Friday, 26 April 2024
POLITICS NEWS

‘กมธ.อุตฯ’ ลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงโรงงานเครนถล่ม จ.ระยอง สั่งดำเนินคดีผู้กระทำผิด - ตั้ง คกก.ตรวจสอบโรงงานเพิ่มเติม

(5 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมกมธ. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุเครนถล่มที่โรงงานเหล็กในพื้นที่ ม.2 ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง แรงงานจังหวัดระยอง พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ที่ห้องประชุม อบต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

นายอัครเดช ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า กมธ.ได้รับการชี้แจงจากผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่า เหตุการณ์เครนถล่ม มีผู้เสียชีวิต 7 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา 6 ราย จีน 1 ราย ทางบริษัทได้จ่ายเงินเยียวยาให้ตามกฎหมายทุกรายแล้ว

ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองได้ชี้แจงว่า ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตตามขั้นตอนตามกฎหมายแล้ว กมธ.ได้ย้ำขอให้แรงงานจังหวัดระยองได้เข้ามาดูแลการทำงานของแรงงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และให้มีการจ้างงานถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นแรงงานต่างด้าว ต้องเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย

นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนที่ 2 ในเรื่องการก่อสร้างพบว่าทาวเวอร์เครนที่ล้มได้รับรายงานจากปลัดอบต.ตาสิทธิ์ว่า ไม่มีการขออนุญาตติดตั้ง ทางกมธ.จึงให้หน่วยงานไปแจ้งความดำเนินคดีตามขั้นตอน และขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัด ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่อบต.ตาสิทธิ์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ที่ปล่อยให้มีการติดตั้งเครนโดยไม่มีการขออนุญาต ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัด จะตั้งกรรมการมาสอบสวนก่อนจะรายงานผลสอบให้กมธ.ได้ทราบต่อไป

สำหรับ ส่วนที่ 3 การติดตั้งเครื่องจักร ทางอุตสาหกรรมจังหวัดชี้แจงว่า ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและติดตั้งเครื่องจักรตาม พ.ร.บ.โรงงานอย่างถูกต้อง แต่ กมธ.ได้เน้นย้ำให้ตรวจสอบการติดตั้งเครื่องจักรให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ไม่ควรนำเครื่องจักรที่ไม่มีความปลอดภัยและไม่ได้มาตรฐานมาติดตั้งในพื้นที่ จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบ เป็นอันตรายต่อพนักงานที่มาปฏิบัติงานในโรงงาน และให้อุตสาหกรรมจังหวัด และแรงงานจังหวัดตรวจสอบโรงงานอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการ เพื่อความปลอดภัยของทุกส่วน

นอกจากนั้น กมธ.ขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ตั้งคณะกรรมการพิเศษจากหลายหน่วยงานขึ้นมาบูรณาการในการทำงานร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบโรงงานแห่งนี้ โดยตรวจสอบการติดตั้งเครื่องจักรและการก่อสร้างให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวด และขอให้จังหวัดตั้งคณะกรรมการอีกหนึ่งชุดเพื่อตรวจสอบโรงงานทั่วจังหวัดระยองว่า มีการละเมิดกฎหมายในการติดตั้งเครนก่อสร้างในลักษณะนี้เพิ่มอีกหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม การมาของ กมธ.ครั้งนี้เชื่อว่า จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วทั้งจังหวัดได้ โดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯที่จะมีการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดดังกล่าว

เมื่อถามว่า เรื่องที่แรงงานเมียนมาเคยประท้วงให้ตรวจสอบอาจจะมีการฝังศพแรงงานไว้ในพื้นที่โรงงาน นายอัครเดช กล่าวว่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองชี้แจงว่า ได้ลงไปตรวจสอบพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครองแล้ว ไม่พบแต่อย่างใด และสภาพพื้นที่ก็ไม่สามารถนำศพไปฝังได้ แต่ถ้าประชาชนมีข้อมูลเพิ่มเติมสามารถแจ้งมายังกมธ.ได้ จะตรวจสอบเพิ่มเติมให้

เมื่อถามว่า เจ้าของโรงงานได้ดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตรวจสอบแล้ว เจ้าของเป็นคนจีน มีการขออนุญาตจากอุตสาหกรรมจังหวัดระยองอย่างถูกต้อง

ผู้สร้าง ‘2475 Dawn of Revolution’ เคลียร์ทุกปมข้องใจของหนัง หลัง ‘ส.ศิวรักษ์’ วิจารณ์แบบขาดกาลามสูตร (โต้ตอบช็อตต่อช็อต)

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution VS สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย

จากกรณี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย ได้ออกมาวิจารณ์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ที่ค่อนข้างรุนแรง ด้านนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ก็ได้ออกมาชี้แจง ทุกประเด็นจาก ส.ศิวรักษ์ โดยมีเนื้อหา ดังนี้...

>> ส.ศิวรักษ์: หนังตั้งใจทำมาก เพื่อให้เป็นว่าปรีดีเป็นคนเลวร้าย ตั้งใจเล่นงานคณะราษฎร และยกย่องพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างไม่มีที่ติ โดยไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ เป็นหนังมอมเมาคน

>> นายวิวัธน์: เราพยายามจะให้เห็นมิติต่าง ๆ ของตัวละครแต่ละตัว อย่างเอาจริง ๆ แล้วตัวละคร ‘ลุงดอน’ ในเรื่องค่อนข้างจะช่วยแก้ไขข้อเท็จจริงบางเรื่องให้ปรีดีด้วยซ้ำ เช่น ทำไมปรีดีถึงออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมันเป็นแนวคิดที่ปรีดีคิดว่าการมาของลัทธิคอมมิวนิสต์ มันเหมาะสมกับสยามในยุคนั้นหรือไม่ และก็อาจจะไม่เหมาะกับประเทศไทยในยุคนี้เช่นกันด้วยหรือไม่

ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเล่าประวัติศาสตร์ให้ครบทุกด้าน (ด้านที่คนไม่เคยรับรู้) ซึ่งการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ มันก็คือ อคติแบบหนึ่งเช่นกัน โดยจริง ๆ แล้วในมุมของรัชกาลที่ 7 หากเราได้ดูในหนัง ก็จะพบว่าท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนพวกเรา อย่างเช่นในตอนสุดท้ายที่ท่านตัดสินใจสละราชสมบัติ ท่านเองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก โดยท่านได้เขียนโทรเลข และส่งมาถึงข้าราชบริพาร โดยขออภัย … หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่า ท่านทรงรู้สึกสำนึกผิดมากที่ต้องทิ้งราชบัลลังก์ และปล่อยให้ คณะราษฎรปกครอง เพราะท่านรู้สึกว่าท่านไม่สามารถที่จะยื้อ หรือใช้อำนาจของท่านในการต้านทานการใช้อำนาจอย่างอำเภอใจของทางคณะราษฎรได้อีกต่อไป 

เพราะหากพิจารณาดูจากรัฐธรรมนูญฉบับแรก ทุกคนจะเข้าใจได้เลยว่า แม้พระมหากษัตริย์ จะไม่อนุมัติเรื่องใด ๆ หรือไม่เห็นชอบด้วยกับคณะราษฎร แต่คณะราษฎรก็สามารถใช้เสียงโหวตในสภาเพื่อผ่านกฎหมายได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพระองค์ก็เลยรู้สึกว่าท่านไม่อยู่ในสถานะที่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ ไม่สามารถที่จะคัดค้านอะไรได้อีกแล้ว และคณะราษฎร ก็มีการออกเสียงตามอำเภอใจ แล้วก็จะผ่านร่างกฎหมายเอง แต่...กลับต้องมายื่นให้ท่านเซ็น ซึ่งท่านก็ต้องเป็นคนเซ็นแทนประชาชน

การที่ท่านอยู่ภายใต้ คณะราษฎร ที่นึกอยากจะออกกฎหมายอะไรก็ได้ อย่างเช่น กฎหมายตั้งศาลพิเศษ โดยที่ไม่มีอุทธรณ์ หรือ ฎีกา และคิดจะตั้งข้อหาใคร ก็ตั้งแล้วก็ยัดเยียดบทลงโทษได้เลย ทำให้ท่านไม่ยอมให้มันออกมาจากมือของท่านโดยเด็ดขาด ท่านไม่ยอมที่จะเซ็นเด็ดขาด ท่านก็เลยตัดสินใจที่จะเดินทางเสด็จไปต่างประเทศและสุดท้ายท่านก็ตัดสินใจที่จะสละราชสมบัติ เพราะสถานะของท่านไม่สามารถที่จะห้ามอะไรต่อไปอีกแล้ว 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านยังคงอยู่สยาม ท่านก็เหมือนเป็น ‘ตราปั๊ม’ หรือเป็นเหมือน ‘ตรายาง’ เพื่อออกกฎหมาย,ฺดรอนเสรีภาพของประชาชนให้คณะราษฎร ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถที่จะทนได้ และการที่หนัง สะท้อนมุมนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงความที่ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านช่วยอะไรประชาชนและประเทศไม่ได้อีกแล้ว 

