Tuesday, 5 December 2023
POLITICS NEWS

'ดร.ไตรรงค์' ชี้!! นักการเมืองไทยต้องเรียนรู้จาก 'ซุนวู' เมื่อมีอำนาจ คิดทำสิ่งใดต้องปรึกษาผู้รู้ ลด-เลี่ยงหายนะที่จะเกิดกับประเทศชาติ

(20 พ.ย. 66) นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง สิ่งที่นักการเมืองไทยต้องเรียนรู้จาก ‘ซุนวู’ ระบุว่า…

ซุนวู เป็นปราชญ์ที่เกิดในสมัยชุนชิวของจีน (ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เล่าจื้อและขงจื้อจะถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้) เขาเป็นนักการทหารที่เขียนตำราพิชัยสงครามที่ปัจจุบันได้รับการแปลเป็นหลายภาษา เช่น ไทย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, เยอรมัน, และรัสเซีย ฯลฯ

ซุนวู (Sun Wu) เป็นเพื่อนรักของขุนพลหวู่จื่อซี (Wu-Zi-Xu) ซึ่งเป็นผู้ได้ชักชวนซุนวูให้เข้ารับราชการในแคว้นหวู๋ (Wu) จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายพลและเสนาธิการในกองทัพของกษัตริย์แคว้นหวู๋ ที่มี เหอ หลิวเป็นกษัตริย์ (King He Lu)

กษัตริย์ เหอ หลิว ได้ใช้ตำราพิชัยสงครามของซุนวู และรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทั้งสองนายพลโดยมีซุนวูเป็นเสนาธิการ จนสามารถตีแคว้นเย่ว์ (Yué) ได้ แต่แคว้นฉู่ (Chu) ยังยืนหยัดอยู่ได้แม้จะต้องเสียเมืองหลายเมืองให้กับแคว้นหวู๋ เหตุที่ไม่สามารถยึดแคว้นฉู่ (Chu) ได้ทั้งหมดก็เพราะ กษัตริย์ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของทั้งสองนายพลที่ให้หยุดทำสงครามก่อนเพราะทหารตายไปมาก ที่เหลือก็หมดแรง 

แต่กษัตริย์กลับไปฟังคำแนะนำของขุนนางสอพลอที่ไม่เคยมีทฤษฎีและประสบการณ์ในการทำสงคราม แคว้นฉู่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารที่ยังเหลือของแคว้นเย่ว์ จึงสามารถรบชนะกองทัพของแคว้นหวู๋ (Wu) กษัตริย์ต้องนำทัพพ่ายแพ้กลับแคว้นของตนอย่างน่าอับอาย

อยู่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ของแคว้นเย่ว์เสียชีวิตลง โกวเจี้ยน (Gou Jian) บุตรชายขึ้นเป็นกษัตริย์ กษัตริย์เหอ หลิว ฉวยโอกาสยกทัพ 100,000 คน เพื่อไปตีแคว้นเย่ว์อีก โดยไม่ฟังคำคัดค้านของทั้งสองขุนพลที่เห็นว่าประเพณีจีนในสมัยนั้น แม้จะเป็นศัตรูกันแต่เขาจะไม่ยกทัพไปโจมตีแคว้นที่กษัตริย์เพิ่งเสียชีวิต เพราะเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่กำลังเศร้าโศกกับการจากไปของกษัตริย์อันเป็นที่รักของเขา และถ้าใครฝืนประเพณีนี้ แคว้นอื่น ๆ ก็จะประณามและจะยกทัพมาช่วยแคว้นเย่ว์ อีกทั้งทหารของตนก็ยังไม่หายเหนื่อย

ผลของการไม่ฟังคำแนะนำของผู้ชำนาญทั้งทฤษฎีและประสบการณ์ โดยอวดดีประกาศยกทัพไปเองไม่ต้องให้ขุนพลทั้งสองไปร่วมนำทัพอย่างที่เคยทำมา ผลปรากฏว่ากองทัพของแคว้นหวู๋ต้องพ่ายแพ้กลับมาอย่างยับเยิน ตัวกษัตริย์เหอ หลิวได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องยกทัพกลับมาตายที่แคว้นหวู๋ ก่อนหมดลมหายใจ ได้สั่งเสียบุตรชายคือ ฟูชา (Fu Cha) ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์แทนว่า “จงอย่าลืมว่า กษัตริย์โกว เจี้ยน เป็นผู้ฆ่าบิดาของเจ้า (Don’t forget it’s Gou Jian who kill your father)” 

แต่เอาจริง ๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่ฆ่ากษัตริย์ เหอ หลิว นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็คือตัวของเขาเอง เพราะมีทิฐิมานะสูง ใช้อำนาจเป็นใหญ่กว่าเหตุผลที่ทั้งสองขุนพล คือ หวู่จื่อซี และ ซุนวู ได้ถวายคำแนะนำและห้ามปรามเอาไว้แล้วว่า องค์ประกอบทุกอย่างไม่เหมาะที่จะยกทัพไปตีแคว้นเย่ว์จึงถูกแคว้นต่าง ๆ รุมกันประชาทัณฑ์ยกทัพมาช่วยแคว้นเย่ว์ จนกษัตริย์ เหอ หลิว ต้องพ่ายแพ้และเสียชีวิตอย่างน่าอับอายในที่สุด

