Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการลักหลับออกคำสั่งปิดแคมป์แรงงานเป็นเวลา 30 วัน ว่า...

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการลักหลับออกคำสั่งปิดแคมป์แรงงานเป็นเวลา 30 วัน ว่า...

คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ออกมาเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คือเข้าสู่ระลอก 4 แล้ว โดยการกระจายเชื้อเกิดขึ้นเป็นวงกว้างไม่ใช่เฉพาะในแคมป์แรงงานหรือร้านอาหารเท่านั้น แต่สามารถจะพบได้จากชีวิตประจำวันในชุมชน หมู่บ้าน หอพัก คอนโดมิเนียม ที่ทำงาน แต่การสั่งที่เน้นลงไปที่แรงงาน เป็นเรื่องของการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่นั่งเป็นประธานสารพัดชุดเฉพาะกิจ ไม่ว่าจะเป็น ประธานศูนย์อำนวยการจัดการวัคซีนแบบ Single Command, ผู้อำนวยการ ศบค.กรุงเทพและปริมณฑล, ผู้อำนวยการ ศบค. และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ได้รวบอำนาจใน พ.ร.บ. ทั้ง 31 ฉบับจากสาธารณสุขและหน่วยงานมาไว้กับตนเอง ต้องการหาแพะมารับบาปแทนตัวเองที่ไม่สามารถบริหารสถานการณ์ได้ หรือต้องบอกว่าเป็นตัวการสำคัญที่ลากให้สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ได้

“การโทษไปที่แคมป์แรงงาน ก็เพื่อบอกชาวกรุงเทพว่าคนกลุ่มนี้เป็นต้นเหตุของตัวเลขที่พุ่งสูงในช่วงนี้ทั้งที่สถานการณ์ที่เป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเสียทั้งหมด ในสถานการณ์นี้ยังมีคนทำงานหรือคนกรุงเทพทั่วไปอย่างพวกเราที่ต้องออกไปทำงานแลกข้าว แลกอาหาร แลกค่าแรง ที่หยุดงานไม่ได้และยังสามารถที่จะกระจายเชื้อได้อยู่ดี แต่อาจเป็นเพราะแรงงานเป็นกลุ่มที่มีปากเสียงในสังคมน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้รัฐบาลเลือกพวกเขามาเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์ของสังคมแทนตัวเองในครั้งนี้ และพยายามตีเนียนหาวิธีลดตัวเลขผู้ติดเชื้อและการหาเตียงในกรุงเทพฯ ด้วยการลักหลักออกประกาศปิดแคมป์ตอนตี 1 เป้าหมายเพื่อให้เกิดความโกลาหลและให้คนรีบกลับต่างจังหวัดก่อนประกาศจะมีผลบังคับใช้จริง กรุงเทพฯ จะได้มีเตียงเหลือพอ

โร้ดแม็ปนี้เป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เองที่หลุดพูดออกมา การกระทำแบบนี้ต้องบอกว่าเลวร้ายมากเพราะนอกจากวิกฤติในกรุงเทพฯ จะไม่ลดแล้วยังจะเป็นการส่งเชื้อให้กระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย และถ้าเกิดสถานการณ์นั้นเมื่อไหร่ เชื่อได้เลยว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็จะออกมาด่าตราหน้าพวกเขาว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งที่สถานการณ์นี้เป็นท่านเองที่สร้างมันขึ้นมาทั้งนั้น”

ณัฐชา กล่าวว่า การกระทำกับแรงงานเช่นนี้คือภาพสะท้อนอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลนี้มองคนไม่เท่ากันมาโดยตลอด และบริหารวิกฤติอย่างอำมหิต แรงงานคือคนอีกระดับที่จะถูกจัดการอย่างไรก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่แรงงานต้องการก็ไม่ต่างจากคนอื่นในประเทศนี้ เขาต้องการได้รับการตรวจที่รัฐบาลต้องตรวจเชิงรุก เขาต้องการพื้นที่กักตัวแยกตัวที่ได้รับการดูแลอย่างเป็นมนุษย์ไม่ใช่คุกสังกะสีที่เรียกว่าแคมป์คนงานที่มีทหารเฝ้าคุม เขาต้องการหมอพยาบาลและการรักษาเมื่อเจ็บป่วย และเขาก็ต้องการการชดเชยเยียวยาอย่างสมเหตุสมผลเมื่อมีคำสั่งของรัฐมากระทบ ตนเชื่อว่า หากพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ยอมรับ และเข้าใจ ไม่ว่ามาตรการจะเข้มงวดแค่ไหนเขาก็ยินดีจะปฏิบัติตาม

“ถ้ารัฐบาลมองคนเท่ากันจะไม่มีประกาศลักหลับเช่นนี้ออกมา สิ่งที่ผู้นำที่มีวุฒิภาวะทั่วโลกทำให้เห็นตลอด คือทุกครั้งที่เขาจะมีมาตรการใดออกมากระทบต่อพี่น้องประชาชน เขามักเริ่มต้นด้วยคำขอโทษ เริ่มต้นด้วยความเห็นใจและเริ่มต้นด้วยการชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากนั้นเขาจะพูดถึงวิธีการดูแลเยียวยาที่เขาจะทำเพื่อชดเชยผลกระทบเหล่านี้ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการแถลงข่าวอย่างยิ้มแย้มเล่นมุกกันในวันที่ผู้ติดเชื้อพุ่งไปกว่า 4,000 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการลักหลับออกคำสั่งโดยไม่พูดถึงการเยียวยาอะไรเลยและหายหน้าไปเพราะติดเสาร์อาทิตย์ ผมคิดว่าหากเราจะต้องมีผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะเช่นนี้ สู้เราไม่มีเสียเลยจะดีกว่า เพราะถ้าไม่มีเรายังพอหาทางออกกันเองได้ แต่ถ้ามีแบบนี้ ต่อให้คนทั้งประเทศมีทางออก คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ นี่แหละที่จะขวางทางออกไปหาความหวังของประเทศนี้ตลอดเวลา”

