Tuesday, 14 May 2024
POLITICS NEWS

“บิ๊กตู่” สั่งเหล่าทัพเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ “เมียนมา” ด้านทอ.เตรียม C-130 พร้อมเจ้าหน้าที่จ่อบิน รอรบ.-กต. ประสานมา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 แหล่งข่าวความมั่นคง เปิดเผยถึงการประเมินสถานการณ์ประเทศเมียนมาในขณะนี้ว่า จากที่ติดตามและพิจารณารายวันจะพบว่าสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นน่าวิตกกังวลใด ๆ เนื่องจากเหตุความวุ่นวายเกิดขึ้นบางพื้นที่ประเทศเมียนมาเท่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศและยังไม่ก่อเป็นสงคราม ส่วนใหญ่จะเป็นจุดพื้นที่ที่ชนกลุ่มน้อยอยู่และมีการต่อสู้กับทางทหารเมียนมา ขณะที่คนไทยในเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ได้อาศัยอยู่บริเวณชายแดน และตอนนี้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย รวมทั้งยังไม่มีคนไทยคนใดประสานขอความช่วยเหลือจากทางการ หรือประสานขอกลับประเทศ 

แหล่งข่าวความมั่นคง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา โดยในส่วนของภาคพื้นดินแนวชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมาได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 3 กองทัพบกทำหน้าที่รับผิดชอบหลักในการดูแลให้ความช่วยเหลือชาวเมียนมา ซึ่งมีการจัดพื้นที่แรก  พื้นที่พักรอ และจุดรองรับผู้อพยพในพื้นที่จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ขณะที่พื้นที่ทางน้ำระหว่างแม่น้ำหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือ ป้องกันชายแดนตามลำแม่น้ำโขงเขต จ.เชียงราย ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรือที่สัญจรผ่านไปมาระหว่างแม่น้ำสองประเทศ 

ส่วนกองทัพอากาศนั้นได้เตรียมความพร้อมเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 8 หรือ C-130 พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารอากาศไว้ หากรัฐบาลประสานขอให้กองทัพอากาศนำเครื่องบินไปรับคนไทยเพื่ออพยพกลับประเทศ แต่ทุกขั้นตอนนั้นจะต้องดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นแม่งานเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ทั้งนี้คาดว่าหากมีการแจ้งประสานมาทางรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศจะพิจารณาใช้เครื่องบินพาณิชย์ไปรับก่อน เพราะสนามบินในเมียนมายังคงใช้งานได้ตามปกติ 

แต่หากเกิดเหตุที่เป็นพื้นที่ที่เครื่องบินพาณิชย์ไม่สามารถบินเข้าไปได้ ก็จะประสานกองทัพอากาศ เพื่อนำเครื่องบินทหารไปรับกลับมาโดยใช้กลไกของสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลของทั้งสองประเทศยังสามารถพูดคุยประสานงานกันได้อยู่ อย่างไรก็ตามแผนการอพยพคนไทยก็จะเหมือนกับทุกสถานทูตประเทศนั้น ๆ จะพิจารณาถึงความจำเป็น

“ผบ.ทอ.” สั่งเตรียมพร้อม C-130 อพยพคนไทย ในเมียนมากลับประเทศ หากสถานการณ์ถึงขั้นวิกฤติ

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือน ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) สั่งการให้กองบิน 6 เตรียมความพร้อมเครื่องบินลำเลียง C-130  และเครื่องบินในส่วนของกองทัพอากาศไว้สำหรับรองรับภารกิจแล้ว หากรัฐบาลสั่งการให้ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยในเมียนมาก็ความพร้อมปรับเปลี่ยนภารกิจมาใช้ในภารกิจนี้ได้ทันที หากเกิดสถานการณ์ขั้นวิกฤติ

ทั้งนี้ ผบ.ทอ. ได้สั่งการ ให้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐประหารในเมียนมาแล้ว หากรัฐบาลสั่งการ จะได้ไปทันที แต่จะส่งไปเมื่อใดนั้น แล้วแต่สถานการณ์ ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ตอนนี้จึงเป็นเพียงการติดตามสถานการณ์เท่านั้น

“ไม่ว่าวิกฤติการณ์ ไหน ภัยพิบัติใดกองทัพอากาศ ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนตามคำสั่งของรัฐบาล” พล.อ.ท.ฐานัตถ์  กล่าว

