Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

‘โรม’ ฟาด ‘เพื่อไทย’ ชิ่งถึง ‘ทักษิณ’ เล่นตามเกม พปชร. หวังแค่สิ่งล่อใจ

วันที่ 16 มิ.ย. 64 นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม’ ในหัวข้อ ‘แลนด์สไลด์… ไปทางไหน? เพื่อใคร? เพื่อไทย? เพื่อประชารัฐ?

ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) ก็คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือเพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก

พูดง่ายๆ คือหวัง ‘แลนด์สไลด์’ แบบที่ตัวเองเคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า

ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน

แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า ‘แลนด์สไลด์’ ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่?

อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วเช่นกันว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งของฝ่าย คสช. ที่เข้ามาชิงพื้นที่ในเวทีสภา คสช. ยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่จะใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจตั้งแต่ในต้นทางคือควบคุมการเลือกตั้งไปจนถึงการรักษาสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กกต. ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นๆ ตลอดจนระบบราชการ ในวันนี้พรรคพลังประชารัฐเลือกที่จะแก้ระบบการเลือกตั้งเพื่อหวังขยายจำนวน ส.ส. ของตัวเองในอนาคตให้เกินกรอบจำนวน ส.ส. พึงมี ซึ่งมีปัญหาทั้งในเชิงหลักการอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น และทั้งยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายของพรรคพลังประชารัฐที่หวังใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเท่านั้น การที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมเห็นชอบกับระบบการเลือกตั้งดังกล่าวด้วยนั้น

หากผลปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวได้ดีที่สุดและชนะเลือกตั้งไป จะยิ่งเป็นการเพิ่มความชอบธรรมแก่พรรคพลังประชารัฐเพราะถือว่าผ่านการเลือกตั้งในระบบที่พรรคใหญ่ของฝ่ายค้านเองก็ยังรับรอง (แม้จะมีปัญหาเชิงหลักการก็ตาม) และเมื่อประกอบกับกลไกอวัยวะอื่นๆ ของ ฝ่าย คสช. ที่ยังคงอยู่เพื่อคอยรักษาสถานะทางอำนาจไว้แล้ว การจะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะยากยิ่งขึ้นไปอีก หากผลออกมาเป็นเช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร?

นอกจากนี้ยังต้องถามพรรคเพื่อไทยอีกว่า ‘แลนด์สไลด์’ นี้ เป็นไปเพื่อใคร?

เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าที่พูดเรื่องการต้องให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ที่อ้างว่าต้องไม่เป็นเบี้ยหัวแตก ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่มุ่งหวังให้คะแนนเทมายังพรรคเพื่อไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าหลายๆ พรรคในการหาเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต แล้วปล่อยให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรนในเวที ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่มีเพียง 100 คน หรือเพียง 20% ของทั้งสภากันไป เรียกได้ว่าพรรคเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องจมอยู่ใต้แลนด์สไลด์ที่เกิดขึ้น

แต่แล้วการที่เป็นเช่นนี้มันเป็นประโยชน์กับประชาชนจริงหรือ? สิ่งที่ควรมุ่งสร้างให้เกิดขึ้นมากกว่า คือระบบที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดมีที่ยืนอยู่ร่วมกันได้ เข้มแข็งไปด้วยกันได้มิใช่หรือ? การที่ในสภามีทั้งพรรคที่มุ่งเน้นการเข้าถึงปัญหาของชาวบ้าน พรรคมุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้าง พรรคที่มุ่งเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พรรคที่มุ่งเน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ฯลฯ นี่คือสภาที่ควรเป็นมิใช่หรือ? ถ้าใช่แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเสนอไปในทางที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ลง?

และหากพรรคเพื่อไทยยังดึงดันในข้อเสนอนี้ แล้วผลปรากฏว่าชัยชนะกลายเป็นของพรรคพลังประชารัฐไป ถึงตอนนั้นแล้วจะยังมีพรรคไหนที่มีกำลังมากพอที่จะร่วมสู้ด้วยกันได้? จะยังมีพรรคไหนที่อยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคเพื่อไทยอีก?

ผมและพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันว่าระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 นั้นมีปัญหาแน่ๆ การใช้บัตร 2 ใบดีกว่าแน่ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าหากไม่เอาระบบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้วจะต้องหันไปเอาระบบตามที่พรรคเพื่อไทย (และพรรคพลังประชารัฐ) เสนอมาเท่านั้น ยังมีระบบการเลือกตั้งอื่นที่สะท้อนเจตจำนง ซื่อตรงต่อเสียงของประชาชนได้มากยิ่งกว่า 2 ระบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกพรรคการเมืองในระยะยาว รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย ผมหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะทบทวนการตัดสินใจของตัวเอง อย่าได้คล้อยตามสิ่งล่อใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจนยอมรับในระบบที่ยังมีปัญหาเชิงหลักการแล้วเอาชะตากรรมของประชาชนไปแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนเลยครับ’

 

ที่มา : https://www.facebook.com/rangsimanrome/photos/a.212055616217760/707939579962692/

https://siamrath.co.th/n/253350


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘อลงกรณ์’ เห็นด้วย ‘บิ๊กตู่’ ปักหมุดเปิดประเทศภายใน 120 วัน พร้อมเสนอวาระโควิด 6 ข้อรับมือ Next Normal

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส. โพสต์เรื่อง “อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด 120 วันเปิดประเทศคนเดียว” ในเฟซบุ๊กและไลน์ส่วนตัวว่า...

วันนี้ตั้งใจเขียนความเห็นและข้อเสนอวาระโควิด (Covid Agenda) 6 ข้อให้ท่านนายกรัฐมนตรีและสาธารณชนคนไทยได้อ่านในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เคยเผชิญวิกฤตของประเทศมาหลายครั้ง ทั้งวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 และวิกฤติซับไพรมวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551

ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด 120 วันเปิดประเทศคนเดียว”

ผู้นำต้องกล้าที่จะนำประเทศพาประชาชนไปข้างหน้าและต้องพร้อมบริหารความเสี่ยงไปในเวลาเดียวกัน

การบริหารในช่วงวิกฤตจะละล้าละลัง กลัวๆ กล้าๆ ไม่ได้ เพราะเวลาที่ผ่านไป คือ การสูญเสียโอกาสและความยากลำบากมากขึ้นทุกขณะของประชาชนและประเทศชาติ

ถ้าล็อกดาวน์นานไปประชาชนจะไม่มีกินและธุรกิจจะปิดตัวเองมากขึ้น จนเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกสาขาทั้งภาคการท่องเที่ยว, ภาคการบริการ, ธุรกิจการเงิน, การลงทุนพาณิชยกรรม, อุตสาหกรรม, การค้าระหว่างประเทศและการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ

การตัดสินใจประกาศวันดีเดย์ทำให้เกิดเป้าหมายและความหวัง แต่ขณะเดียวกันเราต้องเผชิญกับ 2 ความเสี่ยง…

>> ความเสี่ยงแรก คือ สงครามโควิด-19

>> ความเสี่ยงที่สอง คือ สงครามเศรษฐกิจ

หากบริหารได้ดี ความเสี่ยงและความสูญเสียจะลดลงมา ประเทศไทยและคนไทยจะเริ่มทำมาหากินได้เศรษฐกิจจะเริ่มขยับขยายตัวได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันฟันฝ่าผ่าความเสี่ยงที่เรียกว่า Next normal ร่วมกัน

ผมมีความเห็นเป็นข้อเสนอโดยสุจริตใจ ประเด็นวาระโควิด 6 ข้อเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการดูแลประชาชนกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ...

1.) วัคซีนต่างประเทศ >> ต้องเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายจัดหาและช่วยระดมฉีดให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ยิ่งฉีดเร็วฉีดมาก ยิ่งลดความเสี่ยงของสงครามโควิด-19 ได้มากที่สุด อย่าให้พลาดพลั้งเหมือนช่วงแรกๆ ของการจัดหา

2.) วัคซีนไทย >> ต้องสนับสนุนเงินทุนให้มากที่สุดกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในการผลิตวัคซีนของเราเองในทุกความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีวัคซีนโดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิดจากพืช (Plant based vaccine technology) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนสามารถผลิตวัคซีนใหม่ๆ ได้ ซึ่งใช้รับมือกับกรณีโควิดกลายพันธุ์ หรือโควิดสายพันธุ์ต่างชาติที่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยทั้งก่อนและหลังการเปิดประเทศ

โดยเมื่อเดือนที่แล้วผมได้ไปหารือกับคณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมดูความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากพืชของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของจุฬาฯ มาแล้ว ซึ่งได้ผลดีมากในการฉีดทดสอบกับลิงและหนูโดยพร้อมจะทดสอบกับคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและทาง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ ก็กำหนดประชุมหารือกับท่านอธิการบดีบัณฑิตที่จุฬาลงกรณ์วันที่ 25 มิถุนายนนี้ ส่วนที่แคนาดามีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิดจากพืชและประกาศจะนำออกสู่ตลาดในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

