Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

“อนุทิน” คุย สสจ.รับมือเปิดประเทศใน 120 วัน เผย ญี่ปุ่นเตรียมสนับสนุนวัคซีนโควิด

ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเป้าหมายการเปิดประเทศใน 120 วัน ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่รับนโยบาย และหาทางปฏิบัติ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย จากนี้ ต้องเตรียมการในหลายเรื่อง เช่น เตียงผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ ยารักษาโรค และวัคซีน ขณะที่ในเชิงพื้นที่ อีก 1-2 วัน จะหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยราชการเขตสุขภาพเขต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หาแนวทางจัดการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายประเทศ 

เมื่อถามถึงการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์เบต้า หรือสายพันธุ์แอฟริกา นายอนุทิน ตอบว่า ทางกระทรวงฯ ได้เข้มงวดในมาตรการป้องกันที่มากขึ้น ต้องยอมรับว่า ปัญหา มาจากคนที่ลักลอบเข้ามา เชื่อว่าวินาทีนี้ทาง ศบค.ได้สั่งการไปยังหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ให้ดูแลตามแนวชายแดนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ส่วนในเรื่องวัคซีน ซึ่งมีข้อเสนอให้เข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ตนรับฟังทุกข้อเสนอ แต่การตัดสินใจ ขอให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการทางวิชาการ ซึ่งได้มีการพิจารณาและรายงานทุกสัปดาห์อยู่แล้ว มีการศึกษาถึงขั้นว่าจะฉีดยี่ห้อเดียวกันหรือต่างยี่ห้อด้วยซ้ำ ซึ่งพร้อมทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการ

“ทั้งนี้ มีข่าวดีคือ ประเทศญี่ปุ่นเตรียมสนับสนุนวัคซีนให้กับประเทศไทย เกิดจากความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ รวมถึงชาวญี่ปุ่นเองก็เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมหาศาล เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ เป็นสัญญาณที่ดีว่าภายหลังจากนี้ไทยและญี่ปุ่น จะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมากขึ้น การได้วัคซีน เข้ามาเพิ่มย่อมจะเป็นการสร้างความต่อเนื่องในการให้บริการวัคซีน” 

ก้าวไกล ชี้ แก้รัฐธรรมนูญหนนี้ ส่อเปิดช่องโกงหนักขึ้น

วันที่ 21 มิ.ย. 64 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยศิริกัญญาบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ นอกจากปัญหาต่างๆ ที่สังคมได้พูดกันแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ยังพูดถึงกันน้อย คือการแก้ไข ม.144 และ 185 ที่จะเปิดช่องให้ ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เข้าไปแทรกแซงการทำงานของข้าราชการและการจัดสรรงบประมาณได้ "โดยไม่มีโทษตามกฎหมาย"

ทั้งนี้ สาระสำคัญของการแก้ไข ม.144 ของนายไพบูลย์ คือยังคงห้ามไม่ให้ ส.ส. ส.ว. และ กมธ. ของร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี, ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณกลางปี, และร่าง พ.ร.บ. โอนงบประมาณ แปรญัตติในเชิงการขอเพิ่มงบประมาณ และยังคงให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ตัดส่วนที่เป็นบทกำหนดโทษ และกลไกในการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นการให้ข้าราชการทำหนังสือแจ้งเมื่อพบการกระทำความผิด การให้อำนาจ ปปช. มีอำนาจส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย รวมทั้งส่วนที่ว่าด้วยการเรียกเงินคืน

"3 ปีที่ผ่านมา ที่บทบัญญัติมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ แสดงให้เราเห็นแล้วว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งที่ไม่ชัดว่าอะไรคือการกระทำที่มีผลต่อการเพิ่มงบประมาณ ที่ผ่านมาก็มีกรรมาธิการก็สามารถลงมติเพื่อเพิ่มงบให้หน่วยงานอยู่ แน่นอนว่าเราแปรญัตติไม่ได้ แต่การแสดงความคิดเห็นว่างบสวัสดิการประชาชนควรเพิ่มขึ้น เราทำได้หรือไม่ ซึ่งความไม่ชัดเจนตรงนี้ทำให้เกิดการตีความกฎหมายอย่างไม่มีขีดจำกัด และเป็นเครื่องมือในการโจมตีกันทางการเมือง อย่างที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลโดนในช่วงหลังการอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา"

