Monday, 29 April 2024
POLITICS NEWS

บิ๊กป้อมปลื้ม! มาตรการแก้ PM2.5 ฝุ่นลดจากปี 63  เห็นชอบ :โครงการทางพิเศษฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี  :โครงการทางหลวงแนวใหม่ จ.ปทุมธานี  มุ่งขยายโครงข่าย  ส่งเสริมการพัฒนาศก. ท้องถิ่น/ประเทศ 

เมื่อ 26 มีนาคม 2564   พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) ครั้งที่ 2/2564  โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. ,คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. ,และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กค. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบผลการดำเนินงาน ตามแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เชิงบูรณาการปีงป.62-63  ซึ่งในปี 63 มีปริมาณซากผลิตภัณฑ์ถึง 428,113 ตัน ทั้งนี้ได้มีหลายหน่วยงานดำเนินการแก้ปัญหาซากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว จำนวน 2 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 11 โครงการ  พร้อมรับทราบความก้าวหน้าการระงับใช้รถ ที่มีมลพิษเกินมาตรฐานตาม พ.ร.บ. การจราจรทางบก พ.ศ. 2522  ซึ่ง สตช. อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎกระทรวง ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับทราบการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม สนับสนุนโครงการจำนวน 69 โครงการเพื่อการบริหารจัดการ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งทำให้จุดความร้อนสูง (HOT SPOT) ในปี64 ลดลงจากปี63 อย่างน่าพอใจ

ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ รายงาน EIA โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ของการทางพิเศษฯ เพื่อเพิ่มโครงข่ายถนนและช่วยส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ ตามเส้นทางพาดผ่าน ด้านตะวันออกของถนนพหลโยธิน และเห็นชอบโครงการทางหลวงแนวใหม่หมายเลข 9 ด้านตะวันตก-จุดตัดทางหลวงหมายเลข 347-จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันออก-ทางหลวงหมายเลข 352 ของกรมทางหลวง  เพื่อลดปัญหาการจราจรคับคั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล  รวมถึง ยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่นละออง  เนื่องจากยังตรวจพบจุดความร้อน เป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือ และ ได้มีการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้ง จากที่ดินจัดสรรให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล และให้เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดมาตรฐานให้ครอบคลุมที่ดินจัดสรร ทุกประเภท ตามกฎหมายว่าด้วย การจัดสรรที่ดิน

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ ทส.และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามโครงการ/แผนงาน ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กรอบรายงาน EIA โดยเร็ว ซึ่งต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับสูงสุด  สำหรับการแก้ปัญหาฝุ่นละออง ขอให้ขับเคลื่อน และยกระดับการดำเนินงาน อย่างต่อเนื่อง ต่อไป  ควบคู่กับการ รณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชน

ป.ป.ส. กางผลงาน 6 เดือน พบเบาะแสยาเสพติดกว่า 7,957 เรื่อง เร่งประสานหน่วยงานภาคีดำเนินการแก้ไข พร้อมย้ำ! ผู้ปกครองดูแลการใช้โซเชียลของบุตรหลาน หวั่นถูกล่อลวงเข้าเครือข่ายค้ายา

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เผยผลการดำเนินงานในการลดความเดือดร้อนของประชาชน ตามนโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่จัดให้ยาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของชาติที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง

 

สำหรับการดำเนินงานในเรื่องการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหายาเสพติดผ่านสายด่วน 1386 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 มีนาคม 2564 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งสิ้น 7,957 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 4,864 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 61.13 จับกุมผู้เสพ จำนวน 810 ราย พาผู้เสพเข้ารับการบำบัด จำนวน 218 ราย จับกุมผู้กระทำความผิด 176 ราย และออกหมายจับ 9 ราย สำหรับยาเสพติดของกลางที่ยึดได้เป็น ยาบ้ารวม 79,280 เม็ด, ไอซ์ 879 กรัม เฮโรอีน 3.4 กรัม, กัญชาสด 15,500 กรัม , กัญชาแห้ง 111กรัม ยาแก้ไอ 740 กรัม คีตามีน 44 กรัม  

 

