Sunday, 28 April 2024
POLITICS NEWS

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ

'รองโฆษก รทสช.' ซัด 'ก้าวไกล' ทำตัวเหมือนผี ชอบเล่นเกม นับองค์ประชุม อยากเอาชนะ หวังให้สภาล่ม หวังทำคอนเทนต์ เพื่อเล่นงานฝั่งตรงข้าม

(30 มี.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคก้าวไกลมีเนื้อหาระบุว่า...

สส.ก้าวไกลเหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่แสดงตน 

หวังทำ 'สภาล่ม' แต่ล้มไม่เป็นท่า

คืนที่ผ่านมาถือว่า น่าตื่นตาทีเดียวกับบรรยากาศประชุมสภาเรื่องพิจารณาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ฝ่ายค้านดิ้นสุดฤทธิ์ที่จะดึงเกมให้สภาล่ม และสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็รวมใจกันชนะโหวต ด้วยการแสดงตนในสภา ด้วยวาจา '253 ต่อ 0 เสียง' งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2

ขณะที่พรรคก้าวไกล ผู้ประกาศก้องว่าพรรครุ่นใหม่ รักและศรัทธาประชาธิปไตย แต่พร้อมใจหายตัวเป็นวิญญาณ ไม่เหลือสักตัวยามแสดงตน

"ว้ายมา 2 ก็เคยแล้ว"... รอบนี้เหลือศูนย์จะเป็นไรไป ไม่แสดงตนไปเลยแบบเมื่อคืนจบๆ พรรครุ่นใหม่เล่นเกมได้ทุกองศา หากต้องการเอาชนะ ตอนหลังแถลงข่าวเสียงอ่อยว่า เห็นด้วยกับคาสิโน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย..คืออะไร?

สรุปแล้ว:

- ยอมหักดิบยอมผิดคำพูด ข้อตกลงวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
- ยอมถ่วงความเจริญ ปัดตกญัตติเปลี่ยนส่วยคาสิโน เป็นภาษี
- ยอมทำสภาล่ม หวังทำคอนเทนต์เล่นงานฝั่งตรงข้าม

ทุกความพยายามในการทำ 'สภาล่ม' จากสภาสมัยที่แล้ว จนถึงสมัยนี้ ด้วยวิธีเดิมๆ ขอนับองค์ประชุมแบบเด็กอยากเอาชนะ ไม่ต่ำกว่า 30-40 ครั้ง เสียหายครั้ง 4.1 ล้านบาท โดยไม่สนว่าจะเป็นการลงมติที่มีประโยชน์กับบ้านเมือง หรือกำลังแก้ปัญหาปชช.แต่อย่างใด

ไร้ซึ่งเจตจำนงทำงานเพื่อประชาชน

ไร้ซึ่งเกียรติในการทำงานประสานความร่วมมือ

จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม 'ว่าว' นายกฯ

เพราะขนาดอยากทำ 'สภาล่ม' ยังว่าวไม่เป็นท่า

'เอกนัฏ' ลั่น!! 'รทสช.' พร้อมหนุนแก้ รธน.หากไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แนะ!! ไม่ต้องแก้ทั้งฉบับ เลือกแก้แค่หมวดที่ 'สร้างสุข-ปลดทุกข์' ให้ปชช.

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมอภิปรายระหว่างการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นผู้เสนอว่า ญัตติที่เสนอโดยนายชูศักดิ์เพื่อขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องมีการทำประชามติหรือไม่ พวกตนเห็นด้วยจะได้สิ้นสงสัยว่ากระบวนการจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร ทำประชามติก่อนหรือไม่จำเป็นต้องทำประชามติ พวกตนไม่ติดใจ น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องอภิปราย เพราะหัวใจสำคัญเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ว่า จะต้องทำประชามติหรือไม่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและวิธีแก้รัฐธรรมนูญ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติถ้าให้เลือกได้ เราเห็นความสำคัญของการเดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน รวมถึงการแก้กฎหมาย แก้ระเบียบ กติกาที่เป็นอุปสรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่ายังมีกฎระเบียบอีกหลายตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ถ้าสามารถได้จะคลายความทุกข์ให้ประชาชนสร้างความสุขให้ประชาชนมากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมาชิกหลายคนหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งเราไม่ติดใจ แต่ขออนุญาตเตือนสติพวกเราว่า ถ้าเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเกือบทั้งฉบับ นอกจากจะใช้เวลานานแล้ว มีความเสี่ยง จะสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก มีการสรุปไว้ทุกครั้งที่มีการทำประชามติต้องใช้งบประมาณกว่า 3,200 ล้านบาท ถ้าทำประชามติ 3 ครั้งใช้งบเกือบหมื่นล้านบาท

