Saturday, 10 May 2025
NEWS FEED

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ฝ่าทุกนาทีวิกฤต รับช่วงต่อ นำ 2 หัวใจ จากอุดรธานี และสงขลา ที่เหินฟ้าฝ่าสายฝน ส่งต่อลมหายใจเข้ากรุงเทพมหานคร 

วันนี้ (19 เม.ย.68) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชมเชย พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.50 น.ได้นำทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนนำส่งหัวใจดวงที่ 123 และ 124 จากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ภายในระยะเวลาติดกันอย่างเฉียดฉิว ซึ่งถือเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความกดดัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทางที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำ ในการส่งต่อชีวิตให้กับผู้รอคอยหัวใจ 2 ดวงนี้ได้มีชีวิตใหม่กับหัวใจที่แข็งแรง 

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรเพื่อส่งต่ออวัยวะช่วยชีวิต ยังคงเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริยึดถือและดำเนินการมาโดยตลอด และต้องชมเชยตำรวจจราจร สภ.เมืองอุดรธานี , ตำรวจจราจร สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา , นักบิน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ช่วยในภารกิจนี้ และอำนวยความสะดวกจราจรลำเลียงหัวใจจากโรงพยาบาลต้นทางนำส่งถึงสนามบินด้วยความรวดเร็วด้วยเช่นกัน

สำหรับหัวใจดวงที่ 123 ได้รับแจ้งจากสภากาชาดไทยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสนับสนุนการนำส่งหัวใจจากจังหวัดอุดรธานี โดยใช้ "นางฟ้าส่งหัวใจ" คุณอรวิภา นกนทีสวัสดิ์ นางสาวไทย2552 รับหน้าที่นักบินอาสานำหัวใจดวงนี้ส่งมาทางเครื่องบินส่วนตัวลงจอดที่ฝูงบิน 604 กองบิน 6 ดอนเมือง ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้การเดินทางล่าช้า ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงถึงที่หมาย และเมื่อคำนวณเวลาเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีระยะทางไกลและการจราจรหนาแน่น ทีมแพทย์ระบุว่ามีเวลานำส่งเพียง 30 นาทีเท่านั้น ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริจึงเร่งเตรียมกำลังพร้อมอำนวยการจราจรทันทีที่หัวใจเดินทางถึง

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งภารกิจด่วนอีกภารกิจหนึ่ง คือการนำส่งหัวใจดวงที่ 124 ซึ่งจะเดินทางจากโรงพยาบาลหาดใหญ่มายังกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 473 ไมล์ โดยใช้เครื่องบินส่วนตัวเช่นกัน ใช้เวลาทำการบิน 2 ชั่วโมง จะลงจอดที่อาคารผู้โดยสาร MJets สนามบินดอนเมือง โดยมีกำหนดการห่างจากหัวใจดวงแรกเพียง 15 นาที และจะต้องนำส่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ด้วยสถานการณ์ที่หัวใจทั้งสองดวงมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันและต้องส่งไปยังคนละโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริจึงวางแผนแบ่งกำลังออกเป็นสองขบวน นำโดยหน่วยจักรยานยนต์เคลื่อนที่เร็ว พร้อมวางแผนเส้นทางล่วงหน้า และรับการสนับสนุนจากตำรวจจราจรในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถนำส่งหัวใจดวงที่ 123 ถึงโรงพยาบาลศิริราชภายในเวลา 23 นาที (เหลือเวลาให้ทีมแพทย์วิ่งสุดชีวิตนำหัวใจลงจากรถวิ่งตรงไปยังห้องผ่าตัดเพียง 7 นาที เท่านั้น) และหัวใจดวงที่ 124 ถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ภายในเวลาเพียง 11 นาที ทั้งสองภารกิจสำเร็จลุล่วงทันเวลาให้แพทย์สามารถดำเนินการปลูกถ่ายได้ทันที