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการค้ายาเสพติดผ่านสื่อโซเชียลที่พบมากขึ้นในปัจจุบันนั้น สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดชุดติดตามเครือข่ายค้ายาเสพติดในโซเชียลร่วมกับตำรวจ ซึ่งพบกว่า 10,000 เครือข่าย โดยจากการติดตามพบว่ามีพฤติการณ์ล่อลวงเยาวชนเข้ามาเป็นเครือข่ายค้ายา และจัดส่งยาเสพติดผ่านทางพัสดุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้โซเชียลของแก๊งค้ายาจะเป็นกลุ่มผู้ค้ารายย่อยหรือระดับล่าง ในแต่ละปีมีการจับกุมคดียาเสพติดผ่านทางโซเชียล 200,000-300,000 คดี ในจำนวนนี้มากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้เสพ โดย ป.ป.ส. ได้ร่วมกับตำรวจจัดชุดติดตามพร้อมประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สั่งปิดเว็บไซต์ที่กระทำผิด

 

“ฝากเตือนไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครองให้เฝ้าระวังบุตรหลานและเยาวชนที่สามารถเข้าถึงโซเซียลได้ง่าย ทำให้เด็กตกเป็นเหยื่อการค้ายาเสพติดได้ง่ายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกดึงให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่ตั้งใจ และสำหรับพี่น้องประชาชนที่พบพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสยาเสพติดผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1. สายด่วน 1386 โทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. หนังสือร้องเรียนถึงสำนักงาน ป.ป.ส. ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค 3. การแจ้งเบาะแสด้วยตนเองได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค และ 4. การแจ้งผ่านเว็บไซต์ ป.ป.ส. https://1386.oncb.go.th

 

นายวิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงาน ป.ป.ส. และกระทรวงยุติธรรม มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สร้างสังคมปลอดภัยและน่าอยู่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด คือ การรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนโดยตรง โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้เช่นกัน จึงได้มีการลงพื้นที่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพบปะพูดคุย รับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดของหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม 

 

โดยล่าสุดในการลงพื้นที่ ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสร้างการรับรู้ในประเด็นแนวทางการปราบปรามยาเสพติดโดยอาศัยนโยบายการยึดทรัพย์สิน ตัดวงจรเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวัง (JSOC) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและติดตามผู้พ้นโทษในคดีสะเทือนขวัญ ด้วยกลไกทางสังคมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการป้องกันการกลับไปกระทำผิดซ้ำของผู้พ้นโทษ เป็นต้น

"บิ๊กป้อม" ยอมรับ สั่งถอด ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์จากวิป รบ. เป็นมาตรการลงโทษทางการเมือง ย้ำ ภท. พอใจแล้ว ฉุนสื่อฯ ถามให้ตีกัน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบกรณี 6 ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์งดลงคะแนนให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา ว่า เขาได้ลงโทษไปหมดแล้วและได้ขอโทษไปกับพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ไปบ้างแล้ว 

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล โดยถอด ส.ส.บางคนในกลุ่มดาวฤกษ์ ออกไปเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งของพรรคพปชร.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่และให้ออกทุกตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเมือง เป็นเวลา 3 เดือน อีกทั้งดำเนินการลงโทษทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง 

เมื่อถามว่าพรรคภท. ยอมรับกับผลการลงโทษของพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “พรรคภท. โอเค” พร้อมกับหันไปตอบสื่อด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า “สื่อจะถามทำไม ผมไม่เข้าใจเลย จะถามให้ตีกันให้ได้ แปลก  จะให้ตีกับใครล่ะ ให้ผมตีกับภท.หรือ"   จากนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า “จะไม่เกิดรอยร้าว กับภท.แล้ว ” 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แนวทางการลงโทษนี้ จะทำให้ พรรคภท.และพรรคพปชร. เกิดความสมานฉันท์ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า มันเป็นแนวทางของพรรคการเมืองและส.ส. กลุ่มดาวฤกษ์ก็เป็นส.ส.สมัยแรก เขาอาจจะไม่เข้าใจ และการลงโทษก็ถือว่าเป็นกฎของพรรคการเมือง

“อนุทิน” ยัน! รมต.สลับกระทรวง “คมนาคม-พาณิชย์” ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ทำงานคล่องตัวขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปรับครม.ที่ผ่านมา ที่มีการแลกกระทรวงกันของรัฐมนตรีช่วยของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของกระทรวงคมนาคมและพาณิชย์ ที่มองกันว่าอาจทำให้ไม่มีการคานอำนาจกันว่า ถ้ามองอย่างนั้น แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยใครจะมาคาน มันไม่เกี่ยวกันเลย รัฐมนตรีทุกคนโดยพื้นฐาน โดยหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การคานอำนาจคือสภาผู้แทนราษฎรที่คานอำนาจ ทำไม่ดีก็โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่พวกมากจะลากไปได้ เห็นกันอยู่แล้วว่าผลโหวตออกมาเป็นอย่างไร ไม่เท่ากันสักคน