ศรีสุวรรณ ให้ปากคำสภ.ภูพิงค์ ยัน เอาผิดก๊วนเหยียดหยามธงชาติไร้สีน้ำเงิน

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่จ.เชียงใหม่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางไป สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ .เชียงใหม่ อีกครั้ง เพื่อให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนและยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม กรณีที่เคยมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ที่นำธงชาติไทยแต่ไร้แถบสีน้ำเงินมากระทำการในลักษณะไม่สมควร เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 และบริเวณคณะวิจิตรศิลป์ มช.ตามพระราชบัญญัติธง .. 2522 โดยมีนักแสดงหญิงชื่อดังที่ทำตัวเป็นท่อน้ำเลี้ยงพ่วงอยู่ด้วย

ซึ่งการนำธงชาติไทย หรือธงไตรรงค์มาแสดงเป็นสัญลักษณ์ แต่ไม่มีแถบสีน้ำเงิน โดยมีการขีดเขียนข้อความและหรือถ้อยคำสบถต่างๆ ในลักษณะลบหลู่ เหยียดหยามและดูหมิ่นนั้น เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการกระทำความผิดตาม พรบ.ธง 2522 ในหลายมาตรา อาทิ .51 .53 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด อาทิ ประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นใดในผืนธง ใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือในแถบสีของธง อันมีลักษณะโดยไม่สมควร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 

ใน .54 ยังบัญญัติต่อไปว่า ผู้ใดกระทำการใด อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎของกระทรวง ซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และที่สำคัญ คือ ตามประมวลกฎหมายอาญา .118 ได้บัญญัติข้อห้ามไว้ว่า ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กรณีที่เกิดขึ้น มีผู้ที่มีสมรู้ร่วมคิดในการดำเนินการดังกล่าวหลายคน ทั้งหัวดำ หัวหงอก ทั้งนักศึกษา และผู้ที่อ้างว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไม่อาจทนดูพฤติกรรมของผู้ที่นำธงของชาติไทยมาลบหลู่ ดูหมิ่น และใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปได้ จึงนำพยานหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์เพิ่มเติม เพื่อตอกย้ำถึงความผิดของผู้ที่สมรู้ร่วมคิดในการผู้ที่จัดทำธงดังกล่าวอย่างไม่เหมาะสม ตามประมวลกฎหมายอาญา .83 ที่บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมและร่วมกิจกรรมดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิด ตาม พรก.ฉุกเฉิน 2548 และ พรบ.โรคติดต่อ 2558 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา .112 .116 และ .215

นฤมล นำทัพถก พัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ รองรับการประกอบอาชีพ

วันที่ 1 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือการจัดทำแผนพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการรองรับการประกอบอาชีพ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

 

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ปัจจุบันคนพิการยังไม่ได้รับการพัฒนาทักษะมือให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบกิจการเท่าที่ควร เนื่องจากขาดหลักสูตรการฝึกหลักสูตรที่เหมาะสม เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ช่วยในการทำงานที่ตรงตามประเภทของความพิการ ฐานข้อมูลด้านแรงงานเพื่อสนับสนุนการจ้างงาน การประชุมในวันนี้จึงเป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการรองรับการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบกิจการ และส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ โดยสมาคมคนพิการ สถานประกอบกิจการ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันจัดทำหลักสูตรทั้งหาร upskill, reskill และ change skill ตามความเหมาะสมของคนพิการแต่ละประเภทและลักษณะของการทำงาน เพื่อให้คนพิการมีทักษะในการประกอบอาชีพและได้รับการจ้างงานมากขึ้น รองรับการทำงานในโลกยุคใหม่

 

ที่ประชุมได้เสนอแผนบูรณาการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพรวม 61 โครงการ เป้าหมายกว่า 180,000 คน การพัฒนาคนพิการใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะคนพิการ การส่งเสริมการประกอบอาชีพและการจ้างงานคนพิการ และการพัฒนาศักยภาพคนพิการผ่านการแข่งขันฝีมือแรงงาน นอกจากนี้ยังมีโครงการขับเคลื่อนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2565 จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนและส่งเสริมการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ โครงการส่งเสริมอาชีพการปลูกฮอปส์ (HOPS) เพื่อพัฒนาอาชีพคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย โครงการพัฒนาทักษะมีมือครอบครัวคนพิการทางสติปัญญาเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพ และโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพธุรกิจสำหรับบุคคลออทิสติกและครอบครัว ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพคนพิการอย่างเป็นรูปธรรม

 

รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้ความช่วยเหลือและดูแลคนพิการ ไม่ได้ดำเนินการเพียงเรื่องการฝึกอบรมและการจ้างงานเท่านั้น การส่งเสริมด้าน CSR ก็เป็นอีกกิจกรรมที่สำคัญ ซึ่งจะมีการแถลงข่าว การเชิญชวนสถานประกอบกิจการ ร่วมทำ CSR เพื่อคนพิการ ในวันที่ 2 เมษายน นี้ ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคาดว่า จะมีการจัดสัมมนาขึ้นในวันที่ 22 เมษายน  2564 ภายใต้ชื่องาน "เสริมฝีมือ สร้างสุข ให้อาชีพ คนพิการ"

 

“ความร่วมทุกภาคส่วนที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของคนพิการ และร่วมสร้างโอกาสให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียม จะเป็นส่วนหนึ่งในการจ้างงานและการประกอบอาชีพอิสระที่ยั่งยืน ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

“แรมโบ้” ป้อง “บิ๊กตู่” ย้อน! วิสาร ถ้าว่างมากก็กลับไปลงพื้นที่บ้าง 

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย วิจารณ์นายกรัฐมนตรีหนุนรัฐประหารเมียนมาร์ด้วยการที่รัฐบาลไทยส่งเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงไปร่วมในงานวันกองทัพเมียนมาร์ ทั้งที่ นายกรัฐมนตรี ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผลักดัน ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม ว่า ขอให้นายวิสารรับฟังการชี้แจง และเหตุผลของนายกฯบ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอาทุกประเด็นมาตีนายกฯเพียงอย่างเดียว ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เข้าใจในนายกฯผิด 

การออกมาพูดทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงจะทำให้นานาประเทศเข้าใจประเทศไทย ในทางที่ผิดพลาดได้ เช่นกัน ถ้านายวิสารมีความรักชาติบ้านเมืองมีจิตใจเป็นคนไทยแท้จริง ต้องรับฟังข้อมูลให้ชัดเจนก่อนกล่าวหาให้รัฐบาลเสียหาย ตนมองว่าหากช่วงนี้นายวิสารมีเวลาว่างมากขอให้ลงพื้นที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างในฐานะเป็น ส.ส.มากกว่าที่จะออกมาพูดแต่เรื่องที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง  

วัน ๆ คิดแต่เรื่องที่จะปั้นเรื่อง สร้างเรื่องให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลการที่นายวิสารให้ข่าวเท็จรายวันออกมามันได้ประโยชน์อะไรต่อประเทศบ้าง เรื่องระหว่างประเทศ ในภาวะช่วงนี้การพูดจาให้ข่าว ควรพึงระมัดระวัง อย่าเอามาพูดเล่นสนุกสนานแบบคันปาก ทางการเมืองไม่ได้ เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีควรมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมืองมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตีกินหรือหวังผลทางการเมืองให้กับพรรคตัวเอง ควรฟังทางนายกฯทางกองทัพ ทางผู้ว่าราชจังหวัดและฝ่ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สักแต่พูดกล่าวหาใส่ร้ายให้ประเทศเป็นเป้าในสายตานานาชาติในทางลบ 

พฤติกรรมแบบนี้คนถึงประนามนายวิสารชอบโชว์พฤติกรรมแย่ ๆ ไปกรีดแขนในสภาฯอันทรงเกียรติ จนส่งผล กระทบในทางลบที่ประชาชนรับไม่ได้ ทำให้ฐานเสียงลูกสาวสอบตกนายก อบจ.ที่เชียงราย ความคิดการกระทำครั้งนั้น ผิดพลาดมาก จนทำให้กระแสตีกลับลูกสาว น่าสงสารลูกสาวที่สุด คนทำตัวประเภทนี้ที่เรียกว่า "พ่อรังแกลูก" ทั้งที่ลูกสาวกำลังกระแสดีมีโอกาสชนะสูงแน่นอน แต่แพ้เพราะการกระทำของพ่อแท้ ๆ

ก.แรงงาน “ตอบรับกระแสฮิต” จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบเทรนสมองกล - หุ่นยนต์ มอบสถาบัน MARA จัดชุดใหญ่ 26 หลักสูตรเทรนสมองกล - หุ่นยนต์ มุ่ง EEC

