Wednesday, 17 April 2024
POLITICS NEWS

'รัดเกล้า' ยก!! 'รมว.ปุ้ย-ปธ.กมธ.อุตฯ' แก้ปัญหาเร็ว ปมกากแร่แคดเมียม ตอกย้ำ!! ภาพคน 'รทสช.' พรรคอนุรักษ์นิยมรุ่นใหม่ที่เน้นทำมากกว่าพูด

(6 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยว่า หลังจาก คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการลักลอบขน กากแร่แคดเมียมจากจังหวัดตาก มาที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรและ สส.ราชบุรี ได้ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา จึงได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการเป็นที่แน่ชัดว่า มีการขนกากแร่ที่มีอันตรายร้ายแรงโดยผิดกฎหมายจำนวนมากถึง 10,000 กว่าตัน มายังจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้น กมธ.อุตสาหกรรม ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปจัดการกากแร่มีพิษอันตรายดังกล่าวอย่างเร่งด่วน 

พร้อมกันนั้น ได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบชี้แจงพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดความระมัดระวัง และในวันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่พร้อมกับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงใน พื้นที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน ในเขตอำเภอเมือง และเป็นที่กองเก็บถุงบิ๊กแบ๊กถึงประมาณ 1,400 ถุง ภายในมีกากเเร่แคดเมียมที่เป็นอันตรายร้ายแรงบรรจุอยู่ ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ฝ่าฝืนกฎหมายประกอบการหล่อหลอมแคดเมียมโดยไม่ได้รับอนุญาต  

โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดๆ เข้าไปอยู่อาศัยหรือดำเนินกิจการใดในพื้นที่โรงงานเป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับสุขภาพพี่น้องประชาชนเบื้องต้น

ทั้งนี้ สารแคดเมียมนั้น อันตรายมากหากเข้าสู่ร่างกายเพราะจะถูกนำไปเก็บสะสมไว้ใน ปอด ตับ และหมวกไต ทำให้เป็นหมัน กระทบต่อ ระบบเลือด ระบบประสาท กระดูกพรุน โรคต่อมลูกหมาก ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ด้วย โดยสารแคดเมียมนั่นสามารถเข้าสู่ร่างกายทางปาก โดยการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียม เช่น อาหารทะเล พืชผัก และ ทางจมูก โดยการหายใจเอาควัน หรือ ฝุ่นของแคดเมียมเข้าไป เช่น ในเหมืองสังกะสี

ในระยะเวลาดังกล่าว ที่ กมธ. การอุตสาหกรรม มุ่งมั่นเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏและผลักดันทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชน และติดตามการทำงานของทุกฝ่ายให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

ล่าสุด นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมเข้าสู่กระบวนการผลิต พร้อมทั้งอายัดกากแคดเมียม และส่วนของอื่นๆ ไว้ เพื่อตรวจสอบและดำเนินการจัดการกากเเร่อันตรายให้เป็นไปตามกฎหมาย อีกทั้งยังได้ออกคำสั่งย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตากมาช่วยราชการ ที่สำนักงานกระทรวงอุตสาหกรรมอีกด้วย

"รทสช. เราภูมิใจที่ได้ยืนหยัดเป็นเสาหลักในการเป็นที่พึ่งของประชาชน เราทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด และจะยังคงทำต่อไปอย่างไม่ลดละ พรรคเราคืออนุรักษ์นิยมรุ่นใหม่ที่ยึดแนวทางการทำงานแบบ Pragmatic คือเน้นทำมากกว่าพูด เน้นความจริงมากกว่าวาทกรรม ภายใต้สโลแกน สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง การทำงานของ รมว.พิมพ์ภัทรา และ สส.อัครเดช ในกรณีนี้ ต้องย้ำว่า เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงระดับปฏิบัติการ  รทสช. ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการปกป้อง ดูแล และคืนความเป็นธรรมให้กับประชนที่ได้รับผลกระทบ เรารู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้" รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าวเสริม

‘อัครเดช’ จี้ให้หาความจริง ‘สารแคดเมียม’ มีเท่าไร-อยู่ที่ไหน หวั่นฟุ้งกระจาย ย้ำ!! ต้องรอบคอบ-รัดกุม เพื่อความปลอดภัยของปชช.

(6 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจพบสารแคดเมียมในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาสอบสวนให้เกิดความกระจ่างใน 2 ประเด็นคือ 1.จะจัดการกับสารแคดเมียมที่เหลืออยู่อย่างไร เพราะมีการแจ้งว่าขออนุญาตขนมา 15,000 ตัน แต่วันที่เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครเข้ามาชี้แจงต่อกมธ.แจ้งว่าพบมีกากแร่แคดเมียมประมาณหมื่นกว่าตัน ส่วนเมื่อวันที่ 6 เม.ย. กระทรวงอุตสาหกรรม บอกพบกากแร่ดังกล่าวแค่2,000กว่าตัน ทั้งในตัวอาคารและนอกอาคาร ดังนั้น เบื้องต้นต้องสรุปให้ได้ก่อนว่าระยะเวลานี้ผ่านมา 5-6 เดือนขนมากี่ตันแน่ และยังเหลืออยู่กี่ตัน ต้องบอกตัวเลขที่แท้จริงกับประชาชนให้ได้ก่อนเพื่อให้หายสงสัย

นายอัครเดช กล่าวว่า ต้องสอบสวนให้เกิดความชัดเจนเวลานี้สารแคดเมียมกระจายไปที่ไหนบ้าง และมีบางส่วนตามกลับมาแล้วหลังมีการเข้าไปตรวจสอบพบว่ามีการย้ายไปโรงงานอื่น แล้วตามกลับมา ตรงนี้เป็นปัญหาแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ทราบว่ากระจายไปที่ไหนบ้างจะได้จัดการกับกากแร่เหล่านั้นได้ถูกต้อง ที่สำคัญต้องมีการสืบสวนสอบสวนว่ามีการนำไปหลอมหรือไม่ตรงนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะ กระบวนการหลอมโลหะจะทำให้เกิดไอของสารแคดเมียม ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนได้

ประเด็นที่ 2 เรื่องการขนย้ายต้องไม่โลกสวยการออกคำสั่งทางปกครอง ให้ขนย้ายแล้วเสร็จภายใน7วันในทางปฏิบัติทำได้หรือไม่ สารแคดเมียมเป็นสารอันตราย การขนย้ายต้องมีการวางแผนเตรียมการอย่างดี ทราบล่าสุดพบถุงบรรจุกากแคดเมี่ยมบางถุงที่กองเก็บนอกอาคารมีการชำรุดและเกิดการรั่วออกมาของกากแคดเมี่ยมบางส่วน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าโลกสวยต้องไปดูว่าในทางปฏิบัติจะควบคุมในการขนย้ายอย่างไรให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทางได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่หรือยัง เพราะสารแคดเมียมอันตรายมากเป็นสารก่อมะเร็งระหว่างขนย้ายมีการฟุ้งกระจายหรือมีน้ำฝนมาชะล้างก็ล้วนอันตราย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาแก้ปัญหาอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนมากที่สุด

ประเด็นที่ 3 ต้องเร่งหาคนทำผิดมาลงโทษให้ได้ถือว่าสำคัญมาก เพราะในEIA ระบุชัดกากเเคดเมียมเหล่านี้ไม่สามารถขนย้ายได้ แต่กลับมีการขนย้ายทั้งที่กฎหมายไม่อนุญาต เรื่องนี้กมธ.จะติดตามอย่างใกล้ชิด ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ปลอดภัยสร้างความเข้าใจกับประชาชน

“กรรมาธิการจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ต้องการสร้างความตระหนัก ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปจัดการปัญหาอย่างจริงจัง ถ้าส่วนราชการบางหน่วยงานให้ความร่วมมือกับกมธ.อย่างจริงจังตั้งแต่แรกปัญหาคงจัดการได้ตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาส่วนราชการก็เป็นอุปสรรคเสียเอง ในการสอบหาข้อเท็จจริงของกรรมาธิการอุตสาหกรรม เพิ่งมาให้ข้อมูลที่ชัดเจนเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าไปมาก ดังนั้นส่วนราชการต้องตื่นตัวในการเข้ามาแก้ไขปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชนให้มากกว่านี้ การที่ส่วนราชการทำงานล่าช้าทำให้ประชาชนตกใจเพราะข่าวที่ออกมาไม่ชัดเจน จึงมีคำถามจากประชาชนมากมาย”นายอัครเดชกล่าว

นายอัครเดช กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ทำไมไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ แต่ประกาศเป็นเขตควบคุม มีความแตกต่างกันอย่างไร กมธ.ไม่ได้สนใจจะประกาศแบบไหน แต่ขอให้การแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนต้องมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในปัจจุบันและอนาคต การไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติจะกระทบต่อสิทธิของประชาชนในอนาคตหรือไม่ถ้าประชาชนเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาในภายภาคหน้า แล้วจะเรียกร้องจากใคร นี่ก็เป็นคำถามที่ประชาชนฝากถามมา

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 เมษายน กมธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงอีกครั้ง ช่วงนี้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการอย่างเร่งด่วน หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะมาชี้แจงต่อกมธ.เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสาธารณชนร่วมกัน และขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และทุกภาคส่วนที่ได้ลงไปแก้ปัญหาให้ประชาชน

