Sunday, 6 October 2024
POLITICS NEWS

'สุริยะใส' แง้ม!! 'อดีต 3 บิ๊ก' คิดตั้งพรรคสู้ 'ปชน.' ชี้!! มีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย

(18 ก.ย. 67) ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์เฟซบุ๊กในประเด็นที่น่าสนใจเรื่อง ‘อดีต 3 บิ๊กคิดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ VS พรรคประชาชน ความเป็นไปได้และข้อท้าทาย’

ตามที่มีข่าวมีความพยายามของอดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย บางคนเตรียมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในแนวทางอนุรักษ์นิยมใหม่ เพื่อต่อสู้กับกระแสความนิยมของพรรคประชาชนอย่างพรรคด้อมส้ม นั้น อาจดูเป็นความคิดที่น่าสนใจแต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายหลายด้าน

ความเป็นไปได้

การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในไทยนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการดึงดูดความสนใจของประชาชน การสร้างความเชื่อมั่น และการนำเสนออุดมการณ์ที่ชัดเจน สำหรับแนวทางอนุรักษ์นิยมใหม่สามารถดึงดูดผู้สนับสนุนที่ไม่พอใจกับทิศทางการเมืองในปัจจุบัน และคนที่อยากเห็นความมั่นคงและความเป็นระเบียบในสังคม

นอกจากนี้ ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการดึงดูดฐานเสียงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้สึกว่าพรรคการเมืองปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้

ข้อท้าทาย

1.กระแสการเมืองปัจจุบัน: พรรคด้อมส้มหรือพรรคประชาชนที่มีแนวคิดก้าวหน้าได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การที่จะตีโต้กับกระแสนี้จะต้องมีการเตรียมพร้อมในการตอบสนองต่อความต้องการและความกังวลของกลุ่มคนที่อาจมองว่าแนวคิดอนุรักษ์นิยมไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

2.การสร้างภาพลักษณ์: การที่กลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในภาครัฐบาล การทหาร และการตำรวจ อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นพรรคที่ยึดติดกับอำนาจเก่า ซึ่งอาจทำให้ยากในการดึงดูดคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงและต้องแยกให้ออกระหว่างอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo Conservative) กับอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม (Traditional Conservative)

3.การแข่งขันกับพรรคเก่า นอกเหนือจากพรรคประชาชนและกระแสด้อมส้มแล้ว ยังมีพรรคอนุรักษ์นิยมเก่าที่มีฐานเสียงแข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้าชาติ หรือพรรคภูมิใจไทย แม้พรรคเหล่านี้พยายามจะปรับภาพลักษณ์เป็นอนุรกษ์นิยมใหม่ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร การแข่งขันกับพรรคเหล่านี้จะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการแย่งชิงฐานเสียง

4.ความซับซ้อนของระบบการเมือง การเมืองไทยเป็นระบบที่ซับซ้อน มีความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ การที่จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในเวทีนี้ จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญและความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายฝ่าย ในขณะเดียวกันต้องอธิบายและสะท้อนประโยชน์ให้กับสาธารณะได้อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งได้แต่โตไม่ง่าย

การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด และการประเมินสภาพการเมืองในปัจจุบันอย่างแม่นยำ พรรคที่ก่อตั้งใหม่จะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้

ทั้งนี้ ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการสื่อสารกับประชาชน การตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ และการสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายและผู้นำที่มี Leadership ตอบโจทย์ทันสมัยการเปลี่ยนแปลง

สรุปแล้ว การตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่นั้นมีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายที่จะต้องเผชิญและแก้ไขในหลายด้าน ที่สำคัญไม่ใช่แค่ทำพรรคอนุรักษ์นิยมแนวใหม่เพียงเพราะต้องการขวางการเติบโตของพรรคประชาชนเท่านั้นแต่ต้องเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำได้และเป็นไปได้มากกว่า

‘อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ’ ค้าน ร่างกม.วินัยการเงินฯ จากฝ่ายค้าน ชี้!! ไม่รัดกุม-ขาดรายละเอียด หวั่นทำลายความคล่องตัวใช้จ่ายเงิน

(18 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า หนึ่งในนโยบายหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติคือการจัดการกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันโดยเด็ดขาด ดังนั้นทางพรรคจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณเพื่อให้เกิดความโปร่งใส พร้อมทั้งใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และปราศจากการทุจริตตามนโยบายของทางพรรค 

จากข้อมูลล่าสุดเงินนอกงบประมาณมีประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือที่เรียกว่าเงินในงบประมาณ โดยเงินนอกงบประมาณนั้นมีที่มาจากเงินบริจาค เงินบำรุงหน่วยงานต่าง ๆ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณ 

อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ถูกเสนอมามีทั้งหมด 7 มาตรา มีเนื้อหาที่สำคัญคือการดึงเงินนอกงบประมาณเข้าสู่กระทรวงการคลังต้องปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ ผ่านการออกเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะสูญเสียความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ 

ดังนั้น เงินนอกงบประมาณจึงเป็นสิ่งที่พึงเก็บรักษาไว้ในการใช้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือมีเหตุฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากหลายหน่วยงานภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียนขนาดเล็ก และอีกหลายหน่วยงาน โดยเงินนอกงบประมาณดังกล่าวในปัจจุบันจะต้องมีการใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบถ้ามีการทุจริตคอร์รัปชันก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมายรวมถึงถูกตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินโดยปกติอยู่แล้ว

การแก้ไขกฎหมายตามร่างฉบับของพรรคฝ่ายค้านในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐหลาย ๆ หน่วยงานอย่างกว้างขวางเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพี่น้องประชาชน โดยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์และผลกระทบแล้วตนมีความเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็น ‘การเผาป่าเพื่อหาหนู’

ขอย้ำว่า การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณนั้นในปัจจุบัน มีการตรวจสอบผ่านพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ อาทิ ปปช. สตง. เป็นต้น ดังนั้น ในวันนี้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีมติไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ขาดรายละเอียดที่ดีในการจัดการเงินนอกงบประมาณในฉบับนี้ของพรรคฝ่ายค้าน

แต่อย่างไรก็ตาม พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้เล็งเห็นปัญหาในส่วนของการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณเช่นกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมาย และคาดว่าจะสำเร็จในเร็ววันนี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณ โดยไม่ทำให้ความคล่องตัวในการใช้จ่ายของหน่วยงานสูญเสียไป 

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อมีการเสนอกฎหมายโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน

สำรวจ 'กลาโหม' ยุค 'บิ๊กอ้วน-บิ๊กเล็ก' สมดุลอำนาจ 'นายใหญ่-เจ้าสัว-บิ๊กแดง'

(18 ก.ย. 67) เป็นไปได้มากว่า ขณะที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่าน 'เลียบการเมือง' อยู่นี้...บัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2567 อาจจะประกาศเผยแพร่เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนภูมิธรรมแล้วก็ได้...เพราะภูมิธรรม เวชยชัย 'บิ๊กอ้วน' รมว.กลาโหม ได้ตกลงใจ ลงนามแล้วเสนอนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ให้ลงนามเพื่อกราบบังคมทูลฯ ตั้งแต่ 17 ก.ย.

ทุกอย่างเป็นไปตามโผที่ 'บิ๊กอ้วน' หารือกับอีก 6 เสือกลาโหมตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. และ 16 ก.ย. โดยเฉพาะโผแต่งตั้ง 'แม่ทัพน้ำ' หรือ ผบ.ทร. ที่พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.คนปัจจุบัน ท่านยืนยันตีลังกายันว่า ต้องเป็น พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ 'บิ๊กแมว’ ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. ซึ่งแม้ไม่มีกฎหมายห้าม แต่ถือว่าแหวกม่านประเพณี หลักนิยมที่ปกติ ผบ.เหล่าทัพ จะขึ้นมาจาก 5 ฉลามเสือเป็นส่วนใหญ่...

เช่นเดียวกันกับ ผบ.ทบ.คนใหม่...ก็เป็นไปตามที่ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน (บิ๊กต่อ-พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์) เสนอ คือ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ 'บิ๊กปู' เสธ.ทบ.แห่งเตรียมทหารบก (ตท.) รุ่น 26 ซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งถึงปี 2570...เท่าเทอมรัฐบาลอุ๊งอิ๊งที่เหลือ...

จะว่าไปฝ่ายเมืองกระทรวงกลาโหมรอบนี้ จะเรียกว่า 'ลงตัวแบบธรรมะจัดสรร' หรือ 'นาย(ทุน)ใหญ่ จัดสรร' ก็น่าจะพูดได้...รมว.เป็น 'บิ๊กอ้วน' สายตรงนายใหญ่ทักษิณ...ส่วน รมช. คือ 'บิ๊กเล็ก' (พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์) โควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ว่ากันว่า...นาย(ทุน)ใหญ่รุ่นใหม่รูปหล่อหนุนช่วยอยู่...