3.) การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว >> เป็นการจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง เมื่อกล้าเปิดก็ต้องเปิดแบบมีกลยุทธ์ กล่าวคือ ต้องไม่บริหารแบบท็อปดาวน์เพียงอย่างเดียวจึงไม่กำหนดจากข้างบนให้เริ่มที่ภูเก็ตหรือบางพื้นที่ตามที่ ศบค. ตั้งเป้าหมายแรก แต่ควรเปิดหลายๆ พื้นที่หลายๆ จังหวัดทั่วประเทศพร้อมๆ กัน โดยให้จังหวัดที่ต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยวเสนอแผนและมาตรการป้องกันโควิดให้ศบค.พิจารณาแบบเสนอจากเบื้องล่าง ถ้าเห็นว่าทำได้ก็เดินหน้าโดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณและเครื่องมือกำลังคน

นี่คือกลยุทธ์การบริหารจัดการประเทศไม่ใช่บริหารจังหวัด!!

เมื่อกล้าเปิดประเทศก็ต้องคิดใหญ่ทำใหญ่ หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจจะมีฐานขยายตัวกว้างขึ้นและเร็วขึ้น “ล้อแห่งธุรกิจจะกลับมาหมุน” ตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ต้องเข้าใจว่า ประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ (ไม่ใช่แค่ภูเก็ต) ที่ติดหล่มโควิดมากว่าปีแล้ว ลมหายใจใกล้หมด จึงต้องทำเร็วที่สุดและเปิดในทุกพื้นที่ทีมีความพร้อมในมาตรการป้องกันโควิด-19ดีที่สุด รวมทั้งต้องกระจายอำนาจและมอบอำนาจจริงๆ ให้ราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นอย่ารวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอย่างที่ผ่านมา

4.) การพยุงประชาชนและประเทศ >> ภาครัฐต้องดำเนินการเยียวยาทุกมาตรการต่อไปแม้จะต้องใช้งบประมาณหรือเงินกู้มาเยียวยาโดยเฉพาะคนยากคนจนเกษตรกรและเอสเอ็มอี. อย่ากังวลเรื่องเพดานเงินกู้ มากนัก ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอในการสร้างรายได้ถ้าบริหารถูกทิศถูกทางการใข้หนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ต้องช่วยประชาชนช่วยธุรกิจให้อยู่รอดเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

5.) ความรับผิดชอบร่วมกันต่อ Next normal ของการเปิดประเทศ >> ผมคิดว่าเราทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อย่าให้เป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะวิกฤตครั้งนี้ใหญ่กว่าทุกสงครามที่ประเทศของเราเคยเผชิญ มีเดิมพันที่สูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ “เราจะแพ้ไม่ได้”

ดังนั้น ในวันนี้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา ภาครัฐภาคเอกชน ทุกภาคีภาคส่วนต้องผนึกกำลังกัน เอาการเมืองไว้ข้างหลัง เอาบ้านเมืองไว้ข้างหน้า

6.) การบริหารจัดการต้องโปร่งใสไร้ทุจริต >> ต้องไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวกหรือผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าในรูปแบบใด และต้องจัดการเฉียบขาดกับใครก็ตามที่ทุจริตประพฤติมิชอบกับเรื่องการจัดหาวัคซีนหรือการจัดซื้อเวชภัณฑ์ใดๆ ในทุกระดับ

ก่อนหน้านี้ผมเสนอยุทธศาสตร์ “1ปิด1เปิด” โมเดลเพชรบุรีและเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมร่วมกับทุกภาคีภาคส่วน คือ “ปิดโควิด เปิดเศรษฐกิจ” ให้เร็วที่สุดไปพร้อมๆ เพราะถ้าล็อกดาวน์โควิดอย่างเดียวก็อดตายทั้งประเทศหรือถ้าเปิดประเทศโดยไม่ป้องกันโควิดดีพอ ก็จะระบาดใหญ่ป่วยตายทั้งประเทศ โดยเราก็ตั้งเป้าหมายเปิดเพชรบุรีตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเผอิญเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อวานนี้

ผมจึงเห็นด้วยกับการปักหมุด 120 วันเปิดประเทศและขอแสดงความเห็นมา ณ โอกาสนี้ครับ

ขอเพียงอย่าให้เป็นการปักหมุดเปิดประเทศของท่านนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะสงครามโควิดและสงครามเศรษฐกิจรุนแรงและวิกฤตเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรับมือได้

ประการสำคัญคือประเทศนี้เป็นของทุกคนและอนาคตก็เป็นของพวกเราทุกคน

อลงกรณ์ พลบุตร

17 มิถุนายน 2564


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนุชา” ย้ำ วันนี้ยังเป็นเลขาฯพปชร. แทงกั๊ก ยังไม่ได้ยื่นลาออก เผย เข้าร่วมประชุมสามัญพรรค 18 มิ.ย.นี้ แน่นอน