“แต่ถ้าเราถอยกลับมาทบทวนว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เพราะในร่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีสิ่งดีๆ ที่เราควรรักษาไว้ ถ้ามีปัญหาอยากแก้ตรงไหนควรแก้ไขได้ทันทีไม่จำเป็นต้องทำประชามติให้เสียเวลา เสียงบประมาณ ผมเข้าใจมีเพื่อนสมาชิกหลายคนติดใจกังวลอยู่กับวาทกรรมเรื่องเผด็จการประชาธิปไตย และติดใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร ผมขออนุญาตย้อนข้อเท็จจริคือ รัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านความเห็นชอบตามระบอบประชาธิปไตย”นายเอกนัฏกล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 เกิดขึ้นมี 2 ตอน หนังตอนแรก รัฐธรรมนูญทำจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี มาจากคสช. ทั้ง 4 ส่วนรวมกัน ตนไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 4 ส่วนถ้าจะบอกว่ามาจากการแต่งตั้งของคสช. แต่หนังเรื่องนี้ถูกพับไปแล้วเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างมาถูกคว่ำ โดย สภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญโดยผู้มีความรู้ความสามารถปราศจากการเมือง ได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติโดยประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ได้รับเสียงเห็นชอบกว่า 15 ล้านเสียง มากกว่า 58 % มากกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นเสียงส่วนมาก

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตนบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายคนยังจมอยู่กับวาทกรรมเผด็จการ และการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างจากคนมีความรู้ความสามารถ ผ่านการทำประชามติและประชาชนส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบ เป็นผลพวงจากการทำประชามติไม่ใช่รัฐประหาร หากเราจะเดินหน้าประเทศอย่าจมอยู่กับวาทกรรมการทำรัฐประหาร และสามารถเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ แก้โดยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นหากจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่าเสียงบประมาณ และเสียเวลา ยังมีทางเลือกที่จะเดินหน้าไปได้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

“ผมไม่ติดใจหากเพื่อนสมาชิกคิดว่าจะต้องเดินหน้า ต้องไปแก้ไขเกือบทั้งฉบับ จนนำไปสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสมควรทำประชามติหรือไม่ และหากมีการแก้ทั้งฉบับจริง จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่กระทบต่อการปราบปรามทุจริต สิ่งนี้คือจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยนำเสียงสส. 36 เสียงไปเป็นหลักประกันไว้ตอนจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นการแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติยินดีโหวตให้ แต่ขอฝากผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ายังจะเดินหน้าแก้ทั้งฉบับ ต้องระบุคำถามเป็นหลักประกันให้พวกเรา ไว้วางใจ ใส่ไว้ในคำถามว่า ไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ถ้าทำแบบนี้ได้พวกผมไว้วางใจทุกเสียงยินดีสนับสนุนมีมติให้รัฐสภายื่นญัตตินี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป”นายเอกนัฏกล่าว

สัญญาณจาก ‘จ.จักรภพ’ ถึง ‘จ.จารุพงศ์’ ได้เวลากลับบ้าน เติมสีสัน ‘จันทร์ส่องหล้า’

“ผมได้คิดหลังจากเวลาผ่านไป ได้คิดว่าคนไทยจะมัวขัดแย้งกันอีกทำไม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว...”

“ผมอยู่ข้างนอกนานพอแล้ว ครับ ขออนุญาตกลับบ้าน...” 

จักรภพ เพ็ญแข กล่าวผ่านติ๊กต็อก ขณะนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน เดินทางกลับจากดูไบสู่มาตุภูมิที่จากไปนาน 15 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ไปรายงานตัวที่กองปราบปรามในฐานะผู้ต้องหาคดีข้อหาอั้งยี่ อาวุธปืน อะไรประมาณนั้น ภาพประทับใจของใครหลายคนก็คือ ภาพที่จักรภพก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 10…

ขณะนี้จักรภพมีคดีติดตัวแค่ 2 คดีคือ ไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. และ อั้งยี่/อาวุธปืน ส่วนคดีมาตรา 112 นั้นยกฟ้องไปนานแล้ว

จักรภพมั่นใจ เขาน่าจะต่อสู้คดีความ กลับมาเป็นอิสระและทำงานการเมืองและรับใช้ชาติได้ แต่จะไม่ให้กระทบกับพรรค (เพื่อไทย) และรัฐบาล หากกระทบก็จะอยู่เบื้องหลัง…

นับเป็นท่าทีท่วงทำนองที่ต้องยอมรับว่า...รู้ตัวตน รู้ประมาณ ลดอีโก้ที่ในอดีตเราเคยพบว่าจักรภพมีอยู่พอประมาณ และแน่นอนว่าถ้ามีโอกาสจักรภพก็น่าจะเป็นทรัพยากรคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยหรือบ้านจันทร์ส่องหล้าได้…

จักรภพยังประกาศที่จะเป็นผู้ประสานให้เพื่อนพ้องน้องพี่ (คนเสื้อแดง) ที่มีคดีความอยู่ต่างประเทศเดินทางกลับบ้าน…ซึ่งตนเปรียบเสมือน ‘หนูลองยา’ ที่อาจทำให้หลายคนมีความมั่นใจที่จะกลับมา…