‘อนุทิน’ ชี้ ต้องจำกัดความ ‘ระบอบทักษิณ’ คืออะไร หากทำให้ ปชช. ‘มีความสุข-มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น’ ก็โอเค

(6 เม.ย. 67) ที่พรรคภูมิใจไทย(ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเคลื่อนไหวมีการประเมินว่าการเมืองจะกลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ว่า ต้องคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน การขับเคลื่อน การเคลื่อนไหวทางการเมือง ของใครก็ตาม ถ้าเราเป็นประชาชนที่สนใจการเมือง และมีประสบการณ์ เราสามารถใช้ประสบการณ์ของเราให้คำแนะนำต่อฝ่ายการเมืองไปคิดพิจารณาได้ ซึ่งนายทักษิณก็ทำบทบาทแต่เพียงเท่านี้ คือการให้คำแนะนำประสบการณ์ของคนเป็นนายกฯที่ได้รับความนิยมอย่างเป็นมาก และประสบการณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งเรื่องครอบครัว การประกอบธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ไม่ควรให้หายไปกับคนคนนั้น ควรเอาประสบการณ์เหล่านี้มาเล่าให้กับคนรุ่นลูกรุ่นหลาน 

“นายทักษิณ ไม่สามารถที่จะสั่งการรัฐบาลในทางการเมืองได้ เพราะมีกฎหมายมีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ แต่สิ่งที่ท่านได้พูดออกมาเท่าที่ผมติดตาม คือเรื่องการแชร์ประสบการณ์ เหมือนกับผมทุกวันนี้ที่แชร์ประสบการณ์ให้กับกก.บห.พรรคภูมิใจไทย ว่าสมัยก่อนเจอแบบนี้จะทำอย่างไร หรือว่าเวลาตอบโต้ จะต้องตอบโต้ในจังหวะจะโคนอย่างไร ส่วนคนที่รับผิดชอบพรรคในยุคนี้จะทำหรือไม่ทำ ท่านจะรับฟังหรือไม่รับฟังก็เป็นเรื่องของท่าน ดังนั้นถ้าคิดแบบนี้ก็เป็นความสบายใจ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือประชาชน” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า มีคนเป็นห่วงว่าระบอบทักษิณจะกลับมาฟื้นคืนชีพหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องจำกัดความก่อนว่าระบอบทักษิณคืออะไร ถ้าระบอบทักษิณเป็นระบอบที่ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความสุข เกิดความสะดวก มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น ก็ถือว่าเป็นระบอบที่โอเค 

“แต่วันนี้เรื่องของปัจเจกบุคคลไม่มีแล้ว เพราะวันนี้เป็นองคาพยพของรัฐบาลผสมที่มีความชัดเจนว่าไม่ใช่ระบอบใดระบอบหนึ่ง แต่เป็นการทำงานร่วมกันภายใต้การนำกับนายกฯ ดังนั้น จึงมีความชัดเจนว่าเราทำงานขับเคลื่อนเป็นนโยบายของรัฐบาล

เมื่อถามว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประกาศว่าจะนำพรรคเพื่อไทยชนะศึกเลือกตั้งครั้งหน้า นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคก็ต้องพยายามชนะใจประชาชน เหมือนเล่นกีฬาเวลาแข่งขันเล่นกอล์ฟเราก็อยากชนะ แต่ต้องอยู่ในเกม ถ้าอยู่ในเกมก็ไม่มีปัญหา ถือว่าเป็นการแข่งขันเอาศักยภาพ เอาฝีมือของตัวเองออกมา แล้วประชาชนเป็นคนตัดสินใจ ต่อให้เราสมหวังหรือไม่สมหวังถ้าเราได้ใช้ศักยภาพของเราอย่างเต็มที่แล้ว และประชาชนตัดสินใจแล้ว ต้องถือว่าเราไม่มีความเสียใจหรือว่าเคียดแค้นใด ๆ

‘ประชาธิปัตย์’ จัดใหญ่เนื่องในโอกาส ก่อตั้งพรรคครบรอบ 78 ปี ‘เฉลิมชัย’ ลั่น พร้อม ‘ปรับตัว-เปลี่ยนแปลง’ สื่อสารให้ถึงประชาชน

(6 เม.ย. 67) พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) จัดงานเนื่องในโอกาสวันก่อตั้งพรรคครบรอบ 78 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 79 โดยในช่วงเช้าจัดพิธี 3 ศาสนา โดยเริ่มจากพิธีทางศาสนาอิสลาม จากนั้นทำพิธีพราหมณ์เพื่อบวงสรวงพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่เป็นสัญลักษณ์ของพรรค ต่อด้วยการประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ โดยทางพรรคได้นิมนต์สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ 'สมเด็จธงชัย' ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นองค์ประธานเจริญพระพุทธมนต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศภายในงานยังคงคึกคักเช่นปีที่ผ่าน ๆ มา มีแกนนำพรรคเข้าร่วมงาน อาทิ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายสุทัศน์ เงินหมื่น นายอลงกรณ์ พลบุตร นายนริศ ขำนุรักษ์ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ นายราเมศ รัตนะเชวง เป็นต้น รวมถึงบรรดาสส.ปัจจุบัน อดีต สส. ตลอดจนสมาชิกพรรคที่เดินทางมาจากทั่วทั้งประเทศ

นอกจากนั้นยังมีบรรดาศิษย์เก่า ของพรรค ได้เดินทางมาร่วมอวยพรและให้กำลังใจ อาทิ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอันวาร์ สาและ อดีตสส.ปัตตานี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นต้น

อีกยังมีตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทย นำแจกันดอกไม้มาร่วมอวยพรด้วย นำโดยนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรค นายภราดรปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง รองหัวหน้าพรรค และน.ส.แนน บุณยธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรค ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ นำโดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคฯ และยังมีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ รวมเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาร่วมอวยพรด้วย

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคปชป. ให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสพรรคปชป. เข้าสู่ปีที่ 79 ว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงลำดับแรกเลยการมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นอีก 1 ปี พูดได้เต็มปากว่าพรรคของเราเป็นสถาบันทางการเมืองอยู่คู่กับประเทศไทยไปอีกนาน จึงต้องปรับตัว และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนที่สุด คือความสดใส ที่สำคัญ พรรคตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร ซึ่งถือว่าหัวใจของการเปลี่ยนแปลง และเป็นการเปิดโลกให้ปชป. ในแง่การสื่อสารถึงประชาชน นำเสนอสิ่งต่าง ๆ ถึงสังคม

เมื่อถามว่าจะมีศิษย์เก่ากลับเข้าพรรค นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ขอให้รอดูที่การประชุมใหญ่พรรคปชป. ช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้ ในการแก้ไขข้อบังคับพรรค เพื่อเปิดกว้างให้กับคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างความมั่นใจว่าพรรคจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ถามถึงการปรับครม. ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวพรรคปชป. จะเข้าร่วมรัฐบาล นายเฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง เพราะเป็นอำนาจของท่าน และก็ควรต้องบอกให้ชัดเจนว่าใครพูดกับใคร ที่ไหน ไม่เช่นนั้นพรรคปชป.เสียหาย ถ้าไม่ใช่อย่าพูด การพูดในสิ่งที่ไม่ชัดเจน ไม่ดีกับทุกฝ่าย

ถามย้ำว่าอาจมีสมาชิกของพรรคแอบไปพูดคุยหรือไม่ หัวหน้าพรรคปชป. กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ตนไม่เคยคุยเรื่องร่วมรัฐบาล ปชป.มีหลักเกณฑ์ ข้อบังคับ ตนพูดตลอดว่านักการเมืองมีการพูดคุยกันตามปกติ แต่ต้องไปดูที่เนื้อหาสาระว่าคุยอะไร ยืนยันพรรคไม่คุยเรื่องร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าถ้ารัฐบาลต้องการให้ร่วมรัฐบาล ทางปชป.มีเงื่อนไขหรือไม่ว่าต้องได้กระทรวงใดบ้าง นายเฉลิมชัย กล่าวว่า มันมีกระบวนการที่จะพิจารณามากกว่าที่จะมานั่งคุยกัน ตกลงกัน คิดว่าต้องเข้าสู่กระบวนการของพรรคก่อน ถึงจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อถามว่ากระบวนการปล่อยข่าวร่วมรัฐบาล เป็นการดิสเครดิตพรรคหรือไม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า มั่นใจไม่ใช่คนปชป.เป็นคนปล่อยแน่นอน ส่วนจะปล่อยเพื่อดิสเครดิตหรือไม่นั้น ต้องคิดดู ปชป.ก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่าแบบนี้นานแล้ว ลองไปคิดดูเรื่องจังหวะที่ออกข่าว แล้วมีคนออกมาพูด มีการรับลูกกัน ใครควรจะเป็นคนปล่อย

‘ภูมิใจไทย’ จัดทำบุญใหญ่ครบรอบ 16 ปี บรรยากาศคึกคัก ‘พรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน’ ร่วมยินดี ‘อนุทิน’ ขอทำงานเพื่อ ‘บ้านเมือง-ประชาชน’

(6 เม.ย. 67) ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถนนพหลโยธิน จัดพิธีทำบุญพรรคภูมิใจไทยก้าวสู่ปีที่ 16 โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธาน พร้อมด้วยนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค (กห.บห.) รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และสมาชิกพรรค เข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