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กรณีที่มีกระแสข่าวเตรียมยื่นลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ยังไม่คิดลาออก และตอนนี้ยังไม่ได้ยื่นลาออก รวมถึงไม่ได้นัดหมายที่จะแถลงข่าวในเรื่องนี้ ที่สภาฯตามที่มีข่าว สำหรับการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ที่จ.ขอนแก่น จะเข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนจะเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ขึ้นมาพิจารณาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุม

"พงศ์พรหม" ห่วงหลายคนรับวัคซีนแล้ว กลับมาใช้ชีวิตเสี่ยง ไม่ใส่หน้ากาก-ไม่พกเจล ย้ำ! ยังรับเชื้อเป็นพาหะได้ ขอการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระลอก 4 เพราะอีกหลายคนยังไม่ได้วัคซีน 

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 หลังมีการกระจายวัคซีน โดย เริ่มสังเกตในเพจหลายๆ เพจ พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว กลับมาใช้ชีวิตเสี่ยงมากขึ้น ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นรูปเก่าๆ แต่ตรวจสอบดูแล้วไม่ใช่ หลายคนนัดทานข้าวโดยไม่ใส่หน้ากาก หลายคนเริ่มกลับไปเดินตลาดแบบไม่พกแอลกอฮอล์ คุยกันแบบไม่ใส่ Mask การถ่ายรูปกลับไปหน้าชิดอีกครั้ง 

"อย่าลืมครับว่า ถึงแม้ท่านจะฉีดวัคซีนแล้ว แต่ท่านยังสามารถรับเชื้อและเป็นพาหะได้ ในขณะที่สัดส่วนคนยังไม่ได้รับวัคซีนมีสูงกว่ามากมาย ต้องช่วยระวังกันอย่าให้เกิด Wave 4 ด้วยความประมาทครับ" นายพงศ์พรหม กล่าว

กลุ่มครูโคราช ยื่นร้องขอความเป็นธรรม อสส.หวั่นหลักฐานไปไม่ถึงประกอบการพิจารณา หลังคดีเห็นควรฟ้องเเล้วโฆษกอัยการรับหนังสือส่งด่วนให้ความเป็นธรรม

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนน รัชดาภิเษก นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 พร้อมด้วยกลุ่มคณะครูในจังหวัดนครราชสีมาประมาณ 30 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมหลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด กลุ่มครูในพื้นที่เขตการศึกษา ร่วมกับ นายวิรัช กับพวกซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนักการเมือง กลุ่มผู้อำนวยการโรงเรียน กลุ่มผู้บริหาร อบต.และเทศบาลต่างๆ ในคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล ในจังหวัดนครราชสีมาโดยมีนายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกอัยการสูงสุดเป็นผู้รับหนังสือ

นายพิสิษฐ์ เปิดเผยว่า สาเหตุของการเข้ายื่นหนังสือในวันนี้เกิดจากความกังวลใจว่าหนังสือที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. และเลขา สพฐ. ไปก่อนหน้านี้ อาจยังไม่ถูกนำส่งมาที่อัยการสูงสุด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และมั่นใจว่าสิ่งที่ ป.ป.ช. กล่าวหาครูแต่ละคนมีข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง เป็นการกล่าวหาลอยๆ จนถึงวันนั้นยังไม่ได้รับคำตอบถึงผลการพิจารณาพยาน หลักฐาน ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ก่อนหน้านี้

นายอิทธิพร โฆษก อสส.กล่าวว่า หลังจากที่รับหนังสือแล้วก็จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่คณะครูได้ชี้แจงไว้ โดยนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะพนักงานอัยการในคดีนี้ เพื่อพิจารณาเอกสารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพยานหลักฐานเก่าหรือพยานหลักฐานใหม่ ส่วนผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอัยการสูงสุดที่จะพิจารณา ซึ่งอย่างไรก็ตามจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด

โดยแนวทางการพิจารณาหลักๆ ของอัยการที่ผ่านมาจะมี 4 แนวทาง โดย แนวทางแรก คือสั่งฟ้องทั้งหมดแล้วให้ไปสู้ในชั้นศาล แนวทางที่ 2 หากเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่พิสูจน์ว่าคณะครูไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อัยการก็จะสั่งไม่ฟ้อง แนวทางที่ 3 คืออัยการจะกลับไปหารือหรือประชุมร่วมกันกับ ป.ป.ช. หากหลักฐานไม่สมบูรณ์ และแนวทางที่4 สุดท้าย คือส่งเรื่องกลับไปยัง ป.ป.ช. ให้ฟ้องร้องต่อศาลเอง

