Saturday, 20 April 2024
POLITICS NEWS

‘ผู้ลี้ภัยในฟินแลนด์’ ขอบคุณ ‘ธนาธร’ ซื้อบ้านปรีดีในฝรั่งเศส เสนอใช้บ้านหลังนี้ ‘ช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัย’ ก็น่าจะดี

(4 เม.ย. 67) นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ ผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศฟินแลนด์ โพสต์เฟซบุ๊กสั้น ๆ ระบุว่า…

“ได้รับทราบจากพี่จรัลตั้งแต่พบกันเมื่อต้นปีว่า เอก ธนาธร ได้เจรจาซื้อบ้านที่ปรีดี พนมยงค์และครอบครัวได้พักอาศัยที่ฝรั่งเศส สำเร็จแล้ว - ขอบคุณเอก ธนาธร

“ดีใจที่ทราบว่าจะทำให้บ้านนี้เป็นมิวเซียมและที่ทำงานของสมาคมนักเรียนไทยในยุโรป

“เราเสนอพี่จรัลไปว่า ให้บ้านนี้ดูแลโดยผู้ลี้ภัยการเมืองที่ฝรั้งเศส เพื่อได้ช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยด้วยก็น่าจะดี”

กมธ.อุตฯ ถกเครียด!! ปมลักลอบขนกากพิษร้ายแรงหมื่นตันกองมหาชัย  จี้!! ผู้ว่าฯ ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ เพราะเป็นสารพิษอันตรายก่อมะเร็ง

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.67 ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ทาง กมธ.ได้พิจารณาสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ได้ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในจังหวัดตาก ขายให้กับบริษัทหนึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เนื่องจากกากแร่ดังกล่าวเป็นสารก่อมะเร็ง กมธ.จึงได้เชิญหลายหน่วยงานมาชี้แจง

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางกมธ.ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รองอธิบดีกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลทราบว่า ทางอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา กรมอนามัยให้ข้อมูลว่ากากแร่ปนเปื้อนแคดเมียมเป็นสารก่อมะเร็งในกรณีได้สัมผัส สูดดมหรือปนเปื้อนไหลไปยังแหล่งน้ำ ถ้าประชาชนดื่มกินจะเป็นอันตราย รวมถึงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวด้วย การลักลอบขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายร้ายแรงดังกล่าวมีการละเมิดกฎหมายหลายข้อ

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางผู้บังคับการ ปทส.ให้ข้อมูล กมธ.ว่า ในจังหวัดตากยังพบการกระทำความผิดตามกฎหมายอยู่ โดยล่าสุดยังมีการใช้เครื่องจักรกลหนักเข้าไปทำงานบริเวณหลุมเก็บกากแร่อันตราย ขณะที่ทางตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครรายงานว่า จะกลับไปพิจารณาประกาศให้พื้นที่กองเก็บกากเเร่มีพิษอันตรายในจังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพราะมีข้อมูลถูกนำไปเก็บไว้ในโรงงานแห่งหนึ่งกว่า 10,000 ตัน ใส่ในถุงบิ๊กแบ็กกว่า 1 พันกว่าถุง เป็นการกองเก็บอย่างผิดกฎหมาย ผิดหลักเกณฑ์การจัดเก็บวัตถุอันตราย

ทั้งนี้ การเก็บสารอันตรายต้องเก็บในบ่อคอนกรีตปกคลุมด้วยผ้าใบอย่างดีและเทคอนกรีตหนา 50 ซม. และใน EIA ระบุชัดต้องไม่มีการขนย้ายจากบ่อ แต่ปรากฏว่ามีการขนย้ายออกมาที่จังหวัดสมุทรสาคร ถือเป็นการกระทำความผิดที่รุนแรงมาก จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย เพราะเก็บใส่ถุงบิ๊กแบ็กในอาคารและนอกอาคารพันกว่าถุง ประเมินคร่าว ๆ เกือบหมื่นตัน

“ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบโรงงานที่เก็บกากแร่มีพิษอันตราย ได้ฟังประกาศจากทางจังหวัดสมุทรสาครที่จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ และต้องดำเนินคดีกับบริษัทต้นทางและบริษัทปลายทางด้วย รวมถึงต้องดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในจังหวัดตาก และจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินไป...

"อย่างไรก็ตาม เวลานี้ กมธ.ได้เจอนักลงทุนต่างประเทศทำผิดกฎหมายหลายราย ทั้งการสวมสิทธิ์ การประกอบธุรกิจที่ไม่ตรงกับที่ขออนุญาต การละเมิดกฎหมาย อย่างการขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายครั้งนี้ สืบแล้วบริษัทปลายทางเป็นบริษัทจากต่างประเทศรายหนึ่งที่มารับซื้อแล้วทำผิดกฎหมาย ถือว่าเสี่ยงต่อคนไทยที่จะได้รับผลกระทบ กมธ.จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกคำสั่งทางปกครองอย่างเร่งด่วน เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างรอบคอบรัดกุม” นายอัครเดช กล่าว

สมาคมคลองไทยฯ บุกสภา พบ 'ครูมานิตย์' จี้!! ผลักดันโครงการ 'คลองไทย' เจ้าตัวลั่น!! ไม่ทิ้ง แต่ต้องรอจังหวะเหมาะสม เวลานี้ 'แลนด์บริดจ์' สำคัญ

เมื่อวานนี้ (3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา สมาชิกสมาคมคลองไทยภาคประชาชน นำโดย น.ส.เสาวณี ทองทรัพย์ นายกสมาคม ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการสมาคม และสมาชิกระดับนำอีกหลายคน เดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือถึง 'ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม' สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการคมนาคม เพื่อขอให้ดำเนินการสานต่อนำโครงการคลองไทยมาศึกษาในเชิงลึก เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน โดยครูมานิตย์ได้ลงมารับหนังสือในระหว่างการประชุมสภาพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐสภา ตามมาตรา 152 (ไม่มีการลงมติ)

ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ยินดีรับหนังสือไว้พิจารณา และนำเสนอต่อไป แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าเวลานี้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี กำลังผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร อยู่ การที่ผมในฐานะ สส.พรรครัฐบาล ก็ต้องให้การสนับสนุนรัฐบาล แต่โครงการคลองไทย ก็ต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แล้วผมจะช่วยผลักดันแน่นอน"

ทั้งนี้ ในสภาชุดที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาศึกษาแล้ว แต่ด้วยกลเกมทางการเมือง ทำให้รายงานผลการศึกษาตกไปอย่างน่าเสียดาย แต่สมาคมคลองไทยภาคประชาชนก็ไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ ยังเดินหน้าผลักดันโครงการคลองไทยต่อไป ทั้งถวายกฎีา และส่งหนังสือถึงหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการล่ารายชื่อประชาชน เพื่อนำเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารกิจการคลองไทยเข้าสู่การพิจารณาของสภา

ขณะที่ สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยมีหนังสือตอบกลับมายังสมาคมคลองไทยภาคประชาชน ความตอนหนึ่งว่า...สภาพัฒน์ฯ เคยร่วมกับศูนย์บริการวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของไทยพบว่า การเชื่อมโยงการขนส่งสองฝั่งทะเล ต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงมาก มีผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การประเมินความเหมาะสมทางด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ ไม่คุ้มค่าการลงทุน ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งจะได้รับผลกระทบ จนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้ไม่ว่าด้วยเทคโนโลยีใด ๆ ทั้งยังกระทบต่อความเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถิ่นฐาน

ดังนั้น สภาพัฒน์ จึงเสนอให้รัฐบาลทบทวนและต่อยอดแผนปฏิบัติการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของภูมิภาค เป็นต้น

‘ศิริกัญญา’ อัด!! รบ.เลือดเข้าตา ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ออกทะเลไปไกล พร้อมเรียกร้องให้เร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจ

(3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ต่อมาเวลา 12.20 น. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ตนจะพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจที่พบว่าเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้ารอได้ แต่ปัญหาระยะไกลไม่เห็นทางออก ผลงานของรัฐบาลที่มีการแถลงมาตั้งแต่ 3 เดือนแรก หลายเรื่องต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว หลายเรื่องทำไปตั้งแต่เดือนแรกที่จัดตั้งรัฐบาลได้ เช่น เรื่องการลดรายจ่าย

หลายเรื่องยังไม่มีผลเป็นรูปธรรม แต่หลายเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยที่งงว่าสามารถนำมาเคลมได้ด้วยหรือ หรือผลงาน 6 เดือนแรกที่พบว่ามีการผลิตซ้ำกับผลงานเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่เพิ่มมาก็มีบางเรื่อง เช่น การปราบหมูเถื่อน ยางพาราทะลุ 80 บาท ระยะเวลาจาก 3 เดือนเป็น 6 เดือน

แต่ผลงานที่เพิ่มมามีน้อยมาก เช่น เรื่องการขยายโอกาสที่สามารถตัดทิ้งได้เลย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีแบบพาร์ทไทม์หรือไม่ อีกส่วนหนึ่งของเวลานำไปใช้เป็นเซลล์แมนของประเทศไทยหรือไม่ จึงทำให้ไม่มีใครมาบริหารราชการแผ่นดินแบบฟลูไทม์ ในรอบ 6 เดือน ทำให้มีผลงานน้อยมาก

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราเฝ้ารอคือการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่กลับไม่เห็น เช่น เรื่องมาตรการลดรายจ่ายทั้งหมดที่กำลังทยอยหมดอายุ ซึ่งประชาชนก็เฝ้าถามว่าค่าไฟ 3.99 บาทก็เริ่มหมดอายุแล้วจะใส่มาทำไม เพราะทุกวันนี้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และเดือนพฤษภาคมก็เป็นเดือนแรกที่เราต้องจ่ายคืนหนี้ กฟผ. การลดภาษีสรรพสามิตที่หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 31 ม.ค.ไปแล้ว หรือนี่จะเป็นการลดค่าครองชีพแบบชั่วคราว โดยยังไม่มีการแก้ปัญหาแบบระยะยาวตามมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ท่านมีมาตรการลดรายจ่ายเช่นนี้มีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น เช่น เรื่องกองทุนน้ำมันที่ต้องทำหน้าที่เดอะแบกที่ขณะนี้ติดลบไปแล้ว

หากจะกู้เพิ่มก็เชื่อว่าไม่มีธนาคารไหนกล้าให้กู้แล้ว คำถามคือท่านจะมีวิธีการจัดการอย่างไรกับสถานะของกองทุนน้ำมัน จะมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ขยายวงเงินกู้ยืมให้กับกองทุนน้ำมันหรือไม่ แล้วเราจะมีพื้นที่ทางการคลังเหลือเพียงพอหรือไม่ เพราะการที่เราให้กองทุนน้ำมันกู้ จะกลายเป็นหนี้สาธารณะ เมื่อท่านจำเป็นต้องกันพื้นที่นั้นไว้สำหรับทำดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า หากท่านจะบอกว่ายอดกำลังซื้อก็ดีเลย เพราะเหมาะที่จะทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ 30 บาทที่จะรักษาทุกโรคได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วท่านควรทำตั้งแต่ 2 เดือนก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เพิ่งมาทำหรือมาทำในอีก 6 เดือนข้างหน้า

จึงขอถามว่าภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ในเมื่องบประมาณออกมาแล้ว เราจะได้เห็นมาตรการอะไรที่จะมาช่วยพยุงกำลังซื้อในระยะสั้นของประชาชนตัวเล็กตัวน้อย เพราะในขณะที่เรามีงบไปพรางก่อนท่านอาจบอกว่าเป็นเงินเดือนของข้าราชการหรือการลงทุนอะไรก็ตาม แต่หากเราไปดูในส่วนของงบกลางจะพบว่าท่านมีอำนาจที่จะใช้เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

