Friday, 29 March 2024
POLITICS NEWS

‘จิรายุ’ เคลียร์ปม ‘หนองวัวซอ’ อุดแรงปั่น ‘แด๊ดดี้’ ชี้!! ที่ดินราชพัสดุไม่ใช่ ‘กรรมสิทธิ’ แต่ต่อสิทธิได้

จากรายการ ‘คุยจบครบกระแส’ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 ดำเนินรายการโดย ‘นายหัวไทร’ เฉลียว คงตุก / จาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ได้สัมภาษณ์พิเศษ ‘นายจิรายุ ห่วงทรัพย์’ โฆษกกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยเรื่อง การนำที่ดินทหารมาให้ชาวบ้านที่บุกรุกเช่าในอัตราราคาถูก แต่กลับถูก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ติงว่าการให้เช่า 3 ปี เป็นระยะเวลาที่สั้นไป ไม่มั่นคง ทาสีไม่ทันแห้งก็ถูกเอาคืน ซึ่งเรื่องนี้ นายจิรายุ ได้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ไว้อย่างชัดเจน ว่า...

“เรื่องของการเช่าที่ดินทหารไม่น่าจะเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ก็กลับมาเป็นประเด็นจนได้ เมื่อคุณพิธา ไปย้อนรอยรัฐบาลถึงโครงการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ‘หนองวัวซอโมเดล’ ให้ผู้เช่าชาวจังหวัดอุดรธานี ว่า เป็นการออกเอกสารให้ชาวบ้านเช่าแค่ระยะสั้นๆ แค่ 3ปีคนที่จะลงทุนจะไปทำอะไร โดยเปรียบเปรยว่า 3 ปี วางแผนเพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้เลย เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวยังหม้อยังไม่ทันได้ดำ เปิดร้านทาสีก็ยังไม่แห้ง ผลผลิตยังไม่ออกผล สัญญาก็จะหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหากคนที่ไม่เข้าใจ พอได้ฟังเช่นนี้ ก็อาจจะเข้าใจผิดได้...

“ทั้งนี้ หากย้อนความกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัย คสช. ยึดอำนาจ ที่ดินของทหารซึ่งมีจำนวนมาก มิได้มีเส้นแบ่งเขตชัดเจน แล้วก็ทำให้เกิดการบุกรุกของประชาชน แล้วพอมีผู้บุกรุกแล้วเจ้าหน้าที่ไปตรวจพบ ก็สามารถไล่ออกได้ทุกเวลา แต่เนื่องจากรัฐบาลต้องการทำให้พื้นที่ซึ่งมีโอกาสต่อประโยชน์ในการทำมาหากินอยู่ในระบบที่ถูกต้อง ทางกรมธนารักษ์ จึงได้ให้สิทธิ์กลับไปยังส่วนราชการในทุกกระทรวง-ทบวง-กรม ได้นำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี เพราะเป็นการนำพื้นที่ไปสร้างประโยชน์แก่ประชาชน...

“อย่างไรก็ตาม ที่ดินเหล่านี้ ซึ่งคุณพิธาอาจจะไม่ทราบ คือ มีการต่อสัญญาเมื่อหมดสัญญาทั้งสิ้น โดยท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ท่านก็เคยได้ออกชี้แจงข้อเท็จจริงมาแล้วว่า หลังจาก 3 ปีก็มีการต่อสัญญาให้ทุกปี หรือทุกครั้งที่หมดสัญญา...

“ฉะนั้น ประเด็นที่คุณพิธา พูดถึงกรรมสิทธิผิดความหมาย และการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วมีการเรียกคืนนั้น ก็เหมือนกับการเล่นการเมืองที่ภายใต้การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชนได้ เพราะที่ผ่านมา การจัดสรรที่ดินทำกิน ในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการ ‘มอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ’ ไม่ใช่ ‘กรรมสิทธิ์’ ตามที่นายพิธากล่าวอ้างอยู่แล้ว” (พิธาพลิกลิ้น ไม่ได้บอกว่าให้ประชาชนเป็นที่อยู่อาศัย คอยจ่ายค่าเช่าให้กับรัฐบาล ไม่ใช่แบบนั้น แต่ต้องเป็นสิทธิในการบริหารอนาคตของตัวเอง สิทธิในการมอบที่ดินให้กับลูกหลาน การมีกรรมสิทธิ์ในการจะเอาที่ดินเข้าธนาคาร นำเงินออกมาแก้ปัญหา ช่วยทำให้ จ.อุดรธานี น่าอยู่)

