาก้าวไกล' ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ด้าน 'พิธา' กร้าว!! ขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

(28 ม.ค. 66) ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคก้าวไกล ได้มีการเปิดแคมเปญ 'กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม' โดยมีตัวแทนพรรคก้าวไกลแสดงวิสัยทัศน์ 4 คน คือ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบายพรรคก้าวไกล, รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรค, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพ เขตบางขุนเทียน และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค

เวทีเริ่มต้นที่พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบายพรรคก้าวไกล ขึ้นพูดเปิดในการแสดงวิสัยทัศน์และเปิดสโลแกนการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล 'กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม' โดยพริษฐ์กล่าวว่า ถ้าเราดูข่าวที่รวบรวมปัญหาประเทศย้อนหลังไป 20 30 40 50 ปีที่แล้ว จะพบว่าปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เราเผชิญมาหลายสิบปี แต่ถ้าเราต้องการประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม พรรคก้าวไกลเท่านั้นคือคำตอบ

“ผมเชื่อว่าเมื่อเราบอกว่าก้าวไกลต้องการสร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม สำหรับคนบางกลุ่มฟังดูผิวเผินเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ผมอยากชวนทุกคนคิดในมุมกลับ ว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือประเทศไทยแบบเดิมๆ ต่างหาก ที่ต้องคอยถาม ผบ.ทบ. ว่าจะมีการรัฐประหารไหม กระบวนการยุติธรรมและกฎหมายแบบเดิม ที่เปิดช่องให้จับคนไปขังคุกได้เป็นสิบๆ ปี เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง เศรษฐกิจแบบเดิม ที่ 10% ของคนครอบครอง 50% ของทรัพย์สิน และ 60% ของที่ดิน และสวัสดิการ-การศึกษาแบบเดิม ที่เด็กต้องมาขอรับบริจาคหรือแข่งกันร้องเพลงเพื่อได้เรียนต่อ หากไม่อยากวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ เหล่านี้ ก็ต้องเลือกคนที่จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง กาพรรคก้าวไกล เพื่อประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม เป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี และ มีอนาคต”

ต่อมา รังสิมันต์ โรม ปราศรัยเปิดกลุ่มนโยบาย “การเมืองดี” โดยระบุว่าประเทศไทยที่การเมืองแบบเดิม ไม่เคยมีอะไรเป็นของประชาชน อำนาจไม่ใช่ของประชาชน ระบบราชการไม่ใช่ของระชาชน และชาติไม่ใช่ประชาชน แต่การเมืองดี ที่ก้าวไกลจะทำให้เกิดขึ้น คือการเมืองที่ทำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน พร้อมชูนโบายครบเซ็ต ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ปฏิรูปกองทัพ-ตำรวจ-ราชการ-ดันเพดานเสรีภาพ แก้ ม.112-116-พ.ร.บ.คอมฯ โดยรังสิมันต์ย้ำว่า ถ้าไม่แก้ปัญหาการเมืองก่อน ก็แก้ปัญหาปากท้องให้แก่ประชาชนไม่ได้

“ห่างไปจากที่นี่ไม่เกิน 200 เมตร มีคนสองคนกำลังอดอาหารเพื่อเรียกร้องความปกติของสังคม ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อทุกคน แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือประเทศนี้มอบความปกติให้กับพวกเขาไม่ได้ และเอาพวกเขาไปขังเพียงเพราะการแสดงความคิดเห็น พูด ตั้งคำถาม ประเทศนี้จะเดินหน้าต่อได้อย่างไรถ้ากระบวนการยุติธรรมยังเป็นเช่นนี้ ถ้าผู้พิพากษาไม่มีหัวใจเป็นของประชาชน และถ้ายังกฎหมายที่ปิดปากอยู่แบบนี้” รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับนโยบายปากท้องดี ณัฐชาเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลหลายเรื่อง ซึ่งนโยบายเด่น เช่น ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็น 450 บาททันที และให้มีการขึ้นค่าแรงตามเงินเฟ้อทุกปี ต่อด้วยนโยบายอุดหนุนงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้ประชาชนในทุกเขตเมืองในประเทศไทยมีรถเมล์ไฟฟ้า นอกจากนี้ณัฐชายังย้ำถึงนโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่จัดสรรให้ประชาชนโดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนแย่งชิงกันอีกต่อไป เด็กเล็กได้ 1,200 บาท ผู้สูงวัยได้ 3,000 บาทต่อเดือน และยังมีนโยบายเร่งออกโฉนด 10 ล้านไร่ ยึดที่สปก.จากนายทุนและเปลี่ยนเป็น สปก. ให้เกษตรกร