'บิ๊กเล็ก' เป็นน้องเลิฟคนหนึ่งของลุงตู่ เคยเป็นเลขาธิการสมช.ผ่านงานใหญ่มาแล้วหลายงาน...และต้องขีดเส้นใต้สามเส้นว่า เป็นเพื่อน ตท.รุ่น 20 รุ่นเดียวกับ 'บิ๊กแดง' พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผบ.ทบ./อดีตรองเลขาธิการพระราชวัง...ที่เพิ่งพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เพราะลาออกจากราชการ...

เป็น 'บิ๊กแดง' คนเดียวกับที่ไปปฏิบัติการภารกิจพิเศษ 'ลังกาวี' เมื่อ 5 พ.ค. 2566

'บิ๊กเล็ก' จะเอาใครมาเป็นเลขาฯ เป็นทีมงาน หรือ 'บิ๊กแดง' จะแอบหนุนช่วย Back up เพื่อนเลิฟอย่างไรไม่เป็นที่เปิดเผย...แต่สำหรับ 'บิ๊กอ้วน' นั้นเลือกเอานายทหาร ตท.10 เพื่อนเลิฟนายใหญ่อย่าง 'บิ๊กหมี' พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัศมี มาเป็นเลขานุการรมว.และได้จัดสตาฟทีมงานทั้งที่เป็นเพื่อนนายใหญ่และนายทหารรุ่นใหม่ นักวิชาการด้านความมั่นคงมาช่วยงานอีกเพียบ...

ฟังการให้สัมภาษณ์ต่างกรรมต่างวาระเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร เรื่องการบ้าน-ภารกิจในกระทรวงกลาโหมแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า 'สหายใหญ่' ภูมิธรรมนั้นไม่ธรรมดา...รู้โจทย์ รู้ทิศทางลม ในยุคผสมผสานอำนาจและการข้ามขั้วเปลี่ยนผ่าน แบบพิสดาร โอนลี่ไทยแลนด์...

ที่บางฝ่ายตั้งโจทย์ด้วยความห่วงกังวล...นายใหญ่ถูกกองทัพรัฐประหารมา 2 ครั้ง เมื่อปี 2549 และ 2557 วันนี้เป็นโอกาสทองที่นายใหญ่...สหายใหญ่จะได้เวลาเอาคืนหรือสอนสั่งนั้น...อาจจะ 'เยอะ' ไปหน่อย...ต้องไม่ลืมว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ กองทัพกับสถาบันนั้นยากจะแยกออกจากกัน...อย่างน้อย 'บิ๊กแดง' ที่สังเกตการณ์อยู่ คงไม่ปล่อยทุกอย่างเลยธง...

อนึ่ง สายข่าวรายงานมาว่า...เมื่อ 17 ก.ย. วันที่ 'นายอิ๊งค์', 'บิ๊กอ้วน' และคณะยกทีมกันไปร่วมงานนักศึกษา วปอ.66 แถลงผลงานที่สถาบันป้องกันประเทศนั้น ตอนท้ายของงาน 'ขุนศึกโต' พล.ต.ดร.อลงกรณ์ แสงทอง นักทอล์กลายพราง ขึ้นเวทีไปทอล์กตบท้าย ทำเอาใครหลายคนแอบสะดุ้งลึก ๆ เพราะตบท้ายด้วยบทกลอนพระองค์ดำ...ความว่า...

"ถ้ามึงรักภักดี พลีต่อชาติ
มึงจะคลาดแคล้วภัย ใดใดสิ้น
ถ้ามึงชั่วเลวร้าย ขายชาติกิน
มึงจะสิ้นชีพม้วย ด้วยดาบกู"

'ไอซ์' อึ้ง!! พม่าครองตลาดบางบอน จี้!! บังคับใช้กฎหมาย-เก็บภาษีให้คุ้ม

(18 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกการหารือปัญหาต่าง ๆ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) หารือปัญหาชาวเมียนมาในพื้นที่ ว่า ในเขตของตน มีตลาดพม่า-บางบอน ซึ่งมีคนไทยและเมียนมาตั้งแผงขายของ

มีแรงงานเมียนมา มาใช้บริการจำนวนมาก ถึงขนาดเรียกลูกค้ากันเป็นภาษาพม่าทั้งตลาด มีป้ายโฆษณาเป็นภาษาพม่าทั้งหมด ซึ่งตนได้รับการร้องเรียนของคนในพื้นที่ ว่า มีแรงงานพม่าเป็นเจ้าของแผง ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับแรงงานต่างด้าว