สำหรับกรณีที่ราชพัสดุ ‘หนองวัวซอโมเดล’ นายจิรายุ กล่าวว่า เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน

“รัฐบาลนายเศรษฐา เพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่อง ในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดล รัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก” นายจิรายุ ย้ำชัด

เมื่อถามว่า แล้วถ้าจะต่อสัญญาแบบระยะยาวให้แก่ผู้เช่าได้หรือไม่ นายจิรายุ เผยว่า โดยส่วนใหญ่ระเบียบการให้เช่าที่ของกรมธนารักษ์ มักจะยืนพื้นการให้เช่าไว้ที่ 3 ปี แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นมาตรฐานแบบเหมารวม เนื่องจากบางพื้นที่และบางกิจกรรมที่แตกต่าง ก็ทำให้ไม่สามารถกำหนด เป็น 3 ปี 5 ปี หรือกี่ปีแบบเดียวกันได้ เช่น บางพื้นที่ใช้ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ การให้สัญญาเช่า 3ปีก็เยอะไปสำหรับบางผู้เช่า หรือบางกรณีมีที่ให้เช่าแถวสถานีขนส่ง บางคนก็อยากประกอบกิจการอื่นๆ โดยมองว่าควรได้ทำระยะยาว ซึ่งตรงนี้มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมในพื้นที่ 

แต่โดยสรุปแล้ว นี่ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี ที่ทางรัฐบาลต้องการมอบโอกาสในการทำมาหากินผ่านที่ดินทำกินให้กับประชาชนนั่นเอง

ส่อง 'เขมร' จัด 'เรือรบ' พร้อมทหารกล้า เตรียมล่าขุมทรัพย์ไทย ส่วนประเทศไทยมี 'เรือประมงสู้' พร้อมนักการเมืองส้มชักธงรบ

ประเด็น 'เกาะกูด' ที่คนไทยถูก 'มนต์เขมร' อ้างอีกครั้งว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน หวังจะตะกายฮุบไปครองเพื่อ 'สมบัติใต้ทะเลลึก' ในอนาคต ผมคิดว่ายังไงก็เป็นได้แค่ 'ปาหี่ยี่ห้อเขมร' ที่ถนัดแต่แสวงหาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย

ที่ผ่านมาก็ลักเอาทรัพย์สินทางปัญญา, ศิลปะการต่อสู้, แผ่นดิน บัดนี้ก็ถึงเวลาของท้องทะเลไกล 

แต่งานนี้ 'เป็นไปได้' ที่มี 'คนไทยนิสัยขายชาติ' รวมหัวเล่นบทตีสองหน้า แฝงหัวใจเป็น 'พ่อค้าสินในน้ำ' เพราะไม่ใช่จะมีแค่เพชร, พลอย หรือปะการังแปลก ๆ งาม ๆ แต่คือ แหล่งน้ำมันใต้ทะเลไทย ที่หากใครครอบครองได้ก็จะร่ำรวย มีเงินมากกว่า 'Bernard Arnault' และ 'Elon Musk' รวมกันเป็นแรงจูงใจให้คิดทรยศชาติตัวเอง 

แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จะหายไปกับสายลม เมื่อคนไทยตื่น และตระหนักถึงความหวงแหนแผ่นดิน...โจรต่างชาติอย่างเขมร ก็ต้องคิดหนัก

อย่างไรเสีย ก็มีข่าวโปรยออกมาสักพักแล้วว่า 'นักลักชาวเขมร' ได้เตรียมเรือรบ ทหารกล้า อาวุธหนัก มาตรึงกำลังใกล้เราแค่จมูก หวังขู่ให้คนไทยกลัว แต่คนไทยอย่างพวกเรามี 'กองทัพเรือประมง' ที่อดีตหัวหน้าพรรคการเมืองล้มสถาบัน คอยใช้อวน สุ่ม เบ็ด ตาข่าย และแห เป็นอาวุธประจำเรือ ก็ยากที่ 'เขมรหิว' จะฝ่าด่าน 'เรือประมงส้ม' ของนายพล พิธา จมูกยาว ผู้บัญชาการประมงคนปัจจุบันเข้ามาได้

