Saturday, 14 September 2024
POLITICS NEWS

'โด่ง-อรรถชัย' ลั่น!! เห็นข่าวนํ้าท่วมตอนนี้ คิดถึงได้แค่เรื่องเดียว ข่าว 'วิสุทธิ์ ไชยณรุณ' ร่ำไห้!! ถูกบางพรรคตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์

(24 ส.ค. 67) ‘โด่ง อรรถชัย’ โพสต์คลิป โดยมีเนื้อหา ดังนี้ …

เมื่อประมาณต้นปีตอนที่เราผ่านงบประมาณ 2567 กัน มีภาพนี้เกิดขึ้นในสภาคือ ภาพของ ‘นายวิโรจน์’ ที่เต้นแร้งเต้นกา เยาะเย้ยฝ่ายรัฐบาล

เพราะว่าเค้าล้มงบประมาณโครงการหนึ่งไปได้ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลเสนอและเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยยืนยันอย่างยิ่งนะครับว่า เป็นโครงการที่สําคัญนั่นก็คือเขื่อน โครงการเขื่อนซีเมนต์

เขื่อน แกนดิน ซีเมนต์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดเล็กนะซึ่งสามารถอนุมัติงบประมาณทําให้อบจ. อบต. หน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนําไปสร้างกันได้ง่ายง่ายกันได้เร็ว ใช้งบประมาณไม่เยอะ แต่มันจะเกิดฝ่ายทดน้ำ จํานวนมากเมื่อเกิดน้ำาท่วมขึ้นมาเนี่ยฝายเหล่านี้เนี่ยก็จะไปช่วยชะลอ กําลังน้ำ ที่ไหลมาตามแม่น้ำ ทําให้น้ำไม่สามารถจะไหลบ่าเข้าท่วมในพื้นที่ต่างต่างได้อย่างรวดเร็ว

เพราะรักเวลาน้ำท่วมแบบนี้ ผมเห็นสภาพทางภาคเหนือ แล้วผมนึกถึงภาพนี้ทุกที นึกถึงบรรยากาศวันนั้นที่พวกเขาหัวเราะเยาะพรรคเพื่อไทยเขาดีใจที่ล้ม

ตัดงบประมาณเขื่อนแกนดินซีเมนต์ตัวนี้ไปได้ซึ่งรายการรู้ทันเอารายละเอียดของเรื่องนี้มาว่ากันแล้วพูดไปแล้วโครงการนี้เป็นโครงการที่ผมบอกว่าดีมากๆนะครับ

ดีมากๆ วันนั้นท่านวิสุทธิ์ไชยณรุณเนี่ยถึงกับหลั่งน้ำตาเลยนะ ครับคุณคิดว่าคุณทําลายเพื่อไทยหรอคุณคิดว่าคุณสกัดงบเพื่อไทยเสนอไปได้โดยไปบอกว่าในระดับเพื่อไทยก็จะเอาไปแล้วไปแบ่งเงินกินกับผู้รับเหมา

ระดับทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้มันไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียวกล่าวหานะครับแล้วก็ล้มโครงการนี้ลง

วันนั้น คุณวิสุทธิ์ ร้องไห้เลยนะจําได้ไหมแล้วก็ที่เขาร้องไห้เขาเจ็บปวดแทนชาวบ้านเขารู้

แล้วเดี๋ยวหน้าฝนกําลังจะมานะครับ น้ำท่วมกําลังจะมา

ภัยพิบัติกําลังใจแล้วไม่ใช่แค่นี้นะนะครับเดี๋ยวจะมีอีกพายุจะมาอีกหลายลูกแล้วเวลาน้ำท่วมทีไร ท่านให้คิดเถอะว่าพรรคไหนนะครับเป็นพรรคที่สกัด

วันนี้ก็ผมเห็นอยู่ตามหน้าจอนะครับ มาเรียกร้องให้แก้ไข 
ให้รัฐบาลไปช่วยกันแก้ไขหาเรื่อง รัฐบาลทั้งๆที่เขาอยู่ในลักษณะรักษาการนะครับแต่ว่าอํานาจในการดูแลตรงนี้มีข้าราชการ

แต่ว่าประเด็นก็คือว่า เขาทํางานอยู่

ไม่ได้นิ่งนอนใจครับแต่เชื่อไหมครับว่าการแก้ไขเนี่ย  ยังไงก็ตามมันไม่ดีเท่าการป้องกันหรอก