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กพร. เร่งดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ผลิตกำลังแรงงานป้อนสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการพัฒนากำลังแรงงานในสาขาเทคโนโลยี การผลิตและหุ่นยนต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ต้องเร่งฝึกอบรมเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความต้องการกำลังคนที่มีทักษะฝีมือจำนวนมากทั้งในระดับช่างปฏิบัติการและวิศวกร จึงมอบหมายให้ กพร.โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. ที่ตั้งอยู่ในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ดำเนินการพัฒนาแรงงานในสาขานี้ ให้มีศักยภาพรองรับเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดสถาบัน MARA ตอบรับกระแสเรียกร้องของสถานประกอบกิจการและกำลังแรงงานในพื้นที่ EEC เปิดฝึกอบรมเพิ่มเติมตาม “โครงการพัฒนาทักษะแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” รุ่นที่ 4/2564 จำนวน 26 หลักสูตร ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีอัตโนมัติ (1) Basic PLC Gx Works 2 (MITSUBISHI)   (2) Basic PLC CX Programmer (OMRON) (3) Basic PLC (SIEMENS) (4) Advance PLC (MITSUBISHI) (5) การออกแบบและเชื่อมต่อ HMI (GOT MITSUBISHI) กับ PLC (6) CC-Link (MITSUBISHI) (7) การควบคุมระบบขับเคลื่อนมอเตอร์เซอร์โว (MITSUBISHI) ด้วย PLC (8) การใช้ระบบควบคุมแบบชีเควนซ์ในงานอุตสาหกรรม (9) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการผลิต (AI CIRA CORE) (10) การบำรุงรักษาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม  

(11) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน: ABB (12) การควบคุมหุ่นยนต์ป้อนชิ้นงานสำหรับเครื่องกลึง CNC ระดับ 1 (13) ช่างควบคุมหุ่นยนต์ Unibot (14) ช่างควบคุมห่นยนต์ FANUC (15) การใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับงานเชื่อมระดับ 1 (16) การใช้ ROS ขั้นพื้นฐาน (Basic Robot Operating System) (17) การควบคุมหุ่นยนต์ลำเลียง (AGV) สาขาโปรแกรมการผลิต (18) การจำลองกระบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX (19) การเขียนแบบเครื่องกล 2 มิติด้วยโปรแกรม AutoCAD (20) การใช้โปรแกรม SolidCAM for Milling Operation (21) การใช้โปรแกรม Solidwork for CAD (22) การใช้โปรแกรม NX for CAD สาขาเครื่องจักรกลเพื่อการผลิต (23) การใช้เครื่องวัดละเอียดทางมิติแบบอัตโนมัติ (24) การใช้เครื่องมือวัดสามมิติ CMM ระดับ 1 (25) ช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล CNC ระดับ 1 และ (26) GOM 3D scanner, Inspection & Reverse Engineering 

ทุกหลักสูตรใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง รับจำนวนจำกัดเพียง 20 คนต่อหนึ่งหลักสูตร ซึ่งคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับสาขาที่สมัครหรืองานอื่นที่เกี่ยวข้อง เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th/mara และ www.facebook/dsdmara หรือติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 0 3827 6823, 063 193 2708 และ 092 279 4689” อธิบดีกพร. กล่าวทิ้งท้าย

“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” เลิกสนับสนุนเผด็จการเมียนมา ก่อนไทยถูกประณามด้วย สวน “พปชร” รัฐบาลส่งคนร่วมวันทหารพม่าเป็นความโง่ไม่ใช่ความฉลาด ห่วง ภาวะการเงินการคลังของประเทศจะทรุดลงต่อเนื่องจนคนทนไม่ไหว

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 64 นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังพาคนไทยลงเรือแป๊ะรั่วไหลลงทะเลไร้ชะตากรรม ส่งคนร่วมงานแสดงความยินดีกับกองทัพเมียนมา ขณะทั่วโลกประณามการเข่นฆ่าประชาชน ส่งผลเศรษฐกิจไทยร่วงสวนทางคำหวานที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลก่อนหน้าอ้างจะฟื้นเศรษฐกิจใน 2 ปี ความจริงประชาชนกำลังถูกผลักตามยถากรรม

