Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

ผบ.ตร. ย้ำแสดงจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของชาติ จากกรณีที่ช่องบก

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ในการอ้างสิทธิเกี่ยวกับพื้นที่ และเกิดการปะทะระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทีีผ่านมา อันอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญสูงสุดในการพิทักษ์ปกป้องรักษาชาติ และคุ้มครองอธิปไตยของดินแดนไทย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ ตำรวจตระเวนชายแดนเตรียมความพร้อมกำลัง และนำเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมในการปฏิบัติและสนับสนุนอย่างเต็มที่ กรณีการปฏิบัติการ หากกำลังพลและเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยปฏิบัติการไม่เพียงพอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทยอย่างเด็ดขาด

พร้อมได้สั่งการให้ตำรวจพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย สืบสวนหาข่าวในพื้นที่ จัดเตรียมความพร้อมแผนปฏิบัติการ แผนเผชิญเหตุ สนับสนุนการปฏิบัติเมื่อได้รับการสั่งการ และให้กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีติดตามเฝ้าระวัง การโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยข่าวปลอมทางสื่อโซเชียล ให้บังคับใช้กฎหมาย ปิดกั้นกรณีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทางเทคโนโลยีอย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้มีการแพร่กระจายข่าวหรือปล่อยข่าวปลอมที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย อีกทั้งได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มความเข้มในการคัดกรองคนต่างด้าวเข้าประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด โดยได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อมทั้งด้านแผนการปฏิบัติ แผนเผชิญเหตุ กำลังพล เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ ให้พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติกับฝ่ายทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำจุดยืนในการปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ จะไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทยอย่างเด็ดขาด พร้อมบังคับใช้กฎหมายและสนับสนุนการปฏิบัติทางยุทธการ พิทักษ์พื้นที่ชายแดนและพื้นที่ส่วนหลังอย่างเต็มกำลังความสามารถ

โออาร์ เติมเต็มรอยยิ้มให้เกษตรกรไทย แจกฟรี! มะม่วงแฟนซี กว่า 400,000 กิโลกรัม เมื่อเติมน้ำมันที่ พีทีที สเตชั่น ระหว่างวันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 เฉพาะสถานีฯ ใน 4 จังหวัด

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และ นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมด้วย นายสถิตพงษ์ เงางาม ผู้จัดการฝ่ายบริหารสถานีบริการส่วนกลาง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมสานต่อโครงการ 'เติมเต็มรอยยิ้มให้เกษตรกรไทย เติมน้ำมันรับฟรี มะม่วงแฟนซี' ณ พีทีที สเตชั่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี รวม 360 สถานี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด พร้อมส่งต่อผลไม้คุณภาพจากแหล่งผลิตโดยตรงสู่มือผู้บริโภค โดย โออาร์ ได้รับซื้อมะม่วงแฟนซีหลากหลายสายพันธุ์จากเกษตรกรในภาคเหนือ เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณให้กับลูกค้าที่เติมน้ำมันครบ 300 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับฟรี! มะม่วงแฟนซี 1 ถุง (จำกัด 1 ถุง/ใบเสร็จ) โดยรวมแล้วมีการจัดสรรผลผลิตกว่า 400,000 กิโลกรัม เพื่อกระจายให้กับลูกค้าในสถานีบริการที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