"แต่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ได้แก้ไขเรื่องที่เป็นปัญหาตรงนี้ ส่วนที่เป็นปัญหายังคงอยู่ แต่เลือกไปตัดส่วนบทกำหนดโทษ และบทที่ว่าด้วยกลไกการตรวจสอบแทน ส่วนนี้ทำให้ดิฉันเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้ของนายไพบูลย์เป็นการแก้เพื่อเอื้อให้พวกของตนมีช่องในการแทรกแซงงบประมาณเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องรับผิดมากกว่า"

นอกจากนี้ ศิริกัญญา บอกว่าเรามองการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาตรา 144 อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูคู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ที่เดิมกำหนด ห้าม ส.ส. และ ส.ว. เอาไว้ 3 เรื่อง คือ

1.) ห้ามแทรกแซงการทำงานในหน้าที่ของราชการ รัฐวิสาหกิจ และอปท.

2.) ห้ามทำให้ตนมีส่วนในการใช้งบประมาณหรือมีส่วนในการเห็นชอบโครงการของหน่วยงานรัฐ

3.) ห้ามแทรกแซงการแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนขั้นเงินเดือน หรือการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ

ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขนี้ ตัด 2 ข้อแรกออก เหลือเพียงการห้ามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายเพียงข้อเดียว

"จะเห็นว่าสิ่งที่ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐแก้ไข จะบอกว่าแก้เพราะต้องการทำลายภาพความไม่ไว้ใจนักการเมืองที่เขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ก็คงจะไม่ใช่ เพราะการแก้ทั้ง 2 มาตราไม่ได้แก้ที่สาระสำคัญของความไม่ไว้ใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเลย แต่เป็นการแก้เพื่อทำลายกลไกการตรวจสอบ และข้อห้ามที่ทำให้ตนเองแทรกแซงข้าราชการและงบประมาณยากเท่านั้น"

สุดท้าย ศิริกัญญาตั้งข้อสังเกตว่า พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้าน มีส่วนแผนงานฟื้นฟูฯ ที่เป็นเหมือน "เช็คเปล่า" ให้รัฐบาลเอาไปใช้ได้ในปีงบประมาณหน้าอีกประมาณ 170,000 ล้านบาท จะมีการตั้งงบประมาณโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของฐานรากที่เป็นโครงการระดับจังหวัดราว 45,000 ล้านบาท รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการเปิดให้ ส.ส. และ ส.ว. เข้ามาแทรกแซงการเริ่มทำงบประมาณของปี 2566 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งครั้งหน้า น่าสังเกตว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อาจจะเป็นการเปิดทาง "หาเงินเลือกตั้ง" สำหรับนักการเมืองบางกลุ่ม"

"ดิฉันคิดว่า ประเด็นเรื่อง ส.ส. เข้าไปมีส่วนในการผลักดันโครงการพัฒนาในพื้นที่หรือไม่ รวมทั้งเรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญบนฐานความไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันในเชิงหลักการ และการถกเถียงก็ยังไม่จบ แต่ชัดเจนว่าการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ไม่ได้แตะต้องส่วนที่เป็นหัวใจของข้อถกเถียงเหล่านั้น"

"ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ คือการยอมรับว่านักการเมืองไม่น่าไว้วางใจ และทิ้งส่วนที่มีปัญหาเอาไว้แบบเดิม แต่ไปแก้ไขส่วนที่เป็นกลไกตรวจสอบเพื่อให้นักการเมืองสามารถกระทำผิดได้ง่ายขึ้นและไม่ต้องรับโทษ"