เขมรใช้เรือรบ ใช้ปืน ใช้ทหาร แต่เราชาวไทยตะโกนถามเขมรกลับไปดังก้องทะเลว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” ทำให้เขมรสามสี่ห้าฝ่าย งง จนต้องหยุดชะงักแผนการกลืนเกาะของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเราลงชั่วคราว 

'มหาโจรยึดเกาะ' ต่างสงสัยในคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” จนต้องเอา 'ปริศนาธรรม' ของ 'นายพลส้ม' มาขบคิดต่อถึงความปราดเปรื่องเรื่องการปกป้องผืนทะเลไทย 

เรื่องราวของ 'เกาะกูด' ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีบทสรุปออกมาในเนื้อข่าว แต่เดาได้ง่าย ๆ ว่า สิ่งใดที่เป็นของคนไทย ก็จะเป็นของไทยวันยังค่ำ สิ่งใดที่ฉลาดล้ำ ก็จะไม่มีทางโง่เง่าเต่าตุ่น 

'ทหารมีไว้ทำไม?' ไม่เห็นต้องเก็บเอาไปคิดเลย

'เต้-มงคลกิตติ์' แจ้งจับ 'พิธา-พวก' เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง อาจต้องโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหลายราย

(4 มี.ค.67) ที่ศูนย์รับแจ้งความ บชก. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ฉบับเต็มรวม 32 หน้า มามอบให้กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ประกอบการพิจารณาดำเนินคดีอาญา กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้บริหารพรรคก้าวไกล รวมความ 10 ราย

นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าก้าวไกลเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ตนได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีกับนายพิธาและพวกตามกฎหมาย ซึ่งหลังยื่นคำร้องดังกล่าว ทาง ผบ. ตร.ได้ดำเนินการมีคำสั่งมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้นัดให้ตนนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม มามอบให้กับพนักงานสอบสวน ในฐานะผู้ร้อง

"มองว่าคดีนี้ต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่างเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคตเพราะการใช้นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และพยายามให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองประเทศ ที่สำคัญมีการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยธรรมวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว มีความชัดเจนว่าการกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นความผิดร้ายแรง แต่เป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ดังนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เชื่อว่าหากพนักงานสอบสวนดำเนินคดีจะมีผู้ถูกออกหมายจับ อาจต้องโทษถึงประหารชีวิตถึง 10 ราย และจำคุกตลอดชีวิตอีกหลายคน" นายมงคลกิตติ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเจ้าของสำนวนคดี ได้รับคำวินิจฉัยดังกล่าวไว้ประกอบการพิจารณา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ซัด!! ‘พิธา’ ขาดความเข้าใจเรื่องเช่าที่ราชพัสดุ

(4 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกินจากพี่น้องประชาชนชาวหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดการที่ดินทำกิน ระบุว่า…

“มองว่าปัญหาข้อแรกคือเรื่องการจัดการที่ดิน รัฐต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อสองคือรัฐบาลควรตรวจสอบที่ดินของรัฐที่อยู่กับกระทรวงทั้ง 8 กระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กลาโหม มหาดไทย เกษตร ฯลฯ ว่ามีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่เท่าใด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ มีเท่าไรที่สามารถนำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชนบทด้วย”

นายพิธากล่าวต่อว่า “ในส่วนของหนองวัวซอ เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายๆ กันทั่วประเทศ กล่าวคือ พื้นที่หนองวัวซอมีที่ดินที่ทหารครอบครอง 39,235 ไร่ พื้นที่ที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการซึ่งซ้อนทับกับที่ดินของประชาชนมีอยู่ 9,255 ไร่ มีประชาชนใช้ประโยชน์อยู่ 1,597 ราย พื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ประชาชนคัดค้านการเป็นที่ดินของทหารมาตลอด เรียกร้องการพิสูจน์สิทธิ์มาตลอด แต่ไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จากรัฐ จากการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จนต่อมากลายเป็นที่ดินราชพัสดุในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งถือครองโดยกองทัพ ทั้งที่ที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของรัฐที่ควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กระทรวงการคลังต้องการให้ประชาชนเช่าที่ดินเพียง 3 ปี ซึ่งตนมองว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคง เกษตรกรไม่สามารถวางแผนเพาะปลูก หรือผู้เช่าที่ดินไม่สามารถวางแผนจัดการที่ดินของตนได้ เมื่อเทียบกับการที่รัฐอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมากถึง 99 ปี