“พอกันทีกับนโยบายปากท้องแบบเดิมๆ คือบีบให้จนแล้วแจก กดให้โง่แล้วปกครอง ปล่อยให้ป่วยแล้วรักษา ใช้ภาษีที่รีดมาสร้างบุญคุณ เราต้องการนโยบายปากท้องแบบใหม่ และด้วยนโยบายปากท้องของพรรคก้าวไกล ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ณัฐชากล่าว

ปิดท้ายที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงวิสัยทัศน์คนสุดท้ายในการประชุมใหญ่สามัญพรรคก้าวไกล ในหัวข้อ “มีอนาคต” โดยพิธากล่าวว่าประเทศไทยไม่ได้ต้องการผู้บริหารที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าซ้ำซากไปวันๆ แต่ต้องเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นโอกาสของอนาคต เปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นงาน อุตสาหกรรมใหม่ๆ หรือ “สร้างงาน ซ่อมประเทศ” เช่นการทำน้ำประปาดื่มได้ ที่ต้องใช้สมาร์ทมิเตอร์ 20 ล้านตัว ให้ 20 ล้านครัวเรือน เราสามารถสร้างระบบประปาที่มีคุณภาพ ซ่อมปัญหาเก่าแก่เรื้อรังของไทย พร้อมสร้างงานคุณภาพ ก่อเกิดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตั้งแต่การผลิตเคสมิเตอร์ที่ทำจากพลาสติก ไปจนถึงการ์ดจอ แบตเตอรี่ลิเธียม แผงวงจร และชิป หรือการจัดทำระบบดูแลผู้สูงวัย ที่ต้องจ้างงานผู้ดูแลผู้ป่วยอีกกว่า 300,000 ตำแหน่ง 

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างงาน ซ่อมประเทศ การทำให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ต้องปิดสวิตช์ 3 ป. เอามรดกของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมออกไป เพื่อเปิดไฟแห่งความหวังให้ประเทศ สร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ พร้อมตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน 

พิธายังประกาศความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลที่ล้างมรดกคณะรัฐประหารและระบบอำนาจนิยม ปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดแสงสว่างให้ประเทศไทย

“ถ้าประเทศไทยยังอยู่ภายใต้ 3ป. การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต จะกลายเป็น การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร ถ้าการบริหารประเทศยังอยู่ในมือคนไม่กี่คน อำนาจยังคงรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพ ทรัพยากรยังกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มเดียว นี่คืออดีตที่เราต้องแก้ไขให้ได้ เพื่อที่จะไปสู่อนาคต ดังนั้น เป้าของสังคมไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อเอาการเมืองกลับสู่สภาวะปกติของระบอบประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพื่อปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดแสงสว่างให้ประเทศ ผมขอเขิญประชาชนทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค มาร่วมกันกับผม สร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” พิธากล่าว

'โพล' ชี้!! นโยบาย 'ภูมิใจไทย' โดนใจคนกรุงเทพฯ ยก 'บี-พุทธิพงษ์' มีผลงาน ไร้ประวัติด่างพร้อย

(28 ม.ค.66) ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าโครงการวิจัย สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 2,078 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 25-27 ม.ค. เรื่อง 'ใจคน กทม. กับ นโยบาย ภูมิใจไทย' เมื่อถามประชาชนคนกรุงเทพมหานคร ต่อ นโยบายภูมิใจไทย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.6 ชอบนโยบาย เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็ง ศูนย์เครื่องฟอกไต ผู้สูงอายุ ฉีดวัคซีนฟรีถึงบ้าน 