"เริ่มจากเหตุการณ์แรก นายวันนา หม่อง ลวินตัวแทนของเมียนมาเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลบอกว่าเป็นการติดต่อขอเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนอยู่ชิดติดกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรับรองการรัฐประหารแต่อย่างใด หรือการที่กองกำลังกระเหรี่ยงติดอาวุธ KNU ออกมาเปิดเผยเรื่องการส่งเสบียงของรัฐไทยไปสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาร์ จนปรากฎหลักฐานกองข้าวปริศนา 700 กระสอบริมแม่น้ำสาละวิน ที่ภายหลังผบ.พัน.คร.341 ของเมียนมาร์ ยอมรับว่า ข้าวสารดังกล่าวเป็นของทหารเมียนมาที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเสบียงอาหารให้กับหน่วยทหารในพื้นที่กว่า 10 กองพัน แต่ฝ่ายไทยยังอ้ำอึ้งตอบไม่ตรงคำถามกันไปมา

"ในขณะที่ฮาน เลย์ มิสแกรนด์พม่า 2020 ได้พูดสุนทรพจน์เวทีประกวดแสดงเจตนารมณ์ที่บีบหัวใจและบีบน้ำตาของคนทั้งโลก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจ หยุดการกระทำรุนแรงต่อประชาชนในประเทศ รวมถึงการขอให้นานาชาติโปรดหันมองเหตุการณ์ในประเทศเมียนมา เพื่อสะท้อนถึงการต่อสู้ของคนเมียนมาร์ว่า ขณะที่ทุกคนอยู่บนถนนเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น ตัวเธอเองก็ยืนอยู่บนเวที และกำลังเรียกร้องในประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน เธอพูดในแผ่นดินของประเทศไทยที่รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตเธอหลังจากนี้ไม่ปลอดภัยแน่ถ้าต้องเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด วันนี้หากประเทศไทยยังคงร่วมและให้การสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาร์อยู่ ประเทศไทยอาจถูกลูกหลงตามเมียนมาร์ในฐานะที่ไปให้การสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ ถึงเวลานั้นจะลำบาก

"ตัดภาพมาที่ผู้นำประเทศไทยอย่างพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีประเทศไทย แทนที่จะบอยคอตการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาลพม่าที่กระทำกับประชาชนเสียชีวิตจากการปราบปรามและสลายการชุมนุมของทหารพม่าจำนวนหลายร้อยศพ กลับส่งตัวแทนเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ไปเข้าร่วมแสดงความยินดีในงานพิธีสวนสนามวันกองทัพเมียนมาให้ทั่วโลกประณาม แทนที่จะดึงสติที่ไปไกลให้ฉุกคิด แต่นางสาวทิพานันทน์ ศิริชนะ คนในพรรคพลังประชารัฐกลับออกมาช่วยอุ้มว่า เพื่อกระชับสัมพันธ์ทางด้านการทหารของทั้งสองประเทศ การทำเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดและรักษาดุลอำนาจ มันคือความโง่ต่างหากชาญฉลาดตรงไหน ถ้าคนใกล้ตัวพล.อ.ประยุทธ์คิดได้แบบนี้เหมือนมีหัวไว้คั่นหูเท่านั้น ไม่ได้ดูทิศทางลมของทั่วโลกเลยว่ามันพัดไปทางไหน สถานการณ์แบบนี้มีใครไปกระชับสัมพันธ์กับเมียนมาร์บ้าง แทนที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนตามหลักการประชาธิปไตยซึ่งสำคัญกว่า กลับมาสนใจเรื่องผู้สื่อข่าวสาวนั่งไขว่ห้างขณะท่านให้สัมภาษณ์ในทำเนียบรัฐบาล ถึงขั้นมีคำสั่งห้ามนักข่าวคนนั้นเข้าทำเนียบ เพราะนั่งไขว่ห้าง จะตลกไปไหน นี่เรากำลังอยู่ในยุคไหนกัน

"ยิ่งสองสามวันที่ผ่านมา มีข่าวหลุดออกมาเรื่องรัฐบาลถังแตก ถึงขั้นจะมีการหารือถึงการจัดเก็บภาษีของประเทศที่ไม่เข้าเป้า จนทำให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ต้องออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าได้สั่งให้ศึกษาที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ โดยจะยังไม่ขึ้นภาษีในช่วงนี้ และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ถังแตก แต่การออกมาพูดแบบนี้ของนายสุพัฒน์พงษ์ ยิ่งทำให้คนยิ่งหวาดกลัว เพราะที่การที่รัฐบาลออกมาพูดเช่นนี้มันทำให้คนชักไม่มั่นใจเพราะรัฐบาลมักทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับการพูดเสมอ โดยนายแฮรี่ เอ็ดมุนด์ โมรอซ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ออกมาแสดงความเห็นว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีวี่แววจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ยังมีผลกระทบด้านแรงงานอยู่ โดยช่วงไตรมาส 1/63 และ 2/63 พบว่ามีคนตกงานราว 340,000 ตำแหน่ง และในอนาคตมีแนวโน้มว่าปี 2583 แรงงานในตลาดจะเหลือ 35 ล้านคน จากปี 2563 ที่อยู่ราว 39 ล้านคน พล.อ.ประยุทธ์ยังยอมรับว่าการเงินการคลังประเทศไทยเสี่ยง รายได้ต่ำเป้า ใช้จ่ายสูง คาดต้องกู้อุดงบประมาณอีก 5 ปี