“เมื่อไปลงพื้นที่ ดิฉันถามแม่ค้าคนไทยที่ขายของว่า แผงที่แหกปากตะโกนเป็นภาษาพม่าเป็นเจ้าของแผงหรือลูกจ้าง คนไทยบอกว่าไม่กล้าตอบ เพราะตอบแล้วกลัวจะเดือดร้อน นี่มันตลาดหรือแหล่งซ่องสุมอะไร ทำไมคนไทยจะตอบคำถามแค่นี้ยังต้องกลัว” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อเดินไปยังพบว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ทำไมต้องขออนุญาตก่อน เพราะตลาดทั่วไปก็ต้องอยากที่จะโปรโมต ตนโทรศัพท์ไปสอบถามเพราะจะถ่าย Vlog ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว ก็พบการกระทำผิดอยู่เนือง ๆ แต่กลายเป็นว่าแทนที่จะบังคับใช้กฎหมาย กลับมารีดไถเก็บส่วย

“ประชาชนเล่าให้ดิฉันฟังว่า เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามารีดไถ เก็บส่วย มาไถทองคนพม่า มาไถแหวน ไถตุ้มหู ไถสร้อย ถ้าไม่ถอดให้ก็จะเดือดร้อน มีการข่มขู่สารพัด การกระทำที่อุกอาจทั้งหมดนี้ เป็นจุดตรวจสอบ สน.บางขุนเทียน ดิฉันอยากให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ…

“ดิฉันไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องจัดการ การที่ภาครัฐปล่อยปละละเลย คนไทยต้องอยู่แบบตั้งคำถามว่าจะจัดการกี่โมง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาบังคับใช้กฎหมายด้วย อยากให้จัดเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้คุ้มกับการมาใช้ทรัพยากรบ้านเรา” น.ส.รักชนก กล่าว

'เพจดังแฉ' พบเอกสารขอสัญชาติไทยให้คนพม่าใน 'อุ้มผาง' เกลื่อนเมือง ชาวเน็ตจี้ฝ่ายมั่นคงลงพื้นที่ตรวจสอบด่วน หวั่นบางพรรคการเมืองหนุน

(18 ก.ย. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์คลิปข่าวตำรวจและท่องเที่ยว พร้อมระบุว่า "คิดเห็นอย่างไรกับคลิปนี้ ชาวพม่าได้สัญชาติไทย ต่อมาได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และช่วยเหลือให้พวกพ้องได้เป็นสัญชาติไทย ส่วนตัวหนู ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายก็โอเค แต่ถ้าไม่ตรงไปตรงมา หรือมีการเมืองแอบแฝง ก็รับไม่ได้ทีมงานกำลังตรวจสอบข้อมูลอยู่"

นอกจากนี้ ทางเพจยังโพสต์ด้วยว่า "พบเอกสารและภาพกิจกรรม ขอสัญชาติไทยให้ชาวเมียนมาจำนวนมาก ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ของ สส.พรรคส้ม ที่มีนโยบายให้สัญชาติไทยกับต่างด้าวภายใน 3 ปี"

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า 'เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า รายชื่อตามภาพนี้ เป็นบุตรคนต่างด้าวเกิดในประเทศไทย ซึ่งมีสิทธิ์ในสัญชาติไทยตามกฎหมาย เค้ามีสัญชาติไทยโดยชอบ แต่ขณะเกิด เค้าไม่ได้รับการรับรองสัญชาติไทย จึงไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เพื่อให้มีชื่อในทะเบียนบ้าน เค้าต้องไปยื่นคำขอต่อนายอำเภอ เพื่อลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสว่า เกี่ยวข้องกับพรรคส้มหรือไม่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถยืนยันได้ โดยทางเพจระบุเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ต้องตรวจสอบต่อว่า การขอสัญชาติดังกล่าว มีการเร่งรัดและไม่ตรงไปตรงมาหรือไม่ กำลังเจาะอยู่ค่ะ"

นอกจากนี้ ทางเพจยังได้โพสต์ภาพที่ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล สวมชุดชนเผ่า ถ่ายร่วมกับคนในพื้นที่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นคนไทยหรือชนเผ่าอะไร ส่วนคนขวาสุด คือ สส.พรรคส้ม ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั่นเอง

หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก เช่น...

- "เห็นคลิปยูทูบเบอร์ต่างชาติ บอกว่า ไทยขอสัญชาติยากมาก ทำไมคนพม่าถึงขอได้ง่าย ๆ ฝ่ายความมั่นคงต้องเข้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน"

- "ถ้ามีพรรคการเมืองหนุน อันนี้เรื่องใหญ่เลยครับ เกี่ยวกับความมั่นคงชัดเจน เรื่องขอสัญชาติเป็นการขอที่ยากมาก ขนาดเรียนและโตในไทยยังขอไม่ได้เลย"

- "เข้าข่ายขายชาติหรือเปล่าครับ"

- "ถ้าได้สัญชาติแบบไม่โปร่งใส ยื่นถอนสัญชาติได้ไหมคะ"

- "ที่นี่ คือ สถานที่เดียวกันกับหมู่บ้านที่ มีผู้ใหญ่บ้านเป็นคนพม่า หรือไม่?"