เเต่สำหรับขั้นตอนในปัจจุบันนี้ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ได้มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวิรัช กับพวก ในคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล ในจังหวัดนครราชสีมาไปแล้วรวม7สำนวน รวมเป็นสำนวนเดียวกัน ส่วนในเรื่องการยื่นฟ้อง ว่าจะยื่นฟ้องใครบ้างนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างอธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต รับผิดชอบในร่างคำฟ้องเพื่อยื่นฟ้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป ซึ่งตอนนี้คาดว่ากำลังเดินการอยู่โดยขณะนี้ตนยังไม่ทราบจำนวนเเน่ชัด เเต่คดีคือสั่งฟ้องไปเเล้ว
 

"กรณ์" ผนึกคนสายเทค กระตุก ก.ล.ต.ควบคุมคริปโต ชี้ ! ราชการควรส่งเสริม และกำกับดูแลอย่างเหมาะสม 

สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยห้ามให้บริการโทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ และคริปโทเคอร์เรนซีตามที่กำหนด พร้อมทั้งกำหนดให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องจัดให้มีข้อกำหนดว่า ในกรณีของโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยศูนย์ซื้อขายหรือเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขาย หากผู้ออกโทเคนดิจิทัลนั้นไม่ทำตาม white paper และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในสาระสำคัญ จะเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนออกจากศูนย์ซื้อขายได้ โดยระบุว่าเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ได้เห็นประกาศของ กลต. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากรณีห้ามศูนย์ซื้อขาย นำเหรียญ Utility Tokens พร้อมใช้ 4 ประเภท (Meme, FAN, NFT, Native coins) ขึ้นกระดานซื้อขาย ซึ่งพออ่านดูแล้วก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไม ก.ล.ต. ถึงมีแนวคิดปิดกั้นในเรื่องเหล่านี้ เลยพูดคุยกับทีม Tech ในพรรคกล้า และสอบถามความเห็นของพี่ๆ น้องๆ ในวงการ Fintech พอสรุปได้ว่าประกาศของ ก.ล.ต. มีความไม่ชัดเจน ปิดกั้นโอกาสของคนไทยในการใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนในการสร้างนวัตกรรม 

“กฎที่ออกมาอย่างเร่งรีบไม่ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์จากผู้ประกอบการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และข้อห้ามที่ออกมานั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ประเทศกำลังมองหาธุรกิจ S-curve ใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ภาครัฐกลับปิดกั้นการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อคเชน รวมถึงคริปโต แล้วอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศจะเป็นอย่างไร” นายกรณ์ กล่าว 

อดีต รมว.คลัง กล่าวด้วยว่า ในมุมของ ก.ล.ต. เอง เข้าใจว่าต้องการป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภค แต่เชื่อหรือไม่ว่ากฏเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ความเสี่ยงหมดไป เพราะธุรกรรมคริปโตเป็นธุรกรรมที่ไร้พรมแดน ซ้ำร้ายกลับทำให้ประเทศสูญเสียโอกาส คือ ลดโอกาสของการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆในประเทศ ลดโอกาสของคนในการพัฒนาตนเองสู่ทักษะและเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับยุคดิจิตอล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดขีดความสามารถทางการแข่งขันกับต่างประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต กฏข้อบังคับในครั้งนี้เป็นการผลักไสทรัพยากรคนที่มีความสามารถและนวัตกรรมออกนอกประเทศ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถดึงดูดนวัตกรรมและการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศได้ ซึ่งถือเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศไทยเอง 

นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชัดเจนของกฎบางข้อเช่น  

1.การนิยาม Meme และ FAN tokens ยังขาดรายละเอียดตัวชี้วัดว่า เหรียญแบบไหนถือว่ามีสาระที่สมควรอนุญาตให้ซื้อขายในกระดานซื้อขายไทย

2.การกีดกัน NFT ซึ่งถือเป็น Softpower อีกหนึ่งเครื่องมือเศรษฐกิจยุคดิจิตอล  โดยถือว่าเป็นของเฉพาะกลุ่ม ถือเป็นการกีดกันการค้าของอุตสาหกรรมศิลปะ บันเทิง และเกมส์ ไม่ให้เกิดการพัฒนาและรับรู้อย่างแพร่หลาย

3.ห้ามศูนย์ซื้อขาย ทำ Native Coins ในระบบ Blockchain ด้วยความกลัวด้านข้อมูลภายใน (Inside Information) ถือเป็นการตระหนกเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเทียบกับหลักปฏิบัติของตลาดหุ้นสากล ผมยังคงเห็นหุ้นของ NASDAQ, London Stock Exchange และ Singapore Stock Exchange (SGX) ซึ่งถือเป็นกระดานซื้อขายทำ self listing หุ้นตนเอง เมื่อเทียบกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน คือ Binance (BNB) ผมจึงเสนอว่าสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่การห้ามให้มีหรือไม่มีการทำ self listing แต่อยู่ที่การควบคุมไม่ให้กระดานซื้อขายนำข้อมูลภายในมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตน

4. ข้อบังคับเหล่านี้ไม่มีผลย้อนหลังสำหรับเหรียญในจำนวนที่ถูกซื้อขายบนกระดานแล้วในปัจจุบัน แต่ห้ามการนำจำนวนเหรียญที่ยังไม่เข้าสู่ระบบมาทำการซื้อขายเพิ่ม ซึ่งเป็นเรื่องยากในการกำกับและติดตาม Exchange อื่นๆจะไม่สามารถทำ Self listing เหรียญของตัวเองที่ใช้ในระบบ Blockchain ได้อีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขัน เป็นต้น 

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า หลักคิดของระบบราชการไทยไม่ควรเป็นเพียงแค่การกำกับควบคุม แต่ต้องเป็นการส่งเสริมและพัฒนา ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ ก.ล.ต. ที่ออกกฏในลักษณะปิดกั้น แต่ควรส่งเสริมและมีบทบาทในการตรวจสอบ มีกติกาชัดเจน เช่น การกำหนดความละเอียดและความสมบูรณ์ของ Whitepaper โดยยังมีพื้นที่ให้กลไกตลาดทำงานได้ โดยไม่เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบ 

นอกจากความคิดเห็นของนายกรณ์แล้ว ทีม Tech ในพรรคกล้า อย่างนางสาวภรณี วัฒนโชติ CEO FinGas นักลงทุนคลิปโต ตั้งแต่ปี 2016 และรองโฆษกพรรคกล้า บอกว่า ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผล 3 ข้อหลัก คือ

1.ทีมนักพัฒนาเหรียญคนไทย จะหนีไป ICO และซื้อขายเหรียญในต่างประเทศ ประเทศไทยสูญเสียนวัตกรรม และการได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรม

2.เป็นการกีดกันและลดความสามารถในการแข่งขันของศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทย ให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะ ศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทยจะ ‘เป็นศูนย์ ที่ไม่เป็น ศูนย์’ คือไม่สามารถเป็นศูนย์รวมของเหรียญที่หลากหลายให้คนได้ซื้อขายอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชนะคู่แข่งในตลาดโลก และ

3.เมื่อผู้พัฒนาไม่สามารถขึ้นกระดานซื้อขายที่ถูกกฏหมายได้ สุดท้ายจะเข้าซื้อขายในตลาด Defi ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถในการกำกับของรัฐ และก.ล.ต.จะไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภคคนไทยได้อยู่ดี เพราะจะไม่สามารถติดตามเหรียญจาการ scam คืนได้จากกระดานซื้อขายนอกการกำกับ เช่น กรณี FBI ตามเหรียญคืนได้จาก Coinbase กระดานซื้อขายภายใต้การกำกับ เป็นต้น การออกกติกาของ ก.ล.ต.ในครั้งนี้จึงมี ผลร้าย กับประเทศมากกว่า ผลดี 

นายยศ เลิศภิญโญภาพ IT Solution Architect และกรรมการนโยบายพรรคกล้า กล่าวว่า NFT คือโอกาสและช่องทางสำหรับการโปรโมตผลงานหรือสร้างรายได้ให้กับกลุ่มคนจำนวนมาก ทัศนคติในการกีดกัน NFT จะไม่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ออกมา เทคโนโลยีที่หมุนไปเร็ว กลไกตลาด Crypto currency  มันทำงานเร็วขึ้น ดังนั้นภาครัฐยุคใหม่ควรมีบทบาทในการส่งเสริมหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม มากกว่าการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆของคนไทย 

เช่นเดียวกับ คณิต ศาตะมาน นักเทคโนโลยี ผู้อยู่ในวงการ Blockchain และ Digital Asset  ที่มองว่า ตั้งแต่ยุค ICO จนถึงปัจจุบัน Crypto Currency และ Digital Tokens นั้นทำให้เกิดระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ๆ ที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนไทยได้หากสามารถสร้างนวัตกรรมที่มีประโยชน์จนคนเห็นคุณค่า แน่นอนว่าการเก็งกำไรย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย แต่รัฐก็ไม่ควรจะใช้วิธีขังทุกคนเอาไว้ในห้องด้วยเชื่อว่าพวกเขาจะปลอดภัยหากไม่ได้ออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่ควรจะไปตั้งกำแพงกีดกัน Utility Token เหล่านั้นจาก Exchange และที่จริงแล้วควรจะสนับสนุนให้ทำธุรกรรมผ่าน Exchange ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีกระบวนการยืนยันตัวตนที่ชัดเจนสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดการหลอกลวงได้เป็นอย่างดี แตกต่างกับการสร้าง Market Place และ DeFi ที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบและควบคุมใด ๆ ได้เลย