ก็นับว่าเป็นเจตนาดีของจักรภพ…แต่ก็ต้องกล่าวให้สิ้นกระแสความว่า จักรภพซึ่งมี ‘นายใหญ่’ จันทร์ส่องหล้าอุปการะอยู่นั้น คดีความไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนอีกหลายคนที่ติดบ่วงคดีมาตรา 112 รวมอยู่ด้วย..ซึ่งนั่นดูเหมือนประตูโอกาสจะปิดเพราะยากที่จะชนะ…

ดังนั้นคนที่จะกลับบ้านได้แบบมีโอกาสหลุดรอดคดีได้ ต้องไม่มีคดี 112 เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และจารุวงศ์ ผู้เป็นลูกชาย 

โดยจารุพงศ์นั้นเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรมว.มหาดไทย...ที่เคยตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย รับบทเลขาธิการ จักรภพรับบทผู้ประสานงาน ต่อสู้กับรัฐบาล คสช.

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไล่เลียงดูแล้ว คนที่จะกลับมายกเว้นสองพ่อลูกเรืองสุวรรณแล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสหรัฐฯ-ยุโรป ส่วนใหญ่ก็คงไม่กลับและกลับไม่ได้…เพราะส่วนใหญ่หนีคดีมาตรา 112

ขณะเดียวกันอย่างรายของ ‘จอม เพ็ชรประดับ’ อดีตสื่อมวลชนคนดัง แม้มีเพียงคดีเดียวคือไม่รายงานตัวต่อ คสช. แต่ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว และไม่เอาทักษิณ ก็คงไม่กลับมา…รวมทั้ง ‘สุนัย จุลพงศธร’ ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วและหลายปีมานี้หาเลี้ยงชีพด้วยการ ‘ด่าเจ้า’ ก็คงไม่กลับมา…

หันมามองคนใกล้ตัวเพื่อไทยและทำมาหากินอยู่ใกล้ไทยคือ…กัมพูชา อย่าง กี้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, วันชนะ เกิดดี และนิสิต สินธุไพร ที่โดนคดีจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 ก็คงไม่กลับมาเช่นเดียวกัน...ยกเว้นมีการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายครอบคลุมถึง…

ก็เอาเหอะ...ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ‘หนูลองยา’ อย่างจักรภพ ก็หวังดีต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งวันนี้หลายคนได้ก้าวไกลไปไกลจนยากจะก้าวใหม่แล้ว เพราะ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี...เอวัง!!

'วิทยา-รทสช.' ไม่ขัดข้อง!! เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แนะ!! แบ่งรายได้รายเดือนครึ่งหนึ่งให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ

'วิทยา แก้วภราดัย' รทสช.ไม่ขัดข้องเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่กังวลพวกลักลอบเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร แฉทุกวันนี้มีรถตู้รับนักเล่นจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปเข้าบ่อนต่างประเทศทุกวัน พร้อมเสนอให้แบ่งรายได้เปิดกาสิโนรายเดือนครึ่งหนึ่งให้กับผู้สูงอายุทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ (28 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณารายงานผลการศึกษาเปิดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีบ่อนกาสิโน หรือบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยว่า ได้ติดตามการศึกษาเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร การจะสร้างสถานบริการ สร้างโรงแรม กาสิโน ไนต์คลับ หอประชุมสรรพสินค้า หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่พอมีเรื่องแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายก็พอมองออกว่า คือความตั้งใจที่จะมีกาสิโน หรือการพนันที่ถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมีอย่างเดียว คือสลากออมสิน กับสลากกินแบ่งรัฐบาล นอกนั้นที่เปิดอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด แถวบ้านตนในชนบททุกงานศพเวลามีการเล่นการพนัน มีคนมาเก็บรายวันและเหมาทุกจังหวัดระดับอำเภอ ระดับจังหวัดก็มีบ่อนการพนัน

ล่าสุดกลายเป็นความขัดแย้งในวงการตำรวจหน้าแตกกันทั้งประเทศ วันที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สังคมวิจารณ์กันว่า ตำรวจขัดแย้งกันแต่ไม่ใช่ เมื่อตำรวจคนหนึ่ง ทำผิดกฎหมาย ตำรวจอีกคนหนึ่งจะไปซูเอี๋ยกอดคอเลิกรากันไปเป็นไปไม่ได้

คนที่ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกคนมีอำนาจตามกฎหมายดำเนินคดี สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตนกำลังจะชี้ว่า พอพูดถึงสถานบันเทิงครบวงจร เราก็พูดถึงบ่อนเสรี