นักการเมือง เมื่อมีอำนาจก็เช่นเดียวกัน ในการขับเคลื่อนนโยบายใด ๆ จำเป็นต้องเปิดใจรับฟังทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางทฤษฎีและจากผู้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อน แล้วเอามาชั่งน้ำหนักดูว่า ถ้าเราขืนดันทุรังด้วยทิฐิมานะ ทั้ง ๆ ที่แอบเฉลียวใจอยู่แล้วว่า อาจจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ควรจะทำลายกิเลสและทิฐิมานะนั้นของตนเสียโดยการกระทำ ‘อตัมมยตา’ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ ไว้ (ท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า ‘กูไม่เอาด้วยกับมึง’) เมื่อจิตอยู่ในสภาวะปกติแล้วก็ค่อยมาพิจารณาตัดสินใจนโยบายที่จะออกมาก็จะเข้ารูปเข้ารอยและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น

ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นก็สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่ต้องประสบกับความหายนะเหมือนอย่างกษัตริย์ เหอ หลิว แห่งแคว้นหวู๋ของประเทศจีนโบราณ ดั่งเล่าให้ฟังมาแล้วข้างต้น

#หมายเหตุ รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนที่เล่ามา สามารถจะหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ ‘The Unbroken Chain’ ร่วมกันเขียนโดย ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี และศาสตราจารย์วู (Trairong Suwankiri และ Professor Wu Ben Li. ค.ศ.2016 พิมพ์ที่ China International Culture Press Hongkong. หน้า 94-109

‘อี้ แทนคุณ’ บี้!! สส.ก้าวไกล เชียงใหม่ สารภาพผิดต่อสังคม หลังถูกแฉ ‘​ปลอมลายเซ็น-อมเงิน-ยื่นเอกสารเท็จให้ กกต.’

เมื่อวันที่ (19 พ.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​กล่าว​ถึง​กรณี​ ตนได้รับทราบข้อมูล​จากแหล่งข่าวกล่าวว่า มีสส.ก้าวไกล จังหวัด​เชียงใหม่​ ปลอมลายเซ็นผู้​อื่นและแจ้งยอดเงินไม่ตรงกับที่จ่าย มีบางรายไม่ได้รับเงินสักบาท แต่ถูก​สวมสิทธิ​เซ็นชื่อรับเงิน ซ้ำร้ายนำส่งเอกสารปลอมยอดเงินเท็จและการหลอกนำบัตรประชาชน​ของผู้เสียหายไปประกอบเอกสารเท็จยื่นบัญชี​รายรับ-รายจ่ายการลงสมัคร สส.ให้ กกต. โดยไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง​ 

เมื่อตนได้รับหลักฐาน ​คือ ใบแจ้งความ​ที่ไปพบพนักงานสอบสวนและทราบว่า สส.คนดังกล่าวไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว โดยภายหลังสมาชิกพรรคก้าวไกลและถูกปลอมลายเซ็นและนำสำเนาบัตรประชาชนไปแอบอ้างในการรับเงินค่าจ้างผู้ช่วยหาเสียงโดยได้มีการรับเงินเป็นจำนวน 13,490 บาท แต่กลับไม่ได้​รับเงินเลยสักบาท และผู้เสียหาย อีก 2 รายได้รับเงินมาเพียง 9,000 บาท ถูกทำเอกสารปลอมว่ารับเงินจำนวน 18,020 บาท โดยมีการนำบัตรประชาชนของผู้เสียหาย​ทั้ง 3 รายไปปลอมลายเซ็นแอบอ้างทำเอกสารเท็จยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ( กกต.) ประจำจังหวัดเชียงใหม่ 

หลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายได้รับความสนใจและสนับสนุนจากคนที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลที่เริ่มตาสว่างเห็นถึงพฤติกรรมของนักการเมืองพรรคนี้โดยตนและพวก ได้ร่วมกันนำกระดาษที่มีข้อความตำหนิ สส. คนดังกล่าวที่ป้ายพรรคก้าวไกลเชียงใหม่ เช่น ต้องการความยุติธรรม ซื่อตรง โปร่งใส เป็นธรรม ปกปักรักษาสร้างหรือยึดถือคุณธรรม คัมภีร์ไหนนี่หรือประชาธิปไตย เช้า 17 พ.ย. สส.เขต 8 ย่องเงียบรับทราบข้อกล่าวกับ กกต. ต้องการให้ สส. หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น 

โดยตนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่รักพรรคก้าวไกล​ด้วยหัวใจ แต่กลับถูกทรยศซ้ำ ๆ และกล่าวหาใส่ร้ายพวกตนหลายเรื่องจนพวกตนทนไม่ไหวและได้รวบรวม​หลักฐาน​และความกล้าหาญ​ปรึกษา​หารือกันเพื่อแจ้งความ​ดำเนินคดี​กับ สส.คนดังกล่าว​ โดยความมุ่งหมายคือต้องการเปิดโปงพฤติกรรมของ สส.คนดังกล่าวที่ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมากที่พวกตนมีข้อมูลเพราะพวกตนคือคนใกล้ชิดจริง ๆ

โดยอยากให้ สส. คนนี้ยอมรับความจริง ออกมาสารภาพ​ต่อสังคมและลาออกก่อนจะถูกเปิดโปงจนไม่มีที่ยืน เพราะคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินพวกตนพร้อมพลีชีพเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป

‘จิรายุ’ ซัด!! ‘ธนาธร’ พูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ปม 5 ด้านพัฒนาประเทศ ‘รัฐบาลพท.’ ทำอยู่แล้ว

(19 พ.ย.66) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ออกมาเสนอแนวคิดการใช้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยเอาไปทำรถเมล์ไฟฟ้า ทำน้ำประปาดื่มได้ เอาไปให้การแพทย์ และเอาไปทำระบบจัดการขยะนั้น ฟังแล้วแปลกใจ เพราะนายธนาธรพูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ไม่คิดว่าจะมีแนวคิดย้อนยุค ส่งประเทศกลับไปเป็นแบบรัฐราชการเหมือนในอดีตอีกหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะมีส่วนที่เป็นงบสำหรับนโยบายต่างๆ อย่างนี้อยู่แล้ว และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เร่งดำเนินการเป็นวาระเร่งด่วนอยู่แล้ว เพียงแค่ 2 เดือนเศษของรัฐบาลก็มีความคืบหน้าอย่างมากมายหลายโครงการ

นายจิรายุ กล่าวว่า วันนี้เครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดีขึ้นอย่างมากอันจะนำมาซึ่งการลงทุนในด้านต่างๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาคึกคักมากขึ้น การพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการของประชาชนสามารถดำเนินการได้ทันที เป็นการทำงานของรัฐบาลที่ผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตของประเทศและการลงทุนในด้านต่างๆ ได้

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ในทางทฤษฎี ในภาวะเศรษฐกิจซบเซามาหลายปี จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้ประชาชนได้มีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ในประเทศจะมีเงินสะพัด การค้าขายดีขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นในทันที สิ่งที่ตามมาก็จะเกิดการลงทุนในด้านต่างๆ ซึ่งการที่นายธนาธรพูดเช่นนั้นตนเชื่อว่ารู้อยู่แล้วว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เมื่อประสบความสำเร็จก็จะเป็นผลงานของพรรคเพื่อไทยนานเท่านาน เหมือนที่คนไทยชอบพูดว่าพรรคเพื่อไทยมาบริหารเศรษฐกิจก็จะดีทุกครั้งไป ซึ่งอาจกระทบความนิยมของพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ตนมั่นใจว่าจากประสบการณ์ของพรรคเพื่อไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยกลับมาสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลได้อีกครั้งอย่างแน่นอน

‘อนุทิน’ ชื่นชม ‘นายกฯ’ ทำงานเร็ว-ตัดสินใจเฉียบขาด ย้ำ!! ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมหนุนทุกนโยบาย

(19 พ.ย.66) ที่ไบเทคบางนา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 41 และมอบรางวัลสำเภาทอง ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับรางวัล โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รางวัลนี้นอกจากจะเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ ที่แสดงถึงการให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายอนุทิน กล่าวถึงการทำงานร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าจากการที่ได้ร่วมงานมา 3 เดือน เห็นถึงความพร้อมจะพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นคนทำงานรวดเร็ว ว่องไว และตัดสินใจเฉียบขาดทุกเรื่องที่ได้รับนโยบายมาก็มีความสบายใจว่านโยบายหรือคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนกับวิถีชีวิตของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้นึกถึงเรื่องของพรรคการเมือง ทุกเรื่องคือเรื่องของรัฐบาลในการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตาม สิ่งที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง

นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในการแถลงนโยบาย ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรี และข้าราชการ ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาใดๆ ต้องหาหนทางที่จะแก้ไข และดำเนินการให้นโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาบรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ได้ 

“นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะทำนโยบายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย มั่นใจว่าภารกิจที่ได้ให้สัญญาเอาไว้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ขอให้คำยืนยันจะให้ความร่วมมือกับนายกรัฐมนตรีในทุกๆ นโยบาย ที่จะทำให้ประเทศเกิดประโยชน์” นายอนุทิน กล่าว

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘90 ปี หอการค้าไทยกับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทย’

เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.66) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘90 ปี หอการค้าไทยกับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทย’ ว่า ต้องชมเชยรัฐบาลที่เพิ่งผ่านไป นำโดยนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องการเงินการคลังก็ทำได้ดี จีดีพีต่อหนี้ของประเทศเพียง 61% คนอื่นเกิน 100% ต้องชมเชยว่าดูแลอย่างดี แต่วันนี้เศรษฐกิจของโลกมันไม่เหมือนปกติแล้ว วันนี้วินัยการเงินมันดีเกินไป ถ้าดีเกินไปก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าโลกกำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจของระดับโลก ยกเว้นอเมริกาที่ทุกคนก็เชื่อการเงินอเมริกา พอขึ้นดอกเบี้ยเงินกลับไหลเข้าอเมริกามาก แม้มีหนี้สูงเกิน100% สูงกว่าจีดีพี คนก็ยังให้ความเชื่อมั่นการเงินของอเมริกา