ฉะนั้น การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่ารัชกาลที่ 7 ดีไปหมดทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่ มันก็มีมุมที่หนังสะท้อนว่าท่านรู้สึกผิดอยู่ หรือแม้แต่ตัวของ ปรีดี เอง ก็จะเห็นว่ามันมีมุมที่เขาสำนึกผิดอยู่ ผ่านบทสัมภาษณ์ระหว่างเขากับ แอนโทนี่ พอล ผู้สื่อข่าวนิตยสาร เอเชียวีค ประจำปารีส ที่ ปรีดี เองยังยอมรับเลยว่า วิธีการที่เขาทำหลายอย่างมันผิดพลาด อย่างการนำเสนอเศรษฐกิจของเขาก็ผิดพลาด หรือแม้แต่ พระยาทรงสุรเดช ก็สำนึกผิดในตอนหลัง และเอาจริง ๆ แม้แต่จอมพล ป.เอง เขาก็เคยสำนึกผิดด้วยว่าทำบาปทำกรรมกับรัชกาลที่ 7 ไว้มาก เพียงแต่ตัวหนังในภาคนี้ยังเล่าไปไม่ถึง

โดยสรุป เพื่อตอบ ส.ศิวรักษ์ ให้กระจ่างชัดขึ้น ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ ได้เล่าถึงความผิดพลาดของทุกฝ่าย จนนำมาสู่เรื่องราวถึงยุคปัจจุบัน เพราะถ้าหากมองย้อนไปในวันที่เกิดการปฏิวัติ แล้ววันนั้นรัชกาลที่ 7 ท่านไม่ยอมขึ้นมา แล้วท่านก็ให้ทหารยึดอำนาจคืน คณะราษฎร ก็อาจจะจบตั้งแต่วันนั้น และนั่นก็อาจจะไม่ยืดเยื้อรุนแรงมาจนถึงเกิดกบฏบวรเดช, เกิดการกบฏ 18 ศพ หรือเกิดการจับประชาชนที่บริสุทธิ์ไปประหารชีวิต เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อประวัติศาสตร์ที่เรียนมาในหนังสือไม่ได้เล่าทั้งหมด ว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีความผิดพลาดอะไรขึ้น มีการเกิดความรุนแรงใด ๆ ขึ้น แอนิเมชันเรื่องนี้ จึงทำหน้าที่ของมันในมุมที่หลายคนไม่เคยรู้ถึงภาพความผิดพลาดของทุกฝ่าย

>> ส.ศิวรักษ์: ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษอเมริกา อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าเสรีไทยกอบกู้เอกราชในประเทศชาติได้ เรื่องนี้คนที่ทำหนังเรื่องนี้ไม่เอ่ยถึงเลย เอ่ยถึงแต่ความเลวทั้งหมด ทุกอย่างมาจากความเลวร้ายของปรีดีหมด หนังไม่เคารพข้อเท็จจริง เล่าไม่ครบ แล้วจะเสนออดีตให้ถูกต้องได้ยังไง

>> นายวิวัธน์: ส.ศิวรักษ์ บอกว่าทำไมเราไม่เล่าถึงตอนที่ปรีดีทำขบวนการเสรีไทย ก็ต้องบอกว่าเรายังเล่าไม่ถึงเรื่องสงครามโลก เพราะว่าหนังเรื่องนี้ เล่าแค่จบตอนในช่วงของในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่ทรงสละราชสมบัติเท่านั้น แต่ไหนก็พูดเรื่องนี้แล้ว เอาจริง ๆ ท่านเสนีย์ ปราโมช ก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองด้วยนะครับ เพราะท่านเป็นเสรีไทยอเมริกา และเป็นคนที่ล็อบบี้ให้ไม่เกิดการประกาศสงครามกับอเมริกา เป็นคนที่ขวาง จอมพล ป.มาตั้งแต่วันแรกที่ จอมพล ป.จะประกาศสงคราม แล้วท่านไม่ยอมร่วมประกาศสงครามด้วย

ฉะนั้นไอ้การที่ทุกวันนี้ คนเข้าใจว่า ขบวนการเสรีไทย มาจากปรีดีคนเดียว มันไม่ใช่เลย เพราะทุกฝ่ายร่วมมือกัน แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ประทับอยู่ที่อังกฤษในขณะนั้น ท่านก็ได้สนับสนุนเสรีไทยในอังกฤษด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่รัชกาลที่ 8 ท่านก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองและทำให้ไทยไม่เป็นประเทศแพ้สงครามด้วย

คำถาม คือ เรื่องแบบนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ทำไมเล่าแค่ปรีดี ว่าเป็นคนดีคนเดียว ทำไมไม่เล่าถึงคนอื่น ๆ อย่างข้อตกลงที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นทำกับอังกฤษแล้วท่านเสนีย์คัดค้านอย่างหนัก แต่นายปรีดีกลับเห็นด้วย ตรงนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ตรงนี้มันก็เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่พูดไม่ครบเหมือนกันใช่หรือไม่ 

แล้วส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า พระยาทรงสุรเดชทำร้ายทำลายปรีดี รังแกปรีดี นู่นนี่นั่น เราก็นำเสนออยู่ในหนังเรื่องนี้นะ เพราะว่าตอนที่นายปรีดีเสนอสมุดปกเหลือง ก่อนที่ปรีดีจะเดินออกจากห้องประชุม เขาก็หันไปเห็นว่าพระยาทรงสุรเดชยืนคุยกับทาง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ พระยาศรีวิสารวาจา ที่เหมือนกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง จากนั้น ปรีดี ก็เลยสงสัย และหันไปมอง พระยาทรงสุรเดช และบอกว่า “พวกแกใช่ไหมที่จัดการเรื่องนี้” คือ พวกเราเล่านะ แต่สุดท้ายเกิดไรขึ้นกับพระยาทรงสุรเดช? เขาก็โดนเนรเทศไง โดนยัดข้อหากบฏ แล้วก็ต้องเนรเทศไปอยู่เวียดนามบ้าง ไปอยู่กัมพูชาบ้าง แล้วก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าที่ต่างประเทศ

>> ส.ศิวลักษณ์: หนังเรื่องนี้พยายามสื่อในทำนองว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ว่าพระยาศรีวิสารวาจา กับ นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศไม่เห็นด้วย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ไม่เห็นบอกเลยรัฐธรรมนูญที่ในหลวงเตรียมจะพระราชทานนั้นคืออะไร แต่ถ้าเราอ่านดูรัฐธรรมนูญที่พระราชทานนั้นจะมีเพียงเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง เหลวไหล พูดอย่างเดียวว่าในหลวงจะพระราชทาน รธน. อยู่แล้ว เหลวไหลเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน
>> นายวิวัธน์: เรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็พูดไม่จริง เพราะร่างรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 จาก นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ไม่ได้มีแค่การตั้งนายกรัฐมนตรี (และขอบอกด้วยว่าแม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฎรก็ยังไม่ได้ถ่ายโอนอำนาจให้กับประชาชนอย่าง 100% ด้วย หรือก็คือ ประชาชนก็ยังไม่ได้อำนาจนะ แม้ข้อแรกจะเขียนมาสวยหรูว่า ‘อำนาจเป็นของประชาชน’ แต่เอาเข้าจริงแล้วในหลักการมันก็ยังไม่ถึงประชาชน)

หากแต่ในสาระสำคัญจะหมายถึงว่า วันที่ประชาชนยังไม่รู้เรื่องการปกครอง ยังไม่รู้เรื่องสิทธิและหน้าที่ ทำให้พระมหากษัตริย์หรือผู้ที่มีอำนาจ ไม่สามารถโยนอำนาจนั้น ๆ ลงไปให้ประชาชนได้ทันที ซึ่งทุกประเทศก็เป็นอย่างนี้ ต้องให้กษัตริย์ ช่วยประคับประคองในช่วงแรกก่อน ซึ่งเรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็น่าจะรู้ดีแหละว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 เป็นยังไง และก็คงรู้ว่าสาระนั้นก็ไม่ได้มีแค่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะเมื่อไปดูในรายละเอียดรัฐธรรมนูญของท่าน ยังมีการตั้งสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย

นอกจากนี้รัชกาลที่ 7 ท่านยังทรงให้นายปรีดีไปร่าง พรบ.เทศบาลและการบริหารท้องถิ่นมาด้วย รู้ไหมเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้เรื่องสิทธิหน้าที่จากล่างขึ้นบน ก็คือ จากหน่วยงานท้องถิ่นเล็ก ๆ ให้ลองเลือกผู้นำของท้องถิ่น เพื่อเรียนรู้สิทธิและหน้าที่ อันเป็นการเรียนรู้ ‘ประชาธิปไตย’ แบบค่อยเป็นค่อยไปด้วย และจากระดับท้องถิ่น ก็ค่อยขยายขึ้นมาเป็นระดับ ตำบล / อำเภอ / จังหวัด และ ระดับประเทศ 