รองลงมาคือ ร้อยละ 94.0 ชอบนโยบายรักษามะเร็งฟรี ร้อยละ 93.0 ชอบ นโยบาย วัคซีน ป้องกัน ปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ โควิดฟรีฉีดถึงบ้าน ร้อยละ 92.9 ชอบ นโยบาย ลดรายจ่าย รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาทตลอดวันไม่เกิน 50 บาท ร้อยละ 92.8 ชอบ นโยบาย ลดค่าไฟ ติดโซล่าร์ ลูฟฟรี ทุกครัวเรือน ร้อยละ 92.2 ชอบ นโยบาย ฟอกไตฟรี ร้อยละ 91.8 ชอบนโยบายเครื่องกรองน้ำฟรีทุกชุมชน ร้อยละ 91.7 ชอบ นโยบายลดรายจ่าย พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย ลดภาษี 

ขณะที่ร้อยละ 91.6 ชอบ นโยบาย เพิ่มรายได้คนกรุงเทพ เปิดพื้นที่การค้าขาย กระจายรายได้เพิ่มกิจกรรมรองรับนักท่องเที่ยวได้ 24 ชั่วโมง ร้อยละ 90.4 ชอบนโยบาย เพิ่มรายได้คนกรุงเทพ พันธบัตรรัฐบาลที่ประชาชนทั่วไปมีสิทธิก่อน ส่งเสริมการออมประกันเงินฝาก เพิ่มความมั่นคงในการออม ร้อยละ 90.2 ชอบ นโยบาย ลดรายจ่าย รถไฟฟ้า เริ่มต้น 15 บาท ตลอดสาย ไม่เกิน 40 บาท และร้อยละ 88.3 ชอบนโยบาย มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า สำหรับวินรับจ้าง คันละ 6,000 บาท ตามลำดับ

เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของคนกรุงเทพมหานคร ต่อ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้แถลงข่าวนำเสนอนโยบายพรรคภูมิใจไทยให้คนกรุงเทพมหานคร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.7 เชื่อมั่นเพราะ เคยเป็น ส.ส. กทม. รองผู้ว่าฯ กทม. มีผลงานช่วงเป็นรัฐมนตรี ปกป้องสถาบันหลักของชาติ ไม่มีประวัติด่างพร้อย เป็นแกนนำต่อสู้คนโกง เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ควบรวมกิจการสื่อสารโทรคมนาคม ในขณะที่ ร้อยละ 43.3 ไม่เชื่อมั่น

ส่วนผลการประมาณการคะแนนผลการเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่าพรรคภูมิใจไทยมีความเป็นไปได้จะได้คะแนนมากถึง 1,007,529 คะแนน โดยมีค่าต่ำสุดจำนวน 779,581 คะแนน และ ค่าสูงสุดจำนวน 1,235,477 คะแนน

'อุ๊งอิ๊ง' อ้อนถามชาวหนองคาย จำ 'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' ได้ไหม? โว!! หากไม่มีรัฐประหาร คงได้รถไฟความเร็วสูงใช้ไปแล้ว

(28 ม.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 09.15 น. พรรคเพื่อไทย ได้เปิดเวทีปราศรัย ที่ลานเทศบาลท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยว่า พ่อใหญ่ทักษิณ อายิ่งลักษณ์ จำได้บ่ คุณพ่อฝากความคิดถึงชาวหนองคาย วันนี้ไม่ได้มาด้วย ต้อนรับคนหน้าเหมือนก่อน

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ถ้าไม่รัฐประหาร เรามีรถไฟความเร็วสูง ถ้าเพื่อไทยมาจะช่วยพี่น้องล้างหนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้พี่น้อง ช่วยเหลือเกษตรกร ขออาสานำสินค้าเกษตรไปขาย ข้าราชการก็จะเงินเดือนเพิ่มแน่นอน

'บิ๊กตู่' นำทัพ รสทช. ประเดิมปราศรัยเวทีใหญ่ที่ชุมพร เผยไม่ตื่นเต้น ปกติพูดกับคน 70 ล้านคนทุกวันอยู่แล้ว

'บิ๊กตู่' นำทัพ รทสช. ลงชุมพร ประเดิมปราศรัยเวทีแรก เผยไม่ตื่นเต้น เพราะพูดจากใจ เผลอตัวลืมบัตรปชช.ที่เคาท์เตอร์เช็คอินขึ้นเครื่อง ต้องเดินย้อนกลับมาเอา