“ในความคิดผม รัฐบาลชุดใหม่ ผมมีความเชื่อมั่นสูงมากว่าเข้ามาในเวลาที่ถูกต้องแล้ว ที่จะมาแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะท่านนายกเศรษฐา ผลงานของท่านทำธุรกิจอสังหาฯใหญ่มากเป็นที่หนึ่ง การเงินการคลังท่านบริหารได้อย่างเยี่ยมออกบอนด์ 4% กว่า แสดงว่าท่านไม่ใช่เป็นนักธุรกิจอสังหาอย่างเดียว ท่านเป็นนักบริหารการเงินอย่างยอดเยี่ยมในเหตุการณ์วันนี้ของโลก ผมมีความมั่นใจที่ออกมาตรการมานี้ผมคิดว่าทุกอย่างถูกต้อง วันนี้เศรษฐกิจไม่ปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ใช้วิธีปกติในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้เป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประเทศไทย แต่โชคดีที่ผมเพิ่งชมเชยไป รัฐบาลประยุทธ์ ผมก็ไม่กล้าพูดว่าไม่มีผลงาน เพราะเจอวิกฤตโควิด-19 ปาเข้าไป 3 ปี ทำได้แบบนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว”นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวว่า แต่วันนี้ไม่ใช่ ทั่วโลกเปิดแล้ว เช่น พักหนี้เกษตกรเห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ใช่พักหนี้แล้วเสียวินัยการเงิน ถามว่าประเทศไหนในโลกนี้ ที่เจริญรุ่งเรื่องได้ ไม่ปกป้องราคาสินค้าเกษตรให้สูง เพราะสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดินของประเทศไทย คนมองว่าสินค้าเกษตรไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ แต่พอปลูกเสร็จ ข้าวเปลือกขายเข้าโรงสีก็จบแล้ว ตัวเลขรายได้ไม่ใช่ของเกษตรแล้ว เป็นของอุตสาหกรรม แต่จะเพิ่มมูลค่าขึ้นอีก อย่างอ้อยเมื่อเกษตรกรขายอ้อยเช้าโรงสี โรงงานผลิตน้ำตาลก็กลายเป็นสินค้าของอุตสาหกรรมไปแล้ว ถ้าสินค้าเกษตรสามารถต่อยอด ให้เพิ่มมูลค่าขึ้นอีก 2-3 เท่า ประเทศไทยจะมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างแท้จริง เงินเข้าประเทศจะมากขึ้น และเก็บเกี่ยวไม่หมด แต่น้ำมันใต้ดินดูดแล้วหมด แต่น้ำมันบนดินเป็นพลังงานของมนุษย์ สำคัญกว่าน้ำมันใต้ดินอีก แต่น้ำมันหมดใช้นานเข้าก็หมด

“ผมอยากให้ช่วยกัน ไม่ใช่ว่าพอสินค้าเกษตรแพง ค่าครองชีพ ต้องจำกัดราคา หวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าราคาสูงต้องดูสินค้า เพราะแล้ง น้ำท่วม เป็นแมลงหรือเป็นโรค ถึงทำให้ของมันขาด แพงก็แค่ชั่วคราว เราต้องรีบจัดการพวกเหล่านี้ เพื่อเป็นระยะยาว ทำให้เพิ่มผลผลิต เกษตกรก็ร่ำรวยขึ้น คนซื้อก็ซื้อสินค้าเกษตรราคาถูกลง แต่ถ้าไปจำกัดราคาโดยไม่เข้าใจว่าทำไมสินค้าเกษตรแพง ดังนั้นคนจำกัดราคาก็ทำให้เกษตรกรยากจน ไม่ใช่ผมทำสินค้าเกษตรแล้วมาเชียร์” นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า วันนี้คนยากจนส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรเลยทำให้หนี้นอกระบบเกิดขึ้น อยากฝากนักธุรกิจ สมาชิกหอการค้าไทยช่วยกัน วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกพรรคการเมือง นักธุรกิจ ราชการ ต้องมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักและประชาชน ซึ่งนักธุรกิจประเทศ ประชาชนต้องมาก่อน บริษัทมาทีหลัง ถ้าประเทศอยู่ไม่ได้ ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ แล้วพวกเราที่ผลิตสินค้าจะขายให้ใคร

“ทำให้นายกเศรษฐาออกเงื่อนไข ผมเห็นด้วยและผมสนับสนุนว่านี่ใช่แล้วที่กำลังกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท พวกเราต้องช่วยกัน คือ ไม่ใช่ไปช่วยเพื่อคนยากจน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องให้เข้าใจ แล้ววินัยทางการเงินเราไม่ได้เสียเลย แต่ต้องมีแผนที่ 2 ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ผมเชื่อมั่นว่าถ้าพวกเราสามัคคีกันทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมือง มองประเทศชาติเป็นหลัก เอาตัวเองเป็นที่ 3 ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดใหม่ต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน” นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า เวลานี้ใครๆ ก็อยากมาอยู่เมืองไทย เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตเหมือนกัน แม้สหรัฐยังเป็นผู้นำเศรษฐกิจอยู่ แต่เงินเฟ้อ 4% และเศรษฐกิจโต 10% กว่า จึงมองว่าอย่าไปกลัวเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อที่ไม่มีเลยคือเงินฝืด ซึ่งมีความอันตราย เปรียบเหมือนเป็นความดันต่ำ ที่แจกยารักษาได้ยาก และถึงเวลาหนึ่งก็หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ ทำให้หากเงินฝืดแล้วอาจทำให้เศรษฐกิจและประเทศชาติล้มละลายได้ ทำให้ห่วงที่สุดคือ เงินฝืด ทำให้วินัยการเงินเราเยี่ยมมากแล้ว นำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะธุรกิจในยุคต่อไป มีข้อเสนอแนะ คือ โลกมีวิกฤต แต่อาเซียน 10 ประเทศ ภาพตอนนี้ไม่เหมือนต้มยำกุ้ง แตกต่างกันสิ้นเชิง โดยเฉพาะไทย ที่ชื่อเสียงด้านการเงินของไทยอยู่อันดับต้นๆ ของอาเซียน ทั่วโลกจึงมองว่าอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเป็นสถานที่น่าลงทุนมากสุด เศรษฐกิจกำลังเติบโต