วันที่เขาจะป้องกันสร้างเขื่อนแกนดินซีเมนต์เนี่ย

ของบประมาณพวกคุณขัดขวางพวกคุณตัดงบนี้ทิ้ง

ลไม่ให้มีแนวป้องกันให้กับประชาชน

วันนี้พอน้ำท่วมคุณก็หันมาด่ารัฐบาล ว่าทําไมไม่เร่งรีบแก้ไข พรรคนี้ครับ ‘ผมบอกว่า ผมจะไม่สนับสนุนตลอดกาล’

สื่อจีนตีข่าวไทยส่ง 'โทนี่ เตียว' อาชญากรโกงคริปโตฯ 4 แสนล้านกลับไปให้จีนดำเนินคดี ด้าน ปปง.จ่อยึดทรัพย์อาณาจักรหมื่นล้าน 'ด่านนอก' นักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมัน

กรณีที่ไทยส่งตัวนายโทนี่ เตียว หรือที่ใช้ชื่อนายจาง อาชญากรฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลไปยังประเทศจีน

โดยสื่อจากประเทศจีนรายงานข่าวว่า ทางการไทยได้มีการส่งตัวนายจาง มูมู (Zhang Moumou) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท MBI อันโด่งดังไปยังประเทศจีน หลังจากที่มีการตามล่าตัวนายจางในระดับระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน

สื่อจีนชื่อว่า The Paper รายงานว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนครั้งนี้เป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจภายใต้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนจีน-ไทย ซึ่งลงนามในปี 2542 สำหรับพฤติการณ์ของนายจางเริ่มขึ้นในปี 2555 เกี่ยวข้องกับโครงการปิรามิดออนไลน์ที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงผ่านสกุลเงินดิจิทัลเสมือนจริง

ตามรายงาน โครงการ MBI กําหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องชําระค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 700 ถึง 245,000 หยวน (3,328 ถึง 1,165,995 บาท) เพื่อเข้าร่วม รายได้นี้เชื่อมโยงกับการสรรหาสมาชิกใหม่และระดับของเงินทุนที่ลงทุน มีรายงานว่ามีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการมากกว่า 10 ล้านคน โดยมีเงินทุนรวมเกิน 1 แสนล้านหยวน (475,916,337,000 บาท) บทบาทของนายจางในปฏิบัติการนี้ทําให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องการตัวมากที่สุดของจีน

สํานักความมั่นคงสาธารณะเทศบาลฉงชิ่งตั้งข้อหานายจางอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2563 ต่อมาในเดือนมีนาคม 2564 สํานักงานตํารวจสากล สาขาประเทศจีน ได้ออกหมายแดงสำหรับนายจาง และตํารวจไทยได้จับกุมนายจางเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 

อย่างไรก็ตาม กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นซับซ้อน เพราะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนทางกฎหมายหลายขั้นตอน ทางการจีนขอให้ส่งนายจางในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการภายใต้สนธิสัญญาทวิภาคี ซึ่งนําไปสู่คําตัดสินของศาลอุทธรณ์ไทยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลไทยยืนยันการตัดสินใจเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ2567 และนายจางถูกส่งตัวกลับไปยังจีนหลังจากนั้นไม่นาน

กรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน สถานทูตจีนในประเทศไทย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย ปฏิบัติการร่วมนี้ดําเนินการภายใต้ "ปฏิบัติการล่าสุนัขจิ้งจอก" ของจีน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

กล่าวสำหรับอาณาจักรโทนี่เตียว หรือ"เตียว วุย ฮวด" หรือ "โทนี่ เตียว" เป็นคนมาเลเซียเชื้อสายจีน ชื่อทางการในภาษามาเลเซียจึงออกสำเนียงจีนที่เขียนด้วยอักษรไทยได้ว่า “เตียว วุย ฮวด” ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการคือ “เสี่ยวจาง” แต่มีคนจำนวนหนึ่งพานเรียกว่า “เสี่ยจาง” ซึ่งได้ความหมายเช่นกัน ส่วนชื่อเรียกที่ออกไปทางสากลแบบถูกลิ้นฝรั่งและโดยเฉพาะคนไทยด้วยคือ “โทนี่ เตียว” แต่สำหรับคนจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลอื่นๆ จะผิดแผกไปนิดเรียกขานเขาว่า “เทดี้ เตียว”