“วันนี้ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ มีรถวิ่งออกทุกชั่วโมงรับผู้โดยสารไปเล่นบ่อนต่างประเทศด้วย ทำกันมาอย่างเปิดเผย แต่วันนี้พอเราพูดถึงการทำให้การพนันถูกกฎหมาย กลายเป็นพูดถึงเรื่องบ่อนเสรี ซึ่งคนละเรื่องกัน บ่อนเสรีคือใครมีอำนาจก็เปิดบ่อนกันทั่วประเทศรับส่วยกัน ถึงขั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปพัวพันกับหวย และบ่อนออนไลน์” นายวิทยา กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่ตนฝากกรรมาธิการฯ คือ เมื่อเราเปิดสถานบันเทิงแบบกาสิโนแล้ว มีคนไปลักลอบเปิดโดยไม่ได้ขออนุญาตใครจะเป็นคนจัดการ แก้อย่างไร นี่คือปัญหาเรื่องใหญ่ ถ้าเปิดถูกกฎหมายค่าธรรมเนียมก็แบ่งกับท้องถิ่นไป แบ่งกับหน่วยงานไหนก็ว่ากันไป

นายวิทยา กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ตนฝากให้คิดต่อ ถ้าจะแบ่งจริง ๆ ขอครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นรายเดือนให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ จาก 600 บาทต่อเดือนอาจได้รับเป็น 5,000 บาทก็ได้ ตนไม่ขัดข้อง ถ้าทำให้ถูกกฎหมายและใช้ระบบควบคุมเอารายได้เข้ารัฐ แต่กังวลพวกที่จะเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้อย่างไร เหมือนทุกวันนี้ที่มีบ่อนทั่วประเทศ จนย้ายตำรวจแทบไม่ทัน

บริบทความเหมือนสไตล์ซุ้มส้ม 'ธิษะณา' ลืมชาติกำเนิด ด่ากราดบรรพบุรุษ ส่วน 'ก้าวไกล' ลืมว่า 'Leninism-Marxism' ไม่ใช่หมุดหมายที่ไทยเป็นอยู่

ทันทีที่คลิปซึ่งปรากฏภาพ ‘ธิษะณา ชุณหะวัณ’ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อ่านตัวเลข 768,601,800 บาท ผิด ๆ ถูก ๆ ขณะอภิปรายงบประมาณของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ระหว่างการอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 ซึ่งมีการถ่ายทอดสด จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์นั้น 

ตัวเธอก็ได้ออกโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า “สำหรับเรื่องที่กำลังไวรัลอยู่ ณ ขณะนี้ที่ดิฉันอ่านตัวเลขผิดในการอภิปรายงบประมาณวาระที่สอง และลงชื่อผิดมาตรา ดิฉันต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนมา ณ ที่นี้ ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากดิฉันมีอาการที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พักผ่อนน้อย (นอนไม่หลับเพราะอาการซึมเศร้า) ช่วงหลังๆ มาเมื่อมีการสูญเสียผู้ช่วยดำเนินการ จึงอาจจะส่งผลให้ทำผิดพลาดระหว่างการอภิปรายงบที่ไม่น่าให้อภัยได้ ดิฉันขอยืนยันว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”

ธิษะณา ชุณหะวัณ เป็นลูกสาวของไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ หรืออาจารย์โต้ง อดีต สส. ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหลานปู่ของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานปู่ทวดของจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ผู้นำการรัฐประหารในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2490 และอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เธอได้เคยโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองไว้ชิ้นหนึ่งบน Social Media ของเธอ โดยข้อความที่เธอโพสต์กระทบกับปู่และปู่ทวดผู้เป็นบรรพบุรุษของเธอไปแบบเต็ม ๆ 

จุดนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาในสังคมไทยคือ การหลงลืม ละเลย 'รากเหง้า' อันเป็นที่มาของตัวตนที่ได้เกิดออกมาเป็นผู้เป็นคนได้จนทุกวันนี้ จะโดยตั้งใจ หรือพลั้งเผลอ คิดไม่ทัน หรือลืมไป แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้น เวลาทำอะไรลงไป แล้วกลายเป็นจุดสนใจ ผู้คนก็จะพากันขุดค้นเรื่องราวและประวัติส่วนตัวของเธอมาเผยแพร่ในโลก Social อย่างต่อเนื่อง

ตัวเธอเองได้พูดบนเวทีหนึ่งว่า เธอเองสมาทานความคิด (ยืนยัน/ยึดมั่นในแนวความคิด) Leninism และ Marxism และขณะเดียวกัน เธอก็พยายามบอกว่า ด้วยความคิดฝ่ายซ้ายของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมพรรคก้าวไกลหลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เกิดความสงสัยในตัวตนของเธอว่า เข้าใจ Leninism และ Marxism หรือไม่ เพราะในโลกนี้เหลือประเทศที่มีระบอบการปกครองตามแนวคิด Communism (Communist state) เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน, คิวบา, เกาหลีเหนือ, เวียดนาม และลาว ซึ่งเป็น 5 ประเทศ Communist ที่ไม่ได้นำเอาแนวคิด Leninism และ Marxism มาใช้แล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งรัสเซียต้นกำเนิดแห่ง Leninism และนำ Marxism มาใช้เป็นประเทศแรกยังกลับกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยไปแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงไม่มีประเทศใดบนโลกใบนี้ที่สามารถนำมายกเป็นตัวอย่างหรือเอ่ยอ้างถึงความสำเร็จของแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้จนประสบความสำเร็จได้เลย   