นายธนินท์ กล่าวว่า ขณะที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วเกินไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะไทยเนื้อหอม คนเก่งๆ อยากมาอยู่เมืองไทย แต่เราเข้าใจผิดและกลัวว่าจะเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย ซึ่งมองว่าไม่ใช่ หากเรารู้จักทำกฎหมาย ชักชวนคนเก่งๆ เข้ามาทำงานในไทย ด้านที่คนไทยยังทำไม่ได้ และกลายเป็นคนไทยไปเลย อาทิ สหรัฐแทบไม่มีเชื้อชาติสหรัฐ แต่เป็นสัญชาติสหรัฐกันเยอะ โดยหากดึงคนเก่งเข้ามา 5 ล้านคน มีการจ้างเลขา 1 คนก็ 5 ล้านคนไทยที่ไม่ตกงานแล้ว ซึ่งการสร้างนักศึกษาที่ปีหนี่งจบ 4 แสนคนเท่านั้น ต้องใช้เวลาผลิตถึง 10 ปี หากจ้าง 2 คน ต้องใช้เวลาผลิตเป็น 20 ปี ทำให้การบอกว่าดึงคนเก่งเข้ามาแย่งงานคนไทยไม่เป็นจริง เพราะคนไทยยังไม่มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ทำให้เกิดการจ้างงาน และการสร้างเศรษฐกิจให้ไทยแล้วยังสามารถดึงนักธุรกิจที่เป็นไฮเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทระดับต้นๆ ในโลก แต่รัฐบาลจะต้องมีกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้

“ที่ผ่านมามีการพูดถึงการขายบ้านและที่ดิน 1 ไร่ให้ต่างชาติ ถูกหาว่าขายชาติ ซึ่งส่วนนี้มองว่าจะเป็นการขายชาติอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถนำที่ดินกลับไปได้ มองว่าคนไม่เข้าใจจึงบอกแบบนี้ จึงมองว่าวิกฤตของโลกถือเป็นโอกาสของประเทศไทย เชื่อมั่นว่าไทยมีความปลอดภัยมากสุด เพราะไม่รู้จะไปรบกับใคร 10 ประเทศอาเซียนมีความอุดมสมบูรณ์ เศรษฐกิจกำลังเติบโต วิกฤตจึงเป็นโอกาสของอาเซียนโดยเฉพาะไทย แม้เข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วไปก็ไม่เป็นไร”  นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจการผลิตเป็นตัวหนัก การขายออนไลน์เป็นตัวเบา ซึ่งตอนนี้เราต้องมองทั้งตัวเบาและตัวหนัก เพราะหากออนไลน์ขายได้มาก การผลิตก็ต้องผลิตมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ของออนไลน์ เพียงแต่ต้องผลิตให้มีความทันสมัยตามทันโลกมากที่สุด นอกจากนี้ มองว่ากำลังจะหมดยุคค่าแรงขั้นต่ำถูกๆ แล้ว เตรียมพร้อมสู่การจ้างงานผ่านการปรับค่าแรงขึ้น แต่ต้องทยอยเปลี่ยนแปลง ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมถึงการสนับสนุนนักธุรกิจไทยผ่านรัฐบาลนำเงินเข้ามาช่วยนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เพราะเอกชนไทยเก่งๆ มีเยอะ

‘อนุสรณ์’ โต้ ‘ธนาธร’ ปมเสนอ 5 ด้านพัฒนาประเทศ ชี้!! เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว

(18 พ.ย.66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุหากมี 5 แสนล้านบาท จะนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรถเมล์ไฟฟ้า น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ ว่า ตนเห็นต่างจากนายธนาธร เพราะสิ่งที่นายธนาธรพูด เป็นโครงการที่เป็นระเบียบปฏิบัติประจำของรัฐบาลอยู่แล้ว หลายเรื่องก็มีความก้าวหน้าไปมาก หากจะนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกใช้ผ่านบริษัทหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กว่าจะส่งต่อถึงมือประชาชนต้องใช้เวลานาน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่กระเป๋าเงินของประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เงินจะสะพัด หมุนไปในหลายภาคส่วนหลายๆ รอบ ประชาชนจะมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยทันที การค้าการขายจะดีขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมจะโต ประเทศไทยไม่ได้มีเงินมาก

หากนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไปทำสวัสดิการแห่งรัฐก่อน เม็ดเงินนั้นจะไม่เกิดการหมุนเวียน เงินในกระเป๋าประชาชนไม่มี เศรษฐกิจก็ไม่โต เราจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าก่อน เพราะเป็นปัญหาเร่งด่วน จากนั้นเมื่อเศรษฐกิจโต รัฐบาลก็พร้อมจะยกระดับในการดูแลสวัสดิการประชาชนให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

“รัฐบาลเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนจากวิกฤตที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ วิธีคิด วิธีทำแบบเดิมๆ จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาประเทศ ดิจิทัลวอลเล็ต คือ หนึ่งในนโยบายเรือธงที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่” นายอนุสรณ์ กล่าว