นายสถิตพงษ์ เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ไทยตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในความตั้งใจของ พีทีที สเตชั่น ที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทยให้สามารถระบายผลผลิตได้อย่างเหมาะสม และช่วยลดผลกระทบจากภาวะราคาตกต่ำ พร้อมเติมเต็มความสุขให้กับผู้ใช้บริการ พีทีที สเตชั่น ผ่านผลไม้คุณภาพจากพี่น้องเกษตรกรไทย โดย โออาร์ ร่วมกับกรมการค้าภายในรับซื้อมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ รวมจำนวน 400,000 กิโลกรัม เพื่อนำมากระจายสู่ผู้ใช้บริการ พีทีที สเตชั่น ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการแบ่งเบาภาระของพี่น้องเกษตรกร แต่ยังตอกย้ำว่า พีทีที สเตชั่น เป็นศูนย์กลางของชุมชนตามแนวคิด Living Community รวมถึงได้ร่วมเติมเต็มรอยยิ้มให้ชุมชน และส่งต่อความสุขให้กับผู้คนที่มาใช้บริการ โดย โออาร์ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคม พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ปราสาทตาเมือนธม ตอกย้ำ เป็นของไทยชัดเจน ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ปราสาทตาเมือนธม โดยมีเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ ทหาร และประชาชนไทย ในพื้นที่เฝ้าฯ รับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2523 เพื่อทรงทัศนศึกษาและทอดพระเนตรงานสำรวจทางโบราณคดี 

ปราสาทตาเมือนธมนั้น กรมศิลปากร ทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478  หรือเมื่อ 90 ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี (ขณะที่กัมพูชาได้รับเอกราชคืนจากฝรั่งเศส ปี 2496 และเป็นที่ยอมรับจากสหประชาชาติ ปี 2498)

เป็นของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่ของกัมพูชา

'หมอเหรียญทอง' เปิดพื้นที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ เตรียมพร้อมรองรับการรักษาชีวิตกำลังรบ

(5 มิ.ย.68) พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผมเป็นทหารเก่าและแก่แล้ว ถึงแม้ผมจะเรียนแพทย์ แต่ผมมีกำเนิดทางทหารมาจากการเป็นนักเรียนทหาร ผมถูกหล่อหลอมและเติบโตจากชีวิตนักเรียนทหารจนเริ่มรับราชการก็เป็นผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ และไต่เต้าเติบโตเรื่อยมา

ชีวิตของผมจึงไม่ใช่แค่ชีวิตแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ชีวิตของผมมีชีวิตของการเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่เพื่อนและน้องทหาร พวกเราชาวทหารมีจิตวิญญาณของการเป็นทหารแห่งองค์จอมทัพไทย รักชาติ ปกป้องเอกราชและอธิปไตยด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ

ยามใดที่พี่เพื่อนน้องของเราต้องรบ เราจะพร้อมรบ แม้เป็นทหารเก่า และแก่แล้ว หลายท่านแก่มากย่างอายุ 100 หรือเกิน 100 ก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน

เมื่อเอกราชอธิปไตยของชาติถูกคุกคาม บั่นทอน พวกเราจะมีความรู้สึกเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

เพราะนี่คือ จิตวิญญาณทหาร ของพวกเรา

ใครทำอะไรได้ก็จะสนับสนุนเกื้อกูลกัน ผมเป็นทหารบำนาญ เป็น ผอ.รพ.เอกชน ผมก็ยังพร้อมตามศักยภาพเท่าที่ผมทำได้ ผมอาจจะใช้อาวุธไม่เก่ง แต่ผมรักษาชีวิตกำลังรบได้ อนุรักษ์กำลังรบได้ ยังมีสมอง มีทักษะบางประการที่สนับสนุนกองทัพได้

ทหารเก่าๆ แก่ๆ อย่างผมและพี่ๆ จำนวนมาก คิดกันอย่างนี้ ไม่ได้มีแค่ไม่กี่คน...พวกเราไม่มีใครบ้าสงคราม แต่พวกเราพร้อมสละชีพเพื่อเอกราชและอธิปไตยโดยไม่เคยเสียดาย พวกเราหล่อหลอมกันมาอย่างนี้

ก่อนหน้านี้ พล.ต. นพ.เหรียญทอง ได้โพสต์ข้อความเรียนผู้บัญชาการทหารสูงสุด รพ.มงกุฎวัฒนะพร้อมเป็นอาสาสมัครพลเรือน สนับสนุนกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพ หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติการบินขนส่งลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ

ทั้งนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะไม่เพียงแค่รับการส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศเท่านั้น แต่จะสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยอาการหนักขั้นสมบูรณ์อย่างเบ็ดเสร็จให้ด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาศักยภาพพลเรือน รพ.มงกุฎวัฒนะ เพื่อบรรจุไว้ในแผนส่งกำลังบำรุงสายแพทย์ และแผนปฏิบัติการพลเรือน

หมายเหตุ

1. รพ.มงกุฎวัฒนะจะรื้อราวกันตกตามภาพแล้ว ติดตั้งตาข่ายนิรภัย[Safety net] พร้อมระบบไฟแสงสว่างนำร่อง-กรวยลม-อุปกรณ์ลานเฮลิคอปเตอร์และสัญลักษณ์[Marking]ตามมาตรฐาน ICAO ในทันทีที่กองทัพไทยต้องการให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็น 'ที่ขึ้นลง' ในการส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศ

2. รพ.มงกุฎวัฒนะเตรียมการลานเฮลิคอปเตอร์ ตั้งแต่ออกแบบ และก่อสร้างมานานแล้ว สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ Maximum Take-Off Weight [MTOW] น้ำหนัก 4,500 กิโลกรัม (ผมเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์การบิน กองทัพบก ผ่านการฝึกจากองค์การบริหารการบินสหรัฐฯ [FAA] และเป็นกรรมการนิรภัย กรมการบินพาณิชย์ตามข้อกำหนด ICAO)

‘ชัยชนะ’ นำคณะ กมธ. ตำรวจ ลงพื้นที่ช่องบก ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชายแดนปกป้องแผ่นดินไทย

(5 มิ.ย.2568) นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายวุฒิพงษ์ นามบุตร สส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ นำคณะ เดินทางลงพื้นที่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยเดินทางไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ เพื่อมอบ น้ำดื่ม เครื่องบริโภค อุปโภค รวมทั้งให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ตชด. ที่ปฏิบัติหน้าที่เสียสละ เพื่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ

หลังจากนั้นได้นำคณะเดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ในการตั้งฐานปกป้องแผ่นดินไทย ที่ ช่องบก ด่านบ้านแก้งเรือง และด่านมรกต

นอกจากการเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้พิทักษ์ชายแดนแล้ว คณะของนายชัยชนะและนายวุฒิพงษ์ ยังได้พูดคุยกับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

นายชัยชนะ กล่าวเน้นย้ำว่า ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ สส. ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้อย่างถึงที่สุด เราขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละ เพื่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบตำรวจภูธรภาค 4 จัดเสวนาสัญจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชน

(5 มิ.ย.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” โดยมี พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) , พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร์ รอง ผบช.ภ.4 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและอดีตผู้บังคับบัญชาของตำรวจภูธรภาค 4 ได้แก่ พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.อ.กวี สุภานันท์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจจบูลย์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา อดีต ผบช.ภ.4  ตลอดจนผู้บังคับการตำรวจภูธรทุกจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมพิธี ณ ห้องประชุม ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4         

การเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอแก้ไขกฎหมายปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น โดยเฉพาะการให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน และการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ แม้บางฝ่ายจะเห็นว่าร่างกฎหมายเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่มีอีกหลายความเห็นที่มองว่าจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนงานสืบสวนสอบสวนที่ซ้ำซ้อน จนทำให้เกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็น กระทบสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับสิทธิของการอำนวยความยุติธรรมด้วยความรวดเร็ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวจากข้าราชการตำรวจ  องค์กรในกระบวนการยุติธรรม และประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้เริ่มรับฟังความเห็นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1 และตำรวจภูธรภาค 7 ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีคณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นผู้จัดงานเสวนา  

สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้ตำรวจภูธรภาค 4 และคณาจารย์ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชนบนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เชิญวิทยากรจากอัยการจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4  อาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ร่วมการเสวนา ประกอบด้วย พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร  นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ/อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พ.ต.ต.สันติ มุริจันทร์  อัยการจังหวัดหนองบัวลำภู , นายอภิศิษฏ์  ภู่ภัทรางค์ รองอัยการจังหวัดขอนแก่น , ดร.สุชาติวัฒน์  ณัฏประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น และมีพนักงานสอบสวน ข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวน ระดับผู้กำกับการถึงรองสารวัตร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรภาค 4) อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย พร้อมด้วยภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 300 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชนนั้น มีหลักการให้พนักงานอัยการเข้ามากำกับดูแลงานสอบสวน เช่น ให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ รวมทั้งตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในการเสวนาวันนี้ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ถึงผลกระทบของร่างกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนกันของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซึ่งอาจทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น รวมทั้งไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาของประเทศไทย และไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของพนักงานอัยการที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้สรุปผลการเสวนาของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ รวบรวมกับการเสวนาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ครั้งก่อน (พื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง) รวมทั้งที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 ครั้ง นำมาจัดทำเป็นความเห็นที่มีต่อร่างกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป  

นักศึกษาไทยจากม.ซุนยัตเซ็น มุ่งมานะด้วยความพยายาม สู่นักกิจกรรมต้นแบบ พัฒนาชนบทจีนและแพลตฟอร์มดิจิทัล

(5 มิ.ย. 68) แพลตฟอร์มสำหรับการจัดการและเผยแพร่บทความของ WeChat Official Accounts ลงข่าวยกย่องนักเรียนไทย นายอภิรักษ์ รัตนาการุณพงศ์ หรือชื่อจีน เฉิน เจี้ยนหวา นักศึกษาชาวไทยจากคณะวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น (中山大学) รุ่นปี 2021 ค่อย ๆ ก้าวผ่านอุปสรรคทางภาษาและระบบการศึกษาที่แตกต่างในช่วงแรกของการเรียน ด้วยความมุ่งมั่นในการเรียน เขาสามารถยกระดับเกรดเฉลี่ยสะสม (GPA) เกิน 3.0 พร้อมจบหลักสูตรได้อย่างยอดเยี่ยม

นอกเหนือจากการเรียน เฉิน เจี้ยนหวา ยังเข้าร่วมโครงการพัฒนาเทคโนโลยีภายในคณะ เช่น ทีม 'SSE-Market' ที่สร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลข้ามวิทยาเขต รวมถึงการเข้าร่วมชมรมต่างๆ เช่น สมาคมนักศึกษาไทย-จีน (TCSA) และสมาคมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเป็นผู้เล่นหลักของทีมฟุตบอลคณะ และในบางโอกาสเขายังทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในกิจกรรมแข่งขัน

ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปี 2023 เขาเข้าร่วมกิจกรรมซานเซี่ยเสียง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาชนบทในมณฑลกวางตุ้ง โดยนำความรู้ด้านดิจิทัลมาช่วยโปรโมตสินค้าท้องถิ่นผ่านการสร้าง 'ดิจิทัลอวตาร' สำหรับถ่ายทอดสดและพัฒนาแผนการตลาดออนไลน์ให้ศูนย์อีคอมเมิร์ซของเมืองเหลียนโจว

เฉิน เจี้ยนหวา ยังมีบทบาทในกิจกรรมส่งเสริมการศึกษา โดยเป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในการแนะนำการเรียนที่จีนแก่เยาวชนไทยผ่านงาน HSK และ China Fair ซึ่งเขาให้ข้อมูลด้านการเรียนต่อ ทุนการศึกษา และการปรับตัวในชีวิตมหาวิทยาลัย พร้อมตอบข้อสงสัยของผู้ปกครองและนักเรียนอย่างใกล้ชิด