“แต่ไม่ว่าประเทศไทยจะมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมากแค่ไหน อย่างน้อยเราก็โชคดีที่เราไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจอีกต่อไป เพราะรัฐบาลเลิกพูดแล้วว่าประเทศเราเริ่มเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ต้องบอกว่าที่เราผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ ไม่ได้เกิดจากการที่พระสยามเทวาธิราชมาปกป้องคุ้มครองเรา

แต่เกิดจากหน่วยงานหนึ่งที่ชื่อว่าคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ที่มาแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจให้กับเรา โดยการออกรายงานมาหนึ่งฉบับเพื่อเป่ากระหม่อมบอกว่าไม่มีวิกฤต

หลังจากนั้นรัฐบาลก็เลิกพูดว่าประเทศเรามีวิกฤตเศรษฐกิจทันที เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการที่เราประโคมข่าวว่าประเทศเรามีวิกฤตเป็นเพียงแค่จะได้ใช้กลไกพิเศษนั่นคือการกู้เงินเท่านั้นเอง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า หากเราพูดเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ โดยไม่พูดถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหานี้ ล่าสุดที่มีความคืบหน้า แต่ครั้งนี้เป็นการแก้ไขรายละเอียดเรื่องที่มาของเงินเป็นครั้งที่ 5 แล้ว ซึ่งรัฐบาลยิ่งแถลงก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ โดยครั้งนี้เราพบว่ามีการใช้แหล่งที่มาของเงินถึง 3 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นงบกลางของปี 67, การเบ่งงบปี 68 และกู้ ธกส.

อย่างไรก็ตาม เราต้องลุ้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรอบที่ 6 หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขรายละเอียดอื่น ๆ อีก และเอาใจช่วยให้ทำระบบที่จะใช้กับโครงการนี้เสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 67 หรือไม่ แต่ไม่เป็นอะไรหากไม่เสร็จก็เลื่อนได้อีก

ทั้งนี้ ตนคิดว่ารัฐบาลจะเบ่งงบ 68 มาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเยอะกว่านี้ และคิดว่าจะมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมด้วย เพราะเท่าที่ดูก็ไม่น่าจะพอ ส่วนงบกลางปี 67 นั้น จริง ๆ รัฐบาลสามารถออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี หรืองบกลางปีขึ้นมาได้ โดยการกู้เพิ่มหรือกู้ชดเชยขาดดุลเต็มเพดานอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท

หากท่านงงว่าออกงบกลางปี 67 แล้วจะไปใช้ปี 68 ได้อย่างไร ก็จะมีทริคอยู่ว่าให้นำไปใส่ในกองทุนเนื่องจากไม่ต้องส่งคืนคลัง เอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกู้ ธกส.มาใช้ก่อนได้ ซึ่งตนก็ยังรอคำตอบในเรื่องนี้ว่าตนจะเดาถูกหรือไม่

“ต้องบอกว่าเป็นความพยายามที่เรียกได้ว่าเลือดเข้าตาแล้ว จากเดิมที่พายเรือในอ่างก็ไปเริ่มที่ศูนย์ วันนี้เรากำลังออกทะเลไปไกลแล้ว เพราะมูลค่า 5 แสนล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่ามาจากการกู้ กู้ และกู้อยู่ดี เพียงแค่จะเป็นการกู้ที่ทำให้ถูกกฎหมายได้ และที่ยังกังวลอยู่คือเรื่องของระบบแต่ยังมีเวลาที่ท่านจะไปสะสางปัญหาว่าจะโอนอย่างไร

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างเละเทะ จากการที่ต้องเปลี่ยนแหล่งเงินไปมาประมาณ 5 ครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะมีรอบที่ 6 หรือไม่ มีการเลื่อนการแจกอย่างน้อยมาแล้ว 4 ครั้ง มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีแอพพลิเคชันที่ใช้ เปลี่ยนเรื่องจำนวนคนตลอดเวลา มันทำให้ชวนคิดว่าสรุปแล้วรัฐบาลนี้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อนจริงใช่หรือไม่

เรื่องความรู้ความเข้าใจการคลัง ทำให้ดิฉันตกใจว่าทำไมถึงกล้าออกนโยบายเช่นนี้มาได้ และการที่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะขนาดนี้ ยิ่งแสดงว่าไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใด ๆ มาตั้งแต่เริ่มต้น ถึงต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ เช่นนี้ แล้วท่านก็ขยันแถลงมาก เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าอาทิตย์เดียว แถลงไปถึง 2 ครั้งโดยที่ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ประเทศได้รับความเสียหาย เพราะโมเมนตัมหรือพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่ท่านอยากให้เกิดขึ้น จะไม่เกิด เนื่องจากต้องได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน จึงเป็นปัญหาที่ตนคิดว่าไม่ใช่เป็นเพราะนโยบายใดนโยบายหนึ่ง

จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจได้แล้ว ในฐานะที่ท่านบอกว่าจะอาสามาเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน แต่ตอนนี้ทำได้ไม่กี่นโยบายก็นิ่งสนิท แล้วยังต้องให้ประชาชนรออีกจนถึงไตรมาส 4 โดยที่ยังไม่รู้ว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

'จุรินทร์ ซัด!! 'เศรษฐา' มีผลงานเดียว สร้าง 'นักโทษเทวดา' หยัน!! อาสาเป็นเซลส์แมน ปิดการขายได้บ้างหรือยัง

‘จุรินทร์’ จัดให้! ซัด ‘เศรษฐา’ มีผลงานเดียวสร้าง'นักโทษเทวดา' เย้ยขยันบินต่างประเทศไปทำตลาดหรือตลก วันๆ ทำแต่อีเวนต์ ถามอาสาเป็นเซลส์แมน ปิดการขายได้บ้างหรือยัง อัดคนในรัฐบาลโป๊ะแตก ปมทูมอร์โรว์แลนด์ เตือนพฤติกรรม ‘ได้คืบเอาศอกลามได้ศอกจะเอาวา’ ระวังพังเหมือนอดีต 