“หน้าที่ของรัฐมนตรีคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มันคานอำนาจกันเองในกระทรวงไม่ได้ รัฐมนตรีช่วยคนไหนกล้าคานรัฐมนตรีว่าการ เป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ อำนาจทั้งหมดอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ ดังนั้นมันไม่มี รัฐมนตรีช่วยต้องทำงานตามที่รัฐมนตรีว่าการมอบหมาย ดังนั้นการที่พรรคเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องกัน การทำงานก็มีประสิทธิภาพได้ ทำให้กระชับยิ่งขึ้น มองในแง่ที่ว่าทำให้งานรวดเร็วยิ่งขึ้นบ้างซิ อย่าไปมองแค่ว่าจะมาทำอะไรกัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าที่ผ่านมารัฐมนตรีคนละพรรคอยู่กระทรวงเดียวกันทำงานไม่เข้าขากันหรือ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกกระทรวงมีรัฐมนตรีว่าการเป็นเจ้ากระทรวงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก ดีหรือไม่ดีอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ  เมื่อถามว่าการสลับกระทรวงกันครั้งนี้ไม่มีเหตุผลทางการเมืองใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เหตุผลทางการเมืองก็คือการทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นไม่ดีกว่าหรือ 

“สมมุตผมเป็นรัฐมนตรีว่าการและมีรัฐมนตรีช่วยต่างพรรค ก็อาจจะมีความรู้สึกบ้างได้ว่า แหม เกรงใจเขา เกรงอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาออฟเฟอร์ว่า เอาไหม สลับกันไหม จะได้ทำงานได้เต็มที่ คล่องตัวขึ้น ผมก็เอา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อนเลย อำนาจในความรับผิดชอบของกระทรวงแต่ละกระทรวงอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการเท่านั้น รัฐมนตรีช่วยเซ็นอะไรไป รัฐมนตรีว่าการก็ยังต้องรับผิดชอบ”

“หมอหนู” ยัน คนเสียชีวิตไม่เกี่ยววัคซีน ชี้! “มนัญญา” มีผลข้างเคียงเป็นเรื่องปกติ กราบเท้าปชช.วัคซีนมาแล้วต้องฉีด ย้ำสธ.ไม่ปิดกันนำเข้าวัคซีน ไฟเขียว จอห์นสันให้โรโรงบาลเอกชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีมีผู้ฉีดวัคซีนโควิดแล้วมีผลข้างเคียง บางคนถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้อย่างไร ว่า ข่าวที่ออกมาว่าคนที่ฉีดแล้วเส้นเลือดในกระเพาะแตกเสียชีวิตนั้น ขอยืนยันว่าสาเหตุไม่ได้มาจากวัคซีน 100% เขาคงมีปัญหาในเรื่องของเส้นเลือดเป็นทุนอยู่ และอาจเป็นจังหวะพอดีกัน ช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้หารือกับแพทย์อาวุโสด้านต่าง ๆ ทุกคนบอกว่าไม่ได้มีสาเหตุมาจากวัคซีน อธิบดีกรมควบคุมโรคจะมีการแถลงให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ตามหลักการแพทย์ ขออย่าให้ตื่นตกใจ อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนทุกชนิดสามารถกิดขึ้นได้ มากบ้างน้อยบ้างเป็นเรื่องปกติ เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีผลข้างเคียง นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้โทรศัพท์สอบถามอาการตั้งแต่วันแรกแล้ว ซึ่งรมต.ทุกคนมีเรื่องอดนอนเข้ามาเกี่ยวแน่นอน เพราะพักผ่อนน้อย รมต.คนไหนนอน 2 ทุ่มตื่น 6 โมงเช้าก็คงถูกนายกฯ ถามแน่นอนว่าทำไมไม่ทำงาน ดังนั้นมีหลายปัจจัยซึ่งนางสาวมนัญญา ก็ไม่ใช่ว่าจะอายุน้อย ไม่ใช่สาวน้อยร้อยชั่ง เป็นสาวน้อยวัยใกล้เกษียณย่อมมีผลข้างเคียงได้อีกทั้งเดินทางก็มากรับงานรับความเครียดต่าง ๆ ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับผลข้างเคียงแต่เมื่อมีไข้จึงเดินทางไปโรงพยาบาล 2 วันก็หาย ไม่ได้เป็นอะไรรุนแรง 