หลังเรียนจบ เขากล่าวถึงประสบการณ์ 4 ปีที่มหาวิทยาลัยว่า “เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความอดทน และการเติบโตในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจวัฒนธรรมจีนผ่านการเรียนรู้และการลงพื้นที่จริง การแลกเปลี่ยนในสนามฟุตบอล หรือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนักศึกษานานาชาติและสังคมจีน”

‘ฮุน มาเนต’ ยันจะไม่คุย 2 ฝ่ายกับไทย ขอไปพึ่งศาลโลก ชี้ กลไก JBC ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

‘ฮุน มาเนต’ ออกแถลงการณ์ ย้ำจุดยืน เตรียมส่ง 4 พื้นที่ ช่องบก -ปราสาทตาเมือนธม -ปราสาทตาเมือนโต๊ด -ปราสาทตาควาย เข้าสู่ศาลโลก พร้อมปฏิเสธการเข้าร่วมประชุม JBC กับไทย 14 มิ.ย.นี้ ชี้ ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พนมเปญ – สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลาย เมื่อล่าสุด พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลของเขาจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ พร้อมประกาศขอใช้ช่องทางทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยการยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) แทนการเจรจาทวิภาคีกับไทย

ฮุน มาเนต ระบุว่าท่าทีนี้สอดคล้องกับแนวทางของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีคนก่อน และยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยระบุชัดว่า กัมพูชาจะไม่ประนีประนอมในพื้นที่พิพาทสำคัญ ๆ อาทิ ช่องบกในเขตชายแดนอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ไปจนถึงกลุ่มปราสาทโบราณสำคัญ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งทอดยาวตามแนวชายแดนกว่า 200 กิโลเมตร

ในทางกลับกัน ฝั่งรัฐบาลไทยโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าไทยยังยึดหลักเจรจาอย่างสันติ และจะไม่ขยายกรอบการหารือไปยังพื้นที่อื่นโดยไม่จำเป็น

"เราไม่ได้เสียอธิปไตยไป และเรายังเชื่อในพลังของการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย…ไทยจะไม่ไล่ตามไปทุกประเด็นที่กัมพูชาขยายออกมา เราขอพูดเฉพาะจุดที่เกิดเหตุจริงๆ เท่านั้น"นายภูมิธรรมกล่าว

สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้นถือเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโบราณสถาน เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเคยเป็นกรณีฟ้องร้องต่อศาลโลกในอดีต และยังคงทิ้งบาดแผลทางประวัติศาสตร์และอธิปไตยไว้ทั้งสองฝ่าย

การที่กัมพูชาตัดสินใจไม่เข้าร่วม JBC ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณของความตึงเครียดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจบริเวณชายแดนในอนาคต

กองทัพอากาศ เล็งซื้อฝูงบิน Gripen รุ่นใหม่ ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท

กองทัพอากาศ เปิดแผนจัดซื้อ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 ทดแทน F-16 ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท ย้ำโปร่งใส คุ้มค่า รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด

พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เปิดเผยว่า กองทัพอากาศ มีแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 เพื่อทดแทนฝูงบิน F-16 ที่ประจำการมายาวนานกว่า 37 ปี โดย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับสมรรถนะด้านการป้องกันประเทศ ด้วยคุณลักษณะที่เหนือกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความเหมาะสมในการบูรณาการระบบ (Commonality & Continuity) และความสามารถในการตอบสนองภัยคุกคามยุคใหม่

