Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

‘เอเลียด คิปโชเก’ ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาฯ โพสต์ถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมฯ

(3 มิ.ย. 68) เอเลียด คิปโชเก ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก เจ้าของสถิติวิ่งมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชม. และแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2 สมัยชาวเคนยา โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Eliud Kipchoge ถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยข้อความระบุว่า ... 

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าร่วมวิ่งมาราธอน Amazing Thailand Bangkok 10K ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นับเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำที่ได้ผ่านสถานที่สำคัญและสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ หลายแห่ง

เนื่องในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 นี้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขกับการเฉลิมฉลองในปีต่อ ๆ ไป

สำหรับ เอเลียด คิปโชเก ในฐานะ "ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาและวัฒนธรรม" ของประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้ร่วมวิ่งกับ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในระยะ 10 กม. การแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ครั้งที่ 7 ประจำปี 2567 รายการ "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์บาย โตโยต้า ครั้งที่ 7" ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ เอเลียด คิปโชเก ก็จะมาร่วมการแข่งขันรายการนี้ ที่ประเทศไทย อีกครั้ง

‘ระยอง’ ไม่ธรรมดา!! แชมป์จุดหมายยอดฮิต ทั้งไทย และเอเชีย ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติริมฝั่งทะเล วัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเอกลักษณ์

(3 มิ.ย. 68) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ (Slow Travel) โดยมีเมืองชายฝั่งของไทยอย่าง “ระยอง” ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในใจนักเดินทางทั้งในประเทศไทยและในเอเชีย

ฃสำหรับ 3 จุดหมายยอดนิยมของการเดินทางแบบไม่เร่งรีบในเมืองไทย ได้แก่

ระยอง พัทยา และเกาะช้าง ส่วน 9 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของการเดินทางแบบไม่เร่งรีบในเอเชีย ประจำปี 2568 มีดั้งนี้

1.ระยอง, ไทย
สวรรค์ริมชายหาดแห่งนี้คือจุดหมายปลายทางในฝันของผู้ที่มองหาความสงบ ท่ามกลางชายหาดที่เงียบสงบและน้ำทะเลที่ใสสะอาด เหมาะสำหรับการหลีกหนีจากความวุ่นวาย นักเดินทางสามารถเพลิดเพลินกับอาหารทะเลสดใหม่จากเรือประมง

เสน่ห์ของระยองอยู่ที่ความเงียบสงบของชายหาดแม่รำพึงที่ทอดยาว ป่าชายเลนสีทองที่ทุ่งโปรงทอง และบรรยากาศสบาย ๆ บนเกาะเสม็ด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักใจ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และใช้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ระยองจึงเป็นจุดหมายในอุดมคติสำหรับการพักผ่อน เติมพลัง และกลับมาเชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง

2. กาเลโกวา, อินโดนีเซีย
กาเลโกวาเปรียบดั่งสวรรค์ที่รอให้นักเดินทางมาค้นพบ มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ชวนให้นักเดินทางชะลอจังหวะชีวิต ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันเขียวขจีและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องนาข้าวสีเขียว สบายตาสถาปัตยกรรมแบบบูกิสดั้งเดิม และการต้อนรับที่อบอุ่นจากชาวบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเดินเล่นชมตลาดท้องถิ่น ลิ้มรสอาหารอินโดนีเซียต้นตำรับ หรือออกเดินป่าชมเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความเรียบง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เร่งรีบ และมีความหมาย

3.โซล, เกาหลีใต้
แม้ว่าโซลจะเป็นเมืองหลวงที่คึกคัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นไปตามถนนสายประวัติศาสตร์ในหมู่บ้านบุกชอนฮันอก แวะจิบชาในบ้านน้ำชาแบบดั้งเดิม สำรวจตรอกซอกซอยเล็ก ๆ หรือเพลิดเพลินกับบาร์บีคิวเกาหลีรสเข้มข้น นักเดินทางสามารถใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และซึมซับเสน่ห์ของเมืองในทุกย่างก้าว