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจนักสู้ของเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่พร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดเส้นทางให้ลมหายใจของผู้อื่นได้เดินทางต่อ พร้อมกันนี้ขอขอบคุณผู้บริจาคอวัยวะทุกท่าน ที่เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์แม้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน และขอชื่นชมความทุ่มเทของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่สามารถวางแผนและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความกดดันสูง  หัวใจทั้ง 123 และ 124 ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แห่งชีวิตใหม่ แต่คือภาพแทนของความเสียสละ ความร่วมมือ และหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของทุกคนที่มีส่วนในภารกิจครั้งนี้

เริ่มแล้ว!! สนุกสุดเหวี่ยง ไม่เสี่ยงภัย “ตำรวจภูธรภาค 2” เปิด 14 เซอร์วิสเลน แผนฉุกเฉิน “วันไหลพัทยา”

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ (19 เม.ย. 68) ที่ โรงเรียนเมืองพัทยา 8 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2  พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรีพล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผบก.ทท.1 ร่วมปล่อยแถวตำรวจ และอาสาสมัคร ร่วมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยวในงานวันไหลพัทยา เทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2568 โดยมี พ.ต.อ.อำนาจ โฉมฉาย รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี  พ.ต.อ.วสุรัชย์ ชัยธีราพัฒน์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.ชาตรี สุขศิริ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.พัฒนา รอบรู้ ผกก.สภ.นาจอมเทียน พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เชื้อพลากิจ ผกก.2 บก.ทท.1 ร่วมด้วย

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวทยอยเข้าพื้นที่จำนวนมาก และคาดว่าในช่วงค่ำไปจนถึงดึกจะเป็นช่วงพีกที่นักท่องเที่ยวเต็มพื้นที่หลายหมื่นคน ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์และชมคอนเสิร์ตของศิลปินจำนวนมาก โดยวันนี้ได้กำชับถึงการปฏิบัติหน้าที่เน้นการดูแลความปลอดภัย ให้บริการ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ขณะเดียวกันต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเทศกาลแห่งความสุข สร้างความประทับใจ และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

“งานวันไหลพัทยาเป็นเทศกาลสำคัญ นักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 2 โดยตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี มีความพร้อมทั้ง คน ระบบ และเทคโนโลยี ในการดูแลความปลอดภัย โดยต้องขอบคุณเมืองพัทยาในการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ประสาน ร่วมกันทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือสร้างความมั่นใจ สร้างความประทับใจ” ผบช.ภ.2 กล่าว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวด้วยว่า งานเทศกาลที่มีคนรวมตัวจำนวนมาก เราเตรียมแผนฉุกเฉิน พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และที่สำคัญในงานวันไหลพัทยาปีนี้ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีได้ปิดการจราจรกว่า 2 กิโลเมตร มีเซอร์วิสเลน หรือช่องทางพิเศษฉุกเฉินสำหรับการขนส่ง  14 ช่องทาง กั้นเป็นพื้นที่ว่างไว้ 1 ช่องจราจร ในถนนพัทยากลาง ถนนเลียบชายหาดซอย 7 – 13/4 ถนน พัทยาใต้ และปิดการจราจรขาลงหาด ปรับเป็นช่องทางฉุกเฉิน เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการลำเลียงคนทางการแพทย์ หรือการเคลื่อนเข้าพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ กรณีมีเหตุฉุกเฉิน  เช่น มีผู้ป่วย หรือผู้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวงานวันไหลพัทยา ให้เว้นพื้นที่ไว้ตามคำแนะนำ และการประชาสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถติดตามการจราจรโดยรอบพื้นที่พัทยา ตรวจสอบสถานการณ์ เส้นทางจราจรทางเลี่ยงทางหนาแน่น ทางเพจเฟซบุ๊ก ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี  และตรวจสอบกล้องวงจรปิดของเมืองพัทยา แบบเรียลไทม์ ที่ https://ioc.pattaya.go.th/live-cctv หรือ https://liff.line.me/1655268398-0VWZRdqz/live-cctv หากมีเหตุด่วนขอความช่วยเหลือให้แจ้งตำรวจที่อยู่ใกล้ท่าน หรือโทร. 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ทร. ส่ง ”น้องเต่าสีชัง“ (เต่าตนุ) คืนสู่ท้องทะเลไทย