ณัฐชา ยังได้กล่าวต่อว่า วิกฤตของพี่น้องแรงงานที่กำลังประสบในขณะนี้ตนเองสัมผัสได้ดีในฐานะที่เคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และอยู่ในสายงานนี้มาตลอดตั้งแต่เรียนจบในฐานะเด็กอาชีวะคนหนึ่ง การสั่งแรงงานก่อสร้างหยุดทำงานเป็นเวลาหนึ่งเดือน มันคือ ‘คำสั่งตาย’ สั่งให้พวกเขาอด สั่งให้ขาดรายได้ และจะขาดลมหายใจในท้ายที่สุด คำสั่งที่ออกมาจึงเป็นเหมือนคำสั่งของคนที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้เลย เหตุใดตนจึงกล้าพูดเช่นนี้ นั่นก็เพราะแรงงานก่อสร้างมากกว่าร้อยละ 90 คือผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน วันไหนที่ไม่ทำงานเท่ากับว่าไม่มีรายได้

ส่วนที่พักของคนงานจะถูกสร้างและออกแบบเพื่อนอนตอนกลางคืนอย่างเดียว เวลากลางวันอาศัยอยู่ไม่ได้เพราะก่อสร้างด้วยสังกะสี อากาศจะร้อนจนแทบสุก ปกติเขาจึงทำงานเกือบ 7 วัน น้อยมากที่จะอยู่ที่แคมป์นอกจากกลับมานอน

ดังนั้น เมื่อมีการสั่งพวกเขาห้ามทำงาน จึงเท่ากับสั่งให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีรายได้ภายในแคมป์สังกะสีร้อน ๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งแค่อยู่จริงแค่วันสองวันก็แทบอยู่ไม่ได้แล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเมื่อคำสั่งออกมาว่าจะต้องอยู่แบบนี้เป็นเดือน ๆ ทำไมเขาจึงตัดสินใจไปเสี่ยงตายเอาที่บ้านเกิดดีกว่า

“ล่าสุด ได้ยินว่าท่านจะชดเชยค่าแรงให้แค่ร้อยละ 50 เรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจน แต่หนี้และดอกเบี้ยชัดมากและยังเดินเต็มที่ ปกติแรงงานยังสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการกินกับไซต์งานได้ แต่เท่าที่ทราบเรื่องกระทั่งเรื่องการดูแลอาหารการกินก็ยังไม่ชัดเจน ที่ร้ายกว่านั้นคืองบเยียวยาท่านยังจะไปเอามาเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้ จึงยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมาก เพราะเงินก้อนนี้คือเงินของนายจ้างและลูกจ้างที่สะสมไว้เพื่ออนาคต ส่วนรัฐมีแต่ค้างหนี้ประกันสังคมอีกหลายหมื่นล้านบาท ไม่ยอมจ่ายแล้วยังจะไปล้วงเงินกระเป๋าของเขาเองแล้วบอกว่าเป็นเงินเยียวยาได้อย่างไร กู้เงินมาแล้วตั้งมากมายทำไมจึงไม่ใช้เงินของรัฐชดเชย เงินกองทุนประกันสังคมที่ควรจะเป็นหลักประกันความมั่นคงของคนทำงานหรือเป็นบำนาญยามแก่เฒ่าของลูกจ้างกลับถูกรัฐบาลล้วงกระเป๋ามาใช้เพื่อแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กองทุนประกันสังคมก็อาจมีความเสี่ยงที่จะล้มได้”

ณัฐชา ย้ำว่า ขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี และศบค. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้ออกคำสั่งที่สิ้นคิดนี้ว่า จะต้องมีการชดเชยทันทีอย่างเต็มที่ การชดเชยในที่นี้คือการชดเชยรายได้ การรับผิดชอบต่อชีวิตข้างหลังของพวกเขา ไม่ใช่แค่การแจกอาหารแห้งให้ประทังชีวิต ภาระที่อยู่เบื้องหลังของคนงานก่อสร้าง คือครอบครัว พ่อแม่ ลูกเมีย หากพวกเขาไม่มีรายได้ อีกหลายชีวิตก็ไร้อนาคตเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวไม่ได้กระทบเฉพาะแรงงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ทั้งระบบ อย่างผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็มีผลกระทบเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ส่งมอบงานล่าช้าเขาก็ต้องจ่ายค่าปรับ ยังมีค่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แพงขึ้น หรือต้องสั่งใหม่ ต้นทุนเหล่านี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ จนถึงตอนนี้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศอวดครวญ ร่ำร้อง เป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาไม่ไหวแล้ว

การบริหารจัดการที่ล้มเหลวซ้ำ ๆ ของรัฐบาลเวลานี้ไม่ต่างอะไรเลยกับการบดขยี้ชีวิตของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อว่าสำหรับประชาชนตอนนี้คงเหลือแค่คำตอบเดียวเท่านั้นที่เขาอยากให้ความหวังเป็นจริงที่สุด นั่นก็คือ การได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไปเสียที


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ. ระดมศักยภาพช่วยประชาฟันฝ่าโควิด พร้อมสนับสนุน สธ. เตรียม รพ.สนาม รับผู้ป่วย เดินหน้าฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กำลังพลและประชาชน ขณะที่ฌาปนสถาน ทบ. ประกอบพิธีศพผู้ติดเชื้อแล้ว 231 ราย