“เตียว วุย ฮวด” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินในมาเลเซีย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาชนจีน “เทดี้ เตียว” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงเช่นกัน เป็นหมายแดงขององค์การตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2563 อายุความตามหมาย 15 ปี หรือกว่าจะหมดอายุความก็ต้องปี 2578 จากคดีฉ้อโกงที่เกิดจาก MBI International Holdings ได้ออกแพลตฟอร์มชื่อ NSC แล้วชักชวนให้คนจีนร่วมลงทุนในลักษณะเดียวกับ “แชร์ลูกโซ่” แบ่งสมาชิกออกเป็น 8 ระดับ โดยใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรเป็นตัวล่อ แล้วจัดทัวร์พาผู้ร่วมทุนจากจีนไปท่องเที่ยวในอาณาจักรของเครือบริษัทในประเทศต่างๆ แต่ภายหลังทางการมาเลเซียสั่งอายัดทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินไปต่อเงิน จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้นนำมาสู่การออกหมายจับแดงดังกล่าว

การทำธุรกิจในนาม MBI International Holdings ในมาเลเซียและจีน หรือบริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ล้วนตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือ เน้นการเรียกเชิญชวนให้ผู้คนให้มาร่วมลงทุนด้วยจากการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แบบครบวงจร ซึ่งต้องใช้ที่ดินนับร้อยนับพันไร่ ภายในโครงการจะประกอบไปด้วยบ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต สวนผลไม้นานาชนิด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สนามกีฬา ห้องประชุมและสันทนาการ ลานจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ แล้วยังเพิ่มเติมด้วยการสร้างสิ่งดึงดูดใจให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ หรือจุดเช็กอินมากมาย ตามแต่ว่าคนในประเทศที่โครงการตั้งอยู่ชื่นชอบสไตล์ไหน

สำหรับที่เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ 'ด่านนอก' อ.สะเดา จ.สงขลา บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ได้ลงทุนไปแล้วนับหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2550 หรือเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา โดยกว้านซื้อที่ดินไว้หลายพันไร่ ภายในโครงการประกอบด้วย โรงแรม 6 แห่ง รีสอร์ต 2 แห่ง อพาร์ตเมนต์ 9 แห่ง สถานบันเทิง สวนสนุก ธุรกิจประเภทเฟอร์นิเจอร์ หมู่บ้านวัฒนธรรมอาเซียน มีการจำลองวัดร่องขุ่น พระพิฆเนศองค์ใหญ่ สวนไดโนเสาร์ เมืองคาวบอย ฟิวเจอร์ปาร์ค ฟาร์มม้า สวนแพนด้า กระทั่งศาลไคฟงก็ยังมี

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานไว้ว่า บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป สัญชาติมาเลย์เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยครั้งแรกปี 2545 แล้วในปี 2559 ขยับขยายบริษัทในเครือเพิ่มเป็น 15 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนได้ 662.5 ล้านบาท แบ่งเป็นใน อ.สะเดา และ อ.นาทวี จ.สงขลา 14 บริษัท และที่กรุงเทพฯ 1 บริษัท เช่น บริษัท บิลเลี่ยนคอนโด จำกัด ทำธุรกิจโรงแรม จดทะเบียน 4 กันยายน 2545 ทุน 51.5 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 49% บริษัท เอ็มวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 18 มกราคม 2551 ทุน 100 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 30% บริษัท เค.เอ.ดับเบิลยู. จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 30 กันยายน 2551 ทุน 125 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 60% บริษัท เอ็มบีไอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 30% และนายเตียว อี เม้ง 10% (มาเลเซีย) และบริษัท เซาท์เทิร์น เอเซีย จำกัด อสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียน 3 ธันวาคม 2558 ทุน 300 ล้าน

ส่วนอาณาจักรของเสี่ยวจางจะเกี่ยวข้องกับใคร นักการเมืองคนไหนบ้าง ในวงการเมืองพอจะรับรู้กัน มีผู้มากบารมีในสงขลาเกี่ยวแน่นอน

ให้จับตาว่า เมื่อ ปปง.ซึ่งยึดทรัพย์เสึ่ยว จาง ไว้หมดแล้ว เมื่อเปิดประมูลขาย ใครจะเป็นคนเข้ายื่นประมูลบ้าง อาจจะมีนักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมันก็ได้

'เพชรมงคล' คนรุ่นใหม่ ปชป. ชี้!! พรรคเข้าร่วมรัฐบาลหวังทำงานเพื่อปชช. ยืนยัน!! ไม่ว่ามติพรรคจะออกมาอย่างไร สมาชิกพรรคควรเคารพ

(24 ส.ค. 67) นายเพชรมงคล วัสสุวรรณ เลขานุการ สส.สมบัติ ยะสินธุ์ และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ประเด็นเรื่องการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ส่วนตัว ผมเคารพในมติพรรค สำหรับผมแล้ว การเคารพมติพรรคเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกันภายใต้พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย  