ฉะนั้นการที่ ส.ศิวรักษ์ มาบอกว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีแค่การแต่งตั้งนายกฯ ผมว่ามันก็ตลกเกินไปหน่อย ซึ่งผมก็แอบสงสัยนะว่า การที่ ส.ศิวรักษ์ พูดโกหกแบบนี้ หรือจะเป็นกุศโลบายที่อยากให้คนช่วยออกมาพิสูจน์ความจริงให้หรือเปล่า

>> ส.ศิวรักษ์: รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 ถูกอ้างจากหนังเรื่องนี้ว่าจะทำให้เกิดการริเริ่มประชาธิปไตย นี่มันประชาธิปไตยจอมปลอม ต่างจากของปรีดีที่เสนอมา อันนั้นเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเขียนชัดเจนเลยว่า อำนาจทั้งหมดเป็นของราษฎรสยาม แต่จนบัดนี้อำนาจนั้นยังไม่ได้มาเลย ทำไม? เพราะมีคนคิดที่จะทำลายอำนาจรัฐนี้ ให้ถูกถีบ ถูกกระทืบ ถูกโจมตี แม้กระทั่งหนังเรื่องนี้ก็โจมตีด้วย มันไม่เห็นคุณค่าเลยว่าปรีดี พนมยงค์ ต้องการให้อำนาจทั้งหมดกลายเป็นของราษฎรชาวสยาม

>> นายวิวัธน์: มาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของปรีดีบอกว่า อำนาจสูงสุดนั้น ๆ เป็นของราษฎรทั้งหลาย แต่การบริหารงานของรัฐธรรมนูญฉบับแรกนี้ ก็ยังไม่ได้ให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริง เพราะผมมองว่ามาตรา 1 นี้ เขียนเอาเท่เสียมาก นั่นก็เพราะถ้าอำนาจเป็นของประชาชนทั้งหลายจริง ทำไมเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากเท่าไหร่

ผมอยากให้ ส.ศิวรักษ์ กลับไปดูหลัก 6 ประกาศของคณะราษฎรสักหน่อย ในเรื่องเสรีภาพที่อยู่ในข้อ 5 ซึ่งบอกว่าประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ แต่จะต้องไม่ขัดกับหลัก 4 ประการก็คือ มันจะมีหลักด้านความมั่นคง หลักด้านเศรษฐกิจ อันว่าด้วยการออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมีจุดหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าราษฎรที่เป็นพวกหนักโลก” ตรงนี้สะท้อนรัฐธรรมนูญคณะราษฎรที่มองว่า ‘ราษฎรเป็นคนหนักโลก’ คุณๆ คณะราษฎรทั้งหลายมองคำว่าอำนาจเป็นของประชาชนแบบนี้หรือ

“อำนาจเป็นของประชาชน แต่ประชาชนบางส่วนเป็นคนหนักโลก และต้องเอาคนหนักโลกเหล่านี้มาใช้แรงงานเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ใครเกียจคร้าน ต้องถูกลงโทษ”

ประโยคนี้ คือ อำนาจเป็นของประชาชนหรือ ผมมองว่าอำนาจ มันก็ยังอยู่กับรัฐนะ ดังนั้นนี่คือความย้อนแย้งของรัฐธรรมนูญที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าดีที่สุดเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วมันใช่หรือไม่

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเองก็เคยเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องกรณีสวรรคตนั้น ผมเชื่อเลยว่าปรีดีเกี่ยวข้องทั้งนี้ ผมไปเชื่อ คึกฤทธิ์ ปราโมช จนถึงเชื่อเรื่องคนไปตะโกนในโรงหนังเลยว่าปรีดีฆ่าในหลวง เพราะสมัยนั้นผมเชื่อหนังสือพิมพ์สยามรัฐของ คึกฤทธิ์ มาก แต่สุดท้ายผมก็มารู้ทีหลังว่า คึกฤทธิ์ เป็นคนที่เลวร้าย แต่ว่ามีฝีปากในการเขียนมอมเมาให้คนเชื่อได้ ส่วนหนังเรื่องนี้ ยังเปรียบเทียบกับฝีมือการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ได้ครึ่งของคึกฤทธิ์เลย หรือแม้แต่กระทั่งเอาราชาศัพท์มาใช้ ก็น่าจะพิจารณาให้ถูกต้องมากกว่านี้ ไหน ๆ จะทำหนังทั้งที

>> นายวิวัธน์: ประเด็นแรกนะครับ เรื่องการตะโกนในโรงหนัง ผมสงสัยมานานแล้วว่า คุณไปรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนสั่งให้ไปตะโกน ท่านรู้ได้ยังไง? ผมกำลังสงสัยนะ คนที่เค้าไปตะโกนในโรงหนังที่บอกว่าปรีดีฆ่าในหลวงนั้น เขายื่นนามบัตรให้คนในโรงหนังหรือเปล่า ว่าตัวเขามาจากพรรคประชาธิปัตย์ เขาเป็นคนของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือ คนที่ตะโกนว่าปรีดีฆ่าในหลวงบอกเองไหมว่า “ผมเป็นคนของคึกฤทธิ์ ปราโมช” อย่างนี้หรือเปล่า ส.ศิวรักษ์ เห็นหรือว่าเขาคนนั้นพูด มันมีคนยอมรับแบบนั้นด้วยหรือ

ส่วนประเด็นเรื่องคำราชาศัพท์ อันนี้ต้องขอน้อมรับจริง ๆ ว่า ทางทีมเราก็ยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเราต้องการให้บริบทของเรื่องนี้ มันถูกเล่าแล้วคนเข้าใจภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็ขอน้อมรับ และจะนำไปปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเตือนสติได้อย่างเดียวนะครับใช้หลักกาลามสูตรพุทธเจ้า อย่าเชื่อทุกอย่าง อย่าเชื่อ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงถ้าหาเอกสารต่างๆ มาสนับสนุนหรือคัดค้าน เพื่อให้นิสิต นักศึกษา นักเรียน ได้เติบโตแบบไม่ถูกยัดเยียด ไม่ใช่ถูกมอมเมา ซึ่งผมเสียดายไม่น้อยที่ตอนนี้คนกำลังถูกมอมเมา จนถึงขั้นไปโจมตีสถาบันปรีดี มูลนิธิปรีดี

>> นายวิวัธน์: เรื่องหลักการกาลามสูตรหรือการที่จะหาหนังสือหรือข้อมูลมาอ้างอิง หนังเราบอกทุกเล่มนะที่เราใช้เป็นฐานข้อมูลนะ ซึ่งในเครดิตตอนท้าย เราจะมีหนังสือหลายเล่มเลยให้คุณไปศึกษาข้อมูลนะ แต่ประเด็น คือ ส.ศิวรักษ์ วิจารณ์เรา แกก็ไม่ได้ยกหนังสือเล่มไหนมาเลยนะ

สุดท้ายทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ พิสูจน์ด้วยข้อมูลปฐมภูมิ ไม่ใช่ข้อมูลที่คนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ซึ่งเราก็พยายามที่จะใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลชั้นต้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความคิดเห็นหรือการปรุงแต่งจากคนยุคหลังอยู่แล้ว ดังนั้นหากสงสัยในความเชื่อและความถูกต้องจากในหนัง โปรดไปสืบค้นข้อมูลอ้างอิงในท้ายเครดิตได้เลย 

ส่วนเรื่องการโจมตีสถาบันปรีดี ผมคิดว่าตอนที่หนังออกมาใหม่ ๆ ไม่มีใครไปสนใจสถาบันปรีดีเลยนะ (ร้อนตัว) เพราะเรายังอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันปรีดีมาใช้กับหนังเลยด้วยซ้ำ แต่ที่มันมีประเด็นต้องไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบันปรีดี ก็เพราะเนื่องมาจากมีจดหมายหนึ่งที่ทางคุณพิภพ ธงไชย นำมาเสนอ รวมถึงมีผู้หลักผู้ใหญ่ในสถาบันปรีดีได้ออกคลิปที่ค่อนข้างแรงในเชิงใส่ร้ายพวกเราพอสมควร โดยกล่าวหาว่า พวกเรารับเงินกองทัพมาทำหนังแอนิเมชันเรื่องนี้ มีการทำไอโอ แล้วบิดเบือนใส่ร้าย จากนั้นก็ขู่ว่าจะฟ้องเราด้วย 