จากนั้นมีการประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม นำโดย อิหม่ามสนั่น (ดาวุต) โตสมบูรณ์ อิหม่ามประจำมัสยิดเราะห์มาตุ้ลอิสลาม แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. พร้อมด้วยผู้นำศาสนาจากมัสยิดต่าง ๆ ในเขตสวนหลวง กทม. รวม 10 ท่าน เพื่อขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพรอันประเสริฐให้พรรคภูมิใจไทยเจริญรุ่งเรือง และสมาชิกทุกท่านมีความสุขความประสบความสำเร็จในการทำหน้าผู้แทน และเป็นที่พึ่งของประชาชน ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เวลา 07.00 น. นายอนุทิน พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรค ภท. ได้เดินทางไปวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะปฐมบรมราชานุสรณ์ เนื่องในวันจักรี เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมหาจักรีบรมราชวงศ์ ณ บริเวณปฐมบรมราชานุสรณ์ สะพานพระพุทธยอดฟ้า

สำหรับงาน 'ก้าวสู่ปีที่ 16' พรรคภูมิใจไทยในวันนี้ มีตัวแทนพรรคการเมืองนำกระเช้า และแจกันดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดี อาทิ พรรคเพื่อไทย ได้แก่ น.ส.จิราพร สินธุไพร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รองหัวหน้าพรรค นายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรค น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรค และนายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ รองโฆษกพรรค พรรคชาติพัฒนากล้า ได้แก่ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรค

ขณะที่ พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา โดยนายวราวุธได้มอบช่อดอกไม้และกล่าวอวยพรว่า พรรคภูมิใจไทยที่เป็นหนึ่งในพรรคหลักของพรรครัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนาขอเป็นกำลังใจ และขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ เป็นเสาหลักให้กับน้องๆ เพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรสหาย และเป็นเสาหลักให้กับการเมืองไทยตลอดไปตราบนานเท่านานขอให้ประสบความสำเร็จและได้ยิ่งใหญ่ไปนาน ๆ

ขณะนายอนุทินกล่าวตอบว่า ขอบคุณพรรคชาติไทยพัฒนาที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมาตลอด 5 ปี และในปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ 6 และขอให้ทำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชนไปด้วยกัน และจะเป็นลมใต้ปีก เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จไปด้วยกัน พร้อมกล่าวถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ที่มียุทธศาสตร์การบริหารที่ดี เชื่อว่าลูกมังกรไม่มีทางเป็นงูดิน แต่จะเป็นกิเลนที่พร้อมไปด้วยกัน

ต่อมา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายชัชวาลล์ คงอุดม สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามาร่วมแสดงความยินดี

ขณะที่ พรรคซีกฝ่ายค้านมี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำโดย นายนริศ ขำนุรักษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมช.มหาดไทย พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ รองหัวหน้าพรรค เป็นตัวแทนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดี

ผลพวงศึกอภิปรายม.152 เสริมแกร่ง 'เศรษฐา-รัฐบาลตีตั๋วยาว' หลังลีลาเชิงชั้นทางการเมืองกล้าแกร่งกว่าเก่าก่อนหลายเท่าตัว

ก็ต้องยอมรับว่าแม้ศึกอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตาม รธน.มาตรา 152 จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวาทกรรม และสำนวนโวหาร...แต่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลก็ห้ำหั่นกันด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง...กันไม่น้อย

เกือบ ๆ 20 ชั่วโมงของการพ่นน้ำลายพ่นไฟใส่กัน...ชาวบ้านไม่เสียเวลาเปล่า ได้รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองแต่ละคนว่า ใครทำการบ้าน-ไม่ทำการบ้าน ใครแผ่นเสียงตกร่อง ใครเป็นนักฉวยโอกาส

ขออนุญาตให้คะแนนส่วนตัว บวกลบคูณหารแล้ว ฝ่ายค้านชนะเฉียดฉิว 51 ต่อ 49 นี่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ป๊อดเรื่องประเด็นนักโทษเทวดา คะแนนอาจไหลไปที่ 55 ต่อ 45 ทีเดียว...น่าเสียดาย ปล่อยให้หมอวาโย อัศวรุ่งเรือง อธิบายเรื่องโรคกระดูกคอเสื่อม เส้นเอ็นแขนเปื่อยยุ่ย ฯลฯ อยู่นานสองนาน...แม้จะพูดดี แต่มันยังไม่ Hit the Point...

กล่าวสำหรับพรรคก้าวไกล...ก็ต้องยอมรับว่าสส.หน้าใหม่แถวสามหลายคน ทั้งหญิงชายได้แจ้งเกิดอย่างสมบูรณ์บนวิถีวิธีคิดแบบก้าวไกล...ส่วนเป็นใครบ้าง 'เล็ก เลียบด่วน' จะยังไม่ขอเอ่ยนาม...

สำหรับพรรคฝ่ายค้านเก่าแก่อย่าง 'ประชาธิปัตย์'...งานนี้พระแม่ธรณีบีบน้ำตาฝากขอบคุณรุ่นเก๋าอย่าง 'ชวน หลีกภัย' ที่อุตส่าห์เปลืองเนื้อเปลืองตัว โดดมาเคียงข้าง 'อู๊ดด้า' จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน และเหนือชั้นในลีลาอภิปราย...

ไม่มี 'ชวน-จุรินทร์' งานนี้ประชาธิปัตย์ตายสนิทศิษย์ส่ายหน้าแน่นอน...

สรุปชัดเจน...ปชป.สายผู้อาวุโส 4 คน นำโดย 'ชวน-จุรินทร์' ยังไงก็ไม่ร่วมรัฐบาล ที่เหลือนำโดย 'เฉลิมชัย-เดชอิศม์-ชัยชนะ' ชัดเจนว่าได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นพรรครอร่วมรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว...ฟันธง !!

สำหรับพรรคเพื่อไทย...รายการนี้ก็ต้องยกให้ 'เศรษฐา ทวีสิน' ที่แม้ว่าผลงานยังไม่ค่อยเข้าตานัก แต่ลีลาเชิงชั้นทางการเมืองกล้าแกร่งกว่าเก่าก่อนหลายเท่าตัว...

กล้าสวนหมัดจุรินทร์เรื่องแมลงวันแมลงหวี่ และย้อนเกล็ดฝ่ายค้านที่โลกงง...รวมทั้งกล่าวหาท่านชวน  หลีกภัย ว่าหากินกับมุกเดิมนั้น ข่าวแจ้งว่าทำเอากรี๊ดกันทั้งพรรคและบ้านจันทร์ส่องหล้า...

พูดไปทำไมมี...หลังศึกอภิปรายทั่วไปหนนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยกระซิบกระซาบมาว่า...นายใหญ่ต่อวีซ่าให้เศรษฐา...ยาวไป...อยู่ให้ครบเทอม...แต่รอบหน้าขอให้ลูกสาวนายใหญ่ 'อุ๊งอิ๊ง'

นายใหญ่ประเมินแล้ว...ยังไง ๆ ก้าวไกลก็ไม่แลนด์สไลด์ ตอนนี้สั่งปิดประตูรูรั่วสนามอีสาน รอบหน้าต้องอย่างน้อย 110 เสียง จากทั้งหมด 133 ซึ่งปี 2566 ได้มาแค่ 73 เท่านั้น

‘กมธ.อุตฯ’ ลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงโรงงานเครนถล่ม จ.ระยอง สั่งดำเนินคดีผู้กระทำผิด - ตั้ง คกก.ตรวจสอบโรงงานเพิ่มเติม

(5 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมกมธ. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุเครนถล่มที่โรงงานเหล็กในพื้นที่ ม.2 ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง แรงงานจังหวัดระยอง พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ที่ห้องประชุม อบต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

นายอัครเดช ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า กมธ.ได้รับการชี้แจงจากผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่า เหตุการณ์เครนถล่ม มีผู้เสียชีวิต 7 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา 6 ราย จีน 1 ราย ทางบริษัทได้จ่ายเงินเยียวยาให้ตามกฎหมายทุกรายแล้ว

ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองได้ชี้แจงว่า ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตตามขั้นตอนตามกฎหมายแล้ว กมธ.ได้ย้ำขอให้แรงงานจังหวัดระยองได้เข้ามาดูแลการทำงานของแรงงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และให้มีการจ้างงานถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นแรงงานต่างด้าว ต้องเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย

นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนที่ 2 ในเรื่องการก่อสร้างพบว่าทาวเวอร์เครนที่ล้มได้รับรายงานจากปลัดอบต.ตาสิทธิ์ว่า ไม่มีการขออนุญาตติดตั้ง ทางกมธ.จึงให้หน่วยงานไปแจ้งความดำเนินคดีตามขั้นตอน และขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัด ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่อบต.ตาสิทธิ์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ที่ปล่อยให้มีการติดตั้งเครนโดยไม่มีการขออนุญาต ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัด จะตั้งกรรมการมาสอบสวนก่อนจะรายงานผลสอบให้กมธ.ได้ทราบต่อไป