ยิ่งไปกว่านั้น แม้พรรคก้าวไกลที่ ธิษะณา สังกัดเอง ด้วยความเชื่อว่า น่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย หากแต่แท้จริงแล้วกลับดำเนินงานทางการเมืองในลักษณะชิดแนบแอบอิงประเทศมหาอำนาจทุนนิยมตะวันตกมาโดยตลอด ซึ่งมีประจักษ์พยานอย่างชัดเจนมากมาย อาทิ การเข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย การใช้ NGO ในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ความพยายามในการแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อหลักการของ ASEAN กระทั่งการแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงของประเทศ ฯลฯ 

หากเธอได้ทำการบ้าน ศึกษาเรียนรู้ถึงบริบทที่แท้จริงของสังคมไทยโดยรวมแล้ว ก็จะรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีทางที่จะแก้ไขได้สำเร็จด้วยแนวคิดตามความเชื่อของเธอ เพราะตัวอย่างที่เคยนำมาใช้ของประเทศ Communist ทั้งที่มีอยู่และกลายเป็นอดีต จะพบว่า ความพยายามในการนำแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้ กลายเป็นเพียงการใช้กำลังปราบปรามและบังคับผู้เห็นต่างแค่นั้นเอง...

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงเมื่อมีอำนาจในกัมพูชา บรรดาผู้เห็นต่างถูกสังหารไปหลายล้านคน บางส่วนก็อพยพหลบหนีออกนอกประเทศ ที่สุดกัมพูชาก็ต้องกลับมากปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกับบ้านเรา และเชื่อว่าด้วยพฤติการณ์และพฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเอง จะเห็นว่า ไม่มีใครเลยที่มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย ในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ในเรื่องของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ถูกต้องและครบถ้วนก่อน 

หัดรู้จักการใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างมีขอบเขต เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ใช้สิทธิและเสรีภาพของตนล่วงล้ำสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เพราะหากเป็นเช่นที่เป็นอยู่เยี่ยงนี้แล้ว สังคมไทยที่ธิษะณาและพรรคก้าวไกลพยายามขับเคลื่อนอยู่นี้จะเป็นได้เพียงสังคม 'คณาธิปไตย' (Oligarchy) ที่อยู่ในมือพรรคก้าวไกลเพียงเท่านั้นเอง  

'ศาลอาญา' ยกฟ้องพันธมิตรฯ ชุด 2 คดีปิดสนามบิน เหตุทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อชาติ

(29 มี.ค. 67) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด,นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์, นายการุณ ใสงาม, นายวีระ สมความคิด, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์, น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือจอย อดีตนักแสดงชื่อดัง ร่วมกับพวกรวม 67 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันชุมนุมปลุกปั่นยุยงก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.- 3 ธ.ค.2551 พวกจำเลยที่ 1-14 ได้ร่วมกันชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอยู่ในความดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. และนำจานรับสัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรด้าร์ ของบริษัท วิทยุการบินฯ ปิดกั้นสะพานกลับรถ ตรวจค้นตัวจนท.บริษัท การบินไทย ร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ของท่าอากาศยานไทยฯ เสียหาย 627,080 บาทเพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

โดยก่อนฟังคำพิพากษา นายปานเทพ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลนัดจำเลยในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สนามบินเมื่อปี 2551 ซึ่งใช้เวลาการพิจารณาคดีตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุรวมแล้วเป็นปีที่ 15 การต่อสู้ในคดีรอบที่ผ่านมาแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มที่หนึ่งถูกพิพากษาไปแล้วในชั้นศาลอาญา แกนนำบางส่วนถูกปรับ 20,000 บาท ที่เหลือยกฟ้องในทุกข้อหา สำหรับชุดที่สองเป็นคดีที่ต่อเนื่องกันแต่เนื่องจากมีจำเลยเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้ศาลแบ่งออกเป็นสองคดี ทางเราก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลที่ เราต่อสู้มาในรอบหลายปีเพื่อมาสู่จุดนี้ว่าพวกเราทั้งหมดไม่เคยหนี ไม่เคยขอร้องอภิสิทธิ์ใด และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม แต่ในชั้นพิจารณาคดีจนถึงในชั้นการพิพากษาแม้กระทั่งการอยู่ในเรือนจำ

ส่วนคดีพันธมิตรไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ เพิ่งจะมีเมื่อวานนี้ที่อัยการไม่ฎีกาเป็นครั้งแรก ในกรณีของการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาศาลชั้นต้นอุทธรณ์ได้ยกฟ้องทั้งหมด ที่เหลืออุทธรณ์ฎีกาทั้งหมดไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ และมีหลายคนต้องถูกโทษจำคุกไปแล้วในคดีการชุมนุมที่หน้าสถานีโทรทัศน์ NBT รวมไปถึงการชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล และทั้งหมดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหมดไม่ได้รับการอภิสิทธิ์ ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายตามกฎหมายทุกอย่าง

"อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ให้กับใครแม้กระทั่งกับพวกเราเอง แต่ตนอยากเรียกร้องให้คนที่รับอภิสิทธิ์ทั้งหลายได้รับโทษตามกฎหมาย ที่มาวันนี้ไม่เคยเรียกร้องอภิสิทธิ์ใด เพียงแต่เรียกร้องให้ทุกคนเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม และชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายในคดีของสนามบิน ซึ่งบางส่วนมีการฟ้องร้องกันยังไม่สิ้นสุดระหว่างการบินไทยมีการฟ้องร้องในคดีความแพ่งกับผู้ชุมนุมสนามบิน ส่วนคดี เรื่องของท่าอากาศยาน ฟ้องไปแล้วสิ้นสุดไปแล้วยึดทรัพย์บางส่วน แต่คดีนี้รอผลลัพธ์ทางคดีอาญาให้จบสิ้นก่อนเพราะมีการเรียกร้องในคดี ทั้งนี้ตนได้กล่าวทิ้งท้ายว่าวันนี้ต้องฟังคำพิพากษาก่อนว่าศาลจะว่าอย่างไร ถ้ามีผลเป็นลบต่อทางจำเลยทางเราต้องใช้สิทธิ์อุทธรณ์ และถ้ามีผลเป็นบวกไม่มีใครถูกลงโทษจะต้องรอดูว่าอัยการจะอุทธรณ์หรือไม่ หากอัยการอุทธรณ์ทางเราก็จะยื่นคำร้องแก้อุทธรณ์เช่นเดียวกัน และคาดว่าไม่เกินกลางปีนี้จะรู้ผลทุกอย่าง" นายปานเทพ กล่าว

ด้าน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว. อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตร กล่าวว่า ก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษาในวันนี้ว่า จากคำตัดสินของชุดแรกก็รู้มีความมั่นใจว่าวันนี้ศาลจะตัดสินยกฟ้องเหมือนชุดแรก เพราะกลุ่มที่ 2 มีจำเลยทั้งหมด 67 คน ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแนวร่วม ไม่ใช่กลุ่มแกนนำหลัก คาดว่าศาลน่าจะพิจารณาไปในทิศทางเดียวกัน แต่ส่วนคดีทางอาญาก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานเฉพาะบุคคล

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรได้เดินทางมาที่ศาลอาญาในวันนี้ด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับจำเลยชุดที่ 2 เนื่องจาก นายสนธิเป็นจำเลยในชุดแรก ที่ถูกพิจารณาคดีไปแล้วโดยการฟังคำพิพากษาวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษาเมื่อจำเลยทั้ง 67 คนมาครบจำนวน ส่วนผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิ์โดยรายงานตัวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพวกจำเลย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมมาจากหลายอาชีพ ทั้งศิลปิน นักร้อง ดารา สื่อมวลชน อดีตเอกอัครราชทูตมาชุมนุม เพื่อคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตเชิงนโยบาย และศาลฎีกาแผนกอาญาองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายทักษิณ ชินวัตรหลายคดี โดยเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ มาตรา 116 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนใจผู้อื่น จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกข้อหา

จากนั้นเวลา 11.30 น. ภายหลังการเข้าฟังคำพิพากษาโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ว่า ในวันนี้ศาลอาญาพิจารณาประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ความยาว 51 หน้า มีข้อเท็จจริงยุติ 10 หน้า โดยสรุปแล้ว 

ข้อหาการฟ้องซ้ำ ศาลเห็นว่าด้วยพฤติการณ์ บุคคล ข้อหาคดีที่เคยมีการฟ้องร้องก่อนหน้านี้และจำเลยหนึ่งราย ร้องเป็นการฟ้องซ้ำการลงโทษจะซ้ำซ้อนหรือไม่ ศาลพิพากษาเห็นว่าพฤติการณ์ ข้อหา บุคคลที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาและสถานที่ เป็นคนละสถานที่ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าไม่ได้เป็นการฟ้องซ้ำ และศาลมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา

ส่วนพฤติการณ์ของรัฐบาล เป็นพฤติการณ์ที่เป็นสาเหตุของการชุมนุม โดยศาลวิเคราะห์จึงการวิเคราะห์ตั้งแค่การก่อตั้งของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเหตุในปี 2551 คือความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างความผิดคดียุพรรคพลังประชาชน ซึ่งทุจริตการเลือกตั้ง มีความพยายามแก้ไขมาตราใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกอำนาจการตรวจสอบของคตส. ในคดีทุจริตคอรัปชั่น โดยศาลเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ เป็นประเด็นของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงการต่อต้านนำปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลกให้กับประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนั้นศาลยังได้พิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งหมด ว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น เป็นการชุมนุมภายใต้กรอบที่มีเหตุผลตามรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาการชุมนุมจำเลยทั้ง 67 ราย ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ หรือมีอาวุธอยู่ในครอบครอง ศาลจึงเห็นว่าไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย การก่อกบฏ หรือก่อความวุ่นวาย