นี่คือสิ่งที่มีผู้เริ่มกับพวกเรา (คนทำหนัง) ก่อนทั้งนั้น ผมไม่ได้เริ่มอะไรเลย และเอาตามความจริง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเคารพและให้เกียรติอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ อย่างมาก ในฐานะที่ท่านได้สร้างชื่อเสียงกับประเทศในการนำดนตรีไปเผยแพร่ในต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี และผมก็ไม่ได้มองว่า อาจารย์ดุษฎี กับ ปรีดี เป็นคนเดียวกัน พ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก แต่เมื่อมีประเด็นใส่ร้ายว่า เราเอาภาษีประชาชนมาทำหนังใส่ร้ายปรีดี ทั้งที่ผมยังไม่ได้ไปกล่าวหาอะไร แบบนี้มันเป็นธรรมกับผมหรือเปล่า ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

>> ส.ศิวรักษ์: สื่ออยู่ในมือคุณครับ พูดยังไงก็พูดได้
>> นายวิวัธน์: เฮ้ย!! ตั้งแต่เปิดตัวแอนิเมชันมา สื่อกระแสหลักอย่างช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง NBT หรือสื่ออย่าง The Standard ไม่มีใครมาช่วยโปรโมตให้เราเลยนะ จะมีก็จะเป็น Top News มีผู้จัดการออนไลน์ มี Nation มี THE STATES TIMES มีแนวหน้า มีไทยโพสต์ ที่มาช่วยโปรโมตเพราะประโยชน์ของงานเราให้บ้าง ซึ่งสื่อเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือผมนะครับ 

ขณะเดียวกันผมก็ใช้เงินกับสื่อน้อยมาก เช่น ผมบูสต์โพสต์ในเฟซบุ๊ก วันละ 100 บาทเท่านั้น ส่วนใน Google หรือ YouTube หรือ TikTok ก็ไม่ได้บูสต์เลย เพราะเรามีเงินจำกัดมาก ส่วนสื่อต่าง ๆ ที่มาสัมภาษณ์แล้วนำไปลง ผมก็ไม่ได้จ่ายเงินซื้อพวกเขานะ แต่แค่เพราะหนังมันเป็นกระแสแล้ว สื่อก็เริ่มเข้ามา แล้วบางสื่อที่ได้รับชมแอนิเมชันด้วยแล้ว และเขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ เขาก็เริ่มช่วยโปรโมตให้ ซึ่งบางสื่อเราแบบไม่คาดคิดเลยว่า เขาจะกลับมาช่วยโปรโมตให้เราด้วย

>> ส.ศิวรักษ์: ถึงกับตั้งหอประชุมใหญ่ ในกองทัพบก ‘หอประชุมบวรเดช’ ทั้งที่ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นกบฏ ที่พระปกเกล้ายังใช้คำนี้เอง

>> นายวิวัธน์: ที่บอกว่าไปเชิดชูกบฏบวรเดช ในหนังเราไม่ได้เชิดชูนะ แต่ในหนังแสดงให้เห็นว่า พระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็ฝ่าฝืน เพราะว่ารัชกาลที่ 7 ทรงห้ามแล้วว่าอย่าทำ และพระองค์เจ้าบวรเดชเองยังต้องเขียนจดหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษด้วยที่ได้ยกทัพมาโดยพลการ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ทรงห้ามแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุทำให้รัชกาลที่ 7 ต้องทรงหนีไปสงขลา เพื่อไม่ให้ทั้งฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลดึงท่านไปอยู่ร่วม เพราะท่านยืนยันหนักแน่นแล้วว่าจะไม่ยุ่งด้วย ท่านจะขอเป็นคนกลาง ท่านจะไม่เข้ากับฝ่ายไหนทั้งสิ้น

แล้วในส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า ทำไมต้องเชิดชูกบฏบวรเดช โดยไปตั้งชื่อหอประชุมนั้น ต้องเรียนแบบนี้ว่า ปรีดี ก็เคยก่อกบฏนะ เป็น ‘กบฏวังหลวง’ หรือคุณจะเรียกเป็นอะไรก็ตาม แต่นั่นก็คือ กบฏที่อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้ากบฏ และในวันนี้ยังมีสถาบันปรีดีได้เลย จะบอกว่ากบฏบวรเดชเป็นสิ่งไม่ดี แต่กบฏวังหลวงเป็นสิ่งดี แบบนี้ก็ได้หรือ ทั้ง ๆ ที่มันก็กบฏเหมือนกันเนี่ยนะ

>> ส.ศิวรักษ์: เอะอะก็เจ้าดีหมด ไพร่เลวหมด คนที่ทำหนังเรื่องนี้ก็เป็นไพร่ มันไม่สำนึกตัวเองเลยว่าควรจะเข้าใจราษฎร

>> นายวิวัธน์: ทําไมไพร่ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแตกต่างจากคุณหรือ แม้ผมจะเป็นไพร่ แต่ผมก็มองเห็นว่าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือเป็นเจ้า ถ้าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ เราก็สมควรที่จะเชิดชู อย่างพวกคุณก็ไม่ได้เชิดชู อาจารย์เสนีย์ ปราโมช ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ทำประโยชน์ให้กับประเทศ จริงไหม?
>> ส.ศิวรักษ์: พอออกแบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการที่อังกฤษทำหลังสงครามโลกที่สองแล้ว ก็มีการออกกฎหมายคอมมิวนิสต์มาเล่นงานท่านเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
>> นายวิวัธน์: ไม่ใช่ เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ของอังกฤษด้วย ผมว่าหลังจากทุกคนที่ได้ดูแอนิเมชันเรื่องนี้แล้ว และก็ไปหาสมุดปกเหลืองอ่าน ก็จะเห็นได้ชัดเจนนะครับว่ามันไม่ใช่
>> ส.ศิวรักษ์: อยากให้คนที่ออกมาว่าปรีดี เรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ เรียนรู้แบบคนที่ชอบหาข้อเท็จจริง และออกมายืนหยัดเพื่อความถูกต้องดีงาม ไม่เชื่อการมอมเมาจากหนังสวะพวกนี้ครับ

>> นายวิวัธน์: ในอดีตนะครับอาจารย์ปรีดีก็เคยเรียก ส.ศิวรักษ์ ว่า ‘สวะสังคม’ และก็ดู ส.ศิวรักษ์จะภาคภูมิใจกับฉายานี้มากด้วย การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสวะ ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นคำชมก็ได้นะ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทั้งนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเชื่อหนังทั้งหมดหรอก ไปหาข้อมูลที่เราที่สืบค้นได้ ซึ่งตรงท้ายเครดิตของหนังมีบอกไว้หมดแล้ว (กดหยุดแล้วไล่ดูที่มาได้เลย) สามารถไปสืบค้นดูความจริงได้เลย ศึกษาก่อน แล้วอยากคัดค้านหรือแย้ง ก็ย่อมทำได้ เพราะประเทศเราเป็นประชาธิปไตย เราสามารถเห็นต่างกันได้ เหมือนอาจารย์เห็นต่างกับผม อาจารย์ก็ด่าผมได้ อาจารย์ก็วิจารณ์ได้ ส่วนผมก็แค่ทำคลิปนี้เพื่อมาอธิบายว่า ‘อาจารย์วิจารณ์อะไรของอาจารย์วะเนี่ย’ อย่างเช่น กรณีสมุดปกเหลืองเป็นรัฐสวัสดิการเอย หรือ รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีสาระแค่เรื่องตั้งนายกฯ อย่างเดียว เป็นต้น

>> ส.ศิวรักษ์: คนรุ่นใหม่จะต้องรวมตัวกันแล้วเอาชนะทรราชให้ได้
>> นายวิวัธน์: ต่อสู้กับทรราช? มันคนละแนวคิดกับแนวทางของผมนะ เพราะผมมองว่า คนทุกคนล้วนมีประโยชน์ เพียงแต่ทุกคนต้องหันมาหาจุดลงตัว แล้วก็ต้องมาคุยกัน ต้องมาร่วมมือกัน เพราะว่าทุกฝ่ายทุกคนล้วนมีประโยชน์ต่อชาติ ภายใต้ข้อดี จุดเด่นของตัวเอง ที่สามารถนำร่วมมือกันทำงานได้

คำถามคือตอนนี้ ส.ศิวรักษ์ มองใครเป็นทรราช มองฝ่ายอธรรมเป็นทรราชหรือเปล่า อย่างตอนนี้ผมคงรับบทเป็นฝ่ายอธรรมไปแล้ว เป็นฝ่ายอธรรม เพราะผมเอาความจริงมาเล่า แบบนั้นใช่หรือไม่ มันเป็นวิธีของฝ่ายธรรมะแบบพวกคุณหรือ แล้ว ส.ศิวรักษ์ จะต่อสู้กับทรราชด้วยวิธีแบบนั้นหรือ ต้องการสร้างปีศาจตนใหม่ขึ้นมางั้นหรือ คุณรู้ตัวไหมว่าตอนนี้คุณกำลังสร้างปีศาจขึ้นมานะ คุณเองที่กำลังสร้างทรราช แต่บอกคนอื่นห้ามสร้างตัวร้าย