วันที่ (20 เม.ย.68) เวลา พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมภริยา ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ และ นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในโอกาสเดินทางมาปล่อย “น้องเต่าสีชัง” คืนสู่ธรรมชาติ

โดยมี คณะจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยขึ้นตรง หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) พบ “เต่าตนุ” (น้องเต่าสีชัง) ที่บริเวณเกาะสีชัง เป็นเต่าตนุ เพศเมีย อายุประมาณ 35 - 40 ปี น้ำหนัก 101.3 กิโลกรัม ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหัว และกระดองด้านหน้ามีรอยถูกกระแทก บริเวณกระดองส่วนท้าย ถูกใบจักรเรือฟัน มีรอยแตกเป็นแผลฉกรรจ์

โดยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่จาก ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ไปรับเต่าทะเล ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อนำมารักษา ณ โรงพยาบาลเต่าทะเล ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ

ปัจจุบัน ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ และติดไมโครชิพ หมายเลข 933071000284031 เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปล่อยน้องเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติต่อไป โดยการรักษา “น้องเต่าสีชัง” (เต่าตนุ) ในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการร่วมมือกันระหว่าง กองทัพเรือ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการรักษา “เต่าตนุ” ให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทย ตลอดไป

ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นหน่วยรับผิดชอบ ในการอนุบาลเต่าทะเล ให้แข็งแรงก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทย 

ซึ่งทางศูนย์ มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยสำหรับอำนวยความสะดวกให้กับสัตวแพทย์ และนับเป็นโรงพยาบาลเต่าทะเลแห่งแรกในเอเชีย โดยกองทัพเรือ ได้กำหนดชื่อโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า โรงพยาบาลเต่าทะเล ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

คนไข้อึ้ง!! ไปทำฟัน รพ.สต. เจอไฟส่องเตียงแบบดีไอวาย เผย!! ของบ 3 ปีแล้ว ยังไม่ได้ ต้องดัดแปลงเอง!! โซเชียล คอมเมนต์กันสนั่น!! สตง.มีงบจะสร้างตึกใหม่ แต่รพ.ไม่มี

(20 เม.ย. 68) วิจารณ์กันหนักในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพลงในกรุ๊ป สวนผึ้ง City โดยเล่าเรื่องว่า ไปทำฟันที่ รพ.สต.ตะนาวศรี กลับเจอไฟส่องทำฟันนั้นเป็นไฟส่องกบแทน

โดยระบุข้อความว่า …

“ไปทำฟัน รพ.สต.ตะนาวศรี ทำดีมากจนเสร็จ เพิ่งเห็นว่าไฟส่องเตียงสภาพนี้ ถามหมอ ของบมา 3 ปีแล้วยังไม่ถึง ต้องดัดแปลงเองเพื่อคนไข้ หน่วยงานไหนช่วยด้วยเถอะค่ะ”

ซึ่งมีคนเข้าไปแชร์ และคอมเมนต์จำนวนมาก อาทิ

“สตง. มีงบจะสร้างตึกใหม่ แต่โรงพยาบาลไม่มี เห้ออออ ประเทศไทย”

“งบ กระทรวงสาสุข จะลงไปที่ cup คือ รพช. อยู่ที่ รพช.จะให้มาแค่ไหน เมื่อไหร่ นี่คือปัญหาที่ รพ.สต.ประสบอยู่ ถ้าโอนตรง รพ.สต. จะดีที่สุด แต่คงยากมาก”

“ไฟนี้นอกจากใช้งานใน รพ.สต. ยังเอาไปหาอึ่งได้ด้วยนะนี่”

“โคมไฟ …เค้าบอก ของไม่เร่งด่วน รอคิวลำดับที่ที่สี่ร้อย”