4.โตเกียว, ญี่ปุ่น
โตเกียวคือเมืองที่ผสานประวัติศาสตร์ ความทันสมัย และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่นักเดินทางจำนวนมากสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่มีเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นความคึกคักของย่านชิบุยะ ความสงบเรียบง่ายของย่านยะนะกะ หรือความหลากหลายของรสชาติอาหารที่รอให้นักเดินทางมาค้นพบ โตเกียวคือเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวให้สำรวจ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางในจังหวะของตนเอง และดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาอย่างแท้จริง

5. ญาจาง, เวียดนาม
ด้วยชายฝั่งที่งดงามและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ญาจางจึงเป็นสวรรค์ ของผู้รักทะเลที่อยากใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบ ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ลมทะเลเย็นสบาย และหาดทรายขาวละเอียด นอกจากชายหาดแล้ว ญาจางยังมีสถานที่หลากหลายรอให้นักเดินทางมาค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นการ เยี่ยมชมปราสาทโพนาคาอันเก่าแก่ ไปจนถึงการแช่บ่อโคลนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย บรรยากาศสบาย ๆ ของญาจาง ทำให้ที่นี่เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ

6. โบราไกย์, ฟิลิปปินส์
หาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลใสสะอาดของเกาะโบราไกย์ คือสวรรค์สำหรับผู้ที่อยากปล่อยใจให้ผ่อนคลายและดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ นอกจากชายหาดชื่อดังแล้ว เกาะแห่งนี้ยังเหมาะกับนักเดินทางที่ชอบการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ ที่อยากสัมผัสโลกใต้ทะเลผ่านการดำน้ำลึกหรือดำน้ำตื้น รวมถึงล่องเรือปาราว ชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางลมทะเลเย็นสบาย ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและทิวทัศน์ที่งดงาม โบราไกย์จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ทำให้นักเดินทางหลายคนหลงลืมเวลา และอยากอยู่ต่ออีกสักวัน

7. ไทเป, ไต้หวัน
ไทเปเป็นเมืองที่ผสมความทันสมัยและความดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งตลาดกลางคืน น้ำพุร้อน และเส้นทางเดินป่า ที่ชวนให้นักเดินทางมาเพลิดเพลินและสำรวจได้อย่างไม่เร่งรีบ โดยสามารถเดินสำรวจถนนต้าวเฉิง ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นอย่างเสี่ยวหลงเปา หรือจะไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับที่อุทยานแห่งชาติหยางมิงซาน ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ไทเปจึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าค้นหา และคุ้มค่ากับการใช้เวลาในการดื่มด่ำกับสถานที่ต่าง ๆ

8. กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย
นักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบสามารถใช้เวลาในการสำรวจย่านต่างๆ ของกัวลาลัมเปอร์ ตั้งแต่ถนนที่มีสีสันสดใสในย่ายลิตเติ้ลอินเดีย ความงามของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เช่น ตึกแฝดเปโตรนาส และอาคารสุลต่านอับดุลซาหมัด เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่คอยดึงดูดให้นักเดินทางต้องหยุดและถ่ายภาพ สำหรับผู้ที่หลงใหลในอาหารก็สามารถเพลิดเพลินกับการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นจากร้านสตรีทฟู้ด หรือ ร้านอาหารต่าง ๆ อันหลากหลาย ซึ่งกัวลาลัมเปอร์ได้ผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมและความทันสมัยไว้อย่างลงตัว กลายเป็นเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าค้นหาสำหรับนักเดินทางที่ต้องการดื่มด่ำกับเมืองนี้และใช้เวลาสำรวจทุกมุมอย่างเต็มที่

9. เจนไน, อินเดีย
มรดกทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง บรรยากาศศิลปะที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเสน่ห์ริมทะเลของเมืองเจนไน ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการจะชะลอจังหวะชีวิต และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมทางตอนใต้ของอินเดีย นักเดินทางสามารถสำรวจวัดโบราณของเมือง เพลิดเพลินกับการเดินเล่นเงียบ ๆ ที่ชายหาดมารีนา หรือชมการแสดงดนตรีคาร์เนติก ความอบอุ่นของการต้อนรับจากคนท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมทำให้เจนไนเป็นเมืองที่คุ้มค่ากับการใช้เวลาในการสำรวจและสัมผัสทุกมุมอย่างแท้จริง

อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของอโกด้า เปิดเผยว่า ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว นักเดินทางจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองได้ซึมซับบรรยากาศ วัฒนธรรม และความงดงามของสถานที่ที่ไปเยือนอย่างลึกซึ้ง ที่อโกด้า

“เราภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนแนวทางการเดินทางที่เปี่ยมด้วยความหมายนี้ ด้วยแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักเดินทางค้นหาที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เดินทางในจังหวะของตัวเอง และชื่นชมโลกใบนี้อย่างแท้จริง เอเชียยังเต็มไปด้วยจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ และ ‘ระยอง’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติริมฝั่งทะเล ความเงียบสงบ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ ระยองจึงเป็นเมืองที่ชวนให้นักเดินทางได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า พักผ่อน และดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาอย่างไม่เร่งรีบ” อรรคพรกล่าว

กองทัพอากาศ ร่วมยินดีกับ ‘วศิน อิ่มสมัย’ อย่างภาคภูมิใจ เกียรตินิยมอันดับ 1 จาก โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา

(3 มิ.ย. 68) ชูธงชาติไทย อย่างสมเกียรติ กองทัพอากาศ ขอร่วมแสดงความยินดีกับนักเรียนนายเรืออากาศ วศิน อิ่มสมัย ที่สำเร็จการศึกษาได้รับ "เกียรตินิยมอันดับ 1" จาก โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา (United States Air Force Academy) สาขาวิชาเอก วิศวกรรมอากาศยาน

นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกองทัพอากาศที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ และเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความมานะพยายามจนประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาของกองทัพอากาศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

(3 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ กรรมการ นำคณะผู้บริหารมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และหน่วยงานในเครือ นำแจกันดอกไม้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน กองบังคับการควบคุมสุริโยทัย จังหวัดนราธิวาส

(2 มิ.ย. 68) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี วรเดช เดชรักษา รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงาน ณ กองบังคับการควบคุมสุริโยทัย ค่ายกัลยาณิวัฒนา ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส

ในการนี้ พลตรี ณรงค์ ตันติสิทธิพร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วย พันเอก กำธร ศรีเกตุ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ และกำลังพล ร่วมให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมสรุปสถานการณ์ด้านความมั่นคง

แม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ และรายงานผลการปฏิบัติงานตามภารกิจสำคัญ ทั้งในส่วนของการรักษาความมั่นคงตามนโยบายของผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และการป้องกันชายแดนตามพันธกิจ 5 ประการ ได้แก่ การเฝ้าตรวจและป้องกันพื้นที่ชายแดน, การเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน, การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่, การประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และการติดตามข่าวสารและสถานการณ์สำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีการติดตามผลการดำเนินงานตามภารกิจเร่งด่วน 5 ด้านของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แก่ การควบคุมพื้นที่และการบังคับใช้กฎหมาย,การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด, การส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม, การพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง, การสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน

ในโอกาสนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ภายใต้มาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด พร้อมเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

📍 ทั้งนี้ ได้ฝากข้อคิดและให้กำลังใจกำลังพลในการปฏิบัติงานให้มีความพร้อม มุ่งมั่นในการดูแลประชาชนด้วยหัวใจแห่งความเสียสละ บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างเจ้าหน้าที่กับชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

รัฐบาลไทย เบรกแผนกองทัพปิดด่าน หลังผู้นำกัมพูชาต่อสายร้องขอ หวั่นกระทบเศรษฐกิจชายแดน

(2 มิ.ย. 68) มีรายงานว่า รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขอให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักในพื้นที่ช่องบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ โดยฝ่ายกัมพูชาหันปืนใหญ่เข้าสู่ฝั่งไทย

กองทัพไทยแจ้งต่อรัฐบาลว่า ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามายังเขตแดนของไทย จึงเสนอปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อกดดันให้กัมพูชาถอนกำลังออกไป โดยมองว่าหากนิ่งเฉยจะเป็นการยอมรับการล้ำแดน ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ขอให้ชะลอแผนปิดด่านออกไป เนื่องจากกังวลว่าจะกระทบต่อการค้าชายแดน และซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมระบุว่ากำลังจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นเวทีทางการทูตที่ควรให้โอกาสก่อน

รายงานระบุเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ. เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ได้โทรศัพท์หานายภูมิธรรม ร้องขอไม่ให้ไทยปิดด่านชายแดน ซึ่งนำไปสู่การพูดคุยภายในรัฐบาล และมีคำสั่งให้กองทัพยับยั้งมาตรการแข็งกร้าวไว้ชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่จะลุกลามบานปลาย

พังงา-ทัพเรือภาค 3 ช่วยเรือขนส่งเมียนมา เกยตื้นจมทั้งเรือและพัสดุ ใกล้อุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

(2 มิ.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือขนส่งสินค้าสัญชาติเมียนมาร์  MV.AYAR LINN เกยตื้น บริเวณอ่าวจาก ทิศเหนือของอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อ.คุระบุรี จ.พังงา จากการตรวจสอบพบว่า เรือ MV.AYAR LINN ขนาด 100.05 ตันกรอส มีคนจำนวน 8 คน ทั้งหมดเป็นสัญชาติเมียนมาร์ คน มี Mr. AUNG NGWE SOE  อายุ 50 ปี เป็นผู้ควบคุมเรือ โดยมี Mr.Ko Soe Thin B เป็นเจ้าของเรือ(ภูมิลำเนากรุงย่างกุ้ง) เรือลำดังกล่าวได้เเจ้งเข้ามาจอดเพื่อขนส่งสินค้า ประเภทเครื่องอุปโภค บริโภค ณ ท่าเรือโกม๊ก จ.ระนอง ในวันที่ 23 พ.ค.68 และเเจ้งออกเรือ ในวันที่ 29 พ.ค.68 อย่างถูกต้อง โดยได้เดินทางไปขนส่งสินค้ายังที่หมายแรกคือเกาะสอง ประเทศเมียนมาและได้ไปส่งลูกเรือ ชื่อ Mr.Zar ขึ้นที่เกาะสอง จากนั้นได้ออกเรือเดินทางต่อไปยังเมืองมะริด ในระหว่างออกเรือเดินทางตามเส้นทางเดินเรือ ทางเรือได้ตรวจพบรอยรั่ว บริเวณท้องเรือ ทางผู้ควบคุมเรือจึงได้นำเรือมุ่งหน้าไปยังที่หมายฝั่งที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อคนประจำเรือ จนเป็นเหตุให้เรือไปเกยตื้นบริเวณอ่าวจาก ทิศเหนือของอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และ ศปก.ทรภ.3 ได้สั่งการให้ ร.ล.มัตโพน เเละ นรภ.ทร.ก.สุรินทร์ เข้าดำเนินการตรวจสอบ เเละให้การช่วยเหลือเรือ และลูกเรือลำดังกล่าว 
   ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (1 มิ.ย.68) สถานการณ์น้ำยังคงเข้าเรืออย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ ร.ล.มัตโพน ไม่สามารถเข้าไปถึงเรือ MV.RAYAR LINN เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่น้ำตื้น, เรือ MV.ค่อย ๆ จมลงอย่างช้าๆ ทำให้สินค้าจำนวนหนึ่งลอยกระจายไปกับกระแสน้ำ อีกส่วนหนึ่งจมลงไปพร้อมกับเรือ ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดพังงา (ศคท.จว.พง.ฯ) จึงได้ดำเนินการประสาน เรือหลวงมัตโพน เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยทหารเรือเกาะสุรินทร์ เจ้าหน้าที่อุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เเละ ตำรวจน้ำจาก ส.รน.2 กก.8 บก.รน. พร้อมเรือยาง ให้การช่วยเหลือ ตามตำบลที่เรือเกยตื้น เเละช่วยคนประจำเรือทั้ง 7 คน ขึ้นสู่เรือหลวงมัตโพน ด้วยความปลอดภัย โดยได้รับเเจ้งจากทาง ร.ล.มัตโพน หลังจากนี้จะนำลูกเรือขึ้นสู่ฝั่ง ณ ท่าเทียบเรือ ฐานทัพเรือพังงา ทหารเรือภาค 3 