"ทำไมไม่มองบราซิลเป็นตัวอย่าง ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบราซิลหลังประธานาธิบดี ปรับคณะรัฐมนตรีไม่ลงตัว 3 ผู้นำเหล่าทัพของบราซิลลาออกทันที คาดว่าเกิดจากความไม่พอใจหลังจากความที่ล้มเหลวในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 โดยประธานาธิบดีโบลโซนาโร ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ และเคยระบุว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่สถานการณ์ล่าสุด ระบบสาธารณสุขทั่วประเทศเริ่มล่มสลายแล้ว เนื่องจากมีผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลมากที่สุดในโลก แต่ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนทนทานที่สุด สภาพไหนก็ทนได้ แต่ผู้มีอำนาจอาจจะคาดการณ์ผิด ห่วงสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศ เพราะสถานการณ์เวลานี้อาจจะทำให้ประชาชนลุกฮือเพราะเกินทนเหมือนประเทศเมียนมาร์ " นางสาวตรีชฎา กล่าว

.

ที่มา : https://www.posttoday.com/politic/news/649383


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ทำเนียบฯแจง ดูแล - อำนวยความสะดวกสื่อฯ ยันมีแนวปฏิบัติเท่าเทียมและทั่วถึง ยืดหยุ่น ไม่ละเลยมุ่งประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชน ขอบคุณ

เมื่อวันที่ 1 เมษายน  2564 นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษก ขี้แจงข้อมูลเพื่อให้สื่อมวลชนทั้งในทำเนียบรัฐบาล และที่ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติงานในทำเนียบรัฐบาลประจำ รวมถึงสาธารณชนที่สนใจเกี่ยวกับการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนภายในทำเนียบรัฐบาล ว่า ตลอดทุกสมัยที่ผ่านมา ผู้บริหารฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกในฐานะผู้รับผิดชอบการดูแล และอำนวยความสะดวกสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าว และช่างภาพเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความราบรื่น และไม่มีปัญหานั้น ได้ทำงานร่วมกันด้วยดีมาโดยตลอด แม้จะมีจำนวนสื่อมวลชนสนใจเข้ามาทำข่าว ติดตามสถานการณ์ จำนวนมากนับหลายร้อยคน ซึ่งทำเนียบรัฐบาลก็เปิดกว้าง และอำนวยความสะดวกอย่างทั่วถึงและดีที่สุด ตามนโยบาย โดยทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขตของตนเองด้วยความเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เกียรติ และเคารพสิทธิซึ่งกันและกันเสมอมา 

ในส่วนของการอำนวยความสะดวกนั้น จะเห็นได้ว่าสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลนั้นมีความใกล้ชิดกับแหล่งข่าวระดับสูงและมีสิทธิเสรีภาพอย่างมากในการปฏิบัติงาน ซึ่งแตกต่างจากในหลายประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดห้องปฏิบัติการสำหรับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด 3 ห้อง พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน เครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมทั้งระบบไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อให้สื่อมวลชนทำหน้าที่รายงานข่าวได้สะดวก มีการจัดระเบียบและกำหนดบริเวณให้สื่อมวลชน สามารถรายงานข่าวหรือสัมภาษณ์ผู้บริหารได้สะดวกและทั่วถึง 
.
ผู้อำนวยการสำนักโฆษกฯ กล่าวว่า  นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความต้องการและความจำเป็นในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยได้ยืดหยุ่นบางระเบียบ เพื่อให้สื่อมวลชนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวก ตรงกับความต้องการให้มากที่สุด เช่น อนุโลมให้นั่งรอ หรือดักรอสัมภาษณ์ผู้บริหาร บริเวณหน้าตึกบัญชาการ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประสานให้ความสะดวก เพื่อให้ทุกคนได้รับข้อมูลข่าวสารและรายงานให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องชัดเจน และรวดเร็ว