อย่างไรก็ตาม ผมยินดีในการที่ ส.ศิวรักษ์ มาวิจารณ์หนังเรื่องนี้ แต่ขอบอกตามตรงว่า ส.ศิวรักษ์ ไม่ได้เข้าใจแอนิเมชันของเราเลย แล้วก็พูดในสิ่งที่แอนิเมชันเราไม่ได้ทำด้วย

ฉะนั้นใครที่ดูคลิป ส.ศิวรักษ์ แต่ยังไม่ได้ดูแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ แนะนำว่าลองไปดูด้วยตัวเองก่อนว่า หนังเรื่องนี้เล่าแบบไหน เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้เล่าแบบที่ ส.ศิวรักษ์ พูดก็ได้ 

สุดท้าย อยากให้ทุกท่านยึดหลักกาลามสูตรตามที่ ส.ศิวรักษ์ กล่าวอ้าง อย่าเชื่อในสิ่งที่ใครมาพูดให้ฟัง โดยเฉพาะอย่าเชื่อในสิ่งที่ ส.ศิวรักษ์ บอก

ขอบคุณครับ

‘กกต.’ ลุยเอาผิดย้อนหลังเด็กก้าวไกล ‘นครชัย ขุนณรงค์’ ปมรู้ไม่มีสิทธิแต่ยังสมัคร สส. หลังเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์

(5 เม.ย. 67) เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. สั่งเอาผิดย้อนหลัง นายนครชัย ขุนณรงค์ อดีต สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล

โดย กกต.เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายนครชัย เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำ โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 6962/2542 คดีหมายเลขแดงที่ 6766/2542 วันที่ 24 พ.ย.42 แม้ต่อมาจะมี พ.ร.บ.ล้างมลทิน ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ แต่การล้างมลทินคือการลบล้างโทษว่ามิเคยถูกลงโทษจำคุกในความผิดนั้น ๆ เท่านั้น

ส่วนพฤติกรรม หรือการกระทำความผิดซึ่งศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งยังคงอยู่ ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดและลบล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดนั้น

ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2564 ข้ออ้างของนายนครชัย ที่ว่าตนได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 จึงไม่อาจรับฟังได้ นายนครชัย จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 42 (12)

อีกทั้ง นายนครชัย ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งของตนเองให้เป็นไปตามที่กฎหมาย กำหนด เมื่อ นายนครชัย ได้ลงลายมือชื่อในใบสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ระยอง ลงวันที่ 3 เม.ย.66 รับรองว่าตนเองมีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดดังกล่าวของศาลจังหวัดชลบุรี

กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายนครชัย ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วปกปิด หรือไม่แจ้งข้อความจริงนั้น และให้ถือว่าการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขต 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ นายนครชัย ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 151 จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายนครชัย สิ้นสุดลงตั้งแต่วันเลือกตั้ง และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายนครชัย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามระเบียบกกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 86 เพื่อดำเนิน คดีอาญากับนายนครชัย ตามมาตรา 151 ของกฎหมายเดียวกันและกรณีการดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ในการจัดการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่าง อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของนายนครชัย

ทั้งนี้ นายนครชัย ได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. เมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 แต่หลัง กกต.ประกาศรับรอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยขณะนั้น ออกมาเปิดเผยว่า นายนครชัย เคยต้องโทษจำคุกถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็น สส. ทำให้ในวันที่ 3 ส .ค.66 นายนครชัยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น สส. และ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 10 ก.ย.66  โดยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ จากพรรคก้าวไกล เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง

‘เศรษฐา’ ประกาศพา ‘เพื่อไทย’ คว้าชัยชนะเลือกตั้งหนหน้า ฟาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน!! ‘เพื่อไทย’ จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงประเทศ

(5 เม.ย. 67) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) อาคารโอเอไอทาวเวอร์ ชั้น 7 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม. พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยบรรยากาศที่พรรคเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาแกนนำ สมาชิกพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เดินทางเข้ามาที่พรรคตั้งแต่ช่วงเช้า

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการเปิดคลิปวิดีโอสั้น ความยาว 18 นาที รวบรวมบทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย, นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

โดยเนื้อหาบางส่วนของ นายทักษิณ กล่าวว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ 2540 ส่งผลให้พรรคการเมืองเดิมปรับตัวไม่ทัน ตนได้ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้น ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้กับประเทศไทย พรรคไทยรักไทย คือพรรคที่เข้ามา Reform ประเทศ เป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงและกระจายอำนาจ ผ่านนโยบายกองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค พร้อมกล่าวชื่นชมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเช่นกัน

ส่วนที่หลายฝ่ายกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอมาจากพรรคไทยรักไทย เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ นั้น นายทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคไทยรักไทย และเชื่อว่าไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทยด้วย

ทั้งนี้ นายทักษิณ มั่นใจว่า ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งมีความมั่นคง ตัดสินใจเด็ดขาด และดีเอ็นของนายทักษิณ ที่มีจุดแข็งในการพูดคุย พบปะกับผู้คน เข้าใจถึงจิตใจของพี่น้องประชาชน เชื่อว่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้ "ผมทำได้ เขาก็ทำได้"

"ระบบทุนนิยมที่ไร้ความเมตตาธรรม จะทำให้ประชาชนไม่มีความสุข การเข้าถึงประชาชนคือหัวใจสำคัญ การทำงานในสภาให้เข้มแข็ง การเป็นนักการเมืองที่ดี คือรักประชาชน ประชาชนมองตานักการเมือง ก็รู้สึกได้ ต้องอยู่กับชาวบ้าน ผมเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถทำงานประสานงานกับหลายพรรค หลายภาคส่วนได้ดี" นายทักษิณ กล่าว

เนื้อหาในคลิป โดย น.ส.แพทองธาร ระบุว่า การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้รู้ถึงเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลง การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อผ่านการดูแลตัวเองและจิตใจคนในพรรคแล้ว ต้องไปต่อ พร้อมยืนยันเดินหน้าสร้างรายได้ประชาชนผ่านนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและมีโอกาสที่ดีขึ้น พร้อมระบุจะเป็นผู้นำพรรคที่เข้าใจคนในพรรค ผู้สนับสนุนพรรค และประชาชนทุกคน อยากให้ผู้ที่ทำงานร่วมกันมีความสุข รู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมในพรรค

ส่วนเนื้อหาในคลิปของ นายเศรษฐา ระบุถึงชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง ยอมรับว่าชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง อยู่จุดสูงสุดของพีระมิด แต่อยากนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่พี่น้องประชาชน จึงตัดสินใจลงการเมือง ทั้งนี้ ในวันที่ 10 เมษายน 2567 จะประกาศรายละเอียดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าจะทำให้ภาคการผลิตสินค้า การจับจ่าย และการจ้างงาน จะปรับตัวดีขึ้น สึนามิทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นแน่นอน

ต่อจากนั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวบรรยายพิเศษบนเวที เรื่อง ภารกิจของวิปพรรคและแนวทางการทำงานในสภาฯ ว่า "สภาที่เข้มแข็ง คือ รัฐบาลที่เข้มแข็ง" การบริหารประเทศ ทั้งสองสถาบัน ต้องเกื้อกูลกันและกัน โดยมีประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นที่ตั้ง การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ปัจจัยสำคัญเพราะมีฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เข้มแข็ง เป็นเอกภาพ ปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกับหลายพรรค งานในสภาเป็นเรื่องที่ท้าทาย จึงมีการจัดตั้งส่วนประสานงานการเมืองและกิจการสภา ทั้งในส่วนวิชาการและฝ่ายสื่อสาร ขึ้นในพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ การลงพื้นที่เพื่อพบปะกับประชาชนของ สส.มีหลายวิธี ทั้ง offline และ online เป็นเรื่องจำเป็น

"ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย การบริหารและความร่วมมือร่วมใจของ สส.ของเรา จะเป็น ผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้รัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศ อย่างตั้งใจ เพราะพรรคเพื่อไทย หัวใจ คือ ประชาชน" นายวิสุทธิ์ กล่าว

จากนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘เพื่อไทย จะไปต่อยังไง’ ว่า ภารกิจต่อไปของพรรคเพื่อไทย คือ การเป็นพรรคที่เร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้น พรรคเพื่อไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากข้างใน ด้วยการเติมคนใหม่เข้ามาทำงานเติมองค์ความรู้ใหม่ สร้างการบริหารงานที่เร็วขึ้น เพื่อให้พรรคเพื่อไทย อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไปอีกกี่คน บริบทประเทศในอนาคตจะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ให้กับประเทศไทยได้เสมอ พร้อมให้กำลังใจกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน 