สำหรับเครื่องบินขับไล่แบบ Gripen E/F ที่ถูกคัดเลือกเป็นแบบที่ตรงตามเกณฑ์ความต้องการของกองทัพอากาศมากที่สุด พร้อมติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล “METEOR” และการปรับปรุงระบบเรดาร์แจ้งเตือนล่วงหน้า SAAB AEW&C โดยจัดอยู่ในแนวทางสำคัญของโครงการภายใต้ชื่อ MIDSR ประกอบด้วย Main Package: เครื่องบิน Gripen E/F จำนวน 12 ลำ โดยล็อตแรกจะมีจำนวน 4 ลำ มูลค่า 19,500 ล้านบาท พร้อมอาวุธและระบบสนับสนุน // Indirect Offset: โครงการชดเชยทางอ้อม 7 รายการ //Direct Offset: โครงการชดเชยทางตรง 7 รายการ // Synchronization: ความสอดคล้องประสานกันของโครงการในทั้ง 3 ระยะ // Risk: การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ โครงการยังสอดคล้องกับนโยบาย Defence Offset ของรัฐบาล ที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันว่าการจัดซื้อ Gripen E/F จะดำเนินการด้วยความโปร่งใส รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางอากาศ ปกป้องอธิปไตย และรักษาความสงบสุขของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นายกฯ ชม ‘หาน จื้อเฉียง’ ทูตจีนก่อนอำลาตำแหน่ง ย้ำมิตรภาพแนบแน่นในทุกระดับและทุกมิติ

สายสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น! นายกฯ ชมบทบาทเอกอัครราชทูตจีนฯ ก่อนอำลาในโอกาสครบวาระ ย้ำมิตรภาพแนบแน่น "ร่วมทุกข์ ร่วมสุข"  พร้อมผลักดันความร่วมมือไทย-จีนทุกมิติ เสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี-พหุภาคี สานความร่วมมือท่องเที่ยว-สินค้าเกษตร

(4 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหาน จื้อเฉียง  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมเอกอัครราชทูตจีนฯ ที่มีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกระดับและทุกมิติ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตจีนฯ คนใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นยิ่งขึ้นต่อไป

เอกอัครราชทูตจีนฯ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี 10 เดือน ของการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ได้เห็นความก้าวหน้าและความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย–จีนจะดำเนินไปด้วยดีแม้ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว จีนยังพร้อมส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การแสดงทางวัฒนธรรม บัลเลต์จีน กายกรรมจีน คอนเสิร์ต โดยเอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวถึงงาน “สวัสดี หนีฮ่าว” ซึ่งมีผลตอบรับอย่างดี มีบริษัทจีนเข้าร่วมกว่า 350 แห่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมยืนยันว่าจะเร่งสื่อสารเชิงบวกให้มากขึ้น ทั้งด้านความปลอดภัย การลงทุน และภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ฝ่ายจีนช่วยอำนวยความสะดวกการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนได้อย่างประสิทธิภาพ สามารถส่งไปยังจีนได้ภายในระยะเวลา 2 วัน จากเดิม 7-8 วัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจีนและหน่วยงานไทย ขณะที่ฝ่ายจีนได้ขึ้นบัญชีอนุญาตบริษัทไทยที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพให้ส่งออกทุเรียนโดยไม่ต้องตรวจซ้ำแล้วกว่า 240 แห่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันได้อีกมาก

ด้านความร่วมมือในกรอบแม่โขง–ล้านช้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยยินดีต้อนรับการเยือนของนายกรัฐมนตรีจีนในช่วงปลายปีนี้ เพื่อร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ครั้งที่ 5 โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคในทุกมิติ ขณะที่เอกอัครราชทูตจีนฯ เห็นพ้องและอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมกล่าวย้ำว่า “แม้สถานการณ์โลกจะผันผวน แต่ความสัมพันธ์ไทย–จีนจะแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราต้องทำงานด้วยกันเพื่อที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ และสร้างพลังใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือต่อไป”

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีนฯ สำหรับความจริงใจและมิตรภาพที่มั่นคง พร้อมย้ำว่า มิตรภาพระหว่างบุคคลและระหว่างประเทศไม่ขึ้นกับตำแหน่งหน้าที่ แต่เกิดจากความเข้าใจและการประสานงานที่จริงใจ และขออวยพรให้เอกอัครราชทูตจีนฯ และภริยา ประสบความสำเร็จและมีความสุขในทุกภารกิจต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top