'ธนาธร' ย้ำ พัฒนาประเทศ 5 ด้าน ใช้งบฯ ไม่เกิน 5 แสน ลบ. ลั่น!! ใช้งบฯ ทำ 8 ปี ตกปีละ 6 หมื่นล้าน ทำได้ไม่ต้องกู้เพิ่ม

(18 พ.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่า…

ขอบคุณทุกท่านที่มารับฟังบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร ถ้าต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ในการบรรยายนี้ ผมขอสรุปให้ทุกท่านฟังอีกครั้ง ว่าผมเสนอแนะการพัฒนาประเทศ 5 ด้าน โดยใช้เงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรบ้าง

* สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,000 ล้านบาท
* รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท
* น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท
* จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท
* ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท

รวม 456,000 ล้านบาท

1. การสาธารณสุข ผมเชื่อว่าอนาคตการสาธารณสุขไทยคือการทำเทเลเมดิซีน หรือการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ ไม่ต้องรอคิวตรวจที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง โดยมีเครื่องตรวจวัดความดัน ค่าน้ำตาลในเลือด สัญญาณชีพต่างๆ ในทุกหมู่บ้าน เก็บขึ้นคลาวด์อย่างเป็นระบบ สามารถพบแพทย์ได้ผ่านหน้าจอ หากอาการป่วยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เทเลเมดิซีนไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบาย ประหยัดเงินและเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่ยังจะทำให้ไทยมีระบบจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่สามารถใช้คาดการณ์งบประมาณด้านสาธารณสุข และเตรียมบุคลากรการแพทย์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย คณะก้าวหน้าได้ทำเทเลเมดิซีนสำเร็จใช้งานจริงแล้วที่เทศบาลตำบลหนองแคน โดยประชาชนเข้ารับการตรวจได้ที่เครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ซึ่งสิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ มีเครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้งบเพียง 60,000 ล้านบาท

2. การคมนาคม ผมเสนอให้มีการจัดทำบริการรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การลดฝุ่นละออง pm2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลังงานโดยประชาชนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การทำงาน การประกอบธุรกิจของประชาชนครั้งใหญ่ ที่สำคัญ ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า เพราะในอนาคตเทรนด์โลกคือการใช้รถไฟฟ้าอยู่แล้ว รถเมล์ในไทยจะถูกทยอยเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด หากเราไม่พัฒนาอุตสาหกรรมไว้รองรับ สุดท้ายก็จะต้องซื้อจากจีน แทนที่จะสร้างงานและอุตสาหกรรมให้กับคนไทย โดยการทำรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด จะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท

3. การทำประปาดื่มได้ ประเทศที่เจริญแล้วล้วนมีน้ำประปาที่ดื่มได้ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชน โดยจากข้อมูลของ Rocket Media Lab คนไทยต้องทำงานถึง 27 นาทีเพื่อซื้อน้ำกิน 1 วัน แต่คนฝรั่งเศสใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้นในการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อน้ำกิน 1 วัน น้ำประปาอาจสามารถทำให้ดื่มได้ใน 99 วัน และยังมีการพัฒนาต่อยอดติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ และออกบิลค่าน้ำอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนเดินจดมิเตอร์ สิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ โดยใช้งบ 67,000 ล้านบาท ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงน้ำประปาสะอาดระดับดื่มได้ทั่วประเทศ และยังก่อเกิดอุตสาหกรรมชิปและสมาร์ทมิเตอร์อีกด้วย

4. สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะเป็นสิ่งที่เราลงทุนน้อยเกินไปมาก เมื่อเทียบกับการจัดการเมืองด้านอื่น ทำให้ขยะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ในเทศบาลตำบลหนองพอก ร้อยเอ็ด คณะก้าวหน้าได้ทำให้เห็นแล้วว่า หากท้องถิ่นจริงจังในการแยกขยะเศษอาหารจากขยะแห้งและขยะรีไซเคิล จะสามารถลดปริมาณขยะได้ทันทีอย่างน้อย 50% และสามารถฝังกลบหรือเผาขยะ และขายขยะต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเสนอให้ใช้งบประมาณ 120,000 ล้าน เพื่อลงทุนซื้อรถขยะที่มีประสิทธิภาพ สร้างบ่อขยะและโรงเผาขยะที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ไม่ปล่อยมลภาวะหรือสารพิษปนเปื้อน โดยการลงทุนขนาดใหญ่หลักแสนล้าน จะสามารถสร้างบ่อขยะและโรงขยะที่ดีเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือเดนมาร์ก ที่มีระบบการจัดการขยะดีที่สุดในโลก และคณะก้าวหน้าได้เคยไปดูงานมาแล้ว โดยการสร้างโรงขยะจะต้องไม่เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนหรือนักการเมือง แต่ต้องดึงต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมาร่วมทุนในการสร้าง และไทยเรียนรู้เทคโนโลยีจากประเทศเหล่านี้ เพื่อนำมาต่อยอดสร้างโรงขยะที่ปลอดภัยเองในอนาคต