ร้อยเอกหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษก ทบ. เปิดเผยว่า กองทัพบกดำรงการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหน่วยทหารทั่วประเทศได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน (ชป.กร.) และอาสาสมัครกิจการพลเรือน (อส.กร.) ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลและบริการด้านสาธารณสุขของรัฐบาล อาทิ ร่วมรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิด-19 และบริการลงทะเบียนรับวัคซีนผ่านช่องทางที่ สธ. กำหนด พร้อมแจกอุปกรณ์หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้กับประชาชน นอกจากนี้ในพื้นที่ที่พบการระบาดเฉพาะกลุ่ม (Cluster) หรือพื้นที่ที่ประชาชนประสบปัญหาการดำเนินชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพนั้น กำลังพลจิตอาสาและรถครัวสนามได้ลงพื้นที่ประกอบอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับประชาชน ดำเนินการตั้งแต่ 1 พ.ค.64 รวม 315,376 กล่อง พร้อมนำผลผลิตจากโครงการทหารพันธุ์ดีและพืชผลที่กองทัพบกได้อุดหนุนเกษตรกรรับซื้อจากไร่สวน มามอบให้กับประชาชนพื้นที่ดังกล่าว ช่วยเหลือเกษตรกรรวม 50,647 ราย

สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านระบบสาธารณสุข กองทัพบกได้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก” เพื่อเป็นสื่อกลางให้ความรู้คำแนะนำ และประสานข้อมูลระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ผ่านเบอร์โทรศัพท์ 02-270-5685 ตลอด 24 ชม. ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 3 พ.ค.64 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการแล้ว 748 คู่สาย ส่วนผู้ที่ได้รับการตรวจหาเชื้อและพบผลบวกหรือเป็นผู้ติดเชื้อนั้น กองทัพบกโดยศูนย์เคลื่อนย้ายฯ ได้สนับสนุนรถพยาบาลรวมทั้งปรับยานพาหนะทางทหารที่มีอยู่และมีความเหมาะสม ในการรับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อจากที่บ้านไปเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม และส่งกลับบ้านหลังครบกำหนดระยะเวลารักษาตามกระบวนการ สธ. รวมดำเนินการทั้งสิ้น 1,028 ครั้ง ขณะที่การสนับสนุนด้านสถานพยาบาลเพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยปัจจุบันยังคงพบยอดผู้ติดเชื้อกระจายตามพื้นที่ต่างๆ กองทัพบกจึงได้ปรับพื้นที่ในหน่วยทหารเป็นโรงพยาบาลสนามจำนวน 14 แห่งทั่วประเทศ สามารถรองรับได้ 2,317 เตียง ปัจจุบันมีผู้ครองเตียง 530 ราย ซึ่งยังคงมีปริมาณเตียงว่างเพียงพอต่อการสนับสนุน สธ.จังหวัด รับผู้ติดเชื้อในพื้นที่นั้นๆ ได้ 

ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 กองทัพบกยังคงสนับสนุนฌาปนสถาน ทบ. ทั้งในพื้นที่ส่วนกลาง ได้แก่ วัดโสมมนัสวรวิหาร, วัดอาวุธวิกสิตาราม และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต และส่วนภูมิภาค วัดสุทธจินดาวรวิหาร จ.นครราชสีมา สำหรับประกอบพิธีและฌาปนกิจศพอย่างต่อเนื่องให้กับครอบครัวที่มีความประสงค์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้การบริหารจัดการตามมาตรการป้องกันโรคของ สธ. ซึ่งปัจจุบันสามารถดำเนินการฌาปนกิจศพ ช่วยเหลือคลายความกังวลให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตไปแล้ว 231 ราย 

ในส่วนของมาตรการป้องกันสำหรับกำลังพลและครอบครัว กองทัพบกได้กำหนดมาตรการระดับบุคคล หน่วยทหารและประชาชนทั่วไป ควบคู่ไปกับมาตรการพิทักษ์พลและแนวทางของ ศบค. พร้อมมอบโรงพยาบาลในสังกัด 37 แห่ง ดำเนินการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับกำลังพลโดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานพื้นที่เสี่ยงตามแนวทางจัดสรรของ สธ. ประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์, กกล.ป้องกันชายแดน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ รวมได้รับวัคซีนแล้ว 56,234 นาย และจะดำเนินการต่อเนื่องตามที่ได้รับการจัดสรร ตลอดจนการเตรียมการฉีดวัคซีน-19 ให้กับทหารใหม่ผลัดที่ 1/64 ที่จะเข้ากองประจำการในวันที่ 1 และ 3 ก.ค.64 นี้ เพื่อสร้างความปลอดภัย เสริมความมั่นใจให้กับทหารใหม่และครอบครัว นอกจากนี้โรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศได้สนับสนุน สธ. จังหวัด ร่วมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมและโครงการที่รัฐบาลกำหนด ตั้งแต่ 7 มิ.ย.64 มีประชาชนผู้เข้ารับบริการรวม 36,350 ราย 

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่กำชับให้หน่วยทหารระดมศักยภาพในทุกมิติ สนับสนุนรัฐบาล ลดภาระสาธารณสุข พร้อมช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ดูแลให้ปลอดภัยและสามารถดำเนินชีวิตปกติได้อย่างดีที่สุดภายใต้สถานการณ์วิกฤตนี้


 

ทร. แจง ผบ.ทร. เสี่ยงต่ำ ใกล้ชิด “แพนเค้ก” ร่วมงาน ทร.  ไม่ต้องกักตัว รอสังเกตุอาหาร ยัน มีมาตรการเข้ม 

พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงกรณีที่ นางสาว เขมนิจ จามิกรณ์ แพนเค้กโฆษกพิเศษกองทัพเรือ แจ้งผลการตรวจเชื้อไวรัส  COVID-19 มีผลเป็นบวก โดย ระบุ TIMELINE ว่า ได้ไปร่วมงานที่กองทัพเรือ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นั้น ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ดำเนินการตามมาตรการ  DMHT  ในการ ป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด  ประกอบด้วย  D : Distancing เว้นระยะห่างระหว่างกัน  M : Mask Wearing สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand washing ล้างมือบ่อย ๆ T : Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้างาน จากข้อมูล โดยกรมแพทย์ทหารเรือ 

สำหรับการจัดกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดตามระดับความเสี่ยงการรับเชื้อ มีดังนี้

ผู้สัมผัสที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อสูง ได้แก่ 

1.) ผู้สัมผัสใกล้ชิดในที่ทำงาน / ในชุมชน ได้แก่ผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยในขณะมีอาการและมีประวัติอาจจะสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินเดินหายใจ หรือไอจามจากผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า 2019 

2.) ผู้ที่อยู่ในชุมชนเดียวกับผู้ป่วยและสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือไอจามจากผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า 2019 

3.) บุคคลนอกเหนือจากข้อ1และข้อ2 ที่อยู่ในระยะห่างไม่เกิน1เมตรจากผู้ป่วย ซึ่งรวมระยะเวลาที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้านานกว่า5นาที

นอกเหนือจากนั้น จะจัดอยู่ในกลุ่มเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ รวมถึงกรณี การใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทั้งผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัส ก็ถือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ

สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะทำการกักตัว 14วัน และ SWAB ในครั้งแรก และในวันที่ 12 สำหรับผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำ ให้เฝ้าระวังตนเองโดยไม่ต้องกักตัว หากมีอาการป่วยให้มาพบแพทย์

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวยืนยันว่าในกรณีของผู้บัญชาการทหารเรือ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากมีการใส่หน้ากากอนามัยทั้งสองฝ่าย  ไม่ต้องกักตัว แต่อย่างไรก็ตามต้องเฝ้าสังเกตอาการตนเองเป็นระยะเวลา 14 วัน 
 
 โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า  การเดินทางเข้ามาร่วมงานที่กองทัพเรือ ของ แพนเค้ก เนื่องจาก ในวันที่ 3 ส.ค.64 กองทัพเรือ และ สภากาชาดไทยจะจัดให้มีการแสดงกาชาดคอนเสิร์ตครั้งที่ 47 เพื่อหารายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย โดยได้เชิญ เขมนิจ จามิกรณ์ (แพนเค้ก) โฆษกพิเศษกองทัพเรือ  มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงิน ร่วมกับ กองทัพเรือ และสภากาชาดไทยช่วยคนไทยรับมือ COVID-19  

“มท.1” คาด มีติดเชื้อเพิ่ม หลังแรงงานทิ้งกทม.กลับบ้าน สั่งเข้มตรวจเชิงรุก พบกลับบ้านให้กักตัว 14 วัน วอนสังคมเข้าใจ แก้โควิดไม่ง่าย ยัน รัฐบาลสื่อสารทุกเรื่องชัดแล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลแรงงานเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัด หลังปิดแคมป์คนงานในกทม. และปริมณฑล จำนวนมาก ว่า เรามีนโยบายให้แรงงานอยู่ในแคมป์ ไม่ให้เคลื่อนย้าย และจะเยียวยาเฉพาะคนที่อยู่ในแคมป์ ส่วนแรงงานที่เคลื่อนย้ายไปต่างจังหวัด ที่เป็นแรงงานคนไทย ต้องถูกกักตัวที่บ้าน 14 วัน เพื่อสังเกตอาการ ไม่ให้ออกไปไหน ซึ่งทุกพื้นที่จะเป็นอย่างนี้หมด เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของเชื้อ โดยกระทรวงมหาดไทย จะกำชับให้พื้นที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต้องเข้มงวด ฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการแพร่เชื้อ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการรายงานถึงผลเสียอะไรออกมา

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนที่สื่อเผยแพร่ว่ามีแรงงานออกมาซื้อข้าวของ เนื่องจากเพิ่งจะมีคำสั่งออกมา และระบบยังไม่มีความพร้อม แต่เรื่องนี้ศบศ. ได้ให้ทำงานบูรณาการกันระหว่าง สมาคมทางด้านอาหาร และผู้ประกอบการก่อสร้าง ให้ร้านอาหารต่างๆทำอาหารไปแจกจ่ายตามแคมป์ก่อสร้างเพื่อแก้ปัญหา จึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมได้ดีขึ้น ทั้งนี้ยอมรับว่าที่มีปัญหาคือการควบคุมแคมป์ก่อสร้างในต่างจังหวัด และปริมณฑล ที่มีหลายร้อยแห่ง หากปล่อยให้เกิดการเคลื่อนย้ายก็จะคุมไม่อยู่และจะทำให้มีปัญหาเรื่องเตียงไม่เพียงพอ จึงต้องหยุดการเคลื่อนที่ทั้งหมด ไม่ให้เคลื่อนย้ายไปต่างจังหวัด แต่จะให้อยู่ในแคมป์ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องควบคุมแคมป์คนงานในต่างจังหวัดด้วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เราจะคุมทั้งหมดในพื้นที่สีแดง และทุกพื้นที่จะต้องเข้มงวดไม่ให้มีแรงงานออกจากแคมป์ ถ้าพบว่าออกไปก็จะต้องถูกกักตัว ตนเชื่อมั่นว่าต่างจังหวัดจะมีความเข้มงวดไม่ให้แรงงานเหล่านี้เข้าไปอยู่พื้นที่ ยืนยันว่าจะไม่มีการไปแพร่เชื้อในต่างจังหวัด สิ่งที่อยากเน้นคือเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอยู่ ถ้าเขามีเชื้อและถูกกักตัว เชื้อก็จะไม่ระบาด 