"ดิฉันคิดว่าถ้าพรรคพลังประชารัฐอยากแก้ไขปัญหาจริงๆ แก้ไขเนื้อความที่ไม่ไว้ใจนักการเมือง และทำให้กลไกการผลักดันงบประมาณลงพื้นที่ที่ทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ให้ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ ทำอย่างโปร่งใส ประชาชนตรวจสอบได้ ไม่ใช่ปกปิดสิ่งที่พวกท่านทำกันเป็นปกติเอาไว้ให้อยู่นอกระบบ แล้วไปตัดกลไกการตรวจสอบที่จะยิ่งทำให้การผลักดันงบประมาณยิ่งไม่มีการตรวจสอบ และเปิดช่องให้เกิดการคอร์รัปชันง่ายขึ้นไปอีก" ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เคหะชุมชนนวมินทร์ ร้องกมธ.สวัสดิการสังคม สอบปมบริษัทเอกชนยังครองสิทธิบริหารเรียกเก็บค่าเช่า-ค่าน้ำซ้ำซ้อน ทั้งที่หมดสัญญาตั้งแต่ปี 61

ที่รัฐสภา นายชัยยุทธ นวลสุวรรณ ตัวแทนโครงการเคหะชุมชนนวมินทร์ ซอยนวมินทร์ 139 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. เข้ายื่นหนังสือ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อร้องเรียนความเดือดร้อนของผู้เช่าอาศัยในเคหะชุมชนนวมินทร์ โดยนายชัยยุทธ กล่าวว่า ภายในบริเวณโครงการมีทั้งหมด 10 อาคาร จำนวนทั้งสิ้น 1,700 กว่าห้อง

ปัญหาคือปัจจุบัน สัญญาเช่าระหว่างการเคหะแห่งชาติกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่ปี 2561 แต่บริษัทเอกชนไม่ยอมออกจากพื้นที่และใช้สิทธิในการบริหาร ต่อมาในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาการเคหะแห่งชาติได้เข้ามาบริหารเอง โดยให้ผู้พักอาศัยทั้งหมดทำสัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติโดยตรง ซึ่งขณะนี้มีผู้ทำสัญญาเช่าแล้วประมาณ 1,400 ห้อง โดยในการทำสัญญาเช่าดังกล่าว การเคหะแห่งชาติได้งดเก็บค่าเช่าในเดือนเม.ย.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงโควิด-19 โดยให้ผู้เช่าที่ทำสัญญาใหม่ชำระค่าเช่าพร้อมค่าน้ำประปาตั้งแต่เดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป และชำระค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้านครหลวงโดยตรง

นายชัยยุทธ กล่าวต่อว่า แต่เนื่องจากบริษัทเอกชนยังคงอ้างสิทธิ์ในการบริหาร ทำให้การเคหะแห่งชาติไม่สามารถเข้ามาดูแลผู้พักอาศัยได้อย่างทั่วถึง และบริษัทเอกชนยังมีใบแจ้งหนี้ที่ผู้พักอาศัยชำระกับการเคหะแห่งชาติแล้วมาเรียกเก็บซ้ำซ้อน โดยเรียกเก็บเดือนเม.ย. เดือนพ.ค. และเดือนมิ.ย.อีก ซึ่งหากผู้พักอาศัยไม่ชำระจะตัดน้ำตัดไฟ ที่ผ่านมามีผู้พักอาศัยหลายกรณีที่ถูกตัดน้ำตัดไฟ นอกจากนี้สภาพอาคารที่พักอาศัยทรุดโทรมเป็นอย่างมาก การเคหะแห่งชาติจะเข้ามาพัฒนา บริษัทเอกชนก็ขัดขวางโดยอ้างสิทธิ์การบริหารและครอบครอง ตนจึงอยากให้กมธ.ว่า กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ด้าน น.ส.รังสิมา กล่าวว่า ตนจะนำเข้าระเบียบวาระการประชุมของกมธ.ในวันที่ 29 มิถุนายน เพื่อให้กมธ.พิจารณาว่าจะลงพื้นที่ไปดูหรือจะทั้งลงพื้นที่ไปดูและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลในชั้นกมธ.