พรรคประชาธิปัตย์ เรายึดมั่นในหลักการนี้ การเคารพมติพรรค เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและความเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์กร การที่สมาชิกพรรคทุกคนเคารพมติพรรค หมายถึงการยอมรับผลการตัดสินใจที่เกิดจากการปรึกษาหารือร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

เพราะประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการมีอิสระที่จะทำตามใจตัวเอง แต่หมายถึงการทำงานร่วมกันภายใต้กฎเกณฑ์และมติเสียงส่วนใหญ่ การเคารพในเสียงส่วนใหญ่และการปฏิบัติตามมติพรรคเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองทำงานภายใต้อุดมการณ์ 10 ข้อที่เป็นหลักการที่สำคัญในการทำงานทางการเมืองของพรรค ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ก็มิได้ขัดอุดมการณ์ของพรรคแต่อย่างไร การเข้าร่วมรัฐบาลก็คือส่วนหนึ่งในการดำเนินการเมืองโดยวิถีอันบริสุทธิ์ เพื่อทำงานให้พี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจหรือไม่สามารถเคารพมติพรรคได้ ต้องลดทิฐิ และควรพิจารณาตัวเองว่ามีความเหมาะสมที่จะเรียกตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเคารพในกระบวนการและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นร่วมกันในพรรค คือสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นและความสามัคคีในองค์กร ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญในการรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือของพรรคในอนาคตได้ 

'อรรถวิชช์' เผย 'เอกนัฏ' ให้ปากคำปมคดี 112 ของ 'ทักษิณ' เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ตรงไปตรงมา ไม่เกี่ยวเรื่องตำแหน่ง

(24 ส.ค. 67 ) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ฝ่ายกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นผู้ให้ปากคำในคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร และประเด็นคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น 

ประเด็นการให้ปากคำนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้ปากคำ จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใด ๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป 

สำหรับประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย วิ.อาญามาตรา 15 ประกอบ วิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรค 1 ได้วางหลักว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี

ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมายกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเบื้องต้นหมายความว่า หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน 

ดังนั้นประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนายเอกนัฏจึงไม่มีปัญหาอย่างใด  นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากอีก คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้

“ข้อกฎหมายชัดเจนว่าคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรีได้ ใจผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าบริหารบ้านเมืองบ้าง” นายอรรถวิชช์ กล่าว

'ชาวเน็ต' แห่แชร์ #Saveลุงป้อม 'บูรพาพยัคฆ์ผู้ใจดี-ส่งเสริมให้โอกาสคน' แต่พอใครได้เป็นใหญ่ ก็พร้อมใจเนรคุณ เตือน!! อย่าปลุกเสือคำราม

(24 ส.ค. 67) กลายเป็นอีกหนึ่งเนื้อหา (เพลง) ที่ถูกแชร์ออกไปอย่างมากในเวลานี้ กับ คลิปไวรัล 'บูรพาพยัคฆ์ พิทักษ์ลุงป้อม' ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้...

"เกียรติศักดิ์ศรี นี้ไม่ให้ใครเหยียดหยาม
คือเสียงพยัคฆ์คำราม ก้องมาจากป่ารอยต่อ
ชายชาตินักรบ ป้องพื้นดินของพ่อ
วันนี้หมู่มารลวงล่อ ต้องการล้างผลาญทำลาย...

"ตำหน้าตำตา ต้องมาต่อกรราวี
ทําร้ายผู้ชายใจดีอบอุ่น ไม่มีพิษภัย
ทั้งที่เคยช่วยส่งเสริมพวกมึงมากมาย
เพียงเพราะลาภ เพราะยศ เป็นใหญ่
ทำให้ต้องเนรคุณ...

"แล้วมึงจะรู้ ว่าบูรพาพยัคฆ์ 
คือเสือที่คอยปกปัก พิทักษ์แผ่นดินสยาม
หากเป็นคนดีกูส่ง แต่มึงมันชั่วต่ำทราม
วันไหนที่เสือคำราม มึงก็แค่หมาตัวหนึ่ง"

หรือนี่จะคือสัญญาณครั้งใหญ่จาก 'บูรพาพยัคฆ์' ที่ถูกหยามหมิ่น!!

'สส.เพื่อไทย' แฉ 'สส.บางพรรค' ต้นเหตุทำน้ำท่วมภาคเหนือ

(23 ส.ค.6) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล สส.พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า...

"ความสะใจของพวกคุณในวันนั้น คือความเดือดร้อนของประชาชนในวันนี้...