“สื่ออย่าไปลงว่า เมื่อแรงงานที่อาจจะมีเชื้อไปต่างจังหวัด แล้วจะทำให้แดงไปทุกจังหวัด ต้องดูให้ละเอียด เพราะเราคุ้นเคยกับโควิด มาตั้งแต่ระลอกแรก พอปิดกทม.หมด ประชาชนก็หนีออกไปต่างจังหวัด อาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะเกิดจากการแพร่ระบาดในจังหวัดนั้นๆตรงนี้ทำให้เราเห็นว่าน่าจะคุมได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถึงการป้องกันแรงงานในบริเวณชายแดน ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องที่ต้องป้องกัน หากลักลอบเข้ามาก็จับ ซึ่งแรงงาน เสนอว่าถ้ามีความจำเป็นต้องใช้แรงงาน จะให้เข้ามาให้อย่างถูกต้อง โดยต้องคุยกับ 3 ประเทศด้วย เมื่อเข้ามาต้องมีมาตรการกักตัว เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายและจะช่วยในการจัดการการแพร่เชื้อได้ เมื่อถามว่าจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เป็นพิเศษ หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องระดมกำลังทหาร ตำรวจและมหาดไทย เพราะ 6 จังหวัด มีหลายร้อยแคมป์จึงต้องช่วยกันหมดทุกหน่วยงาน

เมื่อถามว่าถึงความคืบหน้าของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ยอมรับว่ายังฉีดไม่ได้หมด เพราะการฉีดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัคซีนที่มีอยู่ ต่อข้อถามว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ทำงานเต็มกำลังแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในพื้นที่สีแดงจะเต็มที่แล้ว เช่นการสร้างโรงพยาบาลสนาม ไม่ใช่มีแต่การสร้างเตียง แต่มีบุคลากรสธ.เข้ามาทำงานด้วย ขณะเดียวกันบุคลากร ต้องป้องกันตัวเองด้วย ส่วนเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่นเชื่อว่าระดมได้ โดยช่วงนี้ให้ทหารมาคุมหน้าแคมป์คนงาน 

เมื่อถามว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก ไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องค่อยๆสื่อสาร เพราะโควิดเป็นเรื่องซับซ้อน บางทีสื่อมาถามตนยังไม่แน่ใจว่าสื่อเข้าใจหมดหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องยากยิ่งมีการตั้งคำถามว่ากลัวจะเป็นอย่างนี้กลัวจะเป็นอย่างนั้นยิ่งทำให้ยุ่งกันไปใหญ่ เมื่อรัฐบาลทำมาตรการอะไรไปก็จะมีคำถามตามมาอีก

เมื่อถามว่ารัฐบาลจะจำเป็นต้องสื่อสารให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลสื่อสารชัดเจนไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมาก็แก้ตามสถานการณ์ แต่ตอนนี้ปัญหาเกิดจากแคมป์ก่อสร้างติดเชื้อมาก มากเสียจนระบบสาธารณสุขจะรับไม่ได้ ยกตัวอย่างกทม.ป่วยเป็นพัน ๆ คน และคนที่ป่วยทุกคนก็อยากอยู่โรงพยาบาลทั้งนั้น ไม่ว่าจะเขียว เหลือง แดง เขาอยากอยู่ทั้งนั้น พอเราจัดไม่ทันต้องรอก็เริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาวิธีหยุดให้ได้ เพราะถ้ายังเพิ่มวันละพัน แม้จะทำโรงพยาบาลสนามได้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นแคมป์คนงานจำเป็นจะต้องหยุดก่อนร่วมทั้งชุมชนจะต้องเข้มงวดด้วยและต้องตรวจเชิงรุก 

เมื่อถามว่า กังวลถึงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรามีหน้าที่สร้างความเข้าใจและอย่านึกว่าเรื่องโควิดเป็นเรื่องที่แก้กันง่าย ๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่แก้ง่ายมันยากมันซับซ้อน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเข้าใจ ตนไม่คงไม่ต้องยกตัวอย่างของหลายประเทศ ซึ่งเขามีปัญหาทั้งนั้น เข่น วัคซีน การรักษาอาการก็มีปัญหา ประเทศชั้นนำก็ทราบดีว่ามีปัญหา ซึ่งเราก็ต้องแก้ไขปัญหาไป และเราก็อยากให้ทุกคนได้รับความดูแลและอยากให้ทุกคนร่วมมือการป้องกัน

"วันชัย" เหน็บ "ฝ่ายค้าน" หยุดมโน ใส่ร้าย ส.ว. เผยไม่มีใครคิดยื่นตีความแก้รธน. รื้อระบบเลือกตั้ง

นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่ามี ส.ว. เตรียมยื่นตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ว่า ตนไม่ได้ข่าวว่าจะมี ส.ว. เตรียมยื่นและไม่มี ส.ว. คนใดที่คิดจะดำเนินการดังกล่าว เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้งที่เป็นความต้องการของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น ส.ว. ไม่คิดจะขวางหรือขัดแข้งขัดขาของ ส.ส. ทั้งในการพิจารณาเนื้อหาวาระ 2 รวมถึงวาระ 3 ด้วยเช่นกัน