ดังนั้นปัจจัยหลายอย่างรวมกันไม่ใช่วัคซีนอย่างเดียว นายกฯ เองก็บอกว่าฉีดแล้วอารมณ์ดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก็ฉีดและยังแข็งแรงดีบางครั้งอาจจะเป็นจังหวะของเรื่องความเครียดอย่างตนในวันที่ฉีดเข็มที่ 2 ก็ความดันขึ้นทั้งที่เตรียมตัวมาอย่างดี แต่เมื่อฉีดแล้วก็รู้สึกกังวลลึก ๆ ว่าถ้าฉีดไปแล้ววูบไปตอนนี้จะทำอย่างไรเพราะมีนักข่าวมาทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะนั้นตนเองก็กลัวเหมือนกัน เมื่อยิ่งกลัวก็ยิ่งเครียดถึงขั้นจับชีพจรตัวเองรู้สึกว่าชีพจรเต้นเร็วแต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอะไร 

ดังนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจด้วยเพราะเป็นวัคซีนใหม่แต่ขอยืนยันกับทุกคนจะต้องฉีดเพื่อป้องกันโควิด 19 และกรมควบคุมโรคก็ยืนยันอีกครั้งว่าการฉีดวัคซีนจะไม่ทำให้อาการของโรคปกติที่ประชาชนมีอยู่ทวีความรุนแรง และไม่เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เมื่อได้รับวัคซีน ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ก็เพียงพอแล้ว ยืนยันได้ว่าเมื่อได้รับวัคซีนแล้วผลข้างเคียงไม่รุนแรง100% ไม่ตาย100% เพราะผลการทดลองของผู้ผลิตวัคซีนและสถาบันทารงการแพทย์ชั้นนำของโลกเขาก็มีผลรับรองอยู่แล้ว 

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตนั้น ตนยังไม่ระบุว่าจะเริ่มต้นได้เมื่อไหร่เพราะต้องให้กรมควบคุมโรคและทีมแพทย์กระทรวงสาธารณสุขประเมินเป็นระยะ และวันนี้จะต้องทุ่มวัคซีนเข้าไปที่ จ.ภูเก็ต จะเริ่มทยอยฉีดได้ในสัปดาห์หน้าให้ภูเก็ต 1 แสนโดส เกาะสมุย 5 หมื่นโดส สมุทรสาคร 1 แสนโดส กทม. 1 แสนโดส ส่วนเดือนหน้าก็จะมาอีก 1-2 ล้านโดส ซึ่งจะมาตามคำสั่งซื้อเดิมจะได้กระจายไปพื้นที่ต่างๆปลายเดือนพฤษภาคม หรือ ต้นมิถุนายนทะยอยมาเรื่อย ๆ เริ่มฉีดไปเรื่อย ๆ 

“ต้องขอวิงวอนว่าเมื่อวัคซีนมาพร้อมแล้ว ผมต้องกราบเท้าพี่น้องประชาชนทุกคนว่าให้มารับการฉีด อย่ากลัวเพื่อรองรับวัคซีนที่มาในแต่ละเดือน ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับวัคซีนแล้วก็ได้อาสาสมัครไปเป็นคนที่บริจาคเลือกหลังได้รับวัคซีน 2 เข็มไปทดสอบว่าสามารถสร้างภูมิต้านทานได้หรือไม่ เพราะถ้าหลายคนที่ฉีดแล้วสามารถสร้างภูมิต้านทานได้แสดงว่าผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่สร้างภูมิคุ้มกันได้แล้วเราจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการผ่อนคลายกันเช่นเปิดเมือง การเดินทางสัญจรไปมา ซึ่งเมื่อฉีดวัคซีนไปได้ 5-10 ล้านคนสามารถทยอยเปิดประเทศได้ แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นวันไหนเดือนไหน เพราะต้องให้ทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน” 

เมื่อถามถึงวัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่ผ่านการรับรองของ อย.แล้วจะสามารถฉีดให้ประชาชนได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจะขายให้รัฐบาลหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังเป็นเพียงการขึ้นทะเบียนให้กับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าบริษัทใดก็ตามที่มาขึ้นทะเบียนเรารับเอาไว้เพื่อลบคำครหา ที่ว่าเราเลือกปฏิบัติ แต่รัฐบาลได้คุยกับบริษัทดังกล่าวว่าขอให้เป็นหลังจากที่ แอสตราเซนิกา ส่งได้หมดตามคำสั่งซื้อทั้ง 61 ล้านโดสแล้ว เพราะเราถือว่าแอสตราเซนิกา เป็นวัคซีนหลักที่ใช้กับคนไทยซึ่งจะทยอยส่งได้ในเดือนมิถุนายนดังนั้นไม่ว่ายี่ห้อใดที่จะมาหลังจากนั้น ถือว่าเป็นช่วงที่เราไม่ได้มีความต้องการมาก 