จากการตรวจสอบของชุดตรวจค้นและเจ้าหน้าที่ พบว่า ทางเรือมีการสำเเดง เอกสารประจำเรือ บัญชีคนประจำพาหนะ ใบปล่อยเรือ (Clearance outwards) คำเเสดงที่ยื่นพร้อมกับบัญชีสินค้าสำหรับขาออก เเละใบขนถ่ายสินค้าขาออก ที่ผ่านพิธีการทางศุลกากร อย่างถูกต้อง นอกจากสินค้าตามรายการที่แจ้งแล้ว ผู้ควบคุมเรือ ได้เเจ้งว่าในเรือมีน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 7,700 ลิตร ที่ใช้ในการเดินทาง โดยบรรจุในถังใช้การ  จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ จะดำเนินการส่ง จนท.ลงพื้นที่ ตรวจสอบตำบลที่เกิดเหตุอีกครั้ง
สำหรับการทำลายความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและเเนวปะการัง ในพื้นที่นั้น ทางอุทยานฯ ได้ดำเนินการควบคุมคนประจำเรือ MV.AYAR LINN จำนวน 7 คน พร้อมของกลาง หลังจาก ร.ล.มัตโพนส่งคนประจำเรือขึ้นสู่ฝั่งเพื่อไปสอบข้อเท็จจริง ณ ที่ทำการอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา รวมทั้งเตรียมเเจ้งข้อกล่าวหา เเละทำบันทึกการจับกุมพร้อมของกลาง ส่ง พนักงานสอบสวน สภ.คุระบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป หลังจากนี้ ทางอุทยานฯ เเจ้งว่าจะดำเนินการส่ง เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ดำน้ำสำรวจความเสียหายของเเนวปะการังอีกครั้ง รวมทั้ง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยทหารเรือเกาะสุรินทร์ ลงพื้นที่ตรวจสอบสิ่งของต่างๆ ที่ลอยไปตามกระเเสน้ำเพื่อไม่ให้เกิดส่งผลกระทบต่อสภาวะเเวดล้อมทางทะเลเป็นอย่างไร
ภาพข่าว

พงษ์ศักดิ์ ประทีป /โกอู๋@ผู้สื่อข่าวจังหวัดพังงา

‘ฮุน เซน’ เตือนปมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกลายเป็น ‘กาซา’ เสนอพึ่งศาลโลก หวั่นความขัดแย้งเรื้อรังไม่สิ้นสุด

(2 มิ.ย. 68) สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตือนว่าหากปัญหาพรมแดนระหว่างกัมพูชากับไทยไม่ได้รับการแก้ไขผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื้อรังคล้ายสถานการณ์ในกาซาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ พร้อมย้ำว่า “หากเราจริงใจ ทำไมต้องกลัวศาลโลก?”

ล่าสุด ฮุน เซนโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ในการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาเช้าวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาชิก 182 คนลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ต่อแผนการของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการยื่นข้อพิพาทพรมแดนกับไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยถือเป็นมติสนับสนุนจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน

ฮุน เซนยังกล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2000 ที่เคยลงนามร่วมกับไทยนั้น “หมดความหมาย” หลังผ่านมา 25 ปีโดยไม่มีความคืบหน้า พร้อมเปิดเผยว่ามีทหารกัมพูชาถูกยิงเสียชีวิตในเหตุปะทะล่าสุด ถือเป็นอีกหลักฐานว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติ

ด้านนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ระบุว่ากัมพูชาจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อ ICJ ไม่ว่าจะได้รับความร่วมมือจากไทยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนทุกฝ่ายสามัคคี สนับสนุนกองทัพ และงดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญนี้

หากสถานการณ์บานปลาย ฮุน เซนยืนยันว่ากัมพูชาจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอการแทรกแซงระหว่างประเทศ โดยย้ำว่ากัมพูชาไม่มีเจตนายึดครองดินแดน แต่จะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่อีกแม้แต่ตารางนิ้วเดียว 

ขณะที่กองทัพบกของไทย ชี้แจงว่าการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่จะนำข้อพิพาทไปยังศาลโลกนั้น เป็นเรื่องทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมาก่อนหน้า และ “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับกรณีเหตุการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดน 