"แสนยากรณ์" ชี้ ปชป. มาทรงไม่ชัดเจนอีกแล้ว ไม่กล้าตั้งเงื่อนไขกับ พปชร.-ส.ว. แก้ไข ม.272 ยกเลิกอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ ยกอดีต ถ้าเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. คนก่อน คงชัดเจนไปแล้ว ไม่หลบหลังโฆษกพรรคแบบนี้

นานแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีโฆษกพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเป็นการตัดสินในของสมาชิกรัฐสภา หลังจากหัวหน้าพรรคกล้า ท้าพรรคประชาธิปัตย์คว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ หากพรรคพลังประชารัฐไม่ลงมติยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ออกมาทรงนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี คงเป็นแค่ฝันไป ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เพราะไม่มีทางที่พรรคพลังประชารัฐและ ส.ว.จะลงมติให้ จึงเป็นเหตุที่หัวหน้าพรรคกล้าออกมาท้าให้พรรคประชาปัตย์แสดงความชัดเจน หากพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว. ไม่ลงมติรับหลักการยกเลิกอำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี ก็จะไม่สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชารัฐเสนอเช่นกัน 

"ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนก่อน คงมีท่าทีชัดเจนไปแล้ว ไม่แอบอยู่หลังโฆษกพรรคแบบนี้ แม้จะเสนอแก้ไขยกเลิกอำนาจ ส.ว. แต่ถ้าไม่กล้าตั้งเงื่อนไขทางการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ สุดท้ายก็แค่ละครตบตาฉากหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรคืบหน้า เสียดายเวลาผ่านมาเกือบ 2 ปี แต่ไม่ได้อะไรเลย" โฆษกพรรคกล้า กล่าว 

โฆษกพรรคกล้า กล่าวย้ำว่า ความขัดแย้งและการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ราบรื่น ตลอดครึ่งเทอมของรัฐบาลชุดนี้ เพราะความไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ต้องกลับไปกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง แก้ไขบทเฉพาะกาลมาตรา 272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี แต่จะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาฯ จึงอยากฝากสื่อมวลชน สอบถามความชัดเจนกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย จะกล้าตั้งเงื่อนไขกับพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว. ตามที่หัวหน้าพรรคกล้าเคยเสนอไว้หรือไม่

กระทรวงรับลูกนายกฯ ตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำกระทรวงฯ แจงข้อมูล-ดำเนินคดีคนบิดเบือน แพร่ข้อมูลเท็จ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการทุกส่วนราชการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนประจำกระทรวง เพื่อชี้แจงข่าวที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่หลายช่องทาง ที่สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนให้ประชาชน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบผู้ที่เจตนาไม่หวังดี เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จหรือที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงผ่านสื่อออนไลน์จำนวนมาก ทำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจผิด 

นายกฯ จึงให้ส่วนราชการช่วยกันตรวจสอบข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตนเอง สกัดกั้นข่าวปลอม เร่งชี้แจงให้ข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็ว และให้แต่ละหน่วยงานราชการดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่จงใจเผยแพร่ข่าวบิดเบือนหรือข้อมูลเท็จสร้างความตื่นตระหนกแก่สังคมอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องรอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการฝ่ายเดียว

นายอนุชา กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายกระทรวงดำเนินการตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯแล้ว อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แต่บางกระทรวงมีภารกิจงานที่ทำหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบและชี้แจงรวมทั้งทำหน้าที่ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ ด้านกรมประชาสัมพันธ์ มีการชี้แจงผ่านเว็ปไซต์ เฟซบุ๊ก “ข่าวจริงประเทศไทย” 