สำหรับ ส่วนที่ 3 การติดตั้งเครื่องจักร ทางอุตสาหกรรมจังหวัดชี้แจงว่า ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและติดตั้งเครื่องจักรตาม พ.ร.บ.โรงงานอย่างถูกต้อง แต่ กมธ.ได้เน้นย้ำให้ตรวจสอบการติดตั้งเครื่องจักรให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ไม่ควรนำเครื่องจักรที่ไม่มีความปลอดภัยและไม่ได้มาตรฐานมาติดตั้งในพื้นที่ จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบ เป็นอันตรายต่อพนักงานที่มาปฏิบัติงานในโรงงาน และให้อุตสาหกรรมจังหวัด และแรงงานจังหวัดตรวจสอบโรงงานอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการ เพื่อความปลอดภัยของทุกส่วน

นอกจากนั้น กมธ.ขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ตั้งคณะกรรมการพิเศษจากหลายหน่วยงานขึ้นมาบูรณาการในการทำงานร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบโรงงานแห่งนี้ โดยตรวจสอบการติดตั้งเครื่องจักรและการก่อสร้างให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวด และขอให้จังหวัดตั้งคณะกรรมการอีกหนึ่งชุดเพื่อตรวจสอบโรงงานทั่วจังหวัดระยองว่า มีการละเมิดกฎหมายในการติดตั้งเครนก่อสร้างในลักษณะนี้เพิ่มอีกหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม การมาของ กมธ.ครั้งนี้เชื่อว่า จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วทั้งจังหวัดได้ โดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯที่จะมีการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดดังกล่าว

เมื่อถามว่า เรื่องที่แรงงานเมียนมาเคยประท้วงให้ตรวจสอบอาจจะมีการฝังศพแรงงานไว้ในพื้นที่โรงงาน นายอัครเดช กล่าวว่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองชี้แจงว่า ได้ลงไปตรวจสอบพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครองแล้ว ไม่พบแต่อย่างใด และสภาพพื้นที่ก็ไม่สามารถนำศพไปฝังได้ แต่ถ้าประชาชนมีข้อมูลเพิ่มเติมสามารถแจ้งมายังกมธ.ได้ จะตรวจสอบเพิ่มเติมให้

เมื่อถามว่า เจ้าของโรงงานได้ดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตรวจสอบแล้ว เจ้าของเป็นคนจีน มีการขออนุญาตจากอุตสาหกรรมจังหวัดระยองอย่างถูกต้อง

ผู้สร้าง ‘2475 Dawn of Revolution’ เคลียร์ทุกปมข้องใจของหนัง หลัง ‘ส.ศิวรักษ์’ วิจารณ์แบบขาดกาลามสูตร (โต้ตอบช็อตต่อช็อต)

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution VS สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย

จากกรณี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักคิด และนักวิชาการชาวไทย ได้ออกมาวิจารณ์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ที่ค่อนข้างรุนแรง ด้านนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ก็ได้ออกมาชี้แจง ทุกประเด็นจาก ส.ศิวรักษ์ โดยมีเนื้อหา ดังนี้...

>> ส.ศิวรักษ์: หนังตั้งใจทำมาก เพื่อให้เป็นว่าปรีดีเป็นคนเลวร้าย ตั้งใจเล่นงานคณะราษฎร และยกย่องพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างไม่มีที่ติ โดยไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ เป็นหนังมอมเมาคน

>> นายวิวัธน์: เราพยายามจะให้เห็นมิติต่าง ๆ ของตัวละครแต่ละตัว อย่างเอาจริง ๆ แล้วตัวละคร ‘ลุงดอน’ ในเรื่องค่อนข้างจะช่วยแก้ไขข้อเท็จจริงบางเรื่องให้ปรีดีด้วยซ้ำ เช่น ทำไมปรีดีถึงออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมันเป็นแนวคิดที่ปรีดีคิดว่าการมาของลัทธิคอมมิวนิสต์ มันเหมาะสมกับสยามในยุคนั้นหรือไม่ และก็อาจจะไม่เหมาะกับประเทศไทยในยุคนี้เช่นกันด้วยหรือไม่

ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเล่าประวัติศาสตร์ให้ครบทุกด้าน (ด้านที่คนไม่เคยรับรู้) ซึ่งการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ มันก็คือ อคติแบบหนึ่งเช่นกัน โดยจริง ๆ แล้วในมุมของรัชกาลที่ 7 หากเราได้ดูในหนัง ก็จะพบว่าท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนพวกเรา อย่างเช่นในตอนสุดท้ายที่ท่านตัดสินใจสละราชสมบัติ ท่านเองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก โดยท่านได้เขียนโทรเลข และส่งมาถึงข้าราชบริพาร โดยขออภัย … หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่า ท่านทรงรู้สึกสำนึกผิดมากที่ต้องทิ้งราชบัลลังก์ และปล่อยให้ คณะราษฎรปกครอง เพราะท่านรู้สึกว่าท่านไม่สามารถที่จะยื้อ หรือใช้อำนาจของท่านในการต้านทานการใช้อำนาจอย่างอำเภอใจของทางคณะราษฎรได้อีกต่อไป 

เพราะหากพิจารณาดูจากรัฐธรรมนูญฉบับแรก ทุกคนจะเข้าใจได้เลยว่า แม้พระมหากษัตริย์ จะไม่อนุมัติเรื่องใด ๆ หรือไม่เห็นชอบด้วยกับคณะราษฎร แต่คณะราษฎรก็สามารถใช้เสียงโหวตในสภาเพื่อผ่านกฎหมายได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพระองค์ก็เลยรู้สึกว่าท่านไม่อยู่ในสถานะที่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ ไม่สามารถที่จะคัดค้านอะไรได้อีกแล้ว และคณะราษฎร ก็มีการออกเสียงตามอำเภอใจ แล้วก็จะผ่านร่างกฎหมายเอง แต่...กลับต้องมายื่นให้ท่านเซ็น ซึ่งท่านก็ต้องเป็นคนเซ็นแทนประชาชน

การที่ท่านอยู่ภายใต้ คณะราษฎร ที่นึกอยากจะออกกฎหมายอะไรก็ได้ อย่างเช่น กฎหมายตั้งศาลพิเศษ โดยที่ไม่มีอุทธรณ์ หรือ ฎีกา และคิดจะตั้งข้อหาใคร ก็ตั้งแล้วก็ยัดเยียดบทลงโทษได้เลย ทำให้ท่านไม่ยอมให้มันออกมาจากมือของท่านโดยเด็ดขาด ท่านไม่ยอมที่จะเซ็นเด็ดขาด ท่านก็เลยตัดสินใจที่จะเดินทางเสด็จไปต่างประเทศและสุดท้ายท่านก็ตัดสินใจที่จะสละราชสมบัติ เพราะสถานะของท่านไม่สามารถที่จะห้ามอะไรต่อไปอีกแล้ว 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านยังคงอยู่สยาม ท่านก็เหมือนเป็น ‘ตราปั๊ม’ หรือเป็นเหมือน ‘ตรายาง’ เพื่อออกกฎหมาย,ฺดรอนเสรีภาพของประชาชนให้คณะราษฎร ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถที่จะทนได้ และการที่หนัง สะท้อนมุมนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงความที่ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านช่วยอะไรประชาชนและประเทศไม่ได้อีกแล้ว 

ฉะนั้น การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่ารัชกาลที่ 7 ดีไปหมดทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่ มันก็มีมุมที่หนังสะท้อนว่าท่านรู้สึกผิดอยู่ หรือแม้แต่ตัวของ ปรีดี เอง ก็จะเห็นว่ามันมีมุมที่เขาสำนึกผิดอยู่ ผ่านบทสัมภาษณ์ระหว่างเขากับ แอนโทนี่ พอล ผู้สื่อข่าวนิตยสาร เอเชียวีค ประจำปารีส ที่ ปรีดี เองยังยอมรับเลยว่า วิธีการที่เขาทำหลายอย่างมันผิดพลาด อย่างการนำเสนอเศรษฐกิจของเขาก็ผิดพลาด หรือแม้แต่ พระยาทรงสุรเดช ก็สำนึกผิดในตอนหลัง และเอาจริง ๆ แม้แต่จอมพล ป.เอง เขาก็เคยสำนึกผิดด้วยว่าทำบาปทำกรรมกับรัชกาลที่ 7 ไว้มาก เพียงแต่ตัวหนังในภาคนี้ยังเล่าไปไม่ถึง

โดยสรุป เพื่อตอบ ส.ศิวรักษ์ ให้กระจ่างชัดขึ้น ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ ได้เล่าถึงความผิดพลาดของทุกฝ่าย จนนำมาสู่เรื่องราวถึงยุคปัจจุบัน เพราะถ้าหากมองย้อนไปในวันที่เกิดการปฏิวัติ แล้ววันนั้นรัชกาลที่ 7 ท่านไม่ยอมขึ้นมา แล้วท่านก็ให้ทหารยึดอำนาจคืน คณะราษฎร ก็อาจจะจบตั้งแต่วันนั้น และนั่นก็อาจจะไม่ยืดเยื้อรุนแรงมาจนถึงเกิดกบฏบวรเดช, เกิดการกบฏ 18 ศพ หรือเกิดการจับประชาชนที่บริสุทธิ์ไปประหารชีวิต เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อประวัติศาสตร์ที่เรียนมาในหนังสือไม่ได้เล่าทั้งหมด ว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีความผิดพลาดอะไรขึ้น มีการเกิดความรุนแรงใด ๆ ขึ้น แอนิเมชันเรื่องนี้ จึงทำหน้าที่ของมันในมุมที่หลายคนไม่เคยรู้ถึงภาพความผิดพลาดของทุกฝ่าย