"หากต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วที่ไหนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 60% ดังนั้นกลับไปที่หลักการเดิม ที่ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรัฐบาลควรจะใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมจริง ๆ" พิธากล่าว

ล่าสุด นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ก็ได่ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่นายพิธา วิพากษ์โครงการหนองวัวซอโมเดล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยระบุในบางช่วงบางตอนของรายการว่า…

“การที่คุณพิธาพูดว่า ให้ชาวบ้านเช่าแค่ 3 ปี ไม่มีหลักประกัน พูดแบบนี้คือ คนที่ไม่เคยเช่าที่ราชพัสดุ...บ้านผม ชุมชนบ้านครัวเขตปทุมวัน กลางกรุงเลย ก็เช่าที่ราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ มาตั้งแต่รุ่นทวด จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาก็ต่อให้ทุกปี คนถือสิทธ์เสียชีวิต ทายาทก็ไปทำเรื่องเช่าต่อมาแบบนี้”

ศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ ยกฟ้อง-ถอนหมายจับ 'ยิ่งลักษณ์' พร้อมพวก ปมคดีจัดอีเวนต์โรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย งบ 240 ล้านบาท

(4 มี.ค. 67) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 พิพากษายกฟ้องคดีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ประกอบไปด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน), บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ นายระวิ โหลทอง จำเลยที่

ความผิดเกี่ยวกับการเสนอโครงการ โรดโชว์ ที่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วนขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง มีเจตนาร่วมกันในการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษอันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ และยังมีการร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไข เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจำนวนเงิน 239,700,000 บาท

โดยศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 192 และมาตรา 123 /1 รวมถึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ปี 2542 มาตรา 12 และ 13 และชี้ว่าจำเลยที่ 4-6 ไม่มีความผิดตามคำฟ้องเช่นกัน โดยยังไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

จากการไต่สวนพยานและหลักฐานศาลชี้ว่า การที่จำเลย 1-3 ดำเนินนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดดำเนินโครงการโรดโชว์ เป็นการดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยถึงการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการใช้งบกลาง ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่าสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ จึงเป็นดุลยพินิจที่กระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นอีกทั้งการจัดโครงการโรดโชว์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด

และยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ว่าไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงงบกลาง ในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้ เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้าง หรือไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น

ขณะเดียวกัน จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เห็นว่านายสุรนันทน์ไม่ได้กระทำการ ในลักษณะที่เป็นการชี้นำหรือจูงใจหรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ และไม่ได้มีบุคคลใดสั่งให้เลือกบริษัทเอกชนทั้งสองเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการดำเนินโครงการที่กระชั้นชิด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามระเบียบกฎหมาย จึงไม่ได้ใช้วิธีการประกวดราคา ตามข้อกล่าวหาจึงขาดเรื่องเจตนาพิเศษ ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

โดยประการสำคัญที่สุดหลังเกิดเหตุรัฐประหารเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าโครงการโรดโชว์ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุจึงอนุมัติเบิกจ่าย สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ ดังนั้นจึงฟังได้ว่านายสุรนันทน์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติ

สำหรับโครงการอีก 10 จังหวัดในวงเงิน 200 ล้านบาท เป็นการดำเนินการที่กระชั้นชิดไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคา และเข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเช่นเดียวกัน

ส่วนจำเลย 4-6 จากข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดซึ่งกรณีการแบ่งจังหวัดของบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตนั้นเป็นไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเพื่อจัดทำงานนำเสนอจึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันฮั้วประมูลจึงไม่ผิดตามคำฟ้อง

‘นายกฯ’ ชี้!! รอ ‘พีระพันธุ์’ ชงต่ออายุมาตรการพลังงานอยู่ หลังราคา ‘น้ำมันดีเซล-ค่าไฟฟ้า’ ใกล้สิ้นสุดมาตรการ