พท.ติงคำสั่ง มท.เอื้อเอกชน จี้เร่งหาวัคซีนให้กำนัน ผญบ. อสม.ด่านหน้าก่อน

​นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงหนังสือคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่มีถึงผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เพื่อจัดหาวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทเอกชนรายหนึ่งทั่วประเทศเกือบ 7 หมื่นคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ทั้งๆ ที่ประชาชนทั่วประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกเป็นจำนวนมาก ตนเห็นว่าบริษัทเอกชนรายนั้นมีขีดความสามารถในการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้กับพนักงานของตนเองได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเบียดบังวัคซีนในส่วนที่จัดไว้เพื่อบริการประชาชนเลย ถ้าหากกระทรวงมหาดไทยมีความปรารถนาดีจะสนับสนุนงบประมาณในการจัดหาวัคซีนเพิ่ม ก็น่าจะจัดหาวัคซีนสำหรับกำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นด่านหน้าในพื้นที่ เพราะขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย ดังนั้นการที่กาะทรวงมหาดไทยมีหนังสือถึงผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม.ให้การสนับสนุนวัคซีนให้กับเอกชนรายใหญ่นั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและจะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายเดียว 

ศบค.มท.สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจว.วางระบบการบริหารฉีดวัคซีนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุม ทั่วถึง พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดคลัสเตอร์ใหม่ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับการสนับสนุนวัคซีนสำหรับฉีดให้กับบุคลากรในสังกัดจากหลายองค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ ส่วนราชการหลายหน่วยงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมตลาดสดไทย สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย บริษัทและสถานประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่ง ศบค.มท.ได้แจ้งข้อมูลการขอรับการสนับสนุนวัคซีนข้างต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผน เพื่อให้การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการ และประสานกับผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม. ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าฯ ในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หารือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อวางระบบการบริหารการฉีดวัคซีนให้เป็น มาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุม ทั่วถึง ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นไปตามมติ ศบค. และแนวทางที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติกำหนด

โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่

1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

2.เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า และกลุ่มอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ รวมทั้งผู้มีอาชีพ/กิจการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน เช่น สาธารณูปโภค อาหาร ยา

3.ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีโรคประจำตัว และ

4.ประชาชนทั่วไป พร้อมสร้างการรับรู้แก่องค์กรภาครัฐและภาคเอกชน โรงงาน สถานประกอบการ องค์กรต่างๆ ในพื้นที่ ในกรณีองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่ประสงค์จะขอรับวัคซีนให้กับบุคลากร สามารถแจ้งความประสงค์ไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

ในกรณีองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัด หรือองค์กรระหว่างประเทศ/หน่วยงานต่างชาติ ที่ติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ สามารถแจ้งหนังสือไปยังอธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อขอรับวัคซีนไปฉีดให้บุคลากรในสังกัด โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง และสำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคม เป็นหน่วยงานที่รับการจัดสรรวัคซีนเพื่อบริหารจัดการและจัดแผนการฉีดวัคซีนได้โดยตรง และรวบรวมข้อมูลจากสถานประกอบการเพื่อกำหนดสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน ทั้งในสถานพยาบาลตามสิทธิ และเชิงรุกนอกสถานพยาบาล เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและให้ผู้ประกันตนได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานระดับจังหวัด สังกัดกระทรวงแรงงาน ประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งการบริหารจัดการฉีดวัคซีนต้องเป็นไปตามเป้าหมายและความสำคัญเร่งด่วนที่ ศบค. กำหนดโดยเคร่งครัด 

นอกจากนี้ได้สั่งการให้ผู้ว่าฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน บริษัท สถานประกอบการ แคมป์คนงาน ที่มีบุคลากรจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จัดทำข้อมูลสถานที่ จำนวนบุคลากร และแผนเผชิญเหตุ เพื่อเตรียมการกรณีเกิดการติดเชื้อโควิด-19 เป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานประกอบการใช้ปฏิบัติในการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โดยหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายแรงงานไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมมอบหมายนายอำเภอดำเนินการแนวทางดังกล่าวในระดับอำเภอด้วย 