อย่างไรก็ตาม ทางเพจยังได้ออกแถลงการณ์ทำความเข้าใจกับแรงงานชาวเมียนมาด้วย ระบุว่า "ทุกคนคะ หนูและทีมงานขอชี้แจงดังนี้ พวกเรายินดีให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือพี่น้องชาวเมียมา จากภัยสงคราม ตามหลักมนุษยธรรม อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และการรักษาพยาบาล ปัจจุบันเรามีค่ายผู้ลี้ภัยรองรับได้ถึง 1 แสนคน พวกเรากังวลว่า พี่น้องชาวเมียนมา กำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ จากบางพรรคการเมือง โฆษณาขายฝัน ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อเป็นคนไทย โดยเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ด้วยปัญหาภายในประเทศ และการเก็บภาษีของไทย ที่มีผู้จ่ายเพียง 4 ล้านคน ไทยเราอาจไม่ซัพพอร์ตได้ทุกอย่าง แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะช่วยพวกคุณให้ถึงที่สุด ขอย้ำอีกครั้ง อย่าหลงเชื่อนโยบายขายฝันจากบางพรรคการเมือง เพราะเขาโกหกเป็นสันดาน ขอบคุณค่ะ จากน้องหนู"

‘รวมไทยสร้างชาติ’ เตรียมชง ‘กม.สุรารวมไทย’ เข้าสภาฯ ปลดล็อก ‘การผลิตสุราสี’ เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร

(17 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

จากการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  

การประชุมในครั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้ 

โดยเฉพาะกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายมีสาระสำคัญคือการอนุญาตให้วิสาหกิจชุมชนสามารถผลิตสุราสีได้ จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียงสุราขาวเท่านั้น 

การเพิ่มส่วนของการผลิตสุราสีเช่นนี้ จะทำให้สินค้าทางการเกษตรมีมูลค่าที่สูงยิ่งขึ้น และเชื่อได้ว่าในแต่ละพื้นที่แต่ละชุมชนจะมีการนำผลผลิตในชุมชนมาผลิตเป็นสุราสีประเภทนี้ อาทิ สุราลำไย จาก จ.ลำพูน / สุราสับปะรด จาก จ.ราชบุรี และสุรามะยงชิด จาก จ.นครนายก 

นอกจากนี้การเสนอกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มอุปทานในอุตสาหกรรมปลายน้ำให้แก่สินค้าทางการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าทางการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย 

ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มผู้ผลิตสุราสีในประเทศ เป็นการทำลายทุนผูกขาดในกลุ่มสุรา และพรรครวมไทยสร้างชาติหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการสนับสนุนหลังจากการเสนอร่างกฎหมาย

'ปิยบุตร' ลั่น!! ใครยกเราเป็น 'นักปฏิวัติ' ให้ถือเป็น 'คำชม-เป็นเกียรติ' แต่มอง 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน' ยังไม่ใช่พรรคปฏิวัติ

(17 ก.ย. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการคณะก้าวหน้า มีข้อเขียนทางเฟซบุ๊กและ X กรณี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พาดพิงพรรคประชาชนเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิวัติ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิรูปว่า… 

[กรณีความเห็นของ จักรภพ เพ็ญแข (1)]

ผมชอบ ศึกษา สนใจ เรื่องการปฏิวัติในที่ต่าง ๆ ทั้งในแง่ทฤษฎี และประวัติศาสตร์

จนวันนี้ ก็ยังคงอ่าน ค้น เขียน อยู่ตลอด

ใครกล่าวหาว่า เราเป็น ‘นักปฏิวัติ’ ก็คือ คำชม เป็นเกียรติ แต่จะรู้สึกว่าชมกันเกินจริง เพราะ นักปฏิวัติ การปฏิวัติ ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ใช่นึกอยากอุปโลกน์เป็นก็เป็น ไม่ใช่ใส่หมวก ใส่ชุด ใส่พร็อพ ก็เป็นกันง่าย ๆ และด้วยภาววิสัย/อัตวิสัย เราอาจไปไม่ถึงเช่นนั้น