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดการตรวจคัดกรองด้วยวิธีการที่ดีที่สุด (SWAB Test) ให้แก่สื่อมวลชน และกำหนดมาตรการป้องกันสื่อมวลชนจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้แก่ การรักษาระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิประจำวัน และการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยและมั่นใจในการทำงานภายในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตระหนักในภาระหน้าที่และความสำคัญของสื่อมวลชน และยึดหลักปฏิบัติในการดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สื่อข่าวและช่างภาพทุกรายอย่างเต็มที่และเสมอภาคกัน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม 

“ท้ายนี้ สำนักโฆษกขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานร่วมกันมานาน จนเหมือนเพื่อน หรือญาติ ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวในฐานะเพื่อน แบะเพื่อนร่วมงาน สื่อเองมีน้ำใจกับสำนักโฆษกเสมอช่วยเหลือ มอบน้ำใจให้ ซึ่งสำนักโฆษกขอขอบคุณมา ฯโอกาสนี้ด้วย” ผู้อำนวยการสำนักโฆษกกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่าการชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีสื่อมวลชนรายหนึ่งทวิตข้อความพร้อมรูปภาพ นั่งรอทำจ่าวบริเวณบันได พร้อมเปรียบเปรยตัวเองเหมือนสุนัขหน้าสะดวกซื้อ จนมีผู้ เข้ามาแสดงความเห็นตำหนิการทำงานการดูแลสื่อมันชนของสำนักโฆษกฯ จึงได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง
.

“ทิพานัน” จวก “พิธา” โหนการเมืองเมียนมา หวังดิสเครดิตรัฐบาล-สุมไฟการเมืองไทย

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ประณามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าให้การสนับสนุนความรุนแรงและกองทัพที่เข่นฆ่าประชาชนชาวเมียนมา ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตีความเกินเลย คำว่าสนับสนุนความรุนแรงและการเข่นฆ่าเป็นการปรักปรำ ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ กล่าวหาใส่ร้ายโดยไร้หลักฐาน ต่อรัฐบาล เพราะไม่เคยมีผู้นำหรือผู้แทนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเช่นนั้น 

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า หากนายพิธา ไม่ทราบและแยกแยะไม่ออกว่าการสนับสนุนความรุนแรงเป็นอย่างไร มีตัวอย่างให้เห็น คือ พรรคสนับสนุนให้นักการเมืองชายที่มีประวัติเกี่ยวข้องคดีใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำร้ายร่างกายผู้หญิงเป็นผู้นำ หรือกรณีที่ ส.ส. บางพรรค ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มที่กระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหา 

รวมถึงเคลื่อนไหวในสภาฯให้แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้พ้นจากความผิด และพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อต้องการให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาโดยประกาศจะใช้อำนาจ กมธ. เชิญประธานศาลฎีกา มาชี้แจง การกระทำเหล่านี้น่าจะเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำความผิดที่ใช้ความรุนแรงชัดเจนและยังเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ แถลงขอให้ทางการเมียนมา ยุติการใช้ความรุนแรง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวเพิ่มขึ้น และเตรียมที่จะหารือในเรื่องดังกล่าวในการประชุมอาเซียนซัมมิทในเดือนเม.ย.นี้ ในระหว่างนี้ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และอำนวยความสะดวกแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สู้รบในเมียนมา ซึ่งตรงข้ามกับข้อกล่าวหาของนายพิธา ที่โจมตีรัฐบาลว่าให้การสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แต่นายพิธา กลับฉวยโอกาสนำการเมืองระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล หาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง 

“ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยด้วยกันเอง นักการเมืองบางคนพยายาม โหนกระแสวิกฤตในเมียนมา มาตอมกลิ่มความขัดแย้งในสังคมและขยายผล พยายามทำร้ายและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ แต่เชื่อว่าประชาชนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่หลงไปกับกระแสที่นักการเมืองพยายามเสี้ยมให้เข้าใจผิดรัฐบาล ที่หวังสุมไฟหวังให้เกิดสงครามกลางเมืองซ้ำเติมให้ประเทศบอบช้ำ” นางสาวทิพานัน กล่าว

นร. ต้องมาก่อน “ดร.กนก” ชี้เป้า! จัดซื้อ แนะ “ตรีนุช” เพิ่มเงิน “ครูชนบท”