“พรรคกล้า กทม.” เรียกร้องผู้ประกอบการเปิดเผยรายชื่อผู้ติดเชื้อจริง ป้องกันการระบาดวงกว้าง ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าเยียวยาธุรกิจ หากได้รับผลกระทบหลังพบผู้ติดเชื้อ

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศยังคงมากกว่า 3,600 คน ต่อวัน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครสูงกว่าถึง 1,200 คน (ข้อมูลวันที่ 19 มิ.ย. 64) ซึ่งจากการลงพื้นที่ ทราบจากประชาชนว่าบางโรงงานหรือบางบริษัทปกปิดข้อมูลลูกจ้างติดเชื้อ เพราะหวั่นกระทบธุรกิจ ประกอบกับถ้าลูกจ้างเป็นผู้แจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ ก็เกรงกลัวว่าจะถูกเลิกจ้างทำให้ตกงาน จึงไม่มีใครกล้าแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการดูแล อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ติดเชื้อขยายวงกว้าง เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ต่างๆ ไม่จบสิ้น

“ผมจึงขอวอนไปยังบริษัทและโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ที่มีผู้ติดเชื้อได้ โปรดให้ข้อมูลแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าดำเนินการรับตัวผู้ติดเชื้อมารักษาก่อนที่จะขยายวงกว้างในโรงงานหรือบริษัทของท่าน ทำให้ต้องปิดตัวลงและเสียหายไปมากกว่าเดิม” นายเอกชัย กล่าว

เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวว่า เข้าใจว่าผู้ประกอบการหลายคนไม่กล้าแจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ เพราะกลัวธุรกิจหยุดชะงัก ดังนั้น หากจะให้มาตรการป้องกันการระบาดมีประสิทธิภาพ ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ จึงขอเรียกร้องทั้ง กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ หากลูกจ้างพนักงานที่ติดเชื้อโควิด ต้องกักตัว เพื่อรักษากิจการต่อไป

รมว.มท. แจง หนังสือขอหนุนวัคซีน เอกชนดัง สื่อสารคลาดเคลื่อน ย้ำ เจตนาเพื่อดูแลประชาชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์​ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่หนังสือปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามสนับสนุนการวัคซีนบริษัทเอกชนชื่อดัง เพื่อฉีดให้กับพนักงานและครอบครัว แต่ได้ยกเลิกในภายหลัง ว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน​ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัด​กระทรวง​มหาดไทย ได้ออกหนังสือแก้ไขแล้วยืนยันว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามนโยบายของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยสรุปคือ มีช่องทางที่จะให้สนับสนุนให้กับบุคคลและกลุ่มบุคคลรวมไปถึงองค์กรได้ แต่ต้องเข้าสู่ช่องทางหมอพร้อม การกระจายวัคซีนเป็นของ ศบค. จะกระจายไปในพื้นที่ใดหรือจำนวนเท่าไหร่ เมื่อกระจายไปแล้วผู้ที่จะดำเนินการต่อคือ คณะกรรมการ​โรคติดต่อ​จังหวัด

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถือเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนและไม่มีเจตนา​เอื้อประโยชน์ให้ใคร ทุกคนรู้ดีว่าการทำงานของข้าราชการ พรรคการเมือง และรัฐบาล หรือของใครก็แล้วแต่ ต้องตอบสนองต่อประชาชนส่วนใหญ่ ใครที่คิดจะไปตอบสนองต่อกลุ่มใคร สังคมก็จะไม่ยอม เป็นการสื่อสารคลาดเคลื่อนแต่ก็ได้แก้ไขแ​ล้​ว 