แต่ถ้าคนที่ช่วงเวลาหนึ่ง คิดเรื่อง ‘ถอนรากถอนโคน’ จนลี้ภัยไป และได้กลับมา ใช้ชีวิตปกติ มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นนี้ แต่กลับมาจัดประเภทคนอื่น ๆ ว่าคนนี้ ‘ปฏิวัติ’ คนนี้ ‘ปฏิรูป’ อันนี้น่าสนใจ พิจารณา

พี่เอก จักรภพ ใช้ความคิดวิชาการ นิยามคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ปฏิรูป เป็นปฏิวัติ

เรื่องนั้น เรื่องเล็ก ดีเบตกันได้

แต่ที่ผมติดใจมากกว่านั้นคือ พี่เอก จักรภพ เคยนิยามตัวเองและขบวน ช่วงที่ลี้ภัยตอนปี 52 จนกลับมาประเทศไทย หรือไม่ว่า ช่วงนั้นตนเองเป็นอะไร คิดอ่านอะไร วันนี้ คิดอ่านอะไร เปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะอะไร

ผมไม่คิดว่าการมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ 20 ปี ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นประโยชน์อะไร แต่อยากให้พี่เอก จักรภพ คิดดูเสียบ้างว่า สมัยหนึ่งพี่เอกแค่พูดภาษาอังกฤษ คำว่า ระบบอุปถัมภ์ จนโดนฝ่ายตรงข้ามในเวลานั้นไล่ล่าว่าเป็นพวกล้มเจ้า หัวรุนแรง จนต้องลาออกจาก รมต. จนไปเป็นแกนนำ ปราศรัย เขียนบทความในนิตยสาร จำนวนมาก จนต้องลี้ภัย จนพี่สมยศในฐานะบรรณาธิการ ต้องติดคุก 112 แบบนี้ พี่เอกจะมาเที่ยวนิยาม แปะป้าย คนอื่น ๆ ในบริบท สถานการณ์แบบนี้เพื่ออะไร

ผมเข้าใจเรื่องข้อจำกัดแต่ละบุคคล เรื่องการตัดสินใจในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วันนี้ รอดแล้ว จะมาแปะป้ายคนอื่น เพื่อให้ตนเองและพวกรอดจากคมหอกคมดาบของระบบ

ถ้าวันนี้ ไม่คิดถึงสิ่งที่ตนเองแสดงออกมาในอดีต ก็คิดถึงวีรชน บูรพาจารย์ที่เราเคารพนับถือและฝากความหวังไว้กับพี่เอกในอดีตบ้าง

ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ในวันนี้ พี่ไม่ต้องลี้ภัย ไม่ต้องแสดงออกเป็นตัวแทนความก้าวหน้าก็ได้ สยบยอมตั้งแต่วันนั้น ดีกว่าครับ

[กรณีความเห็นของจักรภพ เพ็ญแข (2)]

ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติมาเกือบครึ่งชีวิต

การบอกว่า พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน เป็น ‘พรรคปฏิวัติ’ น่าจะให้ราคาพวกเขามากเกินความเป็นจริงไปเสียหน่อย

พวกเขาไปได้ไกลที่สุด ก็คือ พรรคที่ต้องการปฏิรูป รักษาสิ่งที่มีอยู่ พัฒนา ปรับปรุงให้เท่าทันยุคสมัย พร้อมเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ ๆ

เช่นกัน การบอกว่าพรรคเพื่อไทย คือ พรรคปฏิรูป ก็เป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะจนถึงวันนี้ สิ่งที่คนจำนวนมากเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยกล้าหาญปฏิรูป ตั้งแต่ 2554 ตั้งแต่ปฏิรูปกองทัพ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร การกระจายอำนาจ ทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปที่ดินทำกิน หรือ การเอาคนฆ่าประชาชนมารับผิด ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย เพราะ พรรคเพื่อไทยมีข้ออ้างที่ทำให้พวกเราหลงเชื่อ ตั้งแต่ปี 2554 ว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังทำไม่ได้ กินข้าวทีละคำ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ฯลฯ

การแปะป้ายว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป เพื่อจะอ้างว่า วันนี้ กูไม่ทำ เพราะ กูต้องเคลียร์เรื่องอื่นก่อน จึงเป็นการโฆษณาเกินจริง

การบอกว่า พรรคประชาชน เป็นพวกปฏิวัติ คือ การโฆษณาให้เครดิตเกินจริง พอ ๆ กับบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป

ถ้าหากบอกว่า ข้อเสนอที่กดดันไปที่พรรคเพื่อไทย คือ ปฏิวัติ นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้นอกจากรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนชนชั้นนำทั้งระบบ

ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่าใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ มาทำให้คำว่า ‘ปฏิรูป’ เสียหาย สู้ยอมรับไปเลย โดยไม่ต้อง ‘ประดิษฐ์วาทกรรม’ (คำของ พี่อ้วน ภูมิธรรม) ว่า พรรคเพื่อไทยจะทำเท่านี้โว้ยยยย จบ

อาชีพ ‘นักการเมืองไทย’ มีไว้เพื่อช่วยพัฒนาชาติ มิใช่เพื่อ ‘รวมหัวซุกหาง’ มุ่งแต่ ‘ล้มล้างสถาบัน’

น้ำป่าไหลทะลักมาครั้งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยในหลายจังหวัดก็เปียกโชกไปด้วยความใจร้ายของธรรมชาติ เมื่อภูเขาร้างต้นไม้ หน้าดินไร้ความเขียวของหญ้าปกคลุม ป่าทั้งป่าถูกข้าราชการ นักการเมือง และคนใจร้ายตัดจนเหลือแต่ตอเพียงเพื่อ ‘ความเห็นแก่ตัว’ และ ‘บ้องตื้น’ ก็ถึงเวลาที่ ‘อุทกภัยใจเหี้ยม’ โกรธจัด จึงซัดเอาผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องหนีตายกันแทบไม่ทัน 

ลำบากไปถึงคนทั้งชาติ ที่ต้องลงแรงลงใจเข้าช่วยเหลือ ยามนี้จึงเห็น ‘น้ำใจคนไทย’ ที่ไหลเย็น และแรงยิ่งกว่าสายน้ำป่า แม้เป็นภาพที่น่าข่มขืน แต่ก็พอยิ้มได้เต็มหน้าที่เห็นแสงสว่างส่องรอดมาจากหัวใจของคนไทยเรา

แต่กระนั้นก็ตาม ขณะที่ทุกแรงบนผืนแผ่นดินไทย มุ่งตรงไปสู่การช่วยเหลือ ‘ผู้ประสบอุทกภัย’ อย่างจริงจัง แข็งขัน และเร่งด่วน ใครมีเงินช่วยเงิน ใครมีเสบียงก็ช่วยจัดส่งไปให้ ด้วยยังขาดแคลนจำนวนมาก ก็ยังมี ‘คนใจมาร’ จำนวนหนึ่ง ห่อหุ้มด้วย ‘เปลือกส้มชั่ว’ แสดงความคิดที่เป็นพิษ หยาบหนา และน่าอดสูยิ่ง นอกจากมือพายไม่เป็น ยังยึดโยงความคิดเข้าเหน็บกัดทหารอาสา ที่มาช่วยชีวิตประชาชนที่โดนสายน้ำล้อมบ้านจนหนีออกมาไม่ได้

ทหารกล้าชั้นผู้น้อย ไปจนถึงชั้นสูงระดับบัญชาการรบทุกนาย ทุกเหล่า สมัครใจมาทำหน้าที่แทนพี่น้องคนไทย ยอมเสี่ยง ยอมสละเวลาแห่งความสุขสบายส่วนตัว ขนเอายุทโธปกรณ์ที่มีพร้อมกว่าองค์กรใด ๆ เพื่อมาช่วยให้อีกหลายชีวิตรอดปลอดภัย ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมี ‘นักการเมืองชั่ว’ ฉวยใช้เวลาแห่ง ‘ความเป็นความตาย’ เช่นนี้ กระทบชิ่ง หวังสะกิดให้ ‘สถาบันเบื้องสูง’ ต้องมีตำหนิ จึงไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาเปรียบกับพฤติกรรมเลว ๆ ที่นับวันก็ยิ่ง ‘เผยอความกักขฬะ’ ที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจออกมาให้สังคมเห็น 

คนอาชีพ ‘นักการเมือง’ ที่ดีงามจริง เมื่อประชาชนเลือกเข้ามาให้กินเงินภาษีจากความเหนื่อยยาก ก็ควรต้องช่วยชาติบ้านเมือง เสียสละแรงกายใจ ทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศ ไม่ต่างจากสุนัขที่เลี้ยงไว้ที่บ้านยังรู้ว่าก็ต้องซื่อสัตย์กับเจ้าของ มิใช่ไปไล่กัดคนที่คอยให้ข้าวให้น้ำเรากิน

คงมีแต่ ‘เดรัจฉาน’ เท่านั้น ที่มีจิตใจต่ำกว่าสัตว์ จึงพูดไม่รู้ฟัง เตือนกี่ครั้งก็ไม่สำนึก ท่องอยู่ไม่กี่คำในกะโหลกหนา ๆ คือ ‘ล้มเจ้า’, ‘ล้มสถาบัน’, ‘แก้ 112’ , ‘ล้มล้างการปกครอง’