"ไม่ต้องถามว่านายกฯ จะลงพื้นที่น้ำท่วมเมื่อไร? เพราะหากบางพรรคไม่ได้ตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์ของเพื่อไทยทิ้งทั้งหมดจาก พรบ.งบฯ '67 ก็คงสามารถป้องกันให้น้ำไม่ท่วมจนไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่...ใช่ไหมครับ? #น้ำท่วมภาคเหนือ"

‘อัครเดช’ ย้ำจุดยืน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่แตะหมวด 1-2 พร้อมยึดหลักการปราบทุจริต-คอร์รัปชัน

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ว่า 

“สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติยังเหมือนเดิม คือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และ หมวด 2 พร้อมทั้งต้องคงไว้ซึ่งหลักการการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด” นายอัครเดช กล่าว

'ชวน' กรีด!! ใครอยากร่วมรัฐบาล อย่าอ้างคนอื่น ส่วนตนเองย้ำชัด!! ไม่เห็นด้วยร่วมรัฐบาลเพื่อไทย

(23 ส.ค.67) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ยังไม่มีการแจ้งมาจากกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคตามระเบียบข้อบังคับพรรคฯ จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุม สส.และ กก.บห. แต่ทราบว่า มีความพยายามของ กก.บห. และ สส.บางคน ที่อยากจะเข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งเห็นได้จากพฤติกรรมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งแรก และตอนลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ จึงเห็นว่า ไม่ควรมาอ้างว่า ประชาชนอยากให้ร่วม หากอยากเป็นรัฐบาลก็ควรพูดตรง ๆ ว่าอยากเป็น

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวยังยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาล เนื่องจากเคยไปรณรงค์ให้ประชาชนในภาคใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะถูกเลือกปฏิบัติ ไม่พัฒนาภาคใต้ เนื่องจากคนใต้ไม่เลือก จึงไม่อยากทรยศ แต่หากเสียงส่วนใหญ่มีมติให้เข้าร่วมรัฐบาล ก็ต้องว่ากันไปตามมติของพรรค ไม่มีปัญหา เพราะตนไม่ใช่ตัวปัญหาของพรรค ตนอยู่กับพรรคฯ มาเกือบ 60 ปี มีส่วนร่วมล้มลุกคลุกคลาน ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน ฟื้นฟูพรรคจนกระทั่งได้เป็นรัฐบาล

“หากอยากเป็นก็บอกตรง ๆ ว่า อยากเป็นรัฐบาล อย่าไปอ้างคนอื่น เราควรพูดเรื่องจริงว่า เพราะอยากเป็น เราก็ไม่ว่าอะไร และหากมติส่วนใหญ่ให้เป็นเราก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าไปหลอก ไปอ้างเหตุผลอะไรมาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ทำให้คนที่ติดตามเราอยู่จะมีความรู้สึกในทางลบกับพรรคฯ” นายชวน กล่าว

ส่วนที่มีกระแสข่าวระบุว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลนายชวนจะลาออกนั้น นายชวนกล่าวว่า ตนไม่เคยพูด และตนเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก ซึ่งตนเคยบอกว่า ใครชนะเลือกตั้งได้ที่ 1 เป็นรัฐบาล ตอนนั้นตนแพ้ไป 2 เสียง และรวมเสียงได้มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องรักษาคำพูด ตนเป็นนักการเมืองที่อยู่มาได้ เพราะประชาชนเลือก เพราะความเชื่อถือคำไหนคำนั้น อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็บอกตรง ๆ ตนจึงไม่พูดว่าจะลาออกเพราะถ้าพูดต้องลาออก

เมื่อถามว่า นายชวนจะเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่แน่นอน เพราะตนเป็นนักการเมืองตัวจริง ไม่ใช่นักฉวยโอกาส ไม่ใช่นักกินเมือง ไม่ใช่นักปล้นเมืองโกงเมือง ตนเป็นนักการเมืองรู้ในกติกา จึงไม่เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล แต่จะใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมที่มี เช่นกฎหมายที่ดีของรัฐบาลตนก็พร้อมที่จะสนับสนุน ยกเว้นบางเรื่องเช่นหากมีกรณีพฤติกรรมที่ทุจริต หากมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนก็ไม่ควรที่จะยกขบวนกันไปยอมรับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือจุดยืนของพรรคต้องมี ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ซึ่งตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการไปเจรจา ไม่ได้อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วขอร่วมหน่อย แต่เป็นการร่วมโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้อง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและประกันรายได้เกษตรกร

“ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว หรือไปอาฆาตแค้นอะไร กับนายกรัฐมนตรีหรือคนในพรรคเพื่อไทย แต่ผมต้องการตอบแทนบุญคุณคนภาคใต้ โดยการทำหน้าที่แทนชาวบ้าน และที่เหนือไปกว่านั้นคือพรรคฯมีเกียรติยศมายาวนาน เราไม่เคยถูกประณามว่าเป็นพรรคอะไหล่ หรือ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคที่คอยเสียบ ผมก็รู้สึกเจ็บร้อนแทน และรู้สึกว่าไม่เห็นมีใครออกมาปกป้องพรรค อยากขอร้องว่าหากจะพูดถึง พฤติกรรมคอยเสียบ ขอให้เจาะจงไปที่ตัวบุคคล ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เพราะพรรคฯ ไม่ได้ประกอบด้วย สส.เพียง 25 คน แต่ยังมีสมาชิกซึ่งอยู่ข้างนอกอีกจำนวนมาก และคงไม่พอใจกับพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้น แต่คงไม่สามารถทำอะไรได้ สังเกตว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ติดใจที่อยากได้พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลสักเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือคนของเราอยากร่วมรัฐบาลมากกว่า” นายชวน กล่าว

สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะสูญพันธุ์นั้น นายชวน กล่าวยืนยันว่าไม่สูญ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะเหลือตนอีกคน แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้ามาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ากก.บห.พรรคชุดนี้ก็มาจากชุดที่แล้ว จึงน่าจะทราบว่า จุดอ่อนอยู่ตรงไหน และยังเชื่อว่า สส.บัญชีรายชื่อในสมัยหน้าน่าจะได้มากกว่าเดิม เพราะจากการลงพื้นที่ เห็นปฏิกิริยาชาวบ้านก็พอจะรู้ว่าหลายคนก็ยังอาลัยและเสียดายพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ระบบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปและคนก็เปลี่ยนไปมาก

นายชวน ยังกล่าวถึง นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่ามีนักการเมือง มี 2 ประเภท มีพวกที่พูดเก่ง ชอบตำหนิ แต่ทำงานไม่เก่ง ว่า ตนอยู่สภาฯมากว่า 50 ปี ไม่เคยได้ยินว่าแบ่งกันเช่นนี้ และเห็นว่านายเดชอิศม์เป็นฝ่ายค้านมาเกือบ 1 ปีแทบไม่เคยพูดในสภาฯ เลย หรือจะพูดเพียง 1 ครั้ง ในขณะที่ลูกชายนายเดชอิศม์พูดเก่ง ซึ่งหากพูดอย่างนี้อยากย้อนถามว่าลูกชายทำงานไม่เก่งหรืออย่างไร เพราะลูกชายนายเดชอิศม์อภิปรายงบประมาณได้ดีมาก ตนอยู่สภาฯ มาเคยได้ยินแต่ว่านักการเมือง ที่โกงกับไม่โกง และคนที่เป็นคนอภิปรายได้ดีในสภาฯ เป็นเพราะเตรียมตัวมา ดังนั้นจึงไม่ควรพูดเช่นนี้

นายชวนกล่าวอีกว่า แม้มีความเห็นต่างในการที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ก็ไม่ทำให้พรรคแตก เพราะพรรคประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ผ่านอะไรมาเยอะ แต่สิ่งสำคัญคือพรรคต้องมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี

'กก.บห.' พลังประชารัฐ มอบดาบ 'บิ๊กป้อม' ชงชื่อใหม่ได้ หากคุณสมบัติ รมต.ไม่ผ่าน

(23 ส.ค.67) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีกรรมการบริหารพรรคมาร่วมประชุมจำนวน 12 คน จากจำนวน 19 คน ซึ่งครบตามองค์ประชุม เพื่อยืนยันการเข้าร่วมรัฐบาลและการเสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตามที่ได้มีข้อตกลงกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ สส.ของพรรคพลังประชารัฐได้มีมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลได้ประสานมายังพรรคพลังประชารัฐเพื่อเสนอรายชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนโควตาของพรรคพลังประชารัฐ และในวันที่ 20 ส.ค.67 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้เสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าวจำนวน 4 คน ผ่าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ไปแล้วนั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า โดยที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว ได้มีมติเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลที่เห็นควรเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ดังนี้ พรรคพลังประชารัฐขอยืนยันรายชื่อบุคคลที่พรรคได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีผ่าน นพ.พรหมินทร์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งตามข้อตกลงในการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ หากรายชื่อที่ส่งไปแล้วปรากฏว่า มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทางพรรคเพื่อไทยควรต้องแจ้งกลับมาให้พรรคพลังประชารัฐทราบ เพื่อให้หัวหน้าพรรคซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้พิจารณาเปลี่ยนแปลงรายชื่อและเสนอไปใหม่เพื่อทดแทนเท่านั้น