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแนะนำหลักในการวางนโยบาย และแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติงาน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ “นางสาวตรีนุช เทียนทอง” ที่เน้นย้ำให้เอาประโยชน์ของคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน และชั้นเรียนเป็นสำคัญ ผ่านภารกิจ 3 เรื่อง คือ  

1.) การกระจายอำนาจให้โรงเรียน โดยเฉพาะงบประมาณ

2.) การนำระบบฝึกหัดครูกับมาสร้างครูใหม่

และ 3.) เปลี่ยนวิธีการสอนของครูในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน

“นี่เป็นสิ่งที่ผม และอีกหลายคน หวังว่ารัฐมนตรีท่านนี้จะทำได้สำเร็จ และแม้จะไม่สามารถครอบคลุมทุกชั้นเรียนได้ ก็อาจกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย อาทิ จำนวนโรงเรียน หรือชั้นเรียน แล้วทุ่มงบประมาณอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประสบความสำเร็จภายใน 2 ปี ตามอายุรัฐบาลนี้ และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมเสนอให้กำหนดเป็นโรงเรียนจำนวน 5,000 แห่ง และชั้นเรียนจำนวน 30,000 ห้อง เป็นเป้าหมาย ส่วนระบบฝึกหัดครูนั้น ก็ควรให้จัดทำโครงการฝึกหัดครูร่วมกับมหาวิทยาลัย ที่มากกว่า คณะศึกษาศาสตร์ เช่น ต้องมีคณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น มาเข้าร่วมด้วย 10 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างครูพันธุ์ใหม่ จำนวน 4,000-5,000 คนในเวลา 2 ปีนี้ และบรรจุครูกลุ่มนี้ทดแทนครูเกษียณทั้งหมด ส่วนการกระจายอำนาจให้โรงเรียน ก็ควรทดลองปฏิบัติกับโรงเรียนที่คัดเลือกตามนโยบายยกระดับชั้นเรียนจำนวน 5,000 โรงเรียนไปพร้อมกันเลย”

นอกจากนี้ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีท่านนี้ ยังได้กล่าวเตือนถึงกับดักในกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง และการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ ที่ทำลายอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาหลายท่านแล้ว
 
“กระทรวงแห่งนี้ มีงบประมาณกว่า 300,000 ล้าน ซึ่งถือว่ามหาศาล ดังนั้น ข้าราชการบางคน และเอกชนบางกลุ่ม ก็จะหาแนวทางในการเสนอโครงการใหม่ ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ ในจำนวนเงินที่สูง และวางจุดมุ่งหมายอันเชื่อมโยงไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และยกระดับการบริหารให้มีประสิทธิภาพ แต่ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ โครงการเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก และเทคโนโลยีทันสมัย ที่มีราคาสูง รวมไปถึงการก่อสร้าง แต่มิได้มีการวางลำดับความสำคัญของการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์สำหรับครู เพื่อการพัฒนาสาระวิชา และสร้างการสอนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นเลย 

“ส่วนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายครู และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนใหญ่มักเป็นการย้ายตามความประสงค์ของครู หรือบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่ใช่ความจำเป็นของนักเรียน และโรงเรียน แต่อย่างใด ดังนั้น ก่อนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย รัฐมนตรีต้องมีข้อมูลชัดเจนถึงความต้องการ และปัญหาจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อบริหารจัดการการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย ให้ตรงกับความต้องการ และปัญหาของโรงเรียนนั้น ๆ นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน และชั้นเรียนอย่างแท้จริง”

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังทิ้งท้ายถึง “วัฒนธรรมการบริหาร” ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องส่งเสริมให้ “คนเก่งและดี” มีความเจริญก้าวหน้า และได้รับบทบาทให้ช่วยทำงานสำคัญ ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง “ระบบบริหารของกระทรวงต้องรักษาครูที่ดี ที่เก่ง เป็นที่ต้องการของพื้นที่เอาไว้ ไม่ให้ลาออกหรือขอย้ายจากพื้นที่ที่นักเรียนต้องการ ด้วยการจูงใจและสนับสนุนครูเหล่านั้นอย่างเหมาะสมกับความสามารถ และประสบการณ์ เพื่อที่นักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสจะได้ครูดี ๆ ที่มีคุณภาพสำหรับพวกเขา เช่น การปรับค่าตอบแทนครูในชนบทห่างไกล หรือโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีผลการสอนตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรเพิ่มเงินพิเศษอีกเดือนละ 5,000 บาท นอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ และค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ระบบปัจจุบันกำหนดเอาไว้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top