มีนักการเมืองเลว ๆ แบบนี้ในประเทศไทย เสียดายเงินภาษีของเราจริง ๆ 

'ลิซ่า' อัด 'ประชาธิปัตย์' กระอักเลือดกลางสภา ไร้เงา สส.ปชป.ใช้สิทธิ์พาดพิง ชี้แจงข้อเท็จจริง

ผมไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในประชาธิปัตย์จำนวนมาก ทั้งนิพนธ์ บุญญามณี, สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล, สมชาย โล่สถาพรพิพิธ เหล่านี้เป็นต้น ไม่อยากนับ เทพไท เสนพงศ์ ที่ทุกวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ยังไม่ชัดว่า อนาคตจะเดินไปทางไหน 'ส้ม' หรือ 'ฟ้า' หรือ 'น้ำเงิน'

แต่บอกตามตรงว่า 'เจ็บลึก' หรือเจ็บแสบเข้าไปในทรวง แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กับคำอภิปรายของ 'ลิซ่า' นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนถิ่นฐานบ้านเดิมอยู่พัทลุง ลุกขึ้นอภิปรายในฐานะที่เป็นคนใต้คนหนึ่ง เมื่อวันที่13 กันยายน ที่ผ่านมา

เนื้อหาการอภิปรายตอนหนึ่ง ลิซ่าได้กล่าวพาดพิงถึงพรรคการเมืองหนึ่ง โดยไม่ระบุชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองใด แต่คนที่ฟังการอภิปรายก็สามารถรับรู้ได้ว่า หมายถึงพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ เพราะลิซ่าได้กล่าวถึงพรรคการเมืองน้องใหม่ล่าสุดเข้าร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี ได้ชวนคนภาคใต้ร่วมการต่อสู้กับระบอบทักษิณ แต่มาวันนี้ได้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นเพียงพรรคพลอยรัฐบาล ความหมายก็คือ ขออาศัยชายคาของพรรคเพื่อไทย เพื่อขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

แหม…มันเจ็บในทรวง เจ็บเข้ากระดองใจกับคำว่า 'พลอยร่วม' ไม่รู้ว่าคนพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไร แต่บางคนอาจจะกระอักเลือด เช่น ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน และแฟนคลับสายผู้อาวุโส

ตอนท้าย ลิซ่า ได้ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ทำให้คนภาคใต้หูตาสว่างขึ้น และการเลือกตั้งในครั้งหน้า คนไทยทั้งประเทศและคนภาคใต้จะเลือกพรรคการเมืองที่มีสัจจะวาจา ตรงไปตรงมา หรือเลือกพรรคที่เอาประชาชนมาบังหน้า หรือพรรคสับปลับกลับไปกลับมา ก็ไม่รู้หมายถึงพรรคการเมืองไทย แต่น่าจะไม่ใช่ประชาธิปัตย์

ผมไม่ทราบว่าคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และได้โหวตให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะในที่ประชุมรัฐสภาไม่มีสส.พรรคประชาธิปัตย์คนใด ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง อภิปราย ชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบโต้ลิซ่าเลย หรือเพราะว่าลิซ่าพูดความจริงจนจุกอก ไม่สามารถหาเหตุผลมาชี้แจงได้

คนในพรรคประชาธิปัตย์จะเจ็บจะปวดหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เราในฐานะคนนอก มันรับไม่ได้จนแทบกระอักเลือดตาย

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘การเลือกตั้ง’ เท่ากับประชาชนได้ใช้อำนาจตาม รธน. ติง!! ‘หัวหน้าพรรคส้ม’ ไม่ควรสร้างวาทกรรมทำให้สังคมแตกแยก

(16 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ว่า ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 หลังจากที่ได้รับเสียงจากพี่น้องประชาชนให้มาทำงานในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตนขอชื่นชมในสปิริตของพรรคประชาชน ที่ออกมาแสดงความยินดีและยอมรับในผลการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ดี ขอติงและฝากข้อเสนอแนะไปถึง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีออกมาระบุว่า "หนทางในการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนนั้นไม่ง่าย" นั้น ตนมองว่าไม่เหมาะสม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็บัญญัติไว้อยู่แล้วว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย 

ดังนั้นการที่ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การแสดงวาทกรรมของหัวหน้าพรรคประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก กับวาทกรรมแบบนี้

"ดังนั้น พรรคประชาชนควรยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่ามาจากอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอยู่แล้วในปัจจุบันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมให้แตกแยกกันในสังคม ควรมุ่งเน้นทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะดีกว่า” นายอัครเดช กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top