“ฝ่ายค้านอย่าคิดมาก อย่ามโน และอย่าคอยใส่ร้ายทิ่มตำกัน ทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน เมื่อเจตจำนงต้องการแก้บัตร 2 ใบ ให้มี ส.ส.เขต 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน ก็ควรร่วมมือแก้ให้สำเร็จ ขณะที่บรรยากาศของทั้ง 2 ฝ่ายหลังจากลงมติรับหลักการวาระแรกแล้วยังเป็นไปด้วยดี บรรยากาศเข้าที่เข้าทาง เพราะเห็นว่าส่วนใหญ่ต้องการ และไม่ถึงขนาดที่จะทำให้เกิดเป็นผลเสีย แม้ช่วงแรกจะมีความรู้สึกหงุดหงิดกันบ้าง” นายวันชัย กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตรา ซึ่งมีผู้ระบุว่าไม่เพียงพอต้องแก้ไขมาตราอื่นๆ ร่วมด้วย นายวันชัย กล่าวว่า หลักการใหญ่ที่เสนอ คือ แก้ไขระบบเลือกตั้ง ดังนั้นในแนวปฏิบัติสามารถแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องได้อย่างเรียบร้อย แต่ทั้งนี้เป็นเรื่องที่กรรมาธิการฯ ต้องพิจารณา

“ศรีสุวรรณ” พร้อมแพทย์เวชกรรม ยื่นศาล รธน. วินิจฉัยกรณีหญิงตั้งท้องประสงค์ทำแท้งขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หวั่นกม.กระทบจิตใจหมอ 

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมคณะแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอใช้อำนาจตามมาตรา231 ของรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา301 มาตรา305(3) มาตรา305(4) และ มาตรา305(5) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา26 ประกอบ มาตรา4 มาตรา25 มาตรา26 มาตรา27 มาตรา28 มาตรา50(6) และ มาตรา77 วรรคสอง หรือไม่ ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวเป็นการอนุญาตให้หญิงที่ตั้งครรภ์หากประสงค์จะทำแท้งก็สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยไม่มีความผิด แม้อายุครรภ์จะมากกว่า 12 ถึง 20 สัปดาห์ และหากจะให้แพทย์ทำแท้งให้ก็เพียงแค่ยืนยัน ว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศเท่านั้น ก็สามารถทำแท้งได้เลย โดยไม่ต้องมีข้อบ่งชี้หรือหลักฐานยืนยันเสียก่อน อันถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดของไทย 

แต่เมื่อกฎหมายดังกล่าวได้มีการบังคับใช้มาแล้ว ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจำต้องทำแท้งให้คนท้อง เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจแพทย์ที่ต้องทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นอย่างมาก แม้ในทางกฎหมายจะยังไม่ถือว่าทารกในท้องยังไม่มี “สภาพบุคคล” แต่ในทางการแพทย์ตามศัพภวิทยา (Embryology) ระบุว่า “เด็กอายุครรภ์ 3 เดือนหรือ 12 สัปดาห์นั้น มีอวัยวะต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว มีอวัยวะเพศชัดเจน มีหัวใจเต้นเร็ว มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เนื่องจากระบบประสาททำงานแล้ว มิใช่เป็นเพียงก้อนเลือดอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจ 

การที่กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งทารถที่มีอายุครรภ์ดังกล่าว จึงชัดเจนว่าเป็นการทำลายมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นบาดแผลในจิตใจของแพทย์ผู้กระทำและมารดาไปตลอดชีวิต ซึ่งแพทย์ทุกคนมีหน้าที่สำคัญในการธำรงไว้ซึ่งจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมซึ่งเป็นมโนธรรมชั้นสูง” อีกทั้ง ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ยึดมั่นในศีล 5 ข้อเป็นหลักนำทางชีวิต และข้อที่หนักและสำคัญที่สุดคือ ศีล ข้อที่หนึ่ง เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากละเมิด ย่อมมีรู้สึกขัดแย้งภายใน ความเชื่อทางศาสนา ศีลธรรม บาปบุญ ต่อตัวเองและครอบครัว เป็นปัจเจกบุคคล จะล้มล้างไม่ได้ 

กฎหมายดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าเป็นการกระทบต่อมโนธรรมชั้นสูงของความเป็นแพทย์ และจะสร้างบาดแผลในจิตใจของแพทย์ผู้กระทำและมารดาของทารกไปตลอดชีวิต ซึ่งชัดเจนว่าจะเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะสูตินรีแพทย์ จึงเป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อ มาตรา26 ประกอบ มาตรา4 ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยตรง เหตุนี้แพทย์ทางเวชกรรม สูตินรีแพทย์จึงมอบฉันทะให้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยนำความนี้ยื่นเป็นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่า การตรากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 หลายมาตราหรือไม่  

‘หมอแม็พ-ทนายบอน’ ขอบคุณกรมการแพทย์ พิจารณาแนวทางให้ยา Favipiravir ก่อนได้เตียงรักษาทันที พร้อมเสนอรัฐสร้าง ‘Community-City Quarantine’ แยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัว กักตัวไว้สถานกักตัวชุมชน-จังหวัด ป้องกันระบาดแบบทวีคูณ

ทพ.กันตพงศ์ ดีชัยยะ คณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคกล้า และนายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมาย พรรคกล้า กล่าวถึงแนวทางกรมการแพทย์เตรียมจ่ายยา Favipiravir ให้ผู้ติดเชื้อทันที ระหว่างรอเตียงรักษาว่า แม้จะเริ่มที่การจ่ายยาให้เฉพาะผู้ติดเชื้อที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง แต่การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ให้จ่ายยาทันที จะเป็นประโยชน์และสามารถรักษาชีวิตของผู้ป่วยได้จำนวนมาก สอดคล้องกับข้อเสนอพรรคกล้าถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยขอให้จ่ายยาผู้ติดเชื้อทันที เพื่อความเสี่ยงอาการรุนแรง