(28 ม.ค.66) ที่ท่าอากาศยานชุมพร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมคณะเดินทางถึงจังหวัดชุมพร เพื่อประเดิมเวทีปราศรัยแรกในภาคใต้ โดยพล.อ.ประยุทธ์ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วยเสื้อสูทลำลองสีเทา กางเกงสแลค โดยมี นายสุพล จุลใส อดีตส.ส.ชุมพร พรรครวมพลัง นำนักการเมืองท้องถิ่นและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดชุมพร และประชาชนในพื้นที่มาให้การต้อนรับ

โดยประชาชนต่างมอบดอกกุหลาบและพวงมาลัยดอกดาวเรืองให้ พล.อ.ประยุทธ์ และตะโกนให้กำลังใจนายกฯ สู้ๆ พร้อมขอถ่ายรูป ก่อน พล.อ.ประยุทธ์เข้าห้องรับรอง จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ออกเดินทางด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดสีขาว ทะเบียน ฆฉ 1314 กรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้ก่อนออกเดินทางมายังชุมพร พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยสื่อถามว่าตื่นเต้นหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ตื่นเต้นเรื่องอะไร ไม่รู้สึกตื่นเต้น 

เมื่อถามว่าขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรกมีข่าวว่าจะมีเซอร์ไพรส์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เซอร์ไพรส์อะไร 

เมื่อถามว่ามีปราศรัยจากใจอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ ใจฉันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่รบกับใคร

เมื่อถามว่าเตรียมไปพูดอะไรกับชาวชุมพรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พูดจากใจ 

เมื่อถามว่าได้เตรียมภาษาใต้มาเยอะหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็พอพูดได้บ้าง แต่อย่าไปฝืนให้มากเพราะเราไม่ใช่เจ้าของภาษา คนไทยด้วยกันพูดภาษาอะไรกันก็ได้ 

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตื่นเต้นหรือไม่ เพราะคนที่เวทีปราศรัยเยอะมาก เตรียมเก้าอี้ไว้ 13,000 ที่นั่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปกติตนพูดกับคน 70 ล้านคนอยู่แล้วทุกวัน เพียงแต่ไม่ได้มารวมกันเยอะๆ ที่เดียวกัน เหมือนกันแหละ เมื่อถามว่าเป็นการขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะใหญ่จะเล็กก็ไม่รู้ตนก็พูดจากใจของตน

'อนุทิน' รุดโคราชพบ 'บุญจง' คืนถิ่นภูมิใจไทย พร้อมส่งชนเด็ก 'กำนันป้อ' หลังชิ่งไปซบ พท.

'ลุงหนู' ลงพื้นที่โคราช พบ 'บุญจง' หลังรีเทิร์น พรรคภูมิใจไทย ชนเด็ก 'กำนันป้อ' ที่หอบกันไปย้ายซบเพื่อไทย

เมื่อวานนี้ (27ม.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว. สาธารณสุข และ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ลงพื้นที่นครราชสีมา และได้พบกับ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย 

โดยมีรายงานว่า นายบุญจง จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง และลงสมัคร ส.ส. นครราชสีมา เขต 9 แข่งกับ นายอภิชา เลิศพชรกมล อดีต ส.ส.นครราชสีมา ที่พึ่งลาออกจากพรรคภูมิใจไทย พร้อม นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีต รมช.คมนาคม ที่มีกระแสข่าวจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย

พปชร.ออกซิงเกิลใหม่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างสรรค์การเมืองใหม่ ปรองดองด้วยหัวใจ

ไม่นานมานี้ พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกเพลงใหม่ มีเนื้อหาดังนี้...

พลังประชารัฐ

A1: มาเรามาด้วยกัน ร่วมสร้างสรรค์การเมือง

     เพื่อความรุ่งเรือง ต้องมาด้วยกัน

     อะไรที่มีที่ไม่เข้าใจ ก็แก้กันไปคนไทยช่วยกัน

B: หยุดความหวาดระแวง และมาปรองดองหัวใจ

    ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้ รักกัน

Hook: พลังประชารัฐ จะก้าวข้ามความขัดแย้ง

          รวบรวมทุกแรง ไม่แบ่งความรักศรัทธา

          พลังประชารัฐ จะขอรวมใจประชา

          ให้ไปข้างหน้า เพื่อวันแห่งความสดใส

          ด้วย...พลังประชารัฐ

A2: เราเคยมีผลงาน ผ่านให้เห็นกันมา

      ได้พัฒนา ดูแลบ้านเมือง

      และพร้อมอาสาดูแลต่อไป จะทุ่มสุดใจให้ไทยรุ่งเรือง

'บิ๊กป้อม' เรียกคุย 'สี่กุมาร' หวนคืน พปชร. นี่แหละการเมือง 'ไม่มีมิตรแท้-ศัตรูถาวร'