5. การศึกษา การลงทุนในการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าอย่างสูงสุด เพราะในยุคเทคโนโลยีดิสรัปต์ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนทักษะของอนาคต เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้รอดจากภาวะ AI และระบบ automation เข้ามาแทนที่มนุษย์ ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาน้อยเกินไป เพราะมัวแต่คิดว่าเด็กอาชีวะต้องตีกัน ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้ว ทักษะและวิชาชีพช่าง เป็นสิ่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างสูงและได้รับการสนับสนุนอย่างมากโดยรัฐ เราสามารถเพิ่มการลงทุนในโรงเรียนและอาชีวศึกษาได้ โดยอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อปรับปรุงอาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย ให้กับโรงเรียน แห่งละ 500,000 - 3 ล้านบาท ตามขนาดของโรงเรียน และสถานศึกษาระดับอาชีวะ แห่งละ 20 ล้านบาททุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงอุดหนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาอีก 4,500 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาเด็กตกหล่นจากระบบ รวม 121,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ ผมขอย้ำว่า รัฐสามารถเลือกได้ว่ารัฐจะทำเอง หรือให้เอกชนเข้ามาทำ ทำให้งบประมาณ 456,000 ล้านบาทในการยกระดับประเทศ 5 ด้าน มีความยืดหยุ่นได้มาก ใช้จริงอาจน้อยกว่านี้ เพราะตัวเลข 456,000 ล้าน หมายถึงรัฐลงทุนทำเอง 100% แต่รัฐสามารถใช้บริการเอกชน ดึงเอกชนมาร่วมลงทุน ก็จะลดค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป แต่ผมยืนยันว่าในการลงทุนร่วมกับเอกชน จะต้องไม่เป็นช่องทางให้เอกชนเข้ามาแสวงหาสัมปทาน เอากำไรเกินควรบนผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของการจัดงบประมาณที่สมเหตุผล และได้คุณภาพบริการสาธารณะที่ดีสำหรับประชาชน

ประเทศไทยวันนี้ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าเป็นประเทศที่เจริญได้โดยปราศจากเทคโนโลยี การใช้งบประมาณที่คุ้มค่าสูงสุด จึงเป็นการเอาปัญหาของประชาชนมาแปรเป็นโจทย์ที่รัฐต้องแก้ >> เป็นความต้องการที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ >> สร้างงานที่มีคุณภาพ >> สร้างเทคโนโลยีที่เราเป็นเจ้าของเอง

ซึ่งการทำประปาดื่มได้ ทำรถเมล์อีวี ทำโรงขยะที่มีมาตรฐาน ล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของประเทศไทย

การใช้เงินเกือบ 5 แสนล้านพัฒนาประเทศ 5 ด้านนี้ หากไม่ใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินปกติ ทยอยทำ 8 ปี ก็จะตกปีละ 60,000 ล้าน ผมเชื่อว่าสามารถหาได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม เพราะแต่ละโครงการต้องค่อยๆ ทยอยทำอยู่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นทีเดียวภายใน 2-3 ปีได้ และถึงแม้ 5 แสนล้านจะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งหากนำมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย เดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีรายได้สูง ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป

'ธนาธร' ขายฝัน!! ยกนโยบายก้าวไกลคุยโว หวังดิสเครดิตรัฐบาล แนะวิธีใช้เงิน 5 แสนล้าน แต่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแท้จริง

(18 พ.ย.66) จากกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ต่อสาธารณชน โดยนายธนาธรเสนอว่า หากมีเงิน 5 แสนล้าน สิ่งที่ควรจะทำก็คือการกระจายเงินไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน นอกเหนือจากงบประมาณประจำที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว ซึ่ง 5 ด้านที่ว่านี้ ได้แก่ การสาธารณสุข การคมนาคม น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ และการศึกษา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่นายธนาธร ได้พูดถึงนั้น เปรียบเสมือนเป็นเหมือนทีวีที่ไม่มีจะอะไรฉาย ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาละครฉากซ้ำๆ มาเผยแพร่แบบนี้ ซึ่งแต่ละหัวข้อทั้ง 5 ด้าน รวมแล้วใช้ 456,900 ล้านบาทนั้น เป็นโครงการระยะยาว ตามที่นายธนาธรฯ บอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปีหรือสองสมัย ได้แก่ 1.สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,900 ล้านบาท 2.รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท 3.น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท 4.ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท และ 5.จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท โครงการเหล่านี้อยู่ในแผนเศรษฐกิจระยะยาวของรัฐบาล แต่ไม่ใช่โครงการที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที นอกจากนี้ยังเป็นการหาทางลงให้กับตัวเองและพรรคก้าวไกล เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่เป็นนโยบาย 300 ข้อที่พรรคก้าวไกลได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้งทั้งสิ้น

“ถ้าตอนที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลยอมลดโทนลง ไม่สุดโต่งตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเงื่อนไขของพรรคที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเงื่อนไขจะแก้มาตรา 112 แบบสุดซอย ในวันนี้พรรคก้าวไกลคงได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล นโยบายทั้ง 300 ข้อที่ประกาศไว้ประชาชนก็อาจได้มีโอกาสทำหากเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ได้แต่ออกมาพูดผ่านโซเชียลมีเดียว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