พร้อมย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เพราะ DNA ของเราคือการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เป็นรัฐบาล เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เช่นในอดีต มี 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ และปัจจุบัน มีนโยบายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คือ ดิจิทัลวอลเล็ต และซอฟต์พาวเวอร์ เราคือพรรคที่มาปฏิรูป ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

"หลังงบประมาณผ่านแล้ว เชื่อมั่นว่ารัฐบาลคุณเศรษฐา จากที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว จะเร็วขึ้นอีก หลายนโยบายที่เคยติดขัดเพราะงบประมาณ จากนี้จะผ่านฉลุย หลายนโยบายจะสำเร็จได้เห็นผลเร็วๆ นี้แน่นอน และพบกับการสรุปผลงานของ รัฐบาลเพื่อไทยที่ไม่ต้องรอ 10 เดือน ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้" น.ส.แพทองธาร กล่าว

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘สร้างความมั่นใจให้ สส.เพื่อไทย การทำงานของรัฐบาล สร้างความมั่นใจให้ ส.ส.รู้สึกว่า นโยบายที่เราสัญญาไว้ จะทำได้จริง’ ว่า ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นน้องใหม่ที่เข้ามาเพียง 13 เดือน ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากคนในพรรคอย่างอบอุ่น จริงใจ และได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเรียนรู้เรื่องใหม่ในอายุ 60 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราแพ้เลือกตั้ง พูดแบบนี้อาจฟังแล้วบีบหัวใจ แต่เป็นความจริง ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น รู้สึกเจ็บปวด แต่ยืนยันว่าเราจะไม่แพ้ตลอดกาล การก้าวเข้ามาในจุดนี้ มีเรื่องเดียวที่ปรารถนาคือการนำชัยชนะมาให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และจะไม่มีอะไรมาทำให้ตนไม่สามารถคว้าชัยชนะนี้ได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านมา อาจจะถูกมองว่าเป็นแมลงวันบินไปมา แต่การที่ต่างประเทศจะมาลงทุนในไทยมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ไม่สามารถตัดสินใจได้ในเวลาเพียง 7 - 8 เดือน แต่ยืนยันได้ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสึนามิของการลงทุนครั้งใหญ่เข้ามาให้กับคนไทยได้ผลิตสินค้า สร้างซัพพลายเชน ให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ ในด้านการคมนาคม เรามีนโยบายชัดเจน ทั้งการลงทุนขนส่งทางถนน ราง เรือ สนามบิน เพื่อรองรับความต้องการของประชาชน ไม่ได้โฟกัสแค่สุวรรณภูมิหรือดอนเมือง แต่เป็นสนามบินในจังหวัดต่าง ๆ เช่น สุรินทร์​ รวมถึงผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึก เฟส 3 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะแล้วเสร็จในอีก 10 - 15 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการค้าโลกที่จะขยายตัวมากขึ้น แลนด์บริดจ์จะทำให้ประเทศต่าง ๆ เข้าหาประเทศไทยจากการเดินทางขนส่งระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย ทำให้เราเป็นมหาอำนาจเล็ก ๆ ที่ทุกคนมาพึ่งพิง ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันมีการทำงานอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่า ไม่ได้พายเรือในอ่างแน่นอน

"อยากให้ทุกท่านเลือกมองอนาคตที่สดใสดีกว่า เรามาร่วมใน mission ที่ยิ่งใหญ่ ด้วย 141 เสียงจาก 500 เสียง เราจะมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะเรามีหัวหน้าพรรคที่มีความมุ่งมั่น มีผู้อาวุโสในพรรคที่ช่วยประคอง มีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมแสดงศักยภาพ และมีผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา และท่านมีนายกรัฐมนตรีที่มีจุดประสงค์เดียวในวันนี้คือ ชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะทุ่มเททำงานในช่วงเวลา 3 ปีครึ่งข้างหน้า จะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน และเพื่อให้พรรคของเราเจริญเติบโต" นายเศรษฐา กล่าว

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

‘พิธา’ เปิดใจเศร้า อภิปราย ม.152 อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง

(5 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้าย ว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อยว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ตนไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน

“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าอธิปอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อน สส. ข้าง ๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริง ๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ…จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ส่วน คือ สรุป สะสาง และเสนอแนะ ส่วนแรกเป็นการสรุป ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ 8 ฮับของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของประชาชน Ignite Thailand จะเป็น Darkness Thailand

“มืดเรื่องปากท้อง มืดเรื่องส่วย มืดผูกขาด มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มืดปฏิรูปของไทย มืดมนคุณภาพชีวิต มืดกระบวนการยุติธรรม ประชาชนคนไทยตอนนี้มืด 8 ด้าน ที่ทั้งล้มเหลว ล่าช้า และละเลย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง

นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่าตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง

“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ ยังมีของสำนักข่าวรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่า ใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่างงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ...เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง

“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว

ช่วงนี้ นายพิธา ขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปราย มีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะอธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

ก่อนจะไล่เรียงต่อว่า เรื่องภาคส่วนการผลิต นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า สึนามิเหตุการณ์ลงทุน ตนก็ดีใจว่าไม่ใช้คำว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีตแล้ว แต่สึนามิมันทำลายล้างทุกอย่าง ตนกังวลว่าสึนามิของการลงทุนจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนกับ BOI จะเห็นได้ว่ามาจากประเทศจีน รถ EV มากขึ้น แล้วรถสันดาปที่อยู่ในประเทศไทยจะจัดการอย่างไร นายกรัฐมนตรีได้คิดหรือยัง

ส่วนภาคส่วนการลงทุน นายกรัฐมนตรี บอกว่า โตขึ้น 2.5 เท่าในไตรมาสที่ 4 ก็เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประเทศไทยตอนนี้เป็นอันดับ 6 นำอยู่แค่กัมพูชา ลาว เมียนมา 2 ปีซ้อน อย่าเพิ่งดีใจ ทุกประเทศเพิ่มขึ้นหมด ส่วนการบริการ จะมีประโยชน์อะไรถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่มโหฬร แต่โฟกัส 80% อยู่แค่ 5 จังหวัด เราไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่ทำให้คนเขาอยากจะไปให้มากกว่าแค่ 5 จังหวัด ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้น

นายพิธา กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะตอบโต้ แทนที่จะเป็นการตอบสนอง ซึ่งไม่ใช่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากนี้ ต้องเร่งสางปมตำรวจด้วย

“เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองทะเลาะกัน ท่านเป็นผู้สั่งพักงานทั้งคู่ ท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมาเลยประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง”

โดยในช่วงท้าย นายพิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ 

1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวการณ์ผู้นำของรัฐบาล ตนคืดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.ได้แล้ว เอาคนให้ตรงกับงาน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือน พอที่จะเห็นภาพ ว่าใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องที่ทำอยู่ 

2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะมีโรดแมป ในสิ่งที่จะทำได้แล้ว 

3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 เพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเสียงที่ประเสริฐที่สุด

จากนั้น เวลา 02.03 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส.ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2566 - 9 เม.ย. 2567

จากนั้นได้อ่านพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม และสั่งปิดการประชุมในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น จำนวนกว่า 36 ชั่วโมง

'สมศักดิ์' งง!! 'ก้าวไกล' ยกโคแสนล้านมาแฉ ทั้งที่ตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใดๆ มาก่อน

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ช่วงการอภิปรายของ นายคริษฐ์  ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายเกี่ยวกับการเลี้ยงโค ได้แก่ โคอีสานเขียว, โคเอื้ออาทรหรือโคล้านตัว, โคเนื้อล้านครอบครัว, การกู้ยืมกองทุนหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงโค และโคบาลชายแดนใต้ผิดสเปกที่ส่อพิรุธหลายประการ จนปัจจุบันโคแสนล้านที่มีการให้สินเชื่อ 5,000 ล้านบาทผ่านกองทุนหมู่บ้าน ภายใต้การดำเนินการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทำโครงการในช่วง 3 รัฐบาลที่ผ่านมา  

โดยโครงการแสนล้านที่ปล่อยให้เกษตรกรมากู้ เงินกองทุนหมู่บ้านรายละ 50,000 บาท ซื้อวัวไปเลี้ยง ได้ลูกและนำลูกวัวไปขายและให้ผ่อนชำระ จึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลไม่ให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้ดำเนินการปล่อยกู้ ที่มีระบบการดำเนินการที่รัดกุมกว่าขณะที่กองทุนหมู่บ้านกว่า 23,000 กองทุน ที่ยังไม่สามารถส่งงบการเงินได้ หากเกิดปัญหาอีกจะกลายเป็นการทำลายกองทุนหมู่บ้านหรือไม่