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประชาชน โดยมติครม. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้ากลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านพักอาศัยไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่จะสิ้นสุดมาตรการในเดือนเม.ย.นี้ ว่ารัฐบาลมีแนวโน้มจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่ ว่า รอ รมว.พลังงาน เป็นผู้เสนอ

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ 4 มี.ค.นี้ จะบุกจี้ ผบ.ตร. เพื่อเร่งดำเนินคดีอาญา ‘พิธา-พรรคก้าวไกล’

(3 มี.ค.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ดำเนินคดีอาญาพิธาและพรรคก้าวไกล” โดยได้ระบุว่า หมอวรงค์และพรรคไทยภักดี จะไปยื่นหนังสือต่อผบ.ตร. เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีอาญานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และเครือข่าย ที่ใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567 เวลา 10.30น. ณ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ

‘อนุทิน’ ลั่น รับไม่ได้ มาเฟียต่างชาติ ที่ภูเก็ต จากเหตุกร่างทำร้ายหมอ สั่ง ผู้ว่า-อธิบดีปกครอง เร่งจัดการ ย้ำ คนเดียวเอาอยู่ ไม่ต้องถึงมือ ‘ชาดา’

(3 มี.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ของคนภูเก็ตที่ออกมาเรียกร้องสิทธิให้ตรวจสอบประเด็นที่ดิน หลังเกิดกรณีเหตุการณ์ชาวต่างชาติทำร้ายแพทย์หญิงจนลุกลาม ว่า ตนเองได้สั่งกำชับไปแล้ว และเมื่อวานได้มีการหารือกับอธิบดีกรมการปกครองว่าในส่วนของกระทรวงมหาดไทยต้องไปจัดการตรงไหนบ้าง และนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ไปก็แจ้งให้ตนเองไปตรวจสอบ เพราะพบว่าในพื้นที่มีเครือข่ายลักษณะคล้ายมาเฟีย ตนเองกำชับอธิบดีกรมการปกครองและผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทำงานร่วมกับหลายฝ่าย พร้อมยืนยันว่า จะไม่ให้มีนักเลง ผู้มีอิทธิพลต่างชาติมามีอำนาจ อิทธิพลความประพฤติที่ไม่ดีในประเทศไทยเป็นอันขาด

นายอนุทิน ระบุด้วยว่า  โดยส่วนตัวตนเองรับไม่ได้อยู่แล้วเพราะแค่ผู้มีอิทธิพลคนไทยเรายังไม่ยอมแต่เราจะยอมให้ชาวต่างชาติมีอิทธิพลและมาทำตัวเป็นมาเฟียได้อย่างไร

ส่วนจะให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ไปดูปัญหาที่จังหวัดภูเก็ตหรือไม่นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ต้องนายชาดาหรอกนาย อนุทินคนเดียวก็เอาอยู่แล้วเดี๋ยวจัดการ ให้ท่านชาดาดูแลผู้มีอิทธิพลคนไทยไป

“กรณีที่มีการรุกล้ำที่ดินสาธารณะต้องใช้กฎหมายเพราะปัญหาทั้งหมดคือเราไม่ได้ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ก็ไม่มีใครเอาประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ฉะนั้นต้องใช้กฎหมายอย่างเต็มที่  เราเข้าใจว่าอยากได้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่การที่เขาจะเข้ามาก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ซึ่งเขาต้องเคารพเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพราะมีกฎหมายและวัฒนธรรมที่จะต้องทำตาม ต้องลองดูว่ามีต่างชาติมาซ่าหรือ มาแอคอาท เดี๋ยวจัดการหมด เพียงแค่ดึงวีซ่าหรือพาสปอร์ตออกก็จบแล้ว” นายอนุทิน ระบุ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวขณะ ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ที่ จ.หนองคาย 

(3 มี.ค.67) เมื่อเวลาประมาณ12.52 น. ที่จังหวัดหนองคาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ส.ส.ฝ่ายค้าน ระบุว่าไม่เจอ พล.อ.ประวิตร ในสภาฯ ว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ผมจะไปหรือไม่ไป มันผิดหรือเปล่า”

เมื่อถามย้ำว่า สส.พรรคก้าวไกล ประกาศถามหา พล.อ.ประวิตร กลางสภา พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า “ถามหาทำไม ถ้าอยากมาหา ก็มาหาที่บ้านสิ”

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top