“ถ้าคุณหมอเปิดรับบริจาค ผมก็ขอเป็น 1 ในล้านๆคน ขอมีส่วนร่วมบริจาคทรัพย์ช่วยด้วยครับ”

‘คณะสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา – ผู้บริหารท้องถิ่น’ ร่วมรดน้ำขอพร ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ เผย!! เป็นผู้ใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนา จ.สงขลา ดูแลประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 68) คณะสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ผู้บริหารท้องถิ่น นักการเมือง และผู้นำชุมชนจากหลายอำเภอ ร่วมแสดงมุทิตาจิต และรดน้ำขอพรนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายก อบจ.สงขลา และอดีต สส. 8 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ณ ร้านแสงทองโภชนา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง มีการร่วมรับประทานอาหาร พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน และมีการรดน้ำดำหัว เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน ตนขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาวัฒนธรรม ความรัก ความสามัคคี และจิตสำนึกต่อส่วนรวม และขอฝากกำลังใจถึงผู้นำรุ่นใหม่ให้ร่วมกันขับเคลื่อนบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ และเสียสละเพื่อพัฒนาสงขลาต่อไป

‘โหรวารินทร์’ เผย!! หลังพฤษภาคมนี้ การเมืองไทย เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขณะที่ภัยพิบัติต่างๆ จะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแค่เล็กน้อย

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 68) ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา หรือรู้จักในนาม “โหร คมช.” แห่งสำนักหลวงปู่เกวาลัน จังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนถึงการบูชาทวยเทพเทวา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  

และบูชาเสื้อบ้านที่ปกปักรักษาเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย ในงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี ว่า การประกอบพิธีในครั้งนี้ได้รับมอบหมายจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เมืองพ้นภัยพิบัติจากธรรมชาติและภัยเศรษฐกิจที่กระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย พร้อมขอให้คนไทยน้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ 

ทั้งนี้ อาจารย์วารินทร์ฝากถึงผู้มีอำนาจว่า อย่าใช้ประชานิยมมากเกินไป เพราะประเทศที่ล่มสลาย เช่น เวเนซุเอลา ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เนื่องจากใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไป ทุนทรัพย์ของเรามีเพียงพอแล้ว อย่านำไปขาย แจกจ่าย หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของประชาชนทั้งประเทศ เราควรร่วมกันดูแลรักษา เพิ่มพูน เพื่อประคองประเทศให้เดินหน้าสู่ความเจริญต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ความวุ่นวายทางการเมืองจะรุนแรงหรือไม่ อาจารย์วารินทร์ตอบว่า “จะไม่รุนแรง แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน หลังเดือนพฤษภาคมนี้จะเริ่มเห็นเค้าโครงต่าง ๆ ชัดเจน ผู้ที่มีหน้าที่ แต่ใครจะมาทำหน้าที่ที่แท้จริง เราก็รู้อยู่แก่ใจ ในนิตินัยอาจยอมรับได้ แต่ในพฤตินัยเป็นใคร เรารู้ดี” พร้อมระบุว่า ต่อไปจะมีผู้ที่เหมาะสมมาดูแลประเทศ และอาจมีบางคนที่เคยมีหน้าที่ “รีเทิร์น” กลับมาอีกครั้งก็ได้

สำหรับปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติ อาจารย์วารินทร์กล่าวว่า จากนี้ไปจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เพราะส่วนที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว 

3 สิ่งนี้ถ้าคนไทยมี ‘เมืองไทย’ จะเจริญเท่า สิงคโปร์ หรือ ญี่ปุ่น ระบบการศึกษาที่แข็งแรง จิตสำนึกไม่ทุจริต รู้หน้าที่ของตัวเอง

(20 เม.ย. 68) ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศด้อยศักยภาพ แต่เรายัง "ปลดล็อกตัวเอง" ไม่ได้เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศคือ ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์