ส่วนเรื่องท่าอากาศยาน ศาลได้มีการพิจารณาวิเคราะห์ จากหลักฐานทั้งหมดด้วยพยานฝ่ายโจทก์เอง พบว่าไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยทั้ง 67 คน ทำความผิดอย่างไรที่ก่อให้เกิดการขัดขวางท่าอากาศยานได้จริงในทางปฏิบัติ แม้แต่ดาวเทียม ซึ่งเป็นทีวีการถ่ายทอดสด ก็ไม่สามารถกระทบต่อสัญญาณการบินได้ และพื้นที่การชุมนุมไม่ได้กระทบต่อการบิน ดังนั้นด้วย พยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับการที่พันธมิตรยุติการชุมนุมแล้วไม่เกิดความเสียหายสามารถดำเนินการบินและให้บริการได้ทันทีสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเสียหาย ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดในการขัดขวาง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินและพื้นที่ชุมนุมไม่กระทบ หรือความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้น

ส่วนการปะทะ ซึ่งอาจมีเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม เช่น พยามเข้าพื้นที่บางส่วนของผู้ชุมนุม การขัดขวางของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นการสั่งการของจำเลย 67 คน แต่อาจการกระทบกระทั่งแต่เป็นวิถีของการเกิดขึ้นเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสั่งการ การยั่วยุ ให้กระทำการรุนแรง ศาลพิจารณาจำเลยทั้ง 67 คน ล้วนมีเจตนาอย่างชัดเจน ว่าให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบปราศจากอาวุธ และยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรง ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของภาครัฐในเวลานั้นทั้งการทุจริตการเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่นทั้งนายทักษิณ ชินวัตรและพวกเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาจำนวนมาก รวมถึงศาลพิจารณาการกลับมาของนายทักษิณ ที่หลบหนีไป 15 ปี และการกลับมาขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยข้อความว่าสำนึกผิด ยอมรับการกระทำความผิดแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ มีมูลเหตุของการเจตนารมณ์เป็นเรื่องจริง ดังนั้นการชุมนุมจึงไม่ใช่เป็นไปด้วยประโยชน์ส่วนตัวแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

และประเด็นสุดท้าย หลังศาลพิจารณาว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธศาลยังได้พิจารณา เรื่องการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ศาลพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การออกพรก.ฉุกเฉิน ที่กระทำการลงไปเพื่อขัดขวาง งดเว้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมโดยเฉพาะการชุมนุมของพันธมิตรฯ แม้กระทบต่อการบินบ้างแต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นศาลจึงเห็นว่าการกระทำความผิดพรก. ฉุกเฉินจึงไม่เข้าข่าย เพราะว่าได้รับการยืนยันว่าในเวลาต่อมา มีการหลบหนีคำพิพากษาของนายทักษิณ และการยอมรับความผิด แม้จำเลยจะกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้สนามบินอยู่บ้าง แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงไม่เป็นความผิดฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด 67 คน

คำพิพากษาเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งตนสรุปเพียงใจความสำคัญบางส่วนเท่านั้น แต่ความงดงามและความครบถ้วนของเนื้อหาไม่สามารถจะตัดทอนได้จากคำพิพากษาชุดนี้ จนอาจจะบอกว่าเป็นการเยียวยาความรู้สึกของพวกเราในฐานะผู้ที่ถูกกระทำมา 17 ปี ว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยโทษที่รุนแรง โทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือการก่อการร้าย ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแค่พิธีกรเป็นประชาชน เป็นศิลปิน แต่คนที่อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาค ไม่เคยออกมาเรียกร้องหรือเห็นใจของการชุมนุมของพวกเรา แต่คำพิพากษานี้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราที่ต่อสู้และเคารพขบวนการกระบวนการยุติธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้จำเลยจำนวนมากที่มาฟังคำพิพากษา น้ำตาซึม และน้ำตาไหลออกมา เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับความเป็นธรรมจากการพิสูจน์ตัวเองมายาวนาน 17 ปี