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เชิญ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และ สนธิรัตน์ สนธิจิระวงค์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย มาร่วมพูดคุยที่ร้านอาหารหรู ในโรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ โดยมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ละทิ้งพรรคของตนเองมาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ รับตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคร่วมวงด้วย

นี่ไม่ใช่เป็นการนัดทานข้าว แต่เป็นการนัดคุยเรื่องดึงสองคนนี้กลับมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (กลับบ้านเก่า) ซึ่งเป็นการพูดคุยหลังจากที่คุยกันมาบ้างแล้วเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา แต่เป็นการคุยผ่านคนอื่น 

การคุยผ่านคนอื่น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ตอบยินดีเข้าร่วมในรูปแบบ “ลาออก” จากพรรคเดิมแล้วมาสังกัดพรรคใหม่ แปลความได้ว่าพรรคเก่าก็ยังอยู่ ส่วนอุตตม กับ สนธิรัตน์ ยังไม่ตอบรับ จึงต้องให้ พล.อ.ประวิตรมาคุยเอง

ข่าวว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี แต่ พล.อ.ประวิตรต้องการให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ภายในสัปดาห์หน้าจะต้องมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอุตตมจะได้รับมอบหมายให้ดูแลภารกิจด้านเศรษฐกิจของพรรค ส่วนสนธิรัตน์ จะดูแลงานด้านการเมือง

คงจำกันได้ว่า ทั้งอุตตม และสนธิรัตน์ คือผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐมาด้วยกัน จับมือแน่นกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, สุวิทย์ เมษินทรีย์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล โดยทั้งหมดรับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเครื่องบรรณาการ แต่เมื่อถึงเวลากลุ่มทุนของพรรค ก็จับมือกันถีบไสไล่ส่งทีมสี่กุมารอย่างไม่ปรานีปราศรัย และไร้ซึ่งน้ำใจ แบบกระบี่ไร้น้ำใจ จนทั้ง 5 ต้องกระเด็นพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่กลุ่มทุนพรรคทุกวันนี้ก็ยังอยู่

สมคิด, อุตตม และสนธิรัตน์ จับมือกันจัดตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย โดยมีสมคิดเป็นประธานพรรค มีอุตตม เป็นหัวหน้าพรรค และสนธิรัตน์เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนอีกสองกุมาร สุวิทย์, วีระศักดิ์ ไม่กลับเข้าสู่วงการการเมือง ย้อนกลับไปทำอาชีพเดิม

แนวทางของสร้างอนาคตไทย ส่อว่าจะเดินไปยากกับรัฐธรรมนูญใหม่ บัตรสองใบ และสูตรหาร 100 ประกอบกับกระแสก็สร้างไม่ขึ้น ข่าวการรวมพรรคกับพรรคไทยสร้างไทย ของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง มีการนัดเจรจากันหลายรอบ แต่ยังไม่ลงตัวเรื่องตำแหน่ง เรื่องผู้สมัครที่ทับซ้อนกัน รวมถึงกลุ่มทุนสนับสนุน

เมื่อจะเดินไปข้างหน้า ก็เห็นแต่ป่ารกทึบ ถนนก็ขรุขระ แกนนำของสร้างอนาคตไทยก็ต้องหาทางออก จึงเปิดดีลกับ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีกรณ์ จาติกวณิช ทิ้งพรรคกล้ามารับเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งดีลนี้ก็มีปัญหาคล้ายๆ กับดีลไทยสร้างไทย จึงยังไม่มีข้อยุติใดๆ 

ครั้นกับการเมืองที่เดินมาใกล้เลือกตั้งเต็มทีแล้ว ด้านพรรคพลังประชารัฐก็ยังจัดทัพไม่ลงตัว หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอนสมอออกไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีคนส่วนหนึ่งไหลไปกับ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยนั้น

ดีลใหม่กับทีมสี่กุมารจึงเกิดขึ้นในสมองของ พล.อ.ประวิตร และเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น จนถึงขั้น 'บิ๊กป้อม' ต้องมานั่งพูดคุยเอง 