แต่ที่เราต้องการคือช่วงจากนี้ถึงมิถุนายนซึ่งนายกฯ ให้ความสนับสนุนเต็มที่เพราะมีความเป็นห่วงคนไทย โดยบอกว่า ถ้ามีใครมาก่อนในช่วงนี้ก็ให้ซื้อ ซึ่งเราก็มีกฎหมายรองรับว่าซื้อเพื่อมารองรับสถานการฉุกเฉินแต่ในช่วง 2 เดือนนี้ไม่มีบริษัทไหนส่งให้ได้แม้แต่ จอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่มาพบตนก็บอกว่าจะได้ช่วง ตุลาคม - ธันวาคม ถ้าเป็นช่วงนั้นเราก็ได้วัคซีนหลักมาแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน  มีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง แล้วไปถอนการใช้วัคซีนฉุกเฉินจากสหรัฐเขาก็สามารถนำมาขายภาคเอกชน ในภาวะปกติเพื่อฉีดให้กับคนที่ยอมเสียเงินนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะให้การสนับสนุนให้นำเข้าได้เพื่อนำมาใช้กับภาคเอกชนได้ไม่ปิดกั้นเพราะจะเป็นประโยชน์กับภาครัฐ

“รัฐมนตรีป้ายแดง” เดินทางกลับหลังตรวจโควิด-19 “ตรีนุช-ชัยวุฒิ” กลับรถคันเดียวกัน

ภายหลังรัฐมนตรีใหม่ 4 คน เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และใช้เวลาบนตึกไทยคู่ฟ้าประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อพูดคุยและแนะนำตัวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จากนั้นแยกย้ายเดินทางกลับ โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมช.ศึกษาธิการ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ จากพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางกลับโดยรถยนต์คันเดียวกัน โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

“นิพนธ์” ถกคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์-ที่ดินเอกชนทิ้งร้าง นัดแรกปี 64 สั่งเข้ม! ทุกจังหวัดเร่งประชุม ติดตาม รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่ดินฯให้อนุกรรมการฯ ทุกเดือน จนกว่าจะแก้ไขเสร็จสิ้น

ที่ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์  บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งได้รับมอบหมายจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนและติดตามผลการแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) โดยมีนายณรงค์ สืบตระกูล รองอธิบดีกรมที่ดิน  ผอ.สำนักจัดการที่ดินของรัฐ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ทั้งนี้เป็นการหารือต่อจากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 12 ก.พ.63  

รวม 4 กรณี คือ

1.) เร่งรัดให้คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้างของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และระดับจังหวัด 14 จังหวัด  

2. ) กรณีที่สาธารณประโยชน์ “โคกภูพระ” ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร  

3.) กรณีที่สาธารณประโยชน์ “โคกปออีกว้าง” ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร  

4.) กรณีชุมชนทับยาง ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา

โดยที่ประชุมได้พิจารณาแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของกลุ่มประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) ซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ

1.) กรณีชุมชนมะลิแก้ว ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต  

2.) กรณีที่สาธารณประโยชน์ทุ่งทับใน ต.แหลม อ.หัวไทร  จ.นครศรีธรรมราช  

3.) กรณีชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี  

4.) กรณีชุมชนโนนป่ายาง ต.หญ้าปล้อง ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  

5.) กรณีที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ป่ายางชุมภูมิตำรวจ ต.ห้วยสำราญ อ.ขุขันธุ์ จ.ศรีสะเกษ  

6.) กรณีที่สาธารณประโยชน์โนนอีหง่อม โนนหนองห้าง โนนม่วง  ต.หัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ

7.) กรณีที่สาธารณประโยชน์โนนสามพันตา ต.ขัวเรียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น

8.) เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้างของพี มูฟ ใน จ.เชียงราย และจ.เชียงใหม่ 

โดยนายนิพนธ์ กล่าวว่า “ขอสั่งการไปยังส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ให้เร่งประชุมติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดคณะทำงานในทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา ให้เป็นไปตามข้อตกลง ทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยต้องรายงานผลความคืบหน้าให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการชุดนี้รับทราบทุกเดือน จนกว่าจะพิจารณาปัญหาเหล่านี้แล้วเสร็จ"