(3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ตามที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะจำนวน 98 คน เป็นผู้เสนอ

โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ก่อนเสนอญัตติฯม.152 รัฐบาลสร้างกระแสจะอภิปรายทำไมยังไม่ใช่งบสักบาท ถือว่าตีหน้าซื่อกลางแดดชัด ๆ เพราะแม้งบยังไม่บังคับใช้แต่สามารถใช้งบไปพลางก่อนได้ระหว่าง1 ต.ค. 2566 - 31 เม.ย. 2567 ใช้งบประจำและงบลงทุนไปถึง 43.79% ของงบปี 2567 ที่บอกไม่ใช้งบสักบาทถือเป็นการแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกประชาชนชัด ๆ 

คำถามคือทำไมใช้เงินไปมากขนาดนี้แต่ยังสอบตก คำตอบคือรัฐบาลมัวแต่ใช้การตลาดนำการบริหาร วัน ๆ มีแต่อีเวนต์ เช้า สาย เที่ยง เย็น ดึก ๆ ยังอีเวนต์ จนคนไทยสำลักอีเวนต์ 6 เดือน นายกฯ อยู่เมืองนอก 52 วัน มีคนถามบินไปทำการตลาดหรือทำการตลก เพราะอยู่เมืองไทยบอกเศรษฐกิจวิกฤติ แต่ไปเชิญต่างประเทศ มหาเศรษฐีที่ไหนจะมาลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจวิกฤติ ถ้ามาเพราะไม่เชื่อนายกฯ แต่เชื่อในระบบเศรษฐกิจของไทย 

ที่นายกฯ ที่อาสาเป็นเซลส์แมนประเทศ ถามว่าปิดการขายได้บ้างหรือยัง หรือมีแต่สัญญาจะซื้อจะขายดอกไม้กับสายลม ที่เห็นชัดคือเรื่อง ทูมอร์โรว์แลนด์ คนในรัฐบาลโพสต์ผ่านเว็บทางการของรัฐบาลว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ จะมาจัดงานที่เมืองไทยในปี 2569 และอาจจัดต่อเนื่อง 10 ปี ปรากฏว่า โฆษกของเขาแถลงชัดเจนยังไม่ยืนยันมาจัดที่ไทยและยังมีอะไรต้องพิจารณาอีกมาก ที่พูดก็อยากให้สำเร็จ แต่สิ่งที่อยากบอกคือ คนไทยอยากได้ของจริงมากกว่าการตลาด อะไรยังไม่ใช่ไม่ต้องตีปี๊ปก็ได้มันเสียเหลี่ยม

“คนไทยไม่ได้กินแกลบ พูดอะไรไม่จริง ก็จับได้ คนไทยอยากให้นายกฯ บินเหมือนเหยี่ยวมากกว่าแมลงวัน ที่บินทั้งวันแต่ไม่ได้อะไรนอกจากสร้างภาพบินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เหยี่ยวบินไม่พลาดเป้า เพราะเหยี่ยวไม่ทำการตลาด” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ตราบใดที่รัฐบาลก้าวไม่พ้นคนชอบอวดบารมี รัฐบาลจะมีปัญหาทางการเมืองตลอดไป และอยากไปโทษคนอื่นว่าก้าวไม่พ้นคน ๆ นี้เสียที คนแรกที่ก้าวไม่พ้นคือนายกฯ เพราะวันแรกที่เกิดเหตุการณ์นายกฯ ถึงขั้นลงทุนนั่งรถประจำตำแหน่งไปสโลซบถึงบ้าน แถมบอกว่ายินดีให้รัฐมนตรีไปเยี่ยมได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหานายกฯ หลายคน นี้คือปัญหาใหญ่ทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังเผชิญ มันสะท้อนความไม่เชื่อมั่น ทำให้คนเข้าใจว่านายกฯ ไม่ได้มีแค่นายกฯ นิด ยังมีนายกฯ ใหญ่ และนายกฯ เล็ก ทำให้เกิดปัญหาการบริหาร และปัญหารัฐบาลเต็มไปด้วยรัฐมนตรีไร้ประสิทธิภาพ มีทั้งโลกลืม ผิดฝาผิดตัว ต่างตอบแทน ทำการเฉพาะกิจ และรัฐมนตรีที่โลกเซ็ง ไม่ลืมแต่เซ็ง 

คนหนึ่งคือรมว.คลัง จ้องแต่แยกเขี้ยวใส่ผู้ว่าแบงก์ชาติ แต่งานในหน้าที่ทำได้ไม่เข้าเป้า รายได้ 4 เดือนต่ำกว่าเป้า ฝากนายกฯ ปรับครม.เที่ยวนี้ช่วยดูแลรมต.ที่โลกเซ็งด้วย ปัญหาดิจิทัลวอลเล็ต คนไทยหลายคนเลิกเชื่อเบื่อทวง แต่ที่บอกว่าจะทำงบปี 2568 ขาดดุล 1.5 แสนล้าน แปลว่าไม่มีอะไรใหม่ยังกู้มาแจกเหมือนเดิมเปลี่ยนแต่วิธีการ

ส่วนที่บอกราคายางดีขึ้นนั้น ขอแสดงความยินดีรัฐบาล เข้ามาไม่กี่วันบุญหล่นทับถุงเท้าบวม แต่ที่ยางขึ้นไม่ใช่ปราบยางเถื่อนอย่างเดียว แต่มีสาเหตุอื่นอีก อาทิ ผลผลิตยางในตลาดน้อย ยุโรปออกระเบียบห้ามนำเข้ายางในพื้นที่ทำลายป่าในปลายปี 2567 ที่สำคัญตอนนี้ยางในประเทศไทยอยู่นอกฤดู ก็อยากให้รัฐบาลเตรียมการรับมือดูแลราคายางด้วย 