‘บิ๊กป้อม’ นั่งหัวโต๊ะ ประชุมคณะกรรมการกีฬาโอลิมปิกแห่งประเทศไทย เคาะค่าตั๋วเครื่องบิน ส่งทีมชาติไปโอลิมปิกญี่ปุ่น

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกรรมการบริหาร คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล Zoom Video Conference โดยที่ประชุมมีการรายงานความคืบหน้าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 ครั้งที่ 32 ณกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม-8 สิงหาคม 2564 การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายน 2564 การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 31 ณสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2564

นอกจากนี้ นายธนาไชย ประสิทธิ์ เหรัญญิกคณะกรรมการโอลิมปิกฯ เสนอเพื่อพิจารณาและขออนุมัติส่งคณะนักกีฬาทีมชาติไทยไปร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พร้อมกับขออนุมัติเบิกเงินยืมทดรองเป็นค่าบัตรโดยสารเครื่องบินสำหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

“เสรีพิศุทธ์” ลั่น ส.ว.มีไว้ทำไม หลัง “ประยุทธ์” ถามใครสนับสนุนผมบ้าง เงียบเป็นสากกะเบือ ชี้ บัตรเลือกตั้งกี่ใบก็รับได้ ขึ้นอยู่กับปชช.

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน ว่า เมื่อวานนี้ที่ตนไม่ได้มาร่วมยื่นด้วยเนื่องจากตนทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) อยู่ ประชุมทั้งวัน ไม่ค่อยได้เข้าห้องประชุมใหญ่อยู่แล้ว แต่ได้ให้นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นตัวแทนมายื่นร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งญัตติต่างๆ ที่พรรคฝ่ายค้านยื่นนั้น ไม่เหมือนกันทีเดียว ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน เพียงแต่ตนอยากจะเรียนทุกพรรคที่ยื่น ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่แค่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่จะต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าคิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ประเทศไทยใครจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้คนที่ดีมีความสามารถมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า แต่จะคิดแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมันไม่ใช่ อย่างร่างที่พรรคพลังประชารัฐยื่น ถามว่าจะยื่นมาทำไม ตอนนั้นก็ขัดขวางไม่ยอมให้รัฐธรรมนูญผ่าน ต่อมามีการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การออกเสียงประชามติ ซึ่งตอนนี้ยังพิจารณาไม่เสร็จ ก็ควรจะให้เป็นไปตามขั้นตอน ต้องพิจารณาพ.ร.บ.ประชามติให้เสร็จและให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นไปร่างรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องเป็นธรรม ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อคนคนเดียวเท่านั้น เมื่อ 2 วันก่อนที่มีการประชุมวุฒิสภา พล.อ.ประยุทธ์​ถามวุฒิสภาทำนองว่า “ใครสนับสนุนผมบ้าง” เงียบเป็นสากกะเบือ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม พรรคพลังประชารัฐไม่แก้เอาไว้เอื้อประโยชน์ของตนเองรวมทั้งเรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบแบ่งเขต 400 กับแบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากใช้แบบเดิม ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐก็จะไม่ได้เข้าสภา ตนสงสารประชาชนที่มีผู้นำประเทศคิดแต่เอารัดเอาเปรียบประชาชนอยู่ตลอดเวลา 

เมื่อถามว่าพรรคเสรีรวมไทยพร้อมจะสนับสนุนกลับไปเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เราเป็นพรรคเล็ก เราต้องรู้ว่าเราไม่มีอำนาจที่จะไปต่อสู้กับเขา ประชาชนให้ความไว้วางใจเราเท่านี้ แต่ความจริงให้ความไว้วางใจมากกว่านี้แต่เราถูกโกงเหมือนพรรคอนาคตใหม่ พรรคที่ได้คะแนน 30,000 กว่าคะแนนก็เลยถูกปัดเศษขึ้นมาเพื่อให้ร่วมรัฐบาล ฉะนั้นถึงแม้ว่าพรรคเราจะเป็นพรรคเล็กเราก็มีจุดยืนที่เข้มแข็งและมั่นคง การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ไม่ว่าจะมีกี่ร่างก็ตาม เราก็ต้องมาตัดสินกันว่าเมื่ออภิปรายแล้ว เราควรจะสนับสนุนร่างของฝ่ายไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด พรรคเสรีรวมไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ไม่เป็นไร