เมื่อถามว่า ต่อไปจะระวังเพิ่มขึ้นหรือไม่ พล.อ.อนุ​พงษ์​ กล่าวว่า ก็เป็นธรรมดาแต่เจตนาของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. กระทรวงมหาดไทย (ศบค. มท.)​ ไม่ได้มีเจตนา​ที่จะไปเอื้อใคร พูดง่ายๆ คือเจตนา​ที่จะดูแลประชาชน เป็นหลัก ใครก็ต้องทำอย่างงั้นสังคมจึงจะยอมรับได้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ 

“เลขาฯ สมช.” แจง​ องค์กรขอวัคซีนได้​ แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์ความจำเป็นเร่งด่วน​​ ปัดไม่มีใช้เส้นขอก่อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์​ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.)​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ภาคเอกชนขอรับการสนับสนุนวัคซีนจากกระทรวงมหาดไทยให้กับบุคลากรในองค์กร ว่า หากจำได้เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เรามีแนวทางการขอรับวัคซีน คือทางแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม หรือแอปพลิเคชันอื่น​ ผ่านทางอาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน​ (อสม.)​ หรือฝ่ายปกครอง หรือผ่านองค์กร หรือแนวทางลงทะเบียน​ ณ​ จุดฉีดวัคซีน 

ซึ่งการขอรับวัคซีนในรูปแบบองค์กรก็มีหลายหน่วยงาน ทั้งรัฐและเอกชนขอมา บางทีขอไปที่กระทรวงมหาดไทย หรือขอไปที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ออกไปเป็นรูปแบบของการขอลงทะเบียน โดยศบค.ได้กำกับเรื่องของความเร่งด่วนเข้าไปด้วย​ ดังนี้​

1.บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า อสม.

2.เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า หรืออาชีพเสี่ยง

3.ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว

4.ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นขั้นตอนปฏิบัติต้องดูตามลำดับเหล่านี้ เราต้องพิจารณารูปแบบการลงทะเบียนและความเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำการขอสนับสนุนฉีดวัคซีนให้องค์กรสามารถทำได้ แต่ต้องดูความเร่งด่วนใช่หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ใช่​ เพราะช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าการระบาดจะเกิดในสถานประกอบการ โรงงาน แคมป์คนงาน​ ​ไซต์ก่อสร้าง เป็นธรรมดาที่สถานประกอบการมีความห่วงใยว่าจะเกิดการแพร่เชื้อในหน่วยงาน จึงขอรับการสนับสนุนมา​ แต่การขอรับการสนับสนุนจะไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัว​ และในทางปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ ต้องดูความเร่งด่วนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด​

เมื่อถามถึงมีข้อสังเกตว่าการขอในรูปแบบองค์กรอาจมีการใช้เส้น หรือมีข้อกำหนดพิเศษยกเว้นเฉพาะบางองค์กรหรือไม่ ถึงติดต่อมาที่ศบค.และกระทรวงมหาดไทย​ ไม่ได้ติดต่อทางช่องทางปกติ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า อย่าไปมองอย่างนั้น ยกตัวอย่างหน่วยงานหนึ่งมีคนประมาณ 2-3 พันคน การจะให้แต่ละคนมาลงทะเบียนขอฉีดเอง กับการที่เราไปฉีดให้ทั้งองค์กรทีเดียวก็จะสะดวกกว่า ขอย้ำว่าไม่ใช่หน่วยงานไหนขอมาแล้วขอก่อนได้ก่อน เพราะสาธารณสุขในพื้นที่จะดูความเร่งด่วนตามที่ศบค.ได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้

เมื่อถามว่าได้มีการกำหนดกรอบปริมาณที่จะสนับสนุนวัคซีนให้แต่ละองค์กรหรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า​ ไม่มี เพราะหน่วยงานก็ขอตามจำนวนคนที่มีอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่เรามี หากเรามีก็สามารถให้ได้ แต่หากวัคซีนมีจำกัดก็ยังให้ไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์​ และที่จะเดินทางไปดูความพร้อมในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนจะมีการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ทางศบค.จะลงไปสังเกตการณ์หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้มีผู้แทนจากศบค.ร่วมคณะไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top