"หากมีการเสนอแต่งตั้งรายชื่อบุคคลอื่นบุคคลใดที่ไม่ได้มาจากรายชื่อที่พรรคพลังประชารัฐเสนอเป็นรัฐมนตรี ทางพรรคขอปฏิเสธรายชื่อดังกล่าวและจะถือว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ทางพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลควรยึดถือและปฏิบัติตามต่อไป"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่วันที่ได้ส่งรายชื่อให้พรรคเพื่อไทย มีการแจ้งกลับมาหรือยังว่า แต่ละคนมีคุณสมบัติครบถ้วน พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประสานงานกันเป็นระยะ

เมื่อถามว่า ชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังมีคุณสมบัติอยู่ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้ในเบื้องต้นมีการพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้มีการยืนยันว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแค่ไหนอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รายชื่อที่คุณสมบัติไม่ผ่าน หัวหน้าพรรคสามารถเสนอชื่อให้ทางพรรคเพื่อไทย โดยไม่ต้องผ่านกก.บห.ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ใช่ มติที่ประชุมยืนยันชัดเจนว่า กก.บห.ได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่หากหัวหน้าพรรคจะมีความเห็นควรจะผ่านกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งก็คงจะนำรายชื่อเข้าที่ประชุม กก.บห.

ซักว่า รายชื่อที่ ร.อ.ธรรมนัส ส่งไป ซึ่งยังไม่ผ่านกก.บห.ถือว่าโมฆะหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะ 4 รายชื่อตามที่ กก.บห.ก็ยังยืนยันตามเดิมตั้งแต่วันแรกที่เราเสนอไปเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งล้วนเป็นรัฐมนตรีเก่าของเราในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า สุดท้ายหากรายชื่อไม่ออกมาตามนี้จะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า คงจะต้องคุยกับทางพรรคเพื่อไทย จริง ๆ แล้วเป็นอำนาจของหัวหน้ารัฐบาล แต่โดยมารยาททางการเมืองจะต้องมีการพูดคุยกัน หากรายชื่อที่เสนอไปไม่เหมาะสม หรือคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน ก็ต้องมาคุยกัน เรายินดีพร้อมที่จะเปลี่ยน

ถามว่า การประชุม กก.บห.วันนี้ กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ไม่เข้าร่วม สะท้อนถึงรอยร้าวภายในพรรคหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะอาจจะติดภารกิจ มีการแจ้งกก.บห.แล้ว

เมื่อถามว่า รายชื่อที่ไปส่งตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. ยังไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในทางการยังไม่มีการติดต่อกลับมา เมื่อถามว่า ในที่ประชุม กก.บห.มีการหารือกันถึงการครอบงำข้ามพรรคของคนนอกหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุย เราคุยในหลักเกณฑ์ หลักการ และวิธีการของพรรคเราเท่านั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวถึงรายชื่อรัฐมนตรีที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไปว่า รายชื่อรัฐมนตรีแต่ละพรรค ก็มีมติและความเห็นของแต่ละพรรค แต่หากพรรคใดมัวแต่ฟังเสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงทุ้มอะไรพวกนี้ ก็จะไขว้เขว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ที่มีการเมืองมา ควรคุยกันและให้เกียรติการร่วมรัฐบาลซึ่งกันและกัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เราส่งไปได้ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทยจะนำคนอื่นมาใช้ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กังวลถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจเข้าข่ายผิด มาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เราเข้าใจหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี เพราะตามหลักการ หากเสนอบุคคลที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน หรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะมีผลกระทบ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีความไม่สบายใจตรงนี้ จึงแจ้งกลับมายังหัวหน้าพรรค ซึ่งทางพรรคยินดีที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เหมาะสม เพราะพรรคพลังประชารัฐมีบุคคลที่เหมาะสม และพร้อมเป็นรัฐมนตรีอยู่หลายคน ไม่ต้องห่วง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกจากหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่มี หัวหน้าพรรคอยู่กับพวกเราตลอด หากเราไม่ทิ้งท่าน ท่านก็ไม่ทิ้งพวกเรา

สรุป 13 แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจไทยในมุม 'ทักษิณ ชินวัตร' เรื่องสำคัญ 'ดิจิทัลวอลเล็ต-ทุนจีน-ศก.ใต้ดิน-รถไฟฟ้า 20 บาท'

(23 ส.ค.67) Business Tomorrow เผย 13 แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจไทย ในมุม 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี หลังร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ณ พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน เนชั่นทีวี จัดดินเนอร์ทอล์ก หัวข้อ Vision For Thailand 2024 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ดังนี้...