“ไม่ว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะเกิดจากข้อเสนอของพวกเราหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์ก็พอ เพราะเราอยากเห็นการแก้ไขที่ทันท่วงที การรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาที่เร็วที่สุด นอกจากจะลดโอกาสการเสียชีวิตแล้ว ยังลดภาระแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข ถือเป็นอีกแนวทางเพื่อป้องกันระบบสาธารณสุขล่มสลายได้” ทพ.กันตพงศ์ กล่าว

ขณะที่นายณัฐนันท์ ยังย้ำถึงข้อเสนออีก 1 ข้อ ขอให้หยุดยั้งการระบาดแบบ ‘ทวีคูณ’ ด้วยการแยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัวและคนใกล้ชิดทันที ซึ่งทำได้ด้วยการสร้าง ‘ที่กักตัวชุมชน’ (Community Quarantine) หรือ ‘ที่กักตัวของจังหวัด’ (City Quarantine) ด้วยการหาสถานที่ตามชุมชนหรือสถานที่ขนาดใหญ่รองรับผู้ป่วยที่ทราบผลออกมากักตัวทันที เพื่อป้องกันการระบาดจากผู้ป่วย 1 คน ไปสู่ครอบครัวหลายคน คนไทยเป็นครอบครัวใหญ่บางครั้งจาก 1 คน กระจายสู่ 15 ถึง 20 คนก็ยังมี

“หากไม่หยุดยั้งการระบาดแบบทวีคูณ ก็ไม่มีทางควบคุมการระบาดได้ โดยสถานที่กักตัวดังกล่าว สธ. ต้องผ่อนผันหลักเกณฑ์ จะยึดกฎระเบียบเคร่งครัดไม่ได้ เพราะเป็นสถานการณ์วิกฤติ โดยต้องใช้อาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรม เข้ามาดูแลแทนหมอและพยาบาล อาจมีข้อถกเถียงเรื่องต่าง ๆ แต่ต้องคิดว่าเพื่อหยุดยั้งการระบาดแบบทวีคูณ จะต้องแยกตัวผู้ป่วยออกมาด้วยวิธีการใดก็ได้ ซึ่งในสถานที่กักตัวนี้ยังสามารถเร่งจ่ายยา Favipiravir ให้ผู้ป่วยได้อีกด้วย” นายณัฐนันท์ กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบ.ทร. ถกหน่วยขึ้นตรง กองทัพเรือ เข้มป้องกัน 'โควิด-19' พร้อมสร้างความเข้าใจจัดหา 'เรือดำน้ำ'

พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่ากองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Tele Conference : VTC) 

สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญคือ การเตรียมความพร้อมในการรับทหารกองประจำการผลัดที่ 1/2564 รวมถึงการฝึกภาคสาธารณะ ของนักเรียนจ่าทหารเรือ ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งจะดำเนินการ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ของ COVID-19 สำหรับเรื่องสั่งการในที่ประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงและหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือในวันนี้ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการหน่วยต่างๆในกองทัพเรือ เฝ้าระวังป้องกัน และดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19  อย่างเข้มงวด  

นอกจากนั้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 จะมีการรับทหารกองประจำการผลัดใหม่เข้าทำการฝึกภาคสาธารณะ ซึ่งจะเป็นการรวมกำลังพลจำนวนมาก ที่เดินทางมาจากพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ซึ่ง ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้แสดงความห่วงใย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดความปลอดภัย ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ด้วยมาตรการที่เข้มแข็ง  พร้อมทั้งได้เตรียมความพร้อมและกำหนดแนวทางปฏิบัติตั้งแต่เริ่มขึ้นรถ เพื่อเดินทางมายังหน่วยฝึก ซึ่งเป็นไปตามกรอบและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข โดยมี กรมแพทย์ทหารเรือเป็นหน่วยกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยมุ่งหวัง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น มั่นใจในมาตรการ และเป็นการแสดงออกซึ่งความตั้งใจจริงในการดูแลบุตรหลานของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ

ส่วนกำลังพลที่ต้องสูญเสียรายได้จากอาชีพเสริม ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูครอบครัว ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหมายให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงและหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ ของกองทัพเรือทุกนาย เอาใจใส่ดูแลกำลังพลโดยใกล้ชิด รวมทั้งช่วยส่งเสริมกิจกรรมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับกำลังพลที่ได้รับความเดือดร้อน  และขอให้กำลังพลและครอบครัว ร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ บนพื้นฐานการดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท และมีความพอเพียง

ในช่วงท้าย โฆษกกองทัพเรือกล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ ขอให้ทุกหน่วยร่วมขยายผลการสร้างการรับรู้สนับสนุน ในโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ว่าการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือนั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติ มิใช่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้หนึ่งผู้ใด โดยเน้นย้ำว่า “อย่าให้การทำหน้าที่ของพวกเรา ต้องกลายเป็นจำเลยอีกต่อไป”

“ประวิตร” ถก กนช.สั่งขับเคลื่อนแผนแม่บทน้ำเพิ่มประสิทธิภาพ บริการจัดการน้ำ รับมือฤดูฝน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านวิดีโอ คอนเฟอร์เรนท์ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ เข้าร่วม โดยกนช.เห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ผ่านระบบ "Thai Water Plan" ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการแผนงานโครงการ และฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น และเห็นชอบให้ทบทวน บทบาท ของหน่วยงาน บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้มีเอกภาพการทำงาน มากขึ้น 