เลิกกั๊ก!! โอกาสปล่อยของมาแล้ว

#1212ETDA ชวนมาปล่อยของ ประลองไอเดีย กับโครงการ IGNITE CREATIVITY CHALLENGE ปี2 

ขอท้าคนมีหัวคิดมาร่วมประกวดวิดีโอความยาวไม่น้อยกว่า 30 วินาที และไม่เกิน 2 นาทีภายใต้หัวข้อ “รู้เท่าทันทุกกลโกง” ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 170,000 บาท  
เปิดโอกาสให้ทุกคนมาสร้างสรรค์ผลงานที่มาพร้อมกับความรู้และ แนวทางในการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์ และทันสมัยผ่านคลิปวิดีโอ

รายละเอียดการรับสมัคร

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 9 มิถุนายน 2568 ได้ที่ https://docs.google.com/.../1FAIpQLSfgnPSzPKmQIN.../viewform 

คุณสมบัติผู้เข้าประกวด
* ผู้สมัครจะต้องมีสัญชาติไทย ไม่จำกัดอายุ

กติกาในการเข้าร่วมประกวด
* ผู้สมัครสามารถส่งผลงานแบบเดี่ยว หรือทีมต่อหนึ่งชิ้นงาน
* ในกรณีสมัครเป็นทีมจำนวนสมาชิกในแต่ละทีมต้องไม่เกิน 5 คน 
* ผู้สมัครจะต้องจัดทำสื่อในรูปแบบ Storyboard พร้อมแนบไฟล์นำเสนออธิบายแนวคิดผลงานตามแบบฟอร์มที่กำหนด โดยชิ้นงานนั้น ๆ ต้องพร้อมต่อยอดในการผลิตเป็นรูปแบบวิดีโอภายหลังจากการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ความยาวไม่น้อยกว่า 30 วินาที และไม่เกิน 2 นาที ภายใต้หัวข้อ “รู้เท่าทันทุกกลโกง” ไม่จำกัดรูปแบบผลงาน (แนวตั้งหรือแนวนอน)

รางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวด
* รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 60,000 บาท
* รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 50,000 บาท
* รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 40,000 บาท
* ผลงานที่ได้รับรางวัล 1 เงินรางวัล 10,000 บาท
* ผลงานที่ได้รับรางวัล 2 เงินรางวัล 10,000 บาท

นอกจากนั้นผู้ที่ชนะการประกวดจะได้รับเกียรติบัตร และโล่รางวัล
แล้วมาร่วมปล่อยของ ประลองไอเดียไปด้วยกันกับโครงการ IGNITE CREATIVITY CHALLENGE ปีที่2 กันนะครับ 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ยัน!! ‘ช่องบก-สามเหลี่ยมมรกต-ปราสาทตาเมือนธม’ เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินของ ‘ร.5’ ระบุชัด!! เคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน

(1 มิ.ย. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ช่องบกของไทยแน่นอน” เนื้อหาระบุว่า ขอยืนยันว่า ช่องบก สามเหลี่ยมมรกตและปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทยแน่นอน แผ่นดินนี้เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีรัฐชาติสมัยใหม่ สยาม ฝรั่งเศสได้ทำความตกลงกำหนดเขตแดน ตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส อาศัยแนวสันปันน้ำ ความจริง เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ เคยเป็นของไทยที่ในหลวงรัชกาลที่ยอมเสียเพื่อแลกจังหวัดตราดกลับคืนมาเป็นของไทย

ผมเคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน ข่องบก สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ฝั่งไทยจะตั้งอยู่บนแนวสันปันน้ำชัดเจน แผ่นดินฝั่งกัมพูชาจะลึกลงไปอยู่ในหุบ ลึกระดับเป็นเมตรๆ ศาลาตรีมุขตรงสามเหลี่ยมมรกตที่ถูกเผา ฝั่งไทยก็เป็นที่สูง ส่วนฝั่งลาวและกัมพูชา จะเป็นหุบต่ำลงไปมาก

บริเวณนี้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน หลักเขตหลักที่ 1 ไทยกัมพูชา ตั้งอยู่ช่องสะงำ  ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ ไล่ไปจนถึงหลัก 73 แหลมสารพัดพิษ ตราด ซึ่งจะใช้เป็นหลักอ้างอิงกำหนดแนวเขตในทะเล ยืนยัน ช่องบกของไทยแน่นอนตั้งแต่อดีต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top