>> ส.ศิวรักษ์: ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษอเมริกา อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้าเสรีไทยกอบกู้เอกราชในประเทศชาติได้ เรื่องนี้คนที่ทำหนังเรื่องนี้ไม่เอ่ยถึงเลย เอ่ยถึงแต่ความเลวทั้งหมด ทุกอย่างมาจากความเลวร้ายของปรีดีหมด หนังไม่เคารพข้อเท็จจริง เล่าไม่ครบ แล้วจะเสนออดีตให้ถูกต้องได้ยังไง

>> นายวิวัธน์: ส.ศิวรักษ์ บอกว่าทำไมเราไม่เล่าถึงตอนที่ปรีดีทำขบวนการเสรีไทย ก็ต้องบอกว่าเรายังเล่าไม่ถึงเรื่องสงครามโลก เพราะว่าหนังเรื่องนี้ เล่าแค่จบตอนในช่วงของในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่ทรงสละราชสมบัติเท่านั้น แต่ไหนก็พูดเรื่องนี้แล้ว เอาจริง ๆ ท่านเสนีย์ ปราโมช ก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองด้วยนะครับ เพราะท่านเป็นเสรีไทยอเมริกา และเป็นคนที่ล็อบบี้ให้ไม่เกิดการประกาศสงครามกับอเมริกา เป็นคนที่ขวาง จอมพล ป.มาตั้งแต่วันแรกที่ จอมพล ป.จะประกาศสงคราม แล้วท่านไม่ยอมร่วมประกาศสงครามด้วย

ฉะนั้นไอ้การที่ทุกวันนี้ คนเข้าใจว่า ขบวนการเสรีไทย มาจากปรีดีคนเดียว มันไม่ใช่เลย เพราะทุกฝ่ายร่วมมือกัน แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ประทับอยู่ที่อังกฤษในขณะนั้น ท่านก็ได้สนับสนุนเสรีไทยในอังกฤษด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่รัชกาลที่ 8 ท่านก็มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สองและทำให้ไทยไม่เป็นประเทศแพ้สงครามด้วย

คำถาม คือ เรื่องแบบนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ทำไมเล่าแค่ปรีดี ว่าเป็นคนดีคนเดียว ทำไมไม่เล่าถึงคนอื่น ๆ อย่างข้อตกลงที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นทำกับอังกฤษแล้วท่านเสนีย์คัดค้านอย่างหนัก แต่นายปรีดีกลับเห็นด้วย ตรงนี้ทำไม ส.ศิวรักษ์ ไม่เล่า ตรงนี้มันก็เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่พูดไม่ครบเหมือนกันใช่หรือไม่ 

แล้วส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า พระยาทรงสุรเดชทำร้ายทำลายปรีดี รังแกปรีดี นู่นนี่นั่น เราก็นำเสนออยู่ในหนังเรื่องนี้นะ เพราะว่าตอนที่นายปรีดีเสนอสมุดปกเหลือง ก่อนที่ปรีดีจะเดินออกจากห้องประชุม เขาก็หันไปเห็นว่าพระยาทรงสุรเดชยืนคุยกับทาง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ พระยาศรีวิสารวาจา ที่เหมือนกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง จากนั้น ปรีดี ก็เลยสงสัย และหันไปมอง พระยาทรงสุรเดช และบอกว่า “พวกแกใช่ไหมที่จัดการเรื่องนี้” คือ พวกเราเล่านะ แต่สุดท้ายเกิดไรขึ้นกับพระยาทรงสุรเดช? เขาก็โดนเนรเทศไง โดนยัดข้อหากบฏ แล้วก็ต้องเนรเทศไปอยู่เวียดนามบ้าง ไปอยู่กัมพูชาบ้าง แล้วก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าที่ต่างประเทศ

>> ส.ศิวลักษณ์: หนังเรื่องนี้พยายามสื่อในทำนองว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ว่าพระยาศรีวิสารวาจา กับ นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศไม่เห็นด้วย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ไม่เห็นบอกเลยรัฐธรรมนูญที่ในหลวงเตรียมจะพระราชทานนั้นคืออะไร แต่ถ้าเราอ่านดูรัฐธรรมนูญที่พระราชทานนั้นจะมีเพียงเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง เหลวไหล พูดอย่างเดียวว่าในหลวงจะพระราชทาน รธน. อยู่แล้ว เหลวไหลเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน
>> นายวิวัธน์: เรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็พูดไม่จริง เพราะร่างรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 จาก นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ไม่ได้มีแค่การตั้งนายกรัฐมนตรี (และขอบอกด้วยว่าแม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของคณะราษฎรก็ยังไม่ได้ถ่ายโอนอำนาจให้กับประชาชนอย่าง 100% ด้วย หรือก็คือ ประชาชนก็ยังไม่ได้อำนาจนะ แม้ข้อแรกจะเขียนมาสวยหรูว่า ‘อำนาจเป็นของประชาชน’ แต่เอาเข้าจริงแล้วในหลักการมันก็ยังไม่ถึงประชาชน)

หากแต่ในสาระสำคัญจะหมายถึงว่า วันที่ประชาชนยังไม่รู้เรื่องการปกครอง ยังไม่รู้เรื่องสิทธิและหน้าที่ ทำให้พระมหากษัตริย์หรือผู้ที่มีอำนาจ ไม่สามารถโยนอำนาจนั้น ๆ ลงไปให้ประชาชนได้ทันที ซึ่งทุกประเทศก็เป็นอย่างนี้ ต้องให้กษัตริย์ ช่วยประคับประคองในช่วงแรกก่อน ซึ่งเรื่องนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็น่าจะรู้ดีแหละว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 เป็นยังไง และก็คงรู้ว่าสาระนั้นก็ไม่ได้มีแค่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะเมื่อไปดูในรายละเอียดรัฐธรรมนูญของท่าน ยังมีการตั้งสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย

นอกจากนี้รัชกาลที่ 7 ท่านยังทรงให้นายปรีดีไปร่าง พรบ.เทศบาลและการบริหารท้องถิ่นมาด้วย รู้ไหมเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้เรื่องสิทธิหน้าที่จากล่างขึ้นบน ก็คือ จากหน่วยงานท้องถิ่นเล็ก ๆ ให้ลองเลือกผู้นำของท้องถิ่น เพื่อเรียนรู้สิทธิและหน้าที่ อันเป็นการเรียนรู้ ‘ประชาธิปไตย’ แบบค่อยเป็นค่อยไปด้วย และจากระดับท้องถิ่น ก็ค่อยขยายขึ้นมาเป็นระดับ ตำบล / อำเภอ / จังหวัด และ ระดับประเทศ 

ฉะนั้นการที่ ส.ศิวรักษ์ มาบอกว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีแค่การแต่งตั้งนายกฯ ผมว่ามันก็ตลกเกินไปหน่อย ซึ่งผมก็แอบสงสัยนะว่า การที่ ส.ศิวรักษ์ พูดโกหกแบบนี้ หรือจะเป็นกุศโลบายที่อยากให้คนช่วยออกมาพิสูจน์ความจริงให้หรือเปล่า

>> ส.ศิวรักษ์: รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 ถูกอ้างจากหนังเรื่องนี้ว่าจะทำให้เกิดการริเริ่มประชาธิปไตย นี่มันประชาธิปไตยจอมปลอม ต่างจากของปรีดีที่เสนอมา อันนั้นเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเขียนชัดเจนเลยว่า อำนาจทั้งหมดเป็นของราษฎรสยาม แต่จนบัดนี้อำนาจนั้นยังไม่ได้มาเลย ทำไม? เพราะมีคนคิดที่จะทำลายอำนาจรัฐนี้ ให้ถูกถีบ ถูกกระทืบ ถูกโจมตี แม้กระทั่งหนังเรื่องนี้ก็โจมตีด้วย มันไม่เห็นคุณค่าเลยว่าปรีดี พนมยงค์ ต้องการให้อำนาจทั้งหมดกลายเป็นของราษฎรชาวสยาม

>> นายวิวัธน์: มาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของปรีดีบอกว่า อำนาจสูงสุดนั้น ๆ เป็นของราษฎรทั้งหลาย แต่การบริหารงานของรัฐธรรมนูญฉบับแรกนี้ ก็ยังไม่ได้ให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริง เพราะผมมองว่ามาตรา 1 นี้ เขียนเอาเท่เสียมาก นั่นก็เพราะถ้าอำนาจเป็นของประชาชนทั้งหลายจริง ทำไมเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากเท่าไหร่

ผมอยากให้ ส.ศิวรักษ์ กลับไปดูหลัก 6 ประกาศของคณะราษฎรสักหน่อย ในเรื่องเสรีภาพที่อยู่ในข้อ 5 ซึ่งบอกว่าประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ แต่จะต้องไม่ขัดกับหลัก 4 ประการก็คือ มันจะมีหลักด้านความมั่นคง หลักด้านเศรษฐกิจ อันว่าด้วยการออกแบบสมุดปกเหลือง ซึ่งมีจุดหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าราษฎรที่เป็นพวกหนักโลก” ตรงนี้สะท้อนรัฐธรรมนูญคณะราษฎรที่มองว่า ‘ราษฎรเป็นคนหนักโลก’ คุณๆ คณะราษฎรทั้งหลายมองคำว่าอำนาจเป็นของประชาชนแบบนี้หรือ