นายจุรินทร์ อภิปรายอีกว่า ปัญหาใหญ่ที่สุด ที่รัฐบาลต้องแก้ เพราะสร้างความเสื่อมให้รัฐบาล เซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลมากที่สุด คือการสร้างยุติธรรมสองมาตรฐาน เป็นผลงานชิ้นเดียวที่รัฐบาลทำได้เร็วที่สุด เป็นคำตอบว่ารัฐบาลนี้เพื่อใคร นั่นคือการสร้างนักโทษพันธ์ุใหม่ ที่แม้แต่เทวดาต้องยอมให้ใช้ชื่อ คุกทิพย์ ปลอกคอทิพย์ เลี้ยงหลานทิพย์ สำนึกทิพย์ จนถึงได้คืบเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้ถ้านายกฯ รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่รู้เห็นเป็นใจ 

เชื่อว่าคนไทยเข้าใจเรื่องบุญคุณต้องทดแทน แต่ต้องไปตอบแทนกันเองส่วนตัว ไม่ใช่เอาบ้านเมืองไปตอบแทน คนหนึ่งได้อำนาจ อีกคนได้อภิสิทธิ์จากการใช้อำนาจ อาจยุติธรรมกับคนสองคนแต่ไม่ยุติธรรมกับประเทศ ว่าแต่การที่นายกฯ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ใครคือผู้บังคับใช้กฎหมาย นายกฯ ตั้งใจอยู่ 4 ปีถ้าอยู่เพื่อทำความดีไม่มีใครว่า แต่ถ้าอยู่เพื่อทำความชั่วร้ายให้แผ่นดินปีเดียวก็ไม่ควรอยู่ ตนไม่มีอคติกับนายกฯ เป็นแค่คนไทยคนหนึ่งที่มีหน้าที่มาพูดแทนคนรับความยุติธรรมที่น้ำตาตกในต้องทนอยู่กับบาปที่รัฐบาลนี้ก่อขึ้น

“ผมขอตั้งคำถามว่า นายกฯ มีนโยบายนำคุกทิพย์โมเดลที่ทำลายหลักนิติธรรมยับเยินมาใช้ซ้ำสองหรือไม่ คำถามที่สองคือ ระเบียบใหม่ที่กระทรวงยุติธรรมจะออกเรื่องการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิคุมขังนอกเรือนจำ ขอถามว่าระเบียบดังกล่าวรวมคดีทุจริต คดี 157 ได้ด้วยหรือไม่ และรวมหรือไม่ ถ้าให้นักโทษ 157 ติดคุกที่บ้านได้ เท่ากับรัฐบาลส่งเสริมการทุจริตมุมกลับ ระบบนิติธรรมจะเกิดวิกฤติอีกครั้ง เพราะเกิดจากนักโทษเทวดาตัวใหม่ คำถามที่สามเรื่องนิรโทษกรรม ขอถามนายกฯ ในฐานะผู้คุมเสียงข้างมาก และนั่งหัวโต๊ะในคณะรัฐมนตรี เพราะนิรโทษกรรมเป็นดาบสองคมใช่หรือไม่ ถ้าผิดทางสร้างความแตกแยกครั้งใหม่ ขอถามว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายที่จะนิรโทษ คดีทุจริตและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ด้วยหรือไม่ ที่ถามเพื่อส่งสัญญาณเตือนนายกฯ และพวกพ้องว่าอย่าได้คืบเอาศอก เพราะในอดีตเคยมีคนพังเพราะไม่รู้จักพอมาแล้ว เพราะวันนี้มีคนร้ององค์กรต่าง ๆ เรื่องนักโทษเทวดาทั้งหมด 24 เรื่อง ผมพูดเพื่อเตือนนายกฯ และรัฐบาล ว่าสิ่งที่นายกฯ และพวกทำกับหลักนิติธรรมประเทศไว้จะเป็นระเบิดเวลาระเบิดใส่ตัวเองในอนาคต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้ทุกท่านดวงตาเห็นธรรมด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว

‘จตุพร’ เชื่อ!! ‘ก้าวไกล’ ซักฟอกทิ้งทวน ก่อนโดน ‘ยุบพรรค’ ไม่เกินเดือนเมษา

(3 เม.ย.67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 ระบุถึงสงครามตัวแทนโจมตี กล่าวหาคดีส่วยพนันออนไลน์ได้กระชากฉุดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เละเทะ เสื่อมทรุด และยิ่งสะท้อนภาวะผู้นำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ไร้ศักยภาพโดยสิ้นเชิง จึงถูกบีบให้พ้นนายกฯ ไปตามดีลที่สัญญากันไว้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถูกศาลอาญาออกหมายจับเมื่อเย็นวันที่ 2 เม.ย. เพราะไม่รายงานตัวตามหมายเรียกถึง 2 ครั้ง กรณีข้อหาฟอกเงินการพนันออนไลน์ แต่เข้าแสดงตัวกับ สน.เตาปูน เรียบร้อยแล้วและได้ประกันตัวในเวลาถัดมาในวันเดียวกัน ดังนั้นแสดงว่าดีลอำนาจส่งสัญญาณเล่นกันหนักและรุนแรงขึ้น