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำ 32,344 ล้านลบ.ม. (45%) ขนาดกลางมีปริมาณน้ำ 2,732 ล้านลบ.ม.(50%) และขนาดเล็ก มีปริมาณน้ำ 1,868 ล้านลบ.ม. (37%) ซึ่งสทนช.ได้ดำเนินการขับเคลื่อน 10 มาตรการ เพื่อรับมือฤดูฝน โดยบูรณาการหน่วยงานภายใต้กอนช. และมีความคืบหน้าในภาพรวม อย่างน่าพอใจ โดยมุ่งเน้นการป้องกันน้ำหลาก น้ำท่วม และการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้า ให้เพียงพอ ต่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการอุตสาหกรรม และรับทราบ ผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ที่สำคัญได้แก่ แนวทางการแก้ปัญหา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศแม่น้ำโขง ต่อวิถีชีวิตของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขง 7 จังหวัด

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้สทนช.เร่งดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ แม่น้ำโขงต่อวิถีชีวิตของประชาชน ในลุ่มแม่น้ำโขง และให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำโขง อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ โดยใช้กลไกคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัด ดำเนินการ ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นอกจากนั้น ให้เร่งรัดแผนงาน โครงการภายใต้แผนแม่บทน้ำ และพ.ร.บ.น้ำ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบเวลา ที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้ อย่างเพียงพอ และลดผลกระทบ จากภาวะน้ำท่วม ภัยแล้ง และน้ำเค็มรุก อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

“เด็ก ภท.” จับมือ “พรรคชัช เตาปูน” ขู่ยื่นศาลรธน. ตีความปมแก้จำนวนส.ส. 400 ไม่สอดคล้อง ม.86 

ที่รัฐสภา นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไทย พร้อมด้วยนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหาราชการรูปแบบพิเศษ แถลงถึงร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่างที่ 13 ในมาตรา 83 และมาตรา 91 ที่เสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ กับคณะ ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบในขั้นรับหลักการไปแล้วนั้น โดยนายโกวิทย์ กล่าวว่า ร่างฉบับนี้มีความไม่สมบูรณ์ครบถ้วนในบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในมาตราอื่นๆ ซึ่งร่างขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 นี้ ไม่ได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 86 ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น มาตรา 86 ซึ่งมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคิดคะแนนและการแบ่งเขต รวมถึงการได้มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะในมาตรา 86 ที่บัญญัติไว้ถึงจำนวนสมาชิกที่มาจากจังหวัดและเขต 350 เขต ที่ขัดแย้งกับตัวร่างแก้ไขในมาตรา 83 และมาตรา 91 ที่ผ่านการรับหลักการไป และมีความกังวลว่า กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จะดำเนินการต่อไปอย่างไร และส.ส.จะแปรญัตติอย่างไร เพราะร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอว่าให้มี ส.ส.เขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งจะทำให้มีจำนวน ส.ส.เกินจำนวน

นายโกวิทย์ กล่าวต่อว่า กมธ.หลายคนบอกว่าเมื่อรับหลักการไปแล้วก็สามารถแก้ไขได้ในขั้นแปรญัตติ ตนยืนยันว่าแก้ไม่ได้ หากยังไม่แก้มาตรา 86 ให้สอดคล้องกับจำนวน 400 คน รวมถึงมาตราอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกัน โดยอาจจะพิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ ก่อนที่ กมธ. จะเดินหน้าพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นสำคัญ

ด้านนายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 นั้น ตนกลัวว่าจะเป็นการเสนอมาโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากการแก้มาตรา 83 และ 91 นั้นเป็นสาระสำคัญ และเป็นการทำงานแบบเร่งรีบ ตั้งเป้าขยายเขตเพื่อจะได้มาให้ครบ 400 คน ไม่ได้ดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 60 ทั้งยังไม่มองเป้าประสงค์ของประชาชนว่าต้องการอยู่ดีกินดี ต้องการให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ต้องการให้แก้ปัญหาโควิด-19 เป็นต้น ตนเข้าใจว่าพรรคการเมืองต้องการชิงความได้เปรียบในการยกร่างรัฐธรรมนูญและต้องการทำให้พรรคเล็กไม่สามารถเดินเข้าสู่พื้นที่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน

เมื่อถามว่าข้อกังวลนี้จะทำให้พรรคเล็กหรือ ส.ส.จะไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความหรือไม่ นายโกวิทย์ กล่าวว่า มีแน่นอน ฝั่ง ส.ว.หลายคนก็เกิดความสงสัย ในส่วนของพรรคพลังท้องถิ่นไทยจะหารือกันว่าหากยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นรายบุคคลได้โดยไม่ต้องให้ประธานรัฐสภาเป็นคนยื่น พรรคเราก็จะยื่นเอง ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำเป็นรายมาตรา แต่การแก้รายมาตราไม่ได้ถูกแก้มาในการร่างครั้งนี้ เราจึงฟันธงว่าเป็นการลุกลี้ลุกลนของ ส.ส. ที่อยากแก้ให้มี ส.ส.มากกว่าเดิมหรือไม่ แก้เพื่อต้องการกำจัดพรรคเล็กหรือไม่ แม้พรรคพลังท้องถิ่นไทยจะเป็นพรรคเล็กแต่ก็ไม่ได้กังวล ซึ่งก็ต้องชื่นชมนายจุรินทร์ เพราะร่างฉบับที่ 13 มีความแตกต่างกับร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชารัฐ เพราะไม่ได้ใช้คะแนนขั้นต่ำ พรรคเล็กจึงยังมีโอกาสหากมีนโยบายที่ดีให้ประชาชนได้ขานรับ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top