เมื่อถามว่าเรื่องระบบการเลือกตั้ง เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ก็เห็นตรงกันว่าควรจะกลับไปเป็นบัตร 2 ใบ พรรคเสรีรวมไทยมองประเด็นนี้อย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา อย่างที่บอกว่าขึ้นอยู่กับประชาชนจะ 2 ใบหรือใบเดียวคิดได้อย่างไรว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ เราไม่รู้ว่าประชาชนจะเลือกใคร อย่างไรก็ตามพรรคพลังประชารัฐมีฐานข้อมูลว่าตอนเลือกตั้งซ่อมทีไร ส่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไปที่ไหนก็ชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคพลังประชารัฐก็มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีส.ส.เขตมากขึ้น เราไม่มีฐานข้อมูลอย่างเขา รู้แค่เพียงว่าที่ผ่านมา 2 ปี คนรู้จักพรรคเสรีรวมไทยมากขึ้น ฉะนั้นในการเลือกตั้งครังหน้า หากยังเป็นบัตรใบเดียวเราก็เชื่อมั่นว่าเราจะมีส.ส.มากขึ้น แต่หากเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเราก็ชั่งน้ำหนักไม่ได้ว่าจะมีส.ส.มากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งการที่ทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ เหล่านี้มาเพื่อจะตัดพรรคเล็ก อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับประชาชน 

เสรีพิศุทธ์" ซัด "สิระ" ไม่ฉลาด ชอบโหนคดีดัง หลังรู้ตัวไม่มีหน้าที่สอบคดีลุงพล พร้อมรับเผือกร้อนสอบต่อ

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน มีมติส่งเรื่องที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ และนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติหน้าที่มิชอบในการออกหมายจับนายไชย์พล ว่า ตนบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ใช่งานของนายสิระ เพราะคนที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการ เมื่อได้รับฟังเรื่องตั้งแต่ต้นก็ควรจะรู้ว่าเรื่องนั้นอยู่ในหน้าที่ของตนเองหรือไม่ ความจริงถ้านายสิระฉลาด เมื่อประชุมแล้วรู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ก็ทำหนังสือส่งมาให้ตนก็จบแล้ว ดีกว่าไปแถลงข่าวจนทำให้ประชาชนรู้ว่านายสิระไม่รู้เรื่อง เพราะอยากเป็นข่าว อยากออกทีวีทุกวันเพื่อหาเสียง เอาเรื่องการเมืองเป็นหลัก โดยไม่ได้ใส่ใจหน้าที่ตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องมาให้ตนพิจารณาก็จะรับไว้และดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป

เมื่อถามว่าเป็นการโยนเรื่องร้อนให้พิจารณาหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ได้เป็นการโยนงานมาให้ เพราะตอนนี้นายสิระคงสำนึกแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็เที่ยวสอบเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องดังๆ เช่น คดีบอส อยู่วิทยา ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่า มีการทุจริตปฎิบัติหน้าที่มิชอบ และเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการของตน ซึ่งตนดำเนินการอยู่ใกล้จะแล้วเสร็จ แต่นายสิระก็เอาบ้างทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเอง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกลับส่งคนที่ไม่มีความรู้มาทำหน้าที่ เพื่อเป็นการตอบแทนกัน จึงทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อนไปถึงประชาชน

"เสรีพิศุทธ์" จ่อยื่น "รมว.ยุติธรรม" สอบข้อเท็จจริง ปม "แกนนำราษฎร" ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรือนจำ เหน็บ "สิระ" ต้องรีบมาทำคดีนี้

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. กมธ.ได้เชิญ 4 แกนนำกลุ่มราษฎร ได้แก่ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงปัญหาการควบคุมตัวในเรือนจำ หลังมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่า ทางแกนนำราษฎร ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำได้มีการละเมิดสิทธิ์ เช่น เมื่อเข้าในเรือนจำแล้วควรจะมีสิทธิและเสรีภาพ ทั้งที่ยังไม่ได้ถูกคำพิพากษา ว่ากระทำความผิดก็นำตัวไปขังรวมกัน และนอนในพื้นที่แออัด รวมถึงการพบทนายความก็มีการดักฟัง และจะซื้ออะไรรับประทานก็ไม่ได้ อาหารภายในเรือนจำก็มีแต่ข้าวกับผัก เหมือนอาหารที่หมูรับประทาน จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ควรจะลงไปดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเฉพาะกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวแกนนำทั้งหลาย ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ซึ่งตนจะสรุปรายละเอียดเรื่องร้องเรียนทั้งหมดให้กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. ยุติธรรม ดำเนินการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top