“สงครามตัวแทนของบิ๊กตำรวจใหญ่ระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยิ่งทำให้ ตร. พังพาบไม่มีชิ้นดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา สั่งให้ทั้งคู่มาช่วยงานสำนักนายกฯ แล้วก็ตาม แต่การโจมตี กล่าวหากันและกันยังไม่ยุติลง ไม่เพียงเท่านั้น แม้บิ๊กตำรวจทั้ง 2 คน ได้แถลงข่าวกอดเอวคืนดีต่อกันชื่นมื่น แต่ฝ่ายสนับสนุนทั้ง 2 บิ๊กต่างเปิดศึกลามปามหนักไปกันใหญ่ และยากจะจบลงง่าย ๆ ดังนั้นเมื่อนายกฯ เป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จึงสมควรทำอะไรมากกว่านี้ เพราะระบบของ ตร.เละถึงขั้นต้องยกเครื่องขนานใหญ่ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจกับตำรวจชั้นผู้น้อย” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้ ตร. ไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนทะเลาะกันอีกแล้ว แต่ต้องยกระดับให้เป็นเรื่องการปฏิรูปหรือปฏิวัติการทำงานใน ตร. ล้างกันขนานใหญ่ จัดระบบโครงสร้างขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนให้ได้ ดังนั้น ตร. ควรมีการเปลี่ยนการทำงานภายในครั้งใหญ่ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องบุคคล แต่เป็นเพราะระบบทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา ขณะที่ ตร.ทรุดพัง เละเทะ รัฐบาลกลับคิดโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คาสิโนขึ้นมา แล้วจะคาดหวังความคุ้มครองจากตำรวจได้อย่างไร หรือแค่ต้องการให้มีการเปลี่ยนสลับมือเอาคนมาหาผลประโยชน์จากคาสิโนที่จะตั้งขึ้นมาใหม่อีก

นายจตุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่ผ่านมาเคยคิดจะตั้งคาสิโนขึ้นมาแล้ว แต่ผู้มีอำนาจในซีกรัฐบาลบางคนขอเรียกหุ้นลม 20% เป็นเรื่องถูกนินทาของทุกแวดวง ดังนั้นในคราวนี้เมื่อตำรวจมีปัญหาการหาประโยชน์จากช่องว่างผิดกฎหมาย แล้วเกิดระบบส่วย ทำให้มีการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะต้องเอาเงินคืนจากธุรกิจผิดกฎหมายเก็บสะสมเพื่อวิ่งเต้นหาตำแหน่งสูงขึ้นไปอีกเป็นทอด ๆ นายกฯ ควรมอบหมายให้ ก.ตร. ประชุมเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาของ ตร.ก่อน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งต้องการวุฒิภาวะของผู้นำมาแก้ปัญหานำไปสู่การเปลี่ยนเพื่อเกิดศักยภาพการทำงาน ส่วนนายกฯ เอาแต่เรียกมาคุย แต่ปัญหายังไม่จบสิ้น ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด ๆ ขึ้นมาเลย

นายจตุพร กล่าวถึงข่าวพรรคเพื่อไทยจะดึงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตั้งแต่มีการโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกฯ เมื่อ 22 ส.ค.66 เพื่อไทยไม่เคยมีการพูดเรื่องดึง ปชป. เป็นรัฐบาลเลย แต่เมื่อจะถูกอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ม.152 กลับมาเป็นข่าวขึ้นมาก่อนวันอภิปราย

อย่างไรก็ตาม ในการอภิปรายทั่วไปวันที่ 3 เม.ย.นี้ พรรคก้าวไกลต้องสร้างให้เป็นนัดแห่งความทรงจำของประชาชน ก่อนถูกยุบพรรค คาดไม่เกิน เม.ย.นี้ ถึงที่สุดแล้ว ร่องรอยสถานการณ์ขณะนี้หากมีการเบี้ยวดีลกันขึ้น จะเป็นปัจจัยบ่งชี้ไปถึงปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งเป็นวันนายทักษิณ ชินวัตร ไปฟังคำสั่งอัยการสูงสุดจะฟ้องศาลในคดี ม.112 หรือไม่ หากถูกฟ้องศาลแล้วไม่ได้ประกันตัวต้องติดคุก ซึ่งจะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งทันที จึงต้องจับตาดู

นอกจากนี้ปัญหาของนายเศรษฐา กรณีพูดแต่งตั้ง ผกก. ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ซึ่งเรื่องยังคาอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากถูกชี้มีมูลแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ในชั้น ป.ป.ช.ทันที ด้วยปัจจัยรุมเร้าเหล่านี้ในวันครบดีลกลับบ้านยังลุกลามเป็นอุปสรรคสกัดกั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไทยได้ลำบากยิ่งขึ้น

“เรื่องราวและปัจจัยเหล่านี้จึงสะท้อนว่าไม่มีช่องว่างให้เกิดการปรับ ครม.นำ ปชป.เข้าร่วมรัฐบาลกันอย่างจริงจังเลย ซึ่งเป็นเพียงข่าวปล่อย ดังนั้น ปชป.ต้องทุบรัฐบาลให้เด็ดขาด ถ้าเดินเยอะแยะยิ่งจะซ้ำเติมภาพเสื่อมให้ทรุดหนักไปอีก เพื่อไทยรู้ว่า ปชป.จะเอาจริงจังในการอภิปรายครั้งนี้อยู่แล้ว จึงมีการปล่อยข่าวดึงเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคที่เต็มไปด้วยความเก๋าอย่าง ปชป.นั้น ต้องรู้อยู่แล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร” นายจตุพร กล่าว 

'สส.ก้าวไกล' ไม่แตะ 'ทักษิณ' ศึกอภิปรายรัฐบาล  อ้าง 'โรม' จัดหนักไปแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็มีอยู่

(2 เม.ย.67) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ของพรรคก้าวไกล ว่า ทางพรรคก้าวไกลได้มีการเตรียมประเด็นครอบคลุมทุกเนื้อหา ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญชวนติดตาม

เมื่อถามว่าดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์จะเห็นเอนเอียงไปฝั่งรัฐบาลนั้น จะทำให้เสถียรภาพการทำงานของพรรคฝ่ายค้านไม่มั่นคงหรือไม่? นายปิยรัฐ กล่าวว่า “ตนไม่เข้าใจความหมายว่าเอนเอียงไปฝั่งรัฐบาลจะเป็นในเนื้อหาหรืออะไร แต่เรารอรับฟังพร้อมกัน คิดว่าทั้งหมดอาจไม่ถูกใจพี่น้องประชาชน แต่เราต้องการทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล เพราะการอภิปรายตามมาตรา 152 ไม่ได้ลงมติ คงไม่มีใครยกมือให้ผ่านหรือไม่ผ่าน การซักถามก็อาจจะเป็นประโยชน์กับรัฐบาล ถ้ารัฐมนตรีตอบได้หรือรับฟังข้อเสนอแนะของ สส.ฝ่ายค้านก็จะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ถ้าบอกว่าเอนเอียงก็จะเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ถ้าถามแล้วประชาชนถูกใจ รัฐมนตรีตอบได้ และนำไปปรับปรุงแก้ไขก็เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน”