ลองจินตนาการดูว่า...
หาก “ประเทศที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้งที่สุดในอาเซียน”
“ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติแบบไม่มีใครเทียบ”
“ประเทศที่ตั้งอยู่บนจุดตัดเศรษฐกิจโลก เรา เพื่อนบ้าน ประเทศทั้งอาเซียน จีน และอินเดียที่มีประชากรเกิน 2,000 ล้านคน”
จะดีแค่ไหนหากเราได้ปลุกศักยภาพของคนในชาติขึ้นมาพร้อมกัน

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ประเทศน่าเที่ยว”
แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางของโลก” และสิ่งที่เราต้องการมีเรื่องสำคัญ 3 ข้อดังนี้

1.คนไทยต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแรง ทันโลก มีนิสัยไฝ่เรียนรู้ ขยันสร้างศักยภาพทั้งความคิดและคุณธรรม

สิงคโปร์มีระบบการศึกษาแข็งแรง ญี่ปุ่นมีวินัยและสำนึกส่วนรวม แต่ถ้าไทย “รวมทั้งสองสิ่งไว้ในคนคนเดียวได้” เราจะไปได้ไกลกว่านั้น

เราต้องการเด็กที่คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ก้าวทันเทคโนโลยี และไม่กลัวตั้งคำถาม พร้อมกันกับเป็นคนที่มีเมตตา ไม่เบียดเบียน และมีจิตสาธารณะ"

สิ่งนี้จะกลายเป็นรากฐานของผู้นำรุ่นใหม่ แรงงานรุ่นใหม่ และสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ แต่มีพลัง

2. คนไทยต้องมีจิตสำนึกในการรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชันเป็นค่านิยมร่วม

สิงคโปร์เลิกคอร์รัปชันได้ในไม่กี่ทศวรรษ
ญี่ปุ่นมีระบบตรวจสอบที่แม้แต่นายกฯ ก็ต้องรับผิด
แต่ไทยยังอยู่ในวงจร “รู้นะว่าโกง แต่ก็จำยอม”

ถ้าเราเปลี่ยน “ความอดทน” เป็น “ความรังเกียจ”
และเปลี่ยน “ความเคยชิน” เป็น “ความกล้าทำให้มันจบ”

เราจะมีสังคมที่ไม่ต้องออกมาประท้วงทุกปี
ไม่ต้องตื่นมาเจอกับข่าวฮั้วงบ และไม่ต้องสอนลูกว่า “ถ้าอยากโตเร็ว อย่าเล่นตามกติกา”

3.ทุกคนต้องรู้และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ 100% และที่สำคัญต้องไม่เล่นการเมืองในที่ทำงาน

สิงคโปร์มีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม “ทุ่มเท” กับงานอย่างสุดกำลัง
แต่ในไทย... ยังมีการเมืองในที่ทำงาน การใช้อำนาจมากกว่าหลักการ

ถ้าพนักงานไทยทุกคนทำงานเต็มศักยภาพ
ข้าราชการไทยทำเพื่อประเทศมากกว่าตำแหน่ง
และเจ้านายเลิกเลื่อนตำแหน่งคนจากความใกล้ชิดส่วนตัว

เราจะไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร เพราะเราจะ “ลุกขึ้นยืนในจุดที่โลกต้องหันกลับมามอง”

แล้วถ้าเรามีครบทั้ง 3 ข้อนี้จริงล่ะ?
คนเก่งแต่มีธรรมะ = ประเทศเจริญโดยไม่ทิ้งใคร
คนไม่โกง = งบประมาณไปถึงที่ควรถึง
คนทำงานเต็มที่ = งานทุกงานเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม”
แต่คือ ประเทศที่ทั้งเก่ง ทั้งกล้า ทั้งดี - และเป็นจุดศูนย์กลางของโลกในยุคใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกถามว่า

“เราจะตามใครทัน?” แล้วหันมาถามว่า
“ถ้าประเทศไทยมีสิ่งนี้... โลกจะตามเราทันไหม?”