“ราเมศ” ย้ำ! ร่าง กม. ประชามติ ส.ส. ส.ว.ต้องคำนึงถึงเสียงประชาชน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีร่าง พรบ. ว่าด้วยการทำประชามติที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาว่า 
ทุกฝ่ายต้องรับฟังซึ่งกันและกัน มุมมองของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็มีเหตุมีผล 5 เงื่อนไข ที่ได้กำหนดขึ้นในมาตรา 9 ต่อการทําประชามติ ได้แก่

1.) การออกเสียงที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่มีบทบัญญัติกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

2.) การออกเสียงกรณีเมื่อ ครม. เห็นว่ามีเหตุอันสมควร

3.) การออกเสียงตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องมีการออกเสียง

4.) การออกเสียงในกรณีที่รัฐสภาได้พิจารณาและมีมติเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุสมควรที่จะให้มี การออกเสียงและได้ชี้แจงเรื่องให้ ครม. ดําเนินการ

และ 5.) การออกเสียงกรณีประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบการออกเสียง ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาไปแล้วในมาตรา 9 

โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะยังมีอีก 4 มาตรา ที่ต้องปรับปรุงมาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 14 และมาตรา 15 ให้สอดคล้องต้องกัน รัฐสภาสั่งฝ่ายบริหารไม่ได้ แม้จะถูกหลักการแต่ฝ่ายบริหารเห็นควรกับเหตุผลที่จะทำประชามติในบางเรื่องได้ ประชาชนใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อขอให้ถามความเห็นประชาชนในบางเรื่อง ปชช. เป็นเจ้าของอำนาจ ขอรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาจัดทำประชามติคงจะไม่มีอะไรร้ายแรงถึงขนาดเกิดความเสียหายใหญ่โต มีแต่เกิดประโยชน์ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ 2 มาตราก็จริงอยู่คือ มาตรา 166 และ มาตรา 256(8) แต่ มาตรา 166 ก็ระบุไว้ชัดว่า ครม. ขอให้มีการออกเสียงประชามติได้ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เปิดกว้างไว้ให้ออกกฎหมายกำหนดรายละเอียดได้ การกำหนดให้รัฐสภาและประชาชน ขอ ครม. ให้ทำประชามติจึงไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซง เพราะท้ายที่สุดก็อยู่ที่ ครม. เห็นสมควร 

นายราเมศ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของสำนักงานกฤษฎีกา และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะได้พิจารณากันอย่างรอบด้านและยึดหลักการรับฟังเสียงของประชาชนเป็นหลักการสำคัญที่สุด พรรคจะได้มีการเรียกประชุม ส.ส. ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาต่อไป ร่างกฎหมายประชามติ ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นผูกโยงเป็นเรื่องการเมือง แต่ถ้ามีใครตั้งใจดึงรั้ง หรือไม่ให้ผ่าน จะด้วยเหตุผลใดก็ดี ผู้นั้นก็ต้องรับผิดชอบ

รัฐมนตรีใหม่ เข้าตรวจโควิด-19 ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ปฎิบัติหน้าที่

ที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีใหม่ทั้ง 4 คน เดินทางเข้ามาที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เดินทางมาถึงเป็นคนแรก ตามด้วยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.คมนาคม ตามลำดับ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลในเวลา 08.40 น. และภายหลังรับการตรวจ นายกฯได้พูดคุยทักทายกับรัฐมนตรีทั้ง 4 คน ก่อนเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือศบศ. ครั้งที่ 1/2564 ที่ตึกภักดีบดินทร์
 

ชินวรณ์ นำทีมแกนนำครูเข้าพบ ปธ.กฤษฎีกา เสนอ 5 แนวคิด ร่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 

นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ นำแกนนำครูและเครือข่ายเดินทางไปสำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาเพื่อเสนอความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ โดยมีท่านมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะชุดใหญ่ในกฤษฏีกาเป็นประธาน

ทั้งนี้ได้มีการเสนอใน 5 ประเด็นหลัก 
1.) กระจายอำนาจการบริหารศึกษา 
2.) คุณภาพการศึกษาของเยาวชน
3.) ขวัญกำลังใจครู
4.) เทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล เพื่อการศึกษาในอนาคต 
5.) กองทุนครูแห่งแผ่นดินและกองทุนเทคโลยีนวัตกรรมทางการศึกษา

ขอขอบพระคุณท่านมีชัย ฤชุพันธ์ และคณะกรรมการที่จะนำความคิดเห็นไปปรับปรุงเพื่อเสนอเข้าสู่ ครม.ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top