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าวซ้ำเติมกับกลุ่มเกษตรกรที่ซื้อวัวนำเข้ามาขุน ในห้วงมีโรควัวระบาด ซึ่งปกติมีการนำเข้าปีละ 100,000 ตัวแต่กรมปศุสัตว์มีการประกาศปิดด่านห้ามนำเข้าวัว และไม่ได้มีหาวิธีการเยียวยาเกษตรกร อีกทั้งห้ามมีการขนย้ายวัว แต่กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้สนามวัวชน ซึ่งก็มีการเคลื่อนย้ายวัว แต่ห้ามเกษตรกรที่จะเคลื่อนย้ายวัวเพื่อจะขายนำเงินมาเลี้ยงชีพ พร้อมเปิดเผยข้อมูล ว่ามีกลุ่มบุคคลมาติดต่อเกษตรกรเพื่อขอซื้อแท็กติดหูวัวเพื่อสวมวัวเถื่อน ในราคา 2,500-5,000 บาท เนื่องจากวัวของเกษตรกรไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้จำใจต้องขายแท็กและนำวัวไปเชือดที่โรงเถื่อน

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการโคบาลชายแดนใต้นั้น เป็นวัวเถื่อนที่มาจาก หจก. แห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ พบว่าวัวทุกตัวชื่อ บัวทอง อายุ 2 ปี เพศเมียหนัก 162-163 กก. ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเป็นวัวเถื่อนที่ขนมาจาก จ.ตากไปยังจ.นครสวรรค์ แต่กลับการขนผ่านด่านตรวจได้ 5 ด่าน ซึ่งตลอดเส้นทางการดำเนินการสอบการทุจริต จากงบประมาณดำเนินโครงการ 1,500 ล้านบาท

“วัวที่ส่งถึงเกษตรกรไม่ตรงปก แล้วเอาเบอร์หูมาวนใหม่ทำแบบนี้วนไปโครงการนี้ 3 เฟส สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือ มาตรการที่ดีและวัคซีนป้องกันโรค และการซื้อขายวัวตามกลไกตลาดอย่างตรงไปตรงมา และแก้ปัญหาให้มีการนำเข้าส่งออกได้อย่างถูกต้อง มีโรงเชือดที่มาตรฐาน มีกลไกรักษาระดับราคา ไม่ใช่การส่งเสริมโคเข้าระบบจนล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำเป็นวงจรอุบาทว์อย่างที่ผ่านมา และหากรัฐบาลไม่แก้ไขจะกลายเป็นคิดเก่าทำวนด้วยวิธีการเดิม ๆ วนด้วยนักการเมืองเดิม ๆ เพิ่มเติมคือการย้ายพรรคข้ามขั้วทิ้งปัญหาให้กับเกษตรกร" นายคริษฐ์ อภิปราย

จากนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงโครงการโคแสนล้านว่า การอภิปรายของ นายคริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล เป็นการโกหกพูดเท็จ เพราะตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใด ๆ มาก่อน แต่เป็นคนคิดโครงการวัวตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำเลย ซึ่งโครงการโคแสนล้านเกิดจากตนไปตรวจกองทุนหมู่บ้าน แล้วเห็นพวกสมาชิกกองทุนฯ เดือดร้อน จึงอยากทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสมาชิกฯ โครงการนี้เป็นแนวทางที่ ครม.ให้ดำเนินการ ได้อนุมัติในหลักการ แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งตนก็ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องโคบาลชายแดนใต้ เป็นเรื่องที่ทำกันในรัฐบาลที่แล้ว แต่โครงการโคแสนล้านนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ทดลองกับเกษตรกรใน จ.สุโขทัย กว่า 300 ราย ซึ่งได้ผลที่ดีมาก ทำให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้น มีวัวเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ตนจึงได้นำโครงการนี้เสนอต่อครม. ส่วนเรื่องตลาดรับซื้อ ตอนนี้เรามี รมว.ต่างประเทศ รมว.พาณิชย์ ที่คอยช่วยดูในเรื่องนี้อยู่ รวมถึงท่านนายกฯ ก็ได้ไปดูตลาดยังต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลาง และจีนอีกด้วย

"ผมมั่นใจว่าวัวจะมีราคาดีขึ้นแน่นอน และมั่นใจว่าหาก กระทรวงเกษตรเอาจริงเอาจัง วัวเถื่อนหรือปัญหาต่าง ๆ จะคลี่คลาย รัฐบาลทำงานมาแค่ 6-7 เดือน มีปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมานานต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา และเรากำลังพยายามทำอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตนได้ดำเนินการโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ มา 20 ปีแล้ว ยืนยันว่าท่านเป็นผู้คิดโครงการ แต่ยังไม่เคยได้ลงมือทำเลยสักโครงการเดียว และตอนที่ตนเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลกองทุนหมู่บ้าน และได้ศึกษาโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ ที่ดำเนินการนำร่องที่ จ.สุโขทัย ยืนยันว่าเป็นโครงการที่ดีช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง โครงการนี้เป็นหลักของ โคคณิตศาสตร์ คิดและทำเพื่อคนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำหรือฟังเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ยก รธน.มาตรา 211 ชี้!! คําวินิจฉัยศาล รธน.เด็ดขาด-ผูกพันรัฐสภา พรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเข้าสภาประชุมใดๆ แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงมุมมองทางกฎหมาย ว่า...

รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 211 ว่าคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาดและผูกพันรัฐสภาด้วย 

ดังนั้นไม่ต้องรอให้ยุบพรรคหรอก เพราะพรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเดินเข้าสภาอันทรงเกียรติเพื่อประชุมใด ๆ ทั้งสิ้นแม้แต่วินาทีเดียว 

เพราะตามคําปรารภของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เขียนไว้ชัดเจนว่า สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และธํารงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ดังนั้น หากท่านวันนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งต้องผูกพันตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังปล่อยให้ สส.จากพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่ากระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าสภามาใช้อํานาจนิติบัญญัติต่อไป 

จะเท่ากับว่าท่านสนับสนุนให้กลุ่มคนที่กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เข้ามาใช้อํานาจนิติบัญญัตินะครับ และจะกลายเป็นว่า ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทําผิดข้อบังคับเสียเอง ฝากไว้ให้คิด

'ชวน' สะบัดใบมีดโกน กรีด 'ทักษิณ' เลือดสาด ชี้!! หายป่วยเป็นเรื่องดี จะได้มารับกรรมที่ทำไม่ดีไว้

(4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

โดย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ต้องขอชี้แจงก่อนว่าที่ตนลุกขึ้นมาอภิปราย ไม่ใช่ว่าประสงค์จะพูดเพื่อให้เห็นใจ เพื่อที่เที่ยวหน้าจะได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น แต่อยากให้ประชาชนติดตามรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา ประชาชนเลือกอย่างไรมา เราก็จะได้ผู้แทนอย่างนั้น และจะมีรัฐบาลอย่างนั้น ถ้าเราเลือกคนซื้อเสียง เลือกคนโกงมา เราจะได้รัฐบาลโกง เพราะเสียงข้างมากมาจากสภาผู้แทนราษฎร

นายชวน อภิปรายถึงเรื่องราคายางพารา ว่า ตนโตมากับสวนยาง และรู้สึกดีใจที่เรายากลำบากมากับยางพารามาก เพราะราคาตกมาหลายปี ตนเป็นหนึ่งในคนที่ดิ้นรนในเรื่องนี้มากกว่าทุกคน เรียกร้องไปยังรัฐบาลทุกชุด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาราคาปัญหายางฯ ตกต่ำ แต่ขณะนี้มีคนปลูกยางแล้ว 69 จังหวัด กว่า 1,700,000 ครัวเรือน เมื่อวันนี้ราคายางฯ ขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ตนขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยสนับสนุน แต่ว่าราคายางฯที่ขึ้น มันอยู่ที่อุปสงค์อุปทาน หรืออยู่ที่การควบคุมโดยการตรวจจับยางฯ เถื่อน ถ้าเป็นจริงได้อย่างนี้ก็ดีมาก