‘ฝรั่ง’ ทักคนเอเชียว่า ‘หนีห่าว’ อาจไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียน แค่ดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติไหน แต่ไม่ได้เจตนาจะด้อยค่า

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Aroonsri Chaiyachatti Harrison’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ฝรั่งทักคนเอเชียด้วยประโยคภาษาจีนอย่าง “หนีห่าว” กันอีกแล้ว เลยอยากมาเล่าแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึงค่ะ

ตอนเด็ก ๆ เคยตามคุณพ่อไปอยู่ยุโรป ที่ประเทศหนึ่งในอดีตยูโกสลาเวีย สมัยนั้นชาวยุโรปแถบนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเอเชียตัวจริง ๆ เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในหนังหรือทีวี พอได้เจอกับของจริง ก็แยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าใครเป็นคนจีน คนไทย คนญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์

จริง ๆ แม้แต่เราบางครั้ง ยังแยกไม่ออกเลยว่าฝรั่งที่เจอเป็นคนอังกฤษ อเมริกัน หรือยุโรปชาติไหน ต้องฟังสำเนียงก่อนถึงจะพอเดาได้

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงย้ายมานิวยอร์ก ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ ลูกค้าฝรั่งเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ถามว่าเราเป็นคนชาติไหน มีบางคน โดยเฉพาะฝรั่งรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้คำว่า Oriental ซึ่งสมัยนี้ถือว่าคำนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะมันเป็นการเหมารวมคนเอเชียแบบไม่มีความเข้าใจ คล้าย ๆ กับเวลาพูดถึง Oriental rug — มันเป็นภาษาที่สะท้อนยุคสมัยที่ยังไม่เปิดกว้างทางวัฒนธรรมเท่าไหร่

สมัยนััน80s-90s คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ :
What kind of asain are you?
What are you made of? (อันนี้ชอบบบมากตลกดีส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนสูงอายุหน่อย เรามักจะตอบกวนๆว่า “Mom and dad of course” 
So you are an Oriental from Thailand?

สรุป :
• “Oriental” ใช้กับวัตถุได้ เช่น “Oriental rug” แต่ไม่ควรใช้กับ “คน” อีกแล้ว
• เวลาฝรั่งพูดแบบนี้ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าไม่สุภาพ หรือ outdated มาก ๆ
นอกจากนี้ก็มีบางคนที่แค่ไม่รู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า ignorance ไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่ไม่รู้ว่าคนเอเชียมีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ไม่ได้เหมารวมได้ง่าย ๆ

บางครั้งก็มีเจอแบบไม่โอเค เช่น แซวทำตาเฉียงเลียนแบบคนจีน ทั้งที่เราไม่ใช่คนจีนก็ตาม ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของเอเชียดีนัก

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฝรั่งที่ทักเราเป็นภาษาจีน ก็อาจจะเป็นแค่การพยายามจะเชื่อมต่อ อยากทักทายด้วยคำไม่กี่คำที่เขาพอรู้ อาจเพราะเพิ่งเคยมาเที่ยวเอเชียครั้งแรก แล้วตื่นเต้น อยากสื่อสารกับคนท้องถิ่น แม้จะผิดภาษา แต่เจตนาก็ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร

สุดท้ายแล้ว เราว่ามันอยู่ที่ “เจตนา” ค่ะ
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหยียด ดูถูก หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า ก็คงไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป

เพราะบางที แม้แต่คนไทยเองก็มีหน้าตาหลากหลาย บางคนดูเหมือนจีน บางคนดูเหมือนแขก หรืออื่น ๆ ซึ่งแม้แต่เราเองยังแยกไม่ออกในบางครั้ง แล้วจะคาดหวังให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นชินกับความหลากหลายของเอเชียแยกออกเป๊ะ ๆ คงเป็นเรื่องยาก

แต่แน่นอนว่า ถ้ามันเลยเถิดไปจนถึงการล้อเลียนหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกด้อยค่า นั่นก็ถือเป็นปัญหาจริง ๆ และเข้าใกล้เรื่อง cultural appropriation มากขึ้น — คือการเอาวัฒนธรรมของคนอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้มันดูตลกไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ควรถูกพูดถึงและทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ

บางครั้งในชีวิตเราก็เลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะต้องเจอกับคนที่มีทัศนคติไม่ดี เหยียดเชื้อชาติ หรือพูดจาไม่เหมาะสมกับเราโดยตรง ไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ถ้าคุณรู้สึกว่าคำพูดหรือท่าทีของเขาเป็นการเหยียดเราจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้… คือ “ยิ้ม” ค่ะ

ใช่ค่ะ - แค่ยิ้ม

เพราะบางทีความสุภาพ และความสงบนิ่งของเราเองนั่นแหละ ที่จะทำให้คนที่เหยียดเรารู้สึกละอายใจในพฤติกรรมของตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลดตัวลงไปตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง

การยิ้ม ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับการกระทำของเขา
แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรา “เหนือกว่า” การเหยียดนั้นมากแค่ไหน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและอคติ
การรักษาความสงบภายในใจ และตอบกลับด้วยความสุภาพ
คือการต่อสู้ที่สง่างามที่สุด

อย่าลืมสิว่าประเทศเราคือสยามเมืองยิ้ม 
ด่ากลับเป็นภาษาไทยด้วยรอยยิ้มค่ะ   ทำบ่อยมากเวิร์คทุกครั้ง ด่าสามีด้วยรอยยิ้มนางยังไม่โกรธ 

ดินยุบกว่า 5 เมตร เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ กินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ที่กระบี่ คาด!! อาจเกี่ยวข้องกับเหตุแผ่นดินไหว รอเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

(20 เม.ย. 68) นายธนพล รำเภย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต.พรุเตียว อ.เขาพนม จ.กระบี่ พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่นเข้าตรวจสอบบริเวณหลังฟาร์มไก่เทพพิทักษ์ เลขที่ 280 หมู่ที่ 10 โดยพบว่าบริเวณสวนปาล์มน้ำมันที่ห่างจากฟาร์มไก่และบ้านไปประมาณ 50 เมตร เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่กว้างประมาณ 20x20 เมตร ความลึกชาวบ้านหยั่งด้วยไม้ไผ่ยาวกว่า 5 เมตร ไม่สามารถหยั่งถึง และยังพบว่าบริเวณโดยรอบมีการยุบตัวเกิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่เล็กเป็นทางยาวกินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ทางนายธนพล ได้ให้ชาวบ้านนำเชือกมากั้นเป็นเขตอันตรายห้ามไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้ นอกจากนั้นเมื่อไปสำรวจบริเวณคอกไก่พบว่ามีพื้นปูนคอกไก่แตก 2 จุด มีการยุบตัวของคานประมาณ 1 ซม.
จากการสอบถามนายสุวิทย์ หนูชู อายุ 52 ปี เจ้าของที่ดินและฟาร์มไก่ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวนั้นมีชาวบ้านมาพบว่ามีดินยุบแต่ไม่กว้างมากนักเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้หลุมได้ขยายตัวทรุดทำให้ต้นปาล์มน้ำมัน 2 ต้น อายุประมาณ 3 ปี จมหายไปในน้ำไม่โผล่ให้เห็นแม้แต่ยอด
ขณะที่นายธนพล กล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้รับทราบ เพื่อที่จะได้มีการเข้ามาตรวจสอบต่อไป เบื้องต้นได้กั้นแนวเขตป้องกันอันตราย เพราะมีรอยแยกและดินยังทรุดตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนสาเหตุนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบให้แน่ชัด ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 14 เมษายนที่ผ่านมาหรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้

‘แพทองธาร’ เตรียมบินไปเยือน!! ‘กัมพูชา’ 23 – 24 เม.ย.นี้ เน้น!! ประสานความร่วมมือ แก้ปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ

(20 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันพุธ 23 – พฤหัสฯ 24 เมษายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการสำคัญในการเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมหารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นประธานในพิธีเปิดตราสัญลักษณ์ ครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง การแก้ปัญหาข้ามแดน เศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค” นายจิรายุกล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top