แม้ดูโดยภาพรวมการเจรจาจะราบรื่น แต่เชื่อว่าแผลที่กลัดหนองในใจของทีมสี่กุมาร ยังมีอยู่ และเจ็บลึก ยังไม่รู้ว่าจะร่วมภารกิจไปได้แค่ไหน เมื่อกลุ่มทุนพรรคที่รวมหัวกันถีบกลุ่มสี่กุมารออกไปจากพรรค และพ้นตำแหน่งรัฐมนตรียังลอยหน้าลอยตาอยู่ในพรรค หรือว่านี้คือ “การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร” จริงๆ 

แต่เมื่อทีมสี่กุมาร ก็ยากที่จะเดินไปข้างหน้า เดินไปก็มีแต่จะเข้ารกเข้าพง การมาเดินบนถนนคอนกรีตจึงน่าจะดีกว่า

‘พิธา’ ปลุกขวัญเครือข่ายพรรคพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เดินหน้าล้มระบอบ 3 ป. - สร้างประเทศที่ดีเพื่อทุกคน

พรรคก้าวไกล จัดประชุมใหญ่เครือข่ายทั่วประเทศ ‘พิธา’ ประกาศความพร้อมเข้าสู่เลือกตั้ง ชี้ ความเป็นสถาบันของพรรคอยู่ที่ผู้คนเดินทางร่วมกัน ขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า ปลุกสมาชิก สิ่งที่ทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อความเปลี่ยนแปลง-เพื่อเยาวชนได้การเมืองดีโดยไม่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก พอแล้วกับระบอบ 3ป. สืบทอดอำนาจผ่านพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ*

(27 ม.ค. 66) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต (ดอนเมือง) พรรคก้าวไกลจัดประชุมเครือข่ายพรรคทั่วประเทศ ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคก้าวไกลที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (28 มกราคม) ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดการประชุมกับสมาชิกพรรคว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวของตัวแทนเครือข่ายพรรคก้าวไกลทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเครือข่ายชาติพันธุ์และแรงงาน ซึ่งปีนี้มีความพิเศษเพราะเป็นปีที่เตรียมความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดมีความสำคัญเพราะจะได้เชื่อมโยงการทำงานในสภา-นอกสภาได้จริง เพื่อให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคมวลชนและทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนได้จริงๆ 

“ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดของพรรคก้าวไกลที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ มีความสำคัญมากในการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และทำงานเพิ่มจำนวนสมาชิกพรรคก้าวไกลทั่วประเทศ” พิธากล่าว

พิธากล่าวว่า เป้าหมายในการสร้างพรรค ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล คือต้องการเป็นพรรคมวลชน โอบรับความหลากหลาย เป็นพรรคที่ดำเนินการด้วยสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นพรรคที่คนใดคนหนึ่งสามารถคิดแทนคนทั้งพรรคได้ ความฝันของเราตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ คือการสร้างพรรคที่เกิดจากการเดินทางและผู้คน ปัจจุบันพรรคก้าวไกลมีจำนวนสมาชิก 60,284 คน เท่ากับจำนวนสมาชิกสมัยยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ส่วนการเดินทางไปดูปัญหาทั่วประเทศ ตนในฐานะหัวหน้าพรรคได้เดินทางมากกว่า 45,358 กิโลเมตร เพื่อดูปัญหาและขยายแนวคิดก้าวไกลออกไปทั่วประเทศ

พิธากล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นปีที่พรรคก้าวไกลมีความพร้อมในการเลือกตั้ง ทั้งจากจำนวนสมาชิกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร และอาสาสมัครของพรรคก้าวไกล จากสมัยพรรคอนาคตใหม่ที่เราเน้นการสื่อสารผ่านสื่อเป็นหลัก แต่พรรคก้าวไกลสามารถทำงานเข้าถึงปัญหาในพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งปัญหาที่ดิน น้ำท่วมน้ำแล้ง ฝุ่น PM2.5 และไฟป่า การทำงานร่วมกับสมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัครตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้เชื่อมั่นว่าสามารถปักธงประเทศไทยให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคตได้

‘สุทิน’ ลั่น!! เลือก ‘เพื่อไทย’ ได้วิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ ชู สูตรเพื่อไทย ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส’