"แต่ในโลกความเป็นจริงของยางพารา วันหนึ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงไป ผลผลิตยางอาจจะเพิ่มขึ้น และวันหน้าเมื่อยางราคาตก รัฐบาลก็จะโดนตำหนิอย่างหนักว่าหลอกชาวบ้านว่าปราบยางเถื่อนแล้วยังจะราคาขึ้นตลอดไป ตรงนี้คือสิ่งแรกที่อยากจะให้รัฐบาลทบทวนความเข้าใจโดยเฉพาะชาวสวนยางทั่วประเทศ" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ตนมีคำถามไปยังนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.ราคายางฯ จะดีอย่างนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ อุปทานในอนาคต 2.โดยความเชื่อส่วนตัว เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น คืออุปสงค์ อุปทาน ไม่ต้องสมมติว่าวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมันเปลี่ยนแปลงด้วยผลผลิตและความต้องการที่ทำให้ยางราคาตกลงรัฐบาล รัฐบาลมีแนวทางป้องกันหรือไม่ ว่าราคายาง ต้องให้ราคาที่ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยราคาไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ รัฐบาลที่แล้วมีประกันรายได้โดยกำหนดราคายางดิบกิโลกรัมละ 60 บาท หากต่ำกว่า 60 บาท จะมีการชดเชยใช้เงินเป็นหมื่น ๆ ล้าน ตนจึงฝากสองคำถามเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นกับชาวสวนยางทั่วประเทศ

"เมื่อนายกรัฐมนตรีมีความเห็นต่างออกไปโดยเชื่อว่าการปราบยางเถื่อน นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ยางราคาขึ้น ผมเชื่อว่าความเชื่อนั้นน่าจะไม่รอบคอบ น่าจะผิดพลาด เพราะจริง ๆ ถึงอย่างไรก็หนีความจริงในทางเศรษฐศาสตร์ไปไม่พ้นคืออุปสงค์อุปทาน" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ขณะที่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ปัญหาภาคใต้ต้องเป็นปัญหาที่ห่วงใยชีวิตไม่ว่าจะทั้งชาวไทยพุทธ หรือมุสลิม เราอยากจะรู้ว่า เหตุเป็นอย่างไร หรือรุนแรงอย่างไร ต้องดูข่าวพระราชสำนัก เพราะเราเห็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นตัวแทนพระองค์ไปมอบสิ่งของ ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงไม่ทรงทอดทิ้ง บรรดาพี่น้องประชาชนทั้งชาวพุทธ ชาวมุสลิม และข้าราชการทุกระดับที่ต้องเสี่ยงต่อชีวิตและต้องสูญเสียอยู่ตลอด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่จากเมื่อปี 2544 ที่รัฐบาลสมัยนั้นปกครองอยู่ มีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วยวิธีการจัดการเพียง 12 เดือนก็หมด พูดง่ายๆ คือ ฆ่าทิ้งซะ ด้วยความเชื่อว่ามีหัวโจกไม่เกิน 17 - 18 คน แต่มาถึงปัจจุบันนี้ เหตุการณ์ไม่ได้จบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องหยิบยกขึ้นมาว่า ถ้าชีวิตคนมีค่าต้องทบทวนโดยละเอียดว่าเราจะมีมาตรการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรในพื้นที่ที่เป็นด้ามขวานของเรา

"หากไม่มีเหตุร้ายนั่นคือด้ามขวานทองของเรา แต่เพราะความไม่สงบจึงทำให้ที่นั่นมีข้อแม้ ชาวบ้านก็รายได้ตกต่ำกว่าที่อื่น แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะทำอะไรก็ตามในทางที่จะป้องกัน เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาในภาคใต้ดีขึ้น" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการก่อเหตุในพื้นที่เกือบ 50 ครั้ง นายกฯ ให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาว่า รับทราบ แต่เหตุการณ์ดีขึ้น และได้โทรศัพท์ไปหา นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงอยากถามนายกฯ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายใน หรือเรื่องระหว่างประเทศ และขอถามว่านายกฯ มาเลเซีย แนะนำ หรือเสนออย่างไรบ้าง

นายชวน กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ตนขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ท้วงติงนโยบายดังกล่าว เพราะผู้ว่าฯ ธปท.ไม่ใช่นักการเมือง จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องคะแนนเสียง แต่เป็นความคิดที่หวังดีกับประเทศชาติ

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนนายกฯ เมื่อเป็นนายกฯ อย่าคิดว่าไปลงพื้นที่แล้วต้องถามว่า มี สส.เพื่อไทย อยู่หรือไม่ แต่เป็นหน้าที่นายกฯ ต้องไป อย่าทวงบุญคุณ เพราะคือหน้าที่ นายกฯ อยู่แล้ว ที่นายกฯ เคยบอกว่ามีผู้นำบางคนพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ นายกฯ ไปเอามาจากไหน ตนไม่เคยพูด ตนพูดในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ คนที่เลือกปฏิบัติเขาไม่ได้ทำโดยแอบทำ แต่เขาพูดตรงไปตรงมาว่าเมื่อเราได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเรา ก่อนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง ถ้านายกฯ ไม่รู้ว่าคนที่พูดคือใคร ตนจะบอกให้ว่าคนที่พูดคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายทักษิณ ไม่ได้แอบพูด แต่ประกาศตรง ๆ นี่คือการเลือกปฏิบัติ

ทำให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ขอความกรุณาอย่าเอ่ยถึงคนนอกที่ไม่มีสิทธิ์ชี้แจง เพราะเรื่องนี้กระทบกับคนนอก ขอให้ระมัดระวัง ที่เอ่ยชื่อถึงอดีตนายกฯ ในทางเสียหาย ว่าพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้อภิปรายอยู่ในกรอบการพิจารณาของเรา โดย นายชวน จึงตอบกลับว่า "ไม่มีใครอยู่ในกรอบเท่าผม"

จากนั้น นายชวน จึงกล่าวต่อว่า ตนขอชี้แจงต่อนายกฯ ว่า นายกฯ เข้าใจผิด ตนไม่เคยพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ แต่ตนพูดว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ และขอความเป็นธรรมให้กับภาคใต้ และขอให้ชดเชยให้ ตนไม่ใช่คนที่พูดพล่อย ๆ หรือบ้าน้ำลายรายวัน พูดอะไรต้องเป็นเรื่องจริง และรับผิดชอบ

นายชวน กล่าวด้วยว่า ส่วนนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ว่า จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นที่ยอมรับกับนานาประเทศ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีนักโทษ การที่คนป่วยหายป่วย เป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าใครก็ตาม เขาจะได้มีชีวิต เป็นขวัญใจให้กับลูกหลานต่อไป จะได้มีโอกาสมาชื่นชมผลงาน และรับกรรมที่ทำไม่ดีเอาไว้ ขณะที่เรื่อง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 2560 ไม่ว่าจะออกในสมัยใด ตนไม่ตำหนิ แต่ปัญหามันมีเพียงว่าแต่ละข้อได้มีการปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ นี่คือประเด็น และรัฐบาลซึ่งเป็นตัวหลักที่จะทำให้นิติธรรมเกิดขึ้น แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ให้กฎเกณฑ์กติกาความถูกต้อง ความเสมอภาค ความชอบธรรม หรือการไม่เลือกปฏิบัติเกิดขึ้น

"คำถามคือ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น รัฐบาลจะดำเนินการกับ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับคนป่วย แต่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ รัฐบาลที่เป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่รัฐ จะดำเนินการอย่างไร ผมคิดว่าเราจะให้ประชาธิปไตยไปได้ดี ไม่ว่าฝ่ายใด ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราเลือกปฏิบัติความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น ที่ผมพูดเรื่องนี้ เพราะมีสิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องยอมรับคือถ้าเราต้องการให้ประชาชนของเรามีความสุข เราต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเราไม่รักษาความยุติธรรมความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของในหลวงที่เคยรับสั่งไว้" นายชวน ระบุ

‘เอกนัฏ’ ติงฝ่ายค้านหยุดพาดพิงกระทบ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ชี้!! บุคคลภายนอกแจงไม่ได้ ยัน!! ไม่สมควรอย่างยิ่ง

(4 เม.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ลุกขึ้นทักท้วงการอภิปรายของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายถึงบุคคลภายนอกพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งมีการนำสไลด์มาฉาย ก็เป็นการพาดพิงไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถมาชี้แจงในสภาฯ ตามที่ถูกพาดพิงได้

ทั้งนี้ ขอให้อภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะถามถึงนายกรัฐมนตรีปัจจุบันให้เข้าประเด็นไปเลย และถามนายเศรษฐา ทวีสิน อย่าพาดพิงบุคคลภายนอก แต่ถ้าพาดพิงถึงรัฐมนตรีท่านไหนไม่ว่า จะเป็น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เดี๋ยวท่านสามารถมาชี้แจงได้ ไม่เช่นนั้นไม่ยุติธรรม

ขณะที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมให้วางตัวเป็นกลาง เพราะได้วินิจฉัยไปแล้วไม่ให้มีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกตามที่ นายเอกนัฏ ได้ทักท้วง แต่ประธานในที่ประชุม ยังปล่อยให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ที่ไม่สามารถมาชี้แจงได้

อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าว ทำให้ประธานในที่ประชุมได้กล่าวตักเตือนฝ่ายค้าน ไม่ให้อภิปรายถึงบุคคลภายนอกตามที่มีการท้วงติง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top