“อำนาจเป็นของประชาชน แต่ประชาชนบางส่วนเป็นคนหนักโลก และต้องเอาคนหนักโลกเหล่านี้มาใช้แรงงานเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ใครเกียจคร้าน ต้องถูกลงโทษ”

ประโยคนี้ คือ อำนาจเป็นของประชาชนหรือ ผมมองว่าอำนาจ มันก็ยังอยู่กับรัฐนะ ดังนั้นนี่คือความย้อนแย้งของรัฐธรรมนูญที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าดีที่สุดเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วมันใช่หรือไม่

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเองก็เคยเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะในเรื่องกรณีสวรรคตนั้น ผมเชื่อเลยว่าปรีดีเกี่ยวข้องทั้งนี้ ผมไปเชื่อ คึกฤทธิ์ ปราโมช จนถึงเชื่อเรื่องคนไปตะโกนในโรงหนังเลยว่าปรีดีฆ่าในหลวง เพราะสมัยนั้นผมเชื่อหนังสือพิมพ์สยามรัฐของ คึกฤทธิ์ มาก แต่สุดท้ายผมก็มารู้ทีหลังว่า คึกฤทธิ์ เป็นคนที่เลวร้าย แต่ว่ามีฝีปากในการเขียนมอมเมาให้คนเชื่อได้ ส่วนหนังเรื่องนี้ ยังเปรียบเทียบกับฝีมือการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ได้ครึ่งของคึกฤทธิ์เลย หรือแม้แต่กระทั่งเอาราชาศัพท์มาใช้ ก็น่าจะพิจารณาให้ถูกต้องมากกว่านี้ ไหน ๆ จะทำหนังทั้งที

>> นายวิวัธน์: ประเด็นแรกนะครับ เรื่องการตะโกนในโรงหนัง ผมสงสัยมานานแล้วว่า คุณไปรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนสั่งให้ไปตะโกน ท่านรู้ได้ยังไง? ผมกำลังสงสัยนะ คนที่เค้าไปตะโกนในโรงหนังที่บอกว่าปรีดีฆ่าในหลวงนั้น เขายื่นนามบัตรให้คนในโรงหนังหรือเปล่า ว่าตัวเขามาจากพรรคประชาธิปัตย์ เขาเป็นคนของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือ คนที่ตะโกนว่าปรีดีฆ่าในหลวงบอกเองไหมว่า “ผมเป็นคนของคึกฤทธิ์ ปราโมช” อย่างนี้หรือเปล่า ส.ศิวรักษ์ เห็นหรือว่าเขาคนนั้นพูด มันมีคนยอมรับแบบนั้นด้วยหรือ

ส่วนประเด็นเรื่องคำราชาศัพท์ อันนี้ต้องขอน้อมรับจริง ๆ ว่า ทางทีมเราก็ยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วเราต้องการให้บริบทของเรื่องนี้ มันถูกเล่าแล้วคนเข้าใจภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็ขอน้อมรับ และจะนำไปปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น

>> ส.ศิวรักษ์: ผมเตือนสติได้อย่างเดียวนะครับใช้หลักกาลามสูตรพุทธเจ้า อย่าเชื่อทุกอย่าง อย่าเชื่อ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงถ้าหาเอกสารต่างๆ มาสนับสนุนหรือคัดค้าน เพื่อให้นิสิต นักศึกษา นักเรียน ได้เติบโตแบบไม่ถูกยัดเยียด ไม่ใช่ถูกมอมเมา ซึ่งผมเสียดายไม่น้อยที่ตอนนี้คนกำลังถูกมอมเมา จนถึงขั้นไปโจมตีสถาบันปรีดี มูลนิธิปรีดี

>> นายวิวัธน์: เรื่องหลักการกาลามสูตรหรือการที่จะหาหนังสือหรือข้อมูลมาอ้างอิง หนังเราบอกทุกเล่มนะที่เราใช้เป็นฐานข้อมูลนะ ซึ่งในเครดิตตอนท้าย เราจะมีหนังสือหลายเล่มเลยให้คุณไปศึกษาข้อมูลนะ แต่ประเด็น คือ ส.ศิวรักษ์ วิจารณ์เรา แกก็ไม่ได้ยกหนังสือเล่มไหนมาเลยนะ

สุดท้ายทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ พิสูจน์ด้วยข้อมูลปฐมภูมิ ไม่ใช่ข้อมูลที่คนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ซึ่งเราก็พยายามที่จะใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลชั้นต้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความคิดเห็นหรือการปรุงแต่งจากคนยุคหลังอยู่แล้ว ดังนั้นหากสงสัยในความเชื่อและความถูกต้องจากในหนัง โปรดไปสืบค้นข้อมูลอ้างอิงในท้ายเครดิตได้เลย 

ส่วนเรื่องการโจมตีสถาบันปรีดี ผมคิดว่าตอนที่หนังออกมาใหม่ ๆ ไม่มีใครไปสนใจสถาบันปรีดีเลยนะ (ร้อนตัว) เพราะเรายังอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันปรีดีมาใช้กับหนังเลยด้วยซ้ำ แต่ที่มันมีประเด็นต้องไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบันปรีดี ก็เพราะเนื่องมาจากมีจดหมายหนึ่งที่ทางคุณพิภพ ธงไชย นำมาเสนอ รวมถึงมีผู้หลักผู้ใหญ่ในสถาบันปรีดีได้ออกคลิปที่ค่อนข้างแรงในเชิงใส่ร้ายพวกเราพอสมควร โดยกล่าวหาว่า พวกเรารับเงินกองทัพมาทำหนังแอนิเมชันเรื่องนี้ มีการทำไอโอ แล้วบิดเบือนใส่ร้าย จากนั้นก็ขู่ว่าจะฟ้องเราด้วย 

นี่คือสิ่งที่มีผู้เริ่มกับพวกเรา (คนทำหนัง) ก่อนทั้งนั้น ผมไม่ได้เริ่มอะไรเลย และเอาตามความจริง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเคารพและให้เกียรติอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ อย่างมาก ในฐานะที่ท่านได้สร้างชื่อเสียงกับประเทศในการนำดนตรีไปเผยแพร่ในต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี และผมก็ไม่ได้มองว่า อาจารย์ดุษฎี กับ ปรีดี เป็นคนเดียวกัน พ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก แต่เมื่อมีประเด็นใส่ร้ายว่า เราเอาภาษีประชาชนมาทำหนังใส่ร้ายปรีดี ทั้งที่ผมยังไม่ได้ไปกล่าวหาอะไร แบบนี้มันเป็นธรรมกับผมหรือเปล่า ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

>> ส.ศิวรักษ์: สื่ออยู่ในมือคุณครับ พูดยังไงก็พูดได้
>> นายวิวัธน์: เฮ้ย!! ตั้งแต่เปิดตัวแอนิเมชันมา สื่อกระแสหลักอย่างช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง NBT หรือสื่ออย่าง The Standard ไม่มีใครมาช่วยโปรโมตให้เราเลยนะ จะมีก็จะเป็น Top News มีผู้จัดการออนไลน์ มี Nation มี THE STATES TIMES มีแนวหน้า มีไทยโพสต์ ที่มาช่วยโปรโมตเพราะประโยชน์ของงานเราให้บ้าง ซึ่งสื่อเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือผมนะครับ 

ขณะเดียวกันผมก็ใช้เงินกับสื่อน้อยมาก เช่น ผมบูสต์โพสต์ในเฟซบุ๊ก วันละ 100 บาทเท่านั้น ส่วนใน Google หรือ YouTube หรือ TikTok ก็ไม่ได้บูสต์เลย เพราะเรามีเงินจำกัดมาก ส่วนสื่อต่าง ๆ ที่มาสัมภาษณ์แล้วนำไปลง ผมก็ไม่ได้จ่ายเงินซื้อพวกเขานะ แต่แค่เพราะหนังมันเป็นกระแสแล้ว สื่อก็เริ่มเข้ามา แล้วบางสื่อที่ได้รับชมแอนิเมชันด้วยแล้ว และเขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ เขาก็เริ่มช่วยโปรโมตให้ ซึ่งบางสื่อเราแบบไม่คาดคิดเลยว่า เขาจะกลับมาช่วยโปรโมตให้เราด้วย

>> ส.ศิวรักษ์: ถึงกับตั้งหอประชุมใหญ่ ในกองทัพบก ‘หอประชุมบวรเดช’ ทั้งที่ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นกบฏ ที่พระปกเกล้ายังใช้คำนี้เอง

>> นายวิวัธน์: ที่บอกว่าไปเชิดชูกบฏบวรเดช ในหนังเราไม่ได้เชิดชูนะ แต่ในหนังแสดงให้เห็นว่า พระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็ฝ่าฝืน เพราะว่ารัชกาลที่ 7 ทรงห้ามแล้วว่าอย่าทำ และพระองค์เจ้าบวรเดชเองยังต้องเขียนจดหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษด้วยที่ได้ยกทัพมาโดยพลการ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ทรงห้ามแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุทำให้รัชกาลที่ 7 ต้องทรงหนีไปสงขลา เพื่อไม่ให้ทั้งฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลดึงท่านไปอยู่ร่วม เพราะท่านยืนยันหนักแน่นแล้วว่าจะไม่ยุ่งด้วย ท่านจะขอเป็นคนกลาง ท่านจะไม่เข้ากับฝ่ายไหนทั้งสิ้น