เมื่อถามว่าส่วนหัวข้อการอภิปรายที่รัฐบาลติงว่าหัวข้อของพรรคก้าวไกลไม่สร้างสรรค์? นายปิยรัฐ กล่าวว่า “คิดว่าเป็นเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปของพรรคฝ่ายค้านจะสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์หรือไม่อยู่ที่เนื้อหา หัวข้อก็เป็นเหมือนน้ำจิ้มที่เชิญชวนให้ประชาชนติดตาม อาจจะตั้งเป็นประเด็นเพื่อให้สังคมติดตามมากกว่า ส่วนเนื้อหาอยากให้คนติดตามในวันที่ 3-4 เม.ย.นี้ ว่าน่าสนใจเพียงใด”

เมื่อถามว่าเรื่องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีกระแสมองว่าพรรคก้าวไกลอาจจะทำได้ไม่ดีนั้น? นายปิยรัฐ กล่าวว่า เรื่องนายทักษิณเราไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะล่าสุดนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จัดหนักพอสมควร ไม่ต้องอภิปรายมาตรา 152 ก็จัดหนักกันไปแล้ว ถ้าจะมากกว่านั้น ตนคิดว่าคงจะต้องถึงลูกถึงคนกว่านั้น น่าจะเป็นเรื่องรายละเอียด มั่นใจว่ามีทุกเรื่องสาระสำคัญ เรื่องนายทักษิณเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม เรามีหัวข้อนี้อยู่”

เมื่อถามว่าฝ่ายรัฐบาลขอเพิ่มเวลาให้รัฐมนตรีชี้แจง ฝ่ายค้านมองอย่างไรบ้าง? นายปิยรัฐ กล่าวว่า “ตนไม่ทราบมติวิปฝ่ายค้านว่ามีการตกลงอย่างไร จึงขอสงวนคำตอบนี้ไว้ก่อน” 

‘บิ๊กป้อม’ ยิ้มแย้ม!! สมาชิก พปชร. เข้ารดน้ำขอพรอย่างอบอุ่น อวยพร “ขอให้ทุกคนเจริญรุ่งเรือง มีความสุข ร่วมงานกันอย่างเข้มแข็ง”

(2 เม.ย. 67) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข รองหัวหน้าพรรค พร้อมผู้บริหารพรรค นัดพบปะสังสรรค์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกพรรค โดยถือโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทย ได้ร่วมกันรดน้ำขอพรจาก พล.อ.ประวิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล 

ทั้งนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง โดยสมาชิกและผู้บริหารพรรคทุกคนต่างร่วมใจกันสวมเสื้อลายดอก สีสันสดใส มาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ให้พรสมาชิกทุกคน พบกับความเจริญรุ่งเรือง มีความสุข อยู่ร่วมงานกันอย่างเข้มแข็งเพื่อนำพาพรรคพลังประชารัฐไปสู่การเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เพื่อจะได้ดูแลปากท้อง ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชน เพื่อให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองได้อย่างแท้จริง ภายใต้แนวทางการเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย ที่พร้อมเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนทำงานเพื่อประชาชน และประเทศชาติ ให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน

พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำให้สมาชิกพรรค ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภาฯ ในการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ในวันที่ 3 - 4 เม.ย.นี้ อย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมทำงานและนำเสนอแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างสร้างสรรค์ และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป

‘รมว.ท่องเที่ยว’ ยัน!! ไม่มีสัญญาณถูกปรับออกครม. พร้อมขอบคุณทุกคนที่ช่วยกัน จนได้รับคำชมจากนายกฯ

(2 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่ตลอดเวลา แต่การจัดงาน Thailand Tourism 2025 ของกระทรวงก็ได้รับคำชมจากนายกรัฐมนตรี ว่า “นายกรัฐมนตรีเห็นความตั้งใจที่เราทำกันมา ไม่ใช่เฉพาะตนเอง 10 คะแนน ที่นายกฯ ให้ ก็ต้องให้กับทีมงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงกระแสการปรับครม. มีการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่? น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า “ตนไม่ทราบ เพิ่งจะทราบจากนักข่าว”

เมื่อถามว่านายกฯ ได้ให้กำลังใจรัฐมนตรีที่มีกระแสข่าวว่าจะถูกปรับออก รวมถึงรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยกันเองหรือไม่? น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า “จริง ๆ ก็ไม่เชิงให้กำลังใจ เพราะท่านผลักดันเรื่องการท่องเที่ยวมาก เพื่อออกนโยบายดี ๆ ผลักดันให้ไปถึงเป้าที่ตั้งไว้”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเปิดเผยขบวนการทัวร์จีน ที่เข้ามาฉกฉวย โอกาสและล้ำราคาทัวร์ลง? รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมการท่องเที่ยว โดยเน้นย้ำให้ทำงานอย่างเต็มที่ และหากใครมีเบาะแสและต้องการที่จะชี้เป้า ทางกระทรวงก็ยินดีที่จะเข้าไปดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาอธิบดีกรมท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ทำงานกันอย่างแข็งขัน ทั้งในส่วนของมัคคุเทศก์และราคาทัวร์ต่าง ๆ โดยไม่ได้รอให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อน สำหรับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องราคาค่าทัวร์ต่างๆ ในขณะนี้ทางกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งไปดูในรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร

'อัครเดช' เผยวิปฝ่ายค้าน เทประชุมวิปสองฝ่าย ปมเงื่อนเวลาอภิปราย เรียกร้องใช้เวทีวิปร่วมสภาฯ เจรจาหาทางออก ไม่ใช่ตอบโต้ผ่านสื่อ

(2 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นัดวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลมาร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดรายละเอียดในการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 โดยการไม่ลงประชามติในวันที่ 3-4 เมษายนนี้ แต่ปรากฏว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเทไม่ยอมเข้าร่วมประชุมตามที่นัดหมาย นายพิเชษฐ์ในฐานะประธานการประชุมและวิปรัฐบาลก็ได้มานั่งรอเก้อในห้องประชุม

นายอัครเดช กล่าวว่า เดิมเท่าที่ทราบวิป 2 ฝ่ายได้มีการหารือกันไว้คร่าว ๆ คือ ฝ่ายค้านได้เวลา 22 ชั่วโมงในการอภิปราย ทางรัฐบาลโดยรัฐมนตรีได้เวลาชี้แจง 6 ชั่วโมง แต่เมื่อดูจากการอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภาตามมาตรา 153 ทางประธานวิปรัฐบาลได้รับทราบปัญหาจากครม.ว่า รัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงแค่ 3 ชั่วโมงต่อ 1 วันนั้น ไม่เพียงพอต่อการชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกวุฒิสภา ทางคณะรัฐมนตรีจึงแจ้งมาทางประธานวิปรัฐบาลว่า การประชุมที่ผ่านมาทางสว.ใช้เวลาอภิปรายมากรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงน้อย ไม่สมดุลกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของพี่น้องประชาชนที่รับฟังการอภิปรายและมีผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้

ดังนั้นการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลา 2 วันแล้วจัดสรรให้ ครม.ชี้แจง 6 ชม. ก็จะมีเวลาไม่เพียงพอก็จะเกิดปัญหาเหมือนการประชุมอภิปรายวุฒิสภาที่ผ่านมาคือรัฐมนตรีไม่มีเวลาเพียงพอในการชี้แจงข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหา ของสมาชิกที่อภิปราย แม้แต่นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ มีเวลาชี้แจงเมื่อการอภิปรายของวุฒิสภาเพียงแค่ 2 นาทีในบางครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้จะเป็นผลเสียต่อรัฐบาล อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเพราะไม่มีเวลาชี้แจง ทางรัฐบาลจึงมาหารือในวิปรัฐบาลว่ารัฐบาลควรมีเวลามากขึ้นจาก 6 ชั่วโมงเป็น 10 ชั่วโมง ฝ่ายค้านเดิมจาก 22 ชั่วโมงเหลือ 18 ชั่วโมง เพื่อให้ทางรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงมากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอภิปรายฝ่ายเดียว จะเป็นผลเสียต่อตัวรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วย

“เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น จึงได้นัดประชุมวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลเพื่อมาพูดคุยให้เกิดความเข้าใจ แต่ปรากฏว่าฝ่ายค้านไม่มาร่วมประชุม แต่ไปตอบโต้ผ่านสื่อมวลชน ทำให้ผมและเพื่อนสมาชิกที่เป็นวิปรัฐบาลไม่สบายใจ กลายเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อสภาฯ ทางประธานสภาฯ จึงขอประธานสภาฯ นัดหมายมาประชุมใหม่ในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) ในเวลา 08.00 น. ถ้ายังพูดคุยไม่รู้เรื่องก็ต้องมีการเสนอให้โหวตในที่ประชุมสภาฯ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการประชุมร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านได้เข้าร่วมประชุมวิป 2 ฝ่ายในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย” นายอัครเดชกล่าว

ทั้งนี้ การอภิปรายตามมาตรา 152 เป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีสส.รัฐบาลก็มีความต้องการอภิปรายด้วย เพื่อเสนอแนะปัญหาที่ได้ไปพบมาในการลงพื้นที่ เพื่อนำปัญหามาเสนอต่อครม. สส.รัฐบาลได้ท้วงติงมาว่าทำไมไม่ให้พวกเขาอภิปรายด้วย ดังนั้นในการประชุมช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ก็ต้องหารือกันถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องมีการโหวตกันในสภาฯ เพื่อขอเวลาให้สส.ฝ่ายรัฐบาลอภิปรายด้วย ถ้าตกลงไม่ได้แล้วมีการโหวตจะเป็นผลเสียต่อการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายในอนาคต

นายอัครเดช กล่าวว่า ในที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีวิป บางท่านเสนอว่าเวลาอภิปราย 28 ชั่วโมงควรจะแบ่งกันฝ่ายละ 14 ชั่วโมงไปเลย เพื่อให้โอกาส สส.ฝ่ายรัฐบาลได้อภิปรายนำปัญหาของประชาชนมาหารือซักถามชี้แนะ คณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของสมาชิก ถ้าเป็นเเบบนั้นจะทำให้ฝ่ายค้านเวลาลดลงไปอีก 

ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าจึงขอให้ฝ่ายค้านได้เข้ามาร่วมประชุม ใจเย็นมาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล โดยไม่ต้องลงมติในสภาฯ จะดีกว่า ซึ่งถ้าถึงขั้นลงมติเพื่อแบ่งเวลากันจะทำให้การทำงานร่วมกันในอนาคตไม่ราบรื่น ฉะนั้นจากนี้ไปจึงอยากให้สองฝ่ายเคารพเหตุผลซึ่งกันและกัน ไม่อยากเห็นการตอบโต้ไปมาผ่านสื่อ 

อย่างไรก็ตามฝ่ายรัฐบาลไม่อยากให้ฝ่ายค้านเอาประเด็นนี้มาเล่นเกม รัฐบาลไม่ขอเล่นเกมด้วย เพราะเราคำนึงถึงเหตุผล ทำอย่างไรให้การอภิปรายตามมาตรา 152 ราบรื่นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top