(27 ม.ค. 66) ที่เวทีปราศรัยใหญ่พรรคเพื่อไทย สนามกีฬากลาง จ.เลย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเคยอาศัยอยู่ใน จ.เลย ช่วงหนึ่ง ตอนนี้พัฒนาไปมาก น้ำไหล ไฟสว่าง หนทางดี แต่พบว่าประชาชนเป็นหนี้สินมากกว่าเดิม จากราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำแต่ราคาปุ๋ยเคมียังเท่าเดิม จากเดิมในยุครัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ราคารับซื้อยางพาราอยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท แต่ตอนนี้เหลืออยู่ที่ 30 บาท ส่วนยางก้นถ้วย ราคารับซื้อ ณ วันนี้เหลือกิโลกรัมละ 17 บาท ส่วนราคารับซื้อข้าวในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ตันละ 15,000 - 20,000 บาท ตอนนี้เหลือตันละ 7,000 บาท

ขณะที่การขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในอดีต พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ขายเสร็จเอาเงินมาไว้ที่บ้าน แต่ขณะนี้รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บีบผู้ขายรายย่อยให้ขายในราคา 80 บาท แต่ยี่ปั๊วหรือนายทุนรายใหญ่ได้กำไรเท่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีปัญหาโรคระบาดในสัตว์ ทั้งลัมปีสกิน อหิวาห์สุกร ที่รุมเร้าพี่น้องเกษตรกรที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

‘อุ๊งอิ๊ง’ ขนทัพ ‘เพื่อไทย’ ปราศรัยใหญ่ จ.เลย ลั่น!! มุ่งทำเพื่อ ปชช. ไม่มุ่ง ‘พาพ่อกลับบ้าน’

(27 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ท่าอากาศยานเลย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ในงาน #แลนด์สไลด์เพื่อไทยเท่านั้น โดยทันทีที่เดินทางมาถึงมี แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.จังหวัดเลย อาทิ นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ และประชาชนร่วมรอรับและมอบดอกกุหลาบ เพื่อให้กำลังใจ พร้อมส่งเสียงตะโกน “เพื่อไทย สู้ๆ” “อุ๊งอิ๊ง สู้ๆ” พร้อมชูป้ายความยินดีต้อนรับ จนเสียงดังสนั่น ณ สนามบินเลย โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่หาเสียงในนามพรรคเพื่อไทยครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะลงพื้นที่ในนามครอบครัวเพื่อไทย โดยจุดแรกที่ลงพื้นที่ปราศรัยคือที่สนามกีฬากลางจังหวัด อ.เมือง จ.เลย

จากนั้นคณะพรรคเพื่อไทยได้หารือกับตัวแทนภาคเอกชนจังหวัดเลยที่ร้านอาหารล้านช้าง ก่อนเดินทางไปยังเวทีปราศรัยจุดแรก โดย น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ว่า การลงพื้นที่หาเสียงครั้งนี้ถือเป็นการเดินสายหาเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อไทย หลังจากนี้พรรคจะเดินหน้าหาเสียงทั่วประเทศ เพื่อพบประชาชนให้ได้มากที่สุด ในส่วนของตนที่ยังสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ก็จะพยายามลงพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เมื่อใกล้คลอดจะปรับเป็นนั่งรถไปแทน โดยพยายามไปให้ได้มากที่สุดโดยปรึกษาคุณหมอตลอด จะไม่ทำอะไรให้มากเกินไป

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้นแต่มีการพูดถึงการจับมือทางการเมืองหลังเลือกตั้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ยังไม่เคยคุยกันเลย เราจะเดินสายอุ้มท้องหาเสียงต่อไปเพื่อเป้าหมายเลนส์สไลด์นี่คือสิ่งที่นี่คือเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจทำ

เมื่อถามย้ำว่า นายทักษิณ ระบุว่าจะกลับบ้านเมื่อใดให้ น.ส.แพรทองธาร จะเป็นผู้ประกาศ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า “ยังไม่ได้บอกจะกลับเมื่อไหร่อย่างไร ที่บอกให้อิ๊งค์เป็นคนบอกก็ตามนั้น ส่วนจะกลับมาแบบไหนนั้น คุณพ่อออกไปหลายปีแล้ว คงมีวิธีและวิธีการว่าจะมาอย่างไรอิ๊งค์ก็เคารพการตัดสินใจและท่านก็พูดเองว่าจะไม่เอาพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การที่มาอยู่ตรงนี้ พรรคเพื่อไทยอยู่ตรงนี้ เราจะมุ่งหน้าหาเสียงทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องพานายทักษิณกลับบ้าน ขอให้แยกเรื่องกัน”