แล้วในส่วนที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่า ทำไมต้องเชิดชูกบฏบวรเดช โดยไปตั้งชื่อหอประชุมนั้น ต้องเรียนแบบนี้ว่า ปรีดี ก็เคยก่อกบฏนะ เป็น ‘กบฏวังหลวง’ หรือคุณจะเรียกเป็นอะไรก็ตาม แต่นั่นก็คือ กบฏที่อาจารย์ปรีดีเป็นหัวหน้ากบฏ และในวันนี้ยังมีสถาบันปรีดีได้เลย จะบอกว่ากบฏบวรเดชเป็นสิ่งไม่ดี แต่กบฏวังหลวงเป็นสิ่งดี แบบนี้ก็ได้หรือ ทั้ง ๆ ที่มันก็กบฏเหมือนกันเนี่ยนะ

>> ส.ศิวรักษ์: เอะอะก็เจ้าดีหมด ไพร่เลวหมด คนที่ทำหนังเรื่องนี้ก็เป็นไพร่ มันไม่สำนึกตัวเองเลยว่าควรจะเข้าใจราษฎร

>> นายวิวัธน์: ทําไมไพร่ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแตกต่างจากคุณหรือ แม้ผมจะเป็นไพร่ แต่ผมก็มองเห็นว่าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือเป็นเจ้า ถ้าใครทำประโยชน์ให้กับประเทศ เราก็สมควรที่จะเชิดชู อย่างพวกคุณก็ไม่ได้เชิดชู อาจารย์เสนีย์ ปราโมช ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ทำประโยชน์ให้กับประเทศ จริงไหม?
>> ส.ศิวรักษ์: พอออกแบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการที่อังกฤษทำหลังสงครามโลกที่สองแล้ว ก็มีการออกกฎหมายคอมมิวนิสต์มาเล่นงานท่านเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
>> นายวิวัธน์: ไม่ใช่ เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ของอังกฤษด้วย ผมว่าหลังจากทุกคนที่ได้ดูแอนิเมชันเรื่องนี้แล้ว และก็ไปหาสมุดปกเหลืองอ่าน ก็จะเห็นได้ชัดเจนนะครับว่ามันไม่ใช่
>> ส.ศิวรักษ์: อยากให้คนที่ออกมาว่าปรีดี เรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ เรียนรู้แบบคนที่ชอบหาข้อเท็จจริง และออกมายืนหยัดเพื่อความถูกต้องดีงาม ไม่เชื่อการมอมเมาจากหนังสวะพวกนี้ครับ

>> นายวิวัธน์: ในอดีตนะครับอาจารย์ปรีดีก็เคยเรียก ส.ศิวรักษ์ ว่า ‘สวะสังคม’ และก็ดู ส.ศิวรักษ์จะภาคภูมิใจกับฉายานี้มากด้วย การที่ ส.ศิวรักษ์ บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสวะ ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นคำชมก็ได้นะ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทั้งนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเชื่อหนังทั้งหมดหรอก ไปหาข้อมูลที่เราที่สืบค้นได้ ซึ่งตรงท้ายเครดิตของหนังมีบอกไว้หมดแล้ว (กดหยุดแล้วไล่ดูที่มาได้เลย) สามารถไปสืบค้นดูความจริงได้เลย ศึกษาก่อน แล้วอยากคัดค้านหรือแย้ง ก็ย่อมทำได้ เพราะประเทศเราเป็นประชาธิปไตย เราสามารถเห็นต่างกันได้ เหมือนอาจารย์เห็นต่างกับผม อาจารย์ก็ด่าผมได้ อาจารย์ก็วิจารณ์ได้ ส่วนผมก็แค่ทำคลิปนี้เพื่อมาอธิบายว่า ‘อาจารย์วิจารณ์อะไรของอาจารย์วะเนี่ย’ อย่างเช่น กรณีสมุดปกเหลืองเป็นรัฐสวัสดิการเอย หรือ รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มีสาระแค่เรื่องตั้งนายกฯ อย่างเดียว เป็นต้น

>> ส.ศิวรักษ์: คนรุ่นใหม่จะต้องรวมตัวกันแล้วเอาชนะทรราชให้ได้
>> นายวิวัธน์: ต่อสู้กับทรราช? มันคนละแนวคิดกับแนวทางของผมนะ เพราะผมมองว่า คนทุกคนล้วนมีประโยชน์ เพียงแต่ทุกคนต้องหันมาหาจุดลงตัว แล้วก็ต้องมาคุยกัน ต้องมาร่วมมือกัน เพราะว่าทุกฝ่ายทุกคนล้วนมีประโยชน์ต่อชาติ ภายใต้ข้อดี จุดเด่นของตัวเอง ที่สามารถนำร่วมมือกันทำงานได้

คำถามคือตอนนี้ ส.ศิวรักษ์ มองใครเป็นทรราช มองฝ่ายอธรรมเป็นทรราชหรือเปล่า อย่างตอนนี้ผมคงรับบทเป็นฝ่ายอธรรมไปแล้ว เป็นฝ่ายอธรรม เพราะผมเอาความจริงมาเล่า แบบนั้นใช่หรือไม่ มันเป็นวิธีของฝ่ายธรรมะแบบพวกคุณหรือ แล้ว ส.ศิวรักษ์ จะต่อสู้กับทรราชด้วยวิธีแบบนั้นหรือ ต้องการสร้างปีศาจตนใหม่ขึ้นมางั้นหรือ คุณรู้ตัวไหมว่าตอนนี้คุณกำลังสร้างปีศาจขึ้นมานะ คุณเองที่กำลังสร้างทรราช แต่บอกคนอื่นห้ามสร้างตัวร้าย

อย่างไรก็ตาม ผมยินดีในการที่ ส.ศิวรักษ์ มาวิจารณ์หนังเรื่องนี้ แต่ขอบอกตามตรงว่า ส.ศิวรักษ์ ไม่ได้เข้าใจแอนิเมชันของเราเลย แล้วก็พูดในสิ่งที่แอนิเมชันเราไม่ได้ทำด้วย

ฉะนั้นใครที่ดูคลิป ส.ศิวรักษ์ แต่ยังไม่ได้ดูแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ แนะนำว่าลองไปดูด้วยตัวเองก่อนว่า หนังเรื่องนี้เล่าแบบไหน เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้เล่าแบบที่ ส.ศิวรักษ์ พูดก็ได้ 

สุดท้าย อยากให้ทุกท่านยึดหลักกาลามสูตรตามที่ ส.ศิวรักษ์ กล่าวอ้าง อย่าเชื่อในสิ่งที่ใครมาพูดให้ฟัง โดยเฉพาะอย่าเชื่อในสิ่งที่ ส.ศิวรักษ์ บอก

ขอบคุณครับ

‘กกต.’ ลุยเอาผิดย้อนหลังเด็กก้าวไกล ‘นครชัย ขุนณรงค์’ ปมรู้ไม่มีสิทธิแต่ยังสมัคร สส. หลังเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์

(5 เม.ย. 67) เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. สั่งเอาผิดย้อนหลัง นายนครชัย ขุนณรงค์ อดีต สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล

โดย กกต.เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายนครชัย เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำ โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 6962/2542 คดีหมายเลขแดงที่ 6766/2542 วันที่ 24 พ.ย.42 แม้ต่อมาจะมี พ.ร.บ.ล้างมลทิน ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ แต่การล้างมลทินคือการลบล้างโทษว่ามิเคยถูกลงโทษจำคุกในความผิดนั้น ๆ เท่านั้น

ส่วนพฤติกรรม หรือการกระทำความผิดซึ่งศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งยังคงอยู่ ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดและลบล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดนั้น

ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2564 ข้ออ้างของนายนครชัย ที่ว่าตนได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 จึงไม่อาจรับฟังได้ นายนครชัย จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 42 (12)

อีกทั้ง นายนครชัย ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งของตนเองให้เป็นไปตามที่กฎหมาย กำหนด เมื่อ นายนครชัย ได้ลงลายมือชื่อในใบสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ระยอง ลงวันที่ 3 เม.ย.66 รับรองว่าตนเองมีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดดังกล่าวของศาลจังหวัดชลบุรี

กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายนครชัย ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วปกปิด หรือไม่แจ้งข้อความจริงนั้น และให้ถือว่าการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขต 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ นายนครชัย ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 151 จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายนครชัย สิ้นสุดลงตั้งแต่วันเลือกตั้ง และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายนครชัย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.2561 มาตรา 54 และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามระเบียบกกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 86 เพื่อดำเนิน คดีอาญากับนายนครชัย ตามมาตรา 151 ของกฎหมายเดียวกันและกรณีการดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ในการจัดการเลือกตั้ง สส.ระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่าง อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของนายนครชัย

ทั้งนี้ นายนครชัย ได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. เมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 แต่หลัง กกต.ประกาศรับรอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยขณะนั้น ออกมาเปิดเผยว่า นายนครชัย เคยต้องโทษจำคุกถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็น สส. ทำให้ในวันที่ 3 ส .ค.66 นายนครชัยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น สส. และ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 10 ก.ย.66  โดยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ จากพรรคก้าวไกล เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง

‘เศรษฐา’ ประกาศพา ‘เพื่อไทย’ คว้าชัยชนะเลือกตั้งหนหน้า ฟาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน!! ‘เพื่อไทย’ จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงประเทศ

(5 เม.ย. 67) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) อาคารโอเอไอทาวเวอร์ ชั้น 7 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม. พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 โดยบรรยากาศที่พรรคเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาแกนนำ สมาชิกพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เดินทางเข้ามาที่พรรคตั้งแต่ช่วงเช้า

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการเปิดคลิปวิดีโอสั้น ความยาว 18 นาที รวบรวมบทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย, นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

โดยเนื้อหาบางส่วนของ นายทักษิณ กล่าวว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ 2540 ส่งผลให้พรรคการเมืองเดิมปรับตัวไม่ทัน ตนได้ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้น ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้กับประเทศไทย พรรคไทยรักไทย คือพรรคที่เข้ามา Reform ประเทศ เป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงและกระจายอำนาจ ผ่านนโยบายกองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค พร้อมกล่าวชื่นชมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเช่นกัน

ส่วนที่หลายฝ่ายกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอมาจากพรรคไทยรักไทย เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ นั้น นายทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคไทยรักไทย และเชื่อว่าไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทยด้วย

ทั้งนี้ นายทักษิณ มั่นใจว่า ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีดีเอ็นเอ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งมีความมั่นคง ตัดสินใจเด็ดขาด และดีเอ็นของนายทักษิณ ที่มีจุดแข็งในการพูดคุย พบปะกับผู้คน เข้าใจถึงจิตใจของพี่น้องประชาชน เชื่อว่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้ "ผมทำได้ เขาก็ทำได้"

"ระบบทุนนิยมที่ไร้ความเมตตาธรรม จะทำให้ประชาชนไม่มีความสุข การเข้าถึงประชาชนคือหัวใจสำคัญ การทำงานในสภาให้เข้มแข็ง การเป็นนักการเมืองที่ดี คือรักประชาชน ประชาชนมองตานักการเมือง ก็รู้สึกได้ ต้องอยู่กับชาวบ้าน ผมเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถทำงานประสานงานกับหลายพรรค หลายภาคส่วนได้ดี" นายทักษิณ กล่าว

เนื้อหาในคลิป โดย น.ส.แพทองธาร ระบุว่า การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้รู้ถึงเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลง การแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อผ่านการดูแลตัวเองและจิตใจคนในพรรคแล้ว ต้องไปต่อ พร้อมยืนยันเดินหน้าสร้างรายได้ประชาชนผ่านนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและมีโอกาสที่ดีขึ้น พร้อมระบุจะเป็นผู้นำพรรคที่เข้าใจคนในพรรค ผู้สนับสนุนพรรค และประชาชนทุกคน อยากให้ผู้ที่ทำงานร่วมกันมีความสุข รู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมในพรรค

ส่วนเนื้อหาในคลิปของ นายเศรษฐา ระบุถึงชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง ยอมรับว่าชีวิตส่วนตัวก่อนเข้าสู่การเมือง อยู่จุดสูงสุดของพีระมิด แต่อยากนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่พี่น้องประชาชน จึงตัดสินใจลงการเมือง ทั้งนี้ ในวันที่ 10 เมษายน 2567 จะประกาศรายละเอียดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าจะทำให้ภาคการผลิตสินค้า การจับจ่าย และการจ้างงาน จะปรับตัวดีขึ้น สึนามิทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นแน่นอน

ต่อจากนั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวบรรยายพิเศษบนเวที เรื่อง ภารกิจของวิปพรรคและแนวทางการทำงานในสภาฯ ว่า "สภาที่เข้มแข็ง คือ รัฐบาลที่เข้มแข็ง" การบริหารประเทศ ทั้งสองสถาบัน ต้องเกื้อกูลกันและกัน โดยมีประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นที่ตั้ง การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ปัจจัยสำคัญเพราะมีฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เข้มแข็ง เป็นเอกภาพ ปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกับหลายพรรค งานในสภาเป็นเรื่องที่ท้าทาย จึงมีการจัดตั้งส่วนประสานงานการเมืองและกิจการสภา ทั้งในส่วนวิชาการและฝ่ายสื่อสาร ขึ้นในพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ การลงพื้นที่เพื่อพบปะกับประชาชนของ สส.มีหลายวิธี ทั้ง offline และ online เป็นเรื่องจำเป็น

"ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย การบริหารและความร่วมมือร่วมใจของ สส.ของเรา จะเป็น ผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้รัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศ อย่างตั้งใจ เพราะพรรคเพื่อไทย หัวใจ คือ ประชาชน" นายวิสุทธิ์ กล่าว

จากนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘เพื่อไทย จะไปต่อยังไง’ ว่า ภารกิจต่อไปของพรรคเพื่อไทย คือ การเป็นพรรคที่เร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้น พรรคเพื่อไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากข้างใน ด้วยการเติมคนใหม่เข้ามาทำงานเติมองค์ความรู้ใหม่ สร้างการบริหารงานที่เร็วขึ้น เพื่อให้พรรคเพื่อไทย อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไปอีกกี่คน บริบทประเทศในอนาคตจะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ให้กับประเทศไทยได้เสมอ พร้อมให้กำลังใจกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน 

พร้อมย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เพราะ DNA ของเราคือการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เป็นรัฐบาล เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เช่นในอดีต มี 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ และปัจจุบัน มีนโยบายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คือ ดิจิทัลวอลเล็ต และซอฟต์พาวเวอร์ เราคือพรรคที่มาปฏิรูป ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

"หลังงบประมาณผ่านแล้ว เชื่อมั่นว่ารัฐบาลคุณเศรษฐา จากที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว จะเร็วขึ้นอีก หลายนโยบายที่เคยติดขัดเพราะงบประมาณ จากนี้จะผ่านฉลุย หลายนโยบายจะสำเร็จได้เห็นผลเร็วๆ นี้แน่นอน และพบกับการสรุปผลงานของ รัฐบาลเพื่อไทยที่ไม่ต้องรอ 10 เดือน ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้" น.ส.แพทองธาร กล่าว

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘สร้างความมั่นใจให้ สส.เพื่อไทย การทำงานของรัฐบาล สร้างความมั่นใจให้ ส.ส.รู้สึกว่า นโยบายที่เราสัญญาไว้ จะทำได้จริง’ ว่า ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นน้องใหม่ที่เข้ามาเพียง 13 เดือน ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากคนในพรรคอย่างอบอุ่น จริงใจ และได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเรียนรู้เรื่องใหม่ในอายุ 60 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราแพ้เลือกตั้ง พูดแบบนี้อาจฟังแล้วบีบหัวใจ แต่เป็นความจริง ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น รู้สึกเจ็บปวด แต่ยืนยันว่าเราจะไม่แพ้ตลอดกาล การก้าวเข้ามาในจุดนี้ มีเรื่องเดียวที่ปรารถนาคือการนำชัยชนะมาให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และจะไม่มีอะไรมาทำให้ตนไม่สามารถคว้าชัยชนะนี้ได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านมา อาจจะถูกมองว่าเป็นแมลงวันบินไปมา แต่การที่ต่างประเทศจะมาลงทุนในไทยมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ไม่สามารถตัดสินใจได้ในเวลาเพียง 7 - 8 เดือน แต่ยืนยันได้ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสึนามิของการลงทุนครั้งใหญ่เข้ามาให้กับคนไทยได้ผลิตสินค้า สร้างซัพพลายเชน ให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ ในด้านการคมนาคม เรามีนโยบายชัดเจน ทั้งการลงทุนขนส่งทางถนน ราง เรือ สนามบิน เพื่อรองรับความต้องการของประชาชน ไม่ได้โฟกัสแค่สุวรรณภูมิหรือดอนเมือง แต่เป็นสนามบินในจังหวัดต่าง ๆ เช่น สุรินทร์​ รวมถึงผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึก เฟส 3 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะแล้วเสร็จในอีก 10 - 15 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการค้าโลกที่จะขยายตัวมากขึ้น แลนด์บริดจ์จะทำให้ประเทศต่าง ๆ เข้าหาประเทศไทยจากการเดินทางขนส่งระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย ทำให้เราเป็นมหาอำนาจเล็ก ๆ ที่ทุกคนมาพึ่งพิง ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันมีการทำงานอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่า ไม่ได้พายเรือในอ่างแน่นอน

"อยากให้ทุกท่านเลือกมองอนาคตที่สดใสดีกว่า เรามาร่วมใน mission ที่ยิ่งใหญ่ ด้วย 141 เสียงจาก 500 เสียง เราจะมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะเรามีหัวหน้าพรรคที่มีความมุ่งมั่น มีผู้อาวุโสในพรรคที่ช่วยประคอง มีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมแสดงศักยภาพ และมีผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา และท่านมีนายกรัฐมนตรีที่มีจุดประสงค์เดียวในวันนี้คือ ชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะทุ่มเททำงานในช่วงเวลา 3 ปีครึ่งข้างหน้า จะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน และเพื่อให้พรรคของเราเจริญเติบโต" นายเศรษฐา กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top