1.) โจทย์เร่งด่วนดูแลเศรษฐกิจไทย : ปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนและธุรกิจให้เดินต่อให้ได้ นโยบายการคลังและนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยไปในทางเดียวกัน แต่เคารพความเป็นอิสระแบงก์ชาติ

2.) โครงการดิจิทัล วอลเล็ต : เสนอให้ใช้ดิจิทัล วอลเล็ต ในเฟสแรกเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะยังคงใช้งบประมาณที่เตรียมไว้ 1.45 แสนล้านบาทมาใช้แจกให้กับ 14.5 ล้านคน กลุ่มเปราะบางและคนพิการก่อนคนละ 10,000 บาท และเฟสต่อไปเดือน ต.ค.อีก 30 ล้านคนใช้ระบบดิจิทัล วอลเล็ต ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจใช้ระบบ 'บล็อกเชน' ชุ่มฉ่ำทั่วถึง, รากหญ้าเรียนรู้เทคโนโลยี, ประชาชนได้รับบริการภาครัฐ ซุปเปอร์แอป อนาคตอาจขายพันธบัตรรัฐบาลผ่านประชาชนรายย่อย ให้ประชาชนใช้แทนเงินสด เป็นผลมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ

3.) Entertainment Complex : นายทักษิณมองว่าควรดึงเอกชนมาลงทุนเริ่มแสนล้านบาท สร้าง Entertainment Complex ในกรุงเทพฯ เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเน้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสริมสิ่งที่ประเทศไทยยังขาด เช่น คอนเสิร์ตฮอลล์และสนามกีฬา ส่วนพื้นที่คาสิโนมีไม่ถึง 10%

4.) ถมทะเลบางขุนเทียน-ปากน้ำ : เสนอการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดความแออัดในกรุงเทพฯ โดยให้ใช้รถไฟและรถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลัก เพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยว

5.) รถไฟฟ้า 20 บาท : ยืนยันว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทต้องทำให้ได้ โดยอาจต้องเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหารมาเป็นของรัฐ แล้วจ้างเอกชนบริหารต่อ

6.) การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ : แนะนำให้เชิญชวนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

7.) ดึงรถ EV พวงมาลัยขวามาผลิตในไทย : เสนอให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถ EV พวงมาลัยขวาจากจีน และรักษาอีโคซิสเตมอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ส่วนประเด็นสินค้าจีนตีตลาดกระทบ SME ไทย แนะเร่งพัฒนาเพิ่มมูลค่า จี้รัฐตรวจสอบสินค้าผิดกม. ยันไม่รังเกียจทุนจีน แต่ต้องแข่งขันเท่าเทียม

8.) แนวทางการจัดการเขตทับซ้อนทางทะเลและทรัพยากรธรรมชาติ : นายทักษิณเสนอให้แบ่งทรัพยากรในเขตทับซ้อนทางทะเลคนละ 50% เช่นเดียวกับที่เคยทำกับมาเลเซียชี้ว่าน้ำมันและแก๊สในพื้นที่นี้อาจหมดความสำคัญในอีก 20 ปี เนื่องจากการหันไปใช้พลังงานสะอาดกำลังให้มีการศึกษาแนวทางของนอร์เวย์ในการแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนทั้งประเทศ แนวทางนี้จะช่วยลดต้นทุนพลังงานถูกลง 

9.) ศูนย์กลางทางการเงิน : ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยศึกษาตัวอย่างจากดูไบและสิงคโปร์

10.) ขายที่ดินให้ต่างชาติ : เสนอแนวทางขายที่ดินให้ต่างชาติโดยให้สัญญาเช่า 99 ปีให้กรมธนารักษ์ดูแล และจำกัดการใช้ที่ดินเพื่อป้องกันการนำไปทำการเกษตรแข่งขันกับคนไทย

11.) กองทุนวายุภักษ์ : เสนอขยายกองทุนวายุภักษ์เพื่อซื้อหุ้นกลับมาหากราคาต่ำกว่าที่ควร

12.) ปรับภาษี : แนะให้ปรับภาษีให้เป็นธรรมและแข่งขันได้ โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา พร้อมกับใช้เทคโนโลยีใหม่ในการคืนภาษีอย่างรวดเร็ว

13.) เศรษฐกิจใต้ดิน : เศรษฐกิจใต้ดินมีขนาดใหญ่กว่า 49% ของ GDP จำเป็นต้องดึงเศรษฐกิจเหล่านี้ขึ้นมาอยู่บนดิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top