เมื่อถามอีกว่า การจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตัดไปได้เลยใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนไม่เคยคุย และข่าวที่ออกมาจะกระทบกับกระแสพรรคหรือไม่นั้น ตนคิดว่าประชาชนติดตามข่าวน่าจะมีวิจารณญาณว่าเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ตนไม่ได้คุยจริงๆ ยังไม่มีดีล ไม่ได้คุย ก็ไม่รู้จะตอบประชาชนอย่างไร

เมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาโจมตีนายทักษิณหนักมาก พรรคจะดำเนินการอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีแนวทางตอบโต้กับนายจตุพร หรือใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบาย เราเชื่อว่าการทุ่มเททำงานหนักเพื่อนำประชาธิปไตยกลับคืนมา เปลี่ยนแปลงรัฐบาลเอานโยบายเพื่อไทยแก้ปัญหาประชาชนคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

สำหรับนายจตุพร แม้เหตุการณ์ตอนนี้ก็ไม่เคยรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ แต่ถ้าสื่อสารถึงกันได้บ้าง อยากบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าจะเพียงพอหรือได้ข้อยุติสำหรับการแสดงท่าทีแล้วหรือไม่ ขอให้พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ ได้ทำงานในสนามเลือกตั้ง เราไม่ทะเลาะกับนายจตุพร หากไม่สบายใจก็ไม่เป็นไร หากนายจตุพรจะหันมาที่ตน ตนยังพร้อมทำงานในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยต่อไป โดยไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์

“อยากให้มองมาที่พรรคเพื่อไทย เป็นพี่ เพื่อน น้อง ที่เคยยืนเคียงข้างกัน วันนี้เราทำงานหนักเพื่อนำบ้านเมืองให้รอดจากวิกฤต ดังนั้น ขอให้เราได้มีสมาธิทำหน้าที่ เราต่างเคยยืนเคียงข้างนายทักษิณ ในสนามเลือกตั้ง เคียงข้างผู้นำของพรรคการเมืองนี้ตลอด วันนี้ผมยืนข้าง น.ส.แพทองธาร พี่ก็ทราบว่าน้องอิ๊งค์มีหัวใจเป็นคนเสื้อแดง เติบโตมากับการเห็นภาพการถูกกระทำของคนเสื้อแดง หลั่งน้ำตาให้กับการสูญเสีย กับความเจ็บปวดของคนเสื้อแดง อยากให้พี่นึกถึงภาพวันแบบนั้น ให้น้องอิ๊งค์ได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะทำ อย่างที่ประชาชนตั้งความหวังอย่างที่ประเทศไทยกำลังรอโอกาส และเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงหากจะไปสนับสนุนพรรคอื่นในฝ่ายประชาธิปไตย คงเป็นด้วยเหตุผลอื่น ไม่น่าจะเป็นเพราะประเด็นที่นายจตุพรเปิดออกมา และยังเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่

ส่วนคนเสื้อแดงที่ไม่สมหวังกับการจัดตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ผมสอบถามกับคณะกรรมการสรรหาอยากให้มีการอธิบายแบบตรงไปตรงมา แต่ที่เปิดตัวไปมีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ได้โอกาส ยืนยันเราไม่เคยคิดทอดทิ้งทำลายน้ำใจกัน หวังเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งพี่น้องเสื้อแดงจะทบทวนวิธีคิดและจับมือร่วมกันเหมือนเดิม และเหมือนที่ น.ส.แพทองธาร บอก เป้าหมายแลนด์สไลด์ไม่ใช่เพื่อพานายกฯ ทักษิณ เป็นคนละประเด็นกัน ท่านก็พูดจะกลับหรือไม่อยู่ที่หัวใจท่าน ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมือง ดังนั้น แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย เพื่อเอาประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม) ประวิตรกลับบ้าน (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ) เอารัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการกลับบ้าน” นายณัฐวุฒิ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top