'พิธา' เสนอแก้ฝุ่น PM 2.5 ต้องยกเครื่องโครงสร้างอำนาจ ออก กม.ใหม่-ให้อำนาจท้องถิ่น-ปั้นขนส่งพลังงานไฟฟ้า
'ก้าวไกล' เปิดเวทีพบชาวน่าน ย้ำนโยบายรัฐสวัสดิการทำได้ทันที พร้อมปรับเบี้ยคนแก่เป็น 3,000 บาท ด้าน 'พิธา' เสนอแก้ฝุ่น PM 2.5 ต้องยกเครื่องโครงสร้างอำนาจ ออกกฎหมายใหม่-กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น-ปรับขนส่งสาธารณะใช้พลังงานไฟฟ้า
(3 ก.พ. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำ และ ส.ส. พรรคก้าวไกล อาทิ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน ร่วมจัดเวทีพบปะประชาชนที่จังหวัดน่าน พร้อมนำเสนอนโยบายและตอบคำถามของประชาชนในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นที่สนใจของประชาชน เช่น เรื่องปากท้องเศรษฐกิจ และปัญหาฝุ่นควัน pm 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นต้น
ณัฐชา ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล ได้นำเสนอนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะเรื่องเงินผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่จะปรับจาก 600 บาทต่อเดือน ให้เป็น 3,000 บาทต่อเดือน โดยณัฐชาระบุว่านี่คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลได้ศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว ศึกษาลงไปถึงรายละเอียดว่าแหล่งรายได้ที่จะนำมาใช้ทำนโยบายดังกล่าวมาจากไหน และสามารถทำได้ทันที หากพรรคก้าวไกลได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ผลที่จะเกิดขึ้นคือพี่น้องไม่ต้องมารอลุ้นให้ได้รับเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามอายุของตัวเองอีกแล้ว ขอเพียงมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและเป็นคนไทย จะได้รับสิทธิทันที ไม่ต้องลงทะเบียนด้วย
จากนั้น มีหนึ่งในคำถามสำคัญจากวงพูดคุย เกี่ยวกับปัญหาฝุ่น pm 2.5 ที่นับวันสถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลง ทางพรรคก้าวไกลมีนโยบายอย่างไร พิธาได้ตอบคำถามนี้โดยระบุว่าปัญหาฝุ่น pm 2.5 เป็นปัญหาที่มีต้นตอจากหลายสาเหตุที่แตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ หากเป็นเขตเมือง ก็มักเกิดจากรถยนต์ โรงงาน และการก่อสร้าง ส่วนในพื้นที่ชนบทมักเกิดจากการเผาไหม้จากภาคเกษตร การใช้พลังงานถ่านหิน หรือการเผาป่าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ สาเหตุเหล่านี้เป็นที่รับรู้กันมายาวนาน แต่การแก้ไขปัญหาไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะโครงสร้างอำนาจที่มีปัญหา
กล่าวคือปัญหาของฝุ่น pm 2.5 เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แต่ความรับผิดชอบที่อธิบดีมีอยู่นั้น ไม่ได้มาพร้อมกับอำนาจ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถไปสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษออกมาตรการเพื่อระงับฝุ่น pm 2.5 ได้ ผลก็คือที่ผ่านมามีเพียงการขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากก็มักไม่ได้รับความร่วมมือกลับมา
พิธากล่าวต่อไปว่า ดังนั้น สิ่งที่พรรคก้าวไกลเล็งเห็นว่าเป็นมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาในภาพใหญ่ คือในด้านโครงสร้างอำนาจ จะต้องมีการผ่าน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ฉบับใหม่ที่ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ สามารถบังคับใช้มาตรการควบคุมมลพิษได้ ส่วนปัญหาฝุ่นที่มีต้นตอในต่างประเทศ เราต้องมีนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นสากล สามารถใช้กลไกอาเซียนเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาร่วมกับชาติอาเซียนได้
ส่วนมาตรการอื่นๆ นั้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรถเมล์เก่าให้เป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV bus) ทั้งหมดภายใน 7 ปี การส่งเสริมให้เกิด car free day ด้วยการงดเก็บค่าบริการขนส่งสาธารณะ การเลิกการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินภายในปี 2580 การ กระจายอำนาจการดับไฟป่าไปให้ท้องถิ่น ไม่ให้อยู่ที่ส่วนกลางที่มีแต่ความไม่โปร่งใส และการแก้ปัญหาร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาการเผาไหม้ป่า เป็นต้น
“เรื่องของฝุ่น pm 2.5 อาจกล่าวได้สั้น ๆ ว่าเป็นปัญหาจากโครงสร้างอำนาจ ที่กรมควบคุมมลพิษไม่สามารถออกมาตรการเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาได้ การมีกฎหมายมารองรับให้อำนาจส่วนนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง บวกกับการเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นมากขึ้น ให้สามารถออกแบบนโยบายที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในแต่ละพื้นที่ได้ด้วยตัวเอง จะช่วยให้เกิดการกระจายการแก้ปัญหาของแต่ละพื้นที่ทำได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น แม้จะเป็นปัญหาที่ยาก แต่หลายประเทศสามารถทำให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้ และประเทศไทยก็ต้องทำให้ดีขึ้นได้เช่นกัน” พิธากล่าว