ขอถามว่าสิ่งที่นายธนาธร กับพรรคก้าวไกลยืนยันที่จะแก้ไขมาตรา 112 อย่างสุดโต่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครเอาด้วย แล้วตนเองจะไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้มีโอกาสทำนโยบาย 300 ข้อที่ตนได้สัญญากับประชาชนก็ตาม โดยคงคิดไปเองว่าทำแบบนี้แล้วจะได้คะแนนสงสารชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ต้องถามนายธนาธรดังๆ ว่าต้องการทำเพื่อประโยชน์ประชาชนจริงหรือไม่ หรือทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองกันแน่

‘โอ๋ ชัยวุฒิ’ ไม่ห่าง ‘ลุงป้อม’ แวะเยี่ยมหาสม่ำเสมอ เหตุเพราะ ‘สำนึกบุญคุณ’ ผู้มีพระคุณที่เคยมอบโอกาสให้

(17 พ.ย. 66) จากคอลัมน์ 'เปลวสีเงิน' ได้นำเสนอบทความในหัวข้อ…อยู่กับ ‘ลุงป้อม’ เสมอ…ระบุความว่า...

นี่แหละการเมือง ยามมีอำนาจมีแต่คนรายล้อม วันสิ้นอำนาจหันมองข้าง ๆ ช่างบางตา ชีวิต ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทบจะเป็นแบบนั้น

ย้อนกลับไปก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อครั้งยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี บารมีเฉิดฉาย ไปที่ไหนรัฐมนตรี สส. และนักการเมือง แย่งกันเบียดเพื่อไปยืนข้าง ๆ ชนิดแทบจะเหยียบกันตาย

ขนาดงานลงพื้นที่ธรรมดา ๆ ลูกพรรคยังยกพรรคกันไปแห่รอรับ พินอบพิเทาเอาใจ ลุงป้อม ประหนึ่งขอความเมตตา

แต่มาวันนี้ เหลือกันไม่กี่คนที่ยังคอยเคียงข้างลุง แบบว่างานราษฎร์ งานหลวง ไปตลอดแทบไม่เคยขาด อย่างเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ลุงป้อม เดินทางไปเป็นประธานพิธีทอดกฐินสามัคคีที่วัดเกาะแก้ว และวัดโพธิ์เผือก อ.เมืองฯ จ.พระนครศรีอยุธยา เห็นแล้วต้องบอกว่าใจหาย นั่นเพราะข้างกายวันนี้เหลือกันอยู่ไม่กี่คน

วันดังกล่าว ข้าง ๆ ตัว ลุงป้อม มีแค่ ‘บิ๊กน้อย’ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ‘บิ๊กณัฐ’ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ 2 น้องรักตั้งแต่อยู่ด้วยกันในกองทัพ

ขณะที่นักการเมืองแท้ๆ มีแค่ ‘เสี่ยโอ๋ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คนเดียวเท่านั้น

มีคนเล่าว่า ทุกวันนี้เป็นแบบนี้จริง ๆ คนที่เข้า ๆ ออก ๆ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เหลือกันไม่กี่คน ต่างจากอดีตที่แทบจะแย่งบัตรคิวเข้าพบลุงป้อม

ส่วนในราย ‘เสี่ยโอ๋’ หลายคนยืนยันตรงกัน ยังเข้าไปหา ‘ลุงป้อม’ สม่ำเสมอ แม้วันนี้จะไม่มีตำแหน่งแห่งหนอะไร หากมีงานที่ไหน คิวว่าง อดีตเสนาบดีรายนี้ยืนไม่เคยห่าง

เรื่องของเรื่อง เพราะ ‘เสี่ยโอ๋’ ซาบซึ้งใจ ‘ลุงป้อม’ ในฐานะที่เป็นผู้ให้โอกาส ให้นักการเมืองสิงห์บุรีรายนี้ได้พาสชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกับเขาสักครั้ง บุญคุณนี้ยากจะทดแทน

แล้วในยามที่ ‘ลุงป้อม’ เป็นแบบนี้ การปลีกห่างไม่ใช่แนวทางคนอย่าง ‘เสี่ยโอ๋’ แน่

‘ที่ปรึกษารองอ้วน’ ตอก!! ‘ศิริกัญญา’ หลังค้าน ‘เงินดิจิทัล’ ชี้!! ‘คนลำบาก-ไม่มีกิน’ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐต้องรีบแก้

(17 พ.ย. 66) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์) ย้อนนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทำไมความรู้สึกช้านัก ว่าขณะนี้ประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ความยากจน ความอดอยากและความทุกข์ยาก ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนเร่งด่วนหรือ ความจนและคนไม่มีกินไม่มีใช้ เจ็บปวดแค่ไหนรู้หรือไม่

“สส.บางคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เพราะอาจจะไม่เข้าใจและไม่เคยสัมผัสความยากจน เป็นพวกสุขนิยม พ่อแม่หาให้กิน แต่รัฐบาลนี้โดยการนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เห็นว่าความยากจนเป็นเรื่องเร่งด่วน จะไม่ยอมให้คนไทยลำบากอีกต่อไป อะไรช่วยได้ช่วยทันที” นายพายัพ กล่าว

นายพายัพ กล่าวว่า การที่รัฐบาลทำเรื่องนี้ให้เป็น พ.ร.บ.เงินกู้ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพราะต้องการฟังเสียงประชาชน และไม่กังวลกับการตรวจสอบ อยากฟังเสียงผู้แทนประชาชนให้รอบด้าน เป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และมาตรา 53 เพราะความยากจนของคนไทยวันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้ จึงอยากให้นางสาวศิริกัญญา พิจารณาฟังเสียงให้รอบด้านด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top