เมื่อถามว่าถูกริดรอนสิทธิ์มานานกว่า 10 ปี หากอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่การประทับรับฟ้องจำเลยทั้งหมดใช้สิทธิ์ในการชุมนุมเท่านั้น แม้ไม่ใช่แกนนำแต่ถูกกวาดดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และพวกเขาเหล่านั้นสูญเสียอิสรภาพ ถูกตราหน้ามาตลอด 17 ปีว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ยึดสนามบินผู้ ก่อความไม่มั่นคงทำลายประเทศชาติ เมื่ออ่านคำพิพากษาและพิสูจน์ความจริง เราได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการสู้คดีและในคดีนี้แม้แต่ตนเองที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่ซักคัดค้านด้วยตนเองในสิ่งที่กระทบต่อตนเพื่อพิสูจน์ความจริง ดังนั้นพวกเราไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เราต่อสู้ในทุกประเด็นที่เราสู้ได้ ซึ่งศาลพิพากษาในคดีนี้ นอกจากการตราหน้าแล้วเราสูญเสียการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเสียเงินหลายแสนบาทเพื่อที่จะเดินออกไป ทั้งถูกบันทึกตลอดว่าพวกเราเป็นอาชญากร ทั้งที่พวกเราเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนคำนึงถึงการต่อต้านการทุจริตการเลือกตั้ง และการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถือว่าเป็นคำพิพากษาที่งดงามที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

‘นายกฯ’ หนุน ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ ยก ศก.สีเทาขึ้นบนพื้น หวัง ‘กำกับ-ควบคุม’ ดีกว่าปล่อยให้เป็นสังคมอีแอบ

(28 มี.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....ซึ่งจะมีกาสิโนหรือบ่อนพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มีความเห็นถึงข้อดีข้อเสียตรงนี้อย่างไร ว่า คิดว่าตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องกฎหมายกาสิโน แต่ให้มองเป็นเรื่องของเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ จะรวบรวมหลายส่วน และเราทราบกันดีต้องการจะยกเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมาอยู่บนพื้นให้หมด จะได้ควบคุมกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย ความเหมาะสม และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเห็นด้วยเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีบางฝ่ายเห็นต่างจะชี้แจงอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีระบบสภาอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ก็ไปชี้แจงกันในสภา

เมื่อถามว่า แต่การยกขึ้นมาให้ถูกกฎหมายก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะเก็บรายได้เข้าประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ถูกต้อง ซึ่งได้เรียนไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น ใช่ครับ

ถามว่าจะสามารถขจัดปัญหาพวกที่เปิดบ่อนผิดกฎหมายได้ด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าอันนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะต้องทำได้ ถ้าหากทำให้ถูกกฎหมายได้ก็จะไปทำผิดกฎหมายทำไม ใช่หรือไม่ และกฎหมายก็ออกมาว่าใครสามารถเข้าได้อย่างไร

เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งก็มองว่าอาจจะกลายเป็นการมอมเมาให้เข้าสู่เรื่องดังกล่าวง่ายขึ้น ตรงนี้จะชี้แจงอย่างไรไม่ให้สังคมมองในแง่ลบอย่างเดียว นายเศรษฐา กล่าวว่า ถึงเวลาที่สังคมเราจะต้องมาดูกัน เรื่องของสังคมอีแอบ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่แล้ว เอามากำกับดูแลให้เหมาะสมเพื่อฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองจะได้ดูแลให้ถูกต้อง

“มันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ต้องยอมรับและเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเราก็ต้องบริหารจัดการไปในระหว่างทาง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะผ่านเมื่อไหร่ และจะมาเปิดได้เมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่ระหว่างนี้ยังไงก็ต้องจัดการกับที่ผิดกฎหมายไป“ นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อสถาบันฯ มอบความรัก ความสงบสุข ปลุกคนเทียมคน แล้วเหตุไฉนคนไทยผู้จงรักภักดีต่อชาติ จะมิ 'กตัญญู'

พระมหากษัตริย์ไทยประกาศ 'เลิกทาส' ให้พี่น้องคนไทย รวมถึงคนต่างแดนหลากหลายเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่เดิม และที่เดินทางเข้ามาหวังจะตั้งรกรากในผืนแผ่นดินไทยทุกคนได้มีที่ทำกินอย่างเท่าเทียม และเสรี

ทั้งยังมอบความรัก ความสงบสุขร่มเย็น ให้เรารู้สึกปลอดภัย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความเป็น 'คนเทียมคน' จนเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองตามมา

สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยทำร้ายคนไทยที่คิดดีต่อสถาบันฯ และเราก็ไม่ควรคิดล้มล้างทำลายสิ่งที่มีบุญคุณกับเรา เราแสดงออกในความเป็นคนแบบไหน สังคมก็จะมองเห็นเราเป็นคนในแบบนั้นเสมอ ไม่มีทางปกปิดได้มิด

กลุ่มคน หรือองค์กรที่มีพฤติกรรมคิดร้ายต่อชาติ ต่อสถาบัน มีแผน ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ แอบร่วมมือกับต่างชาติให้มาทำร้ายสถาบันของตัวเอง วันใดวันหนึ่งก็จะถูกเปิดเผยออกมาให้โลกรับรู้ และมักจบลงด้วยการรับโทษในฐานะ 'อาชญากรแผ่นดิน'

ที่สุดก็อาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่

ทัศนคติที่เราแสดงออกมา จึงเป็นบทสรุปเกี่ยวกับนิสัยที่แท้จริงของคนเราทุกคนได้ดีที่สุด

เปรียบเปรยได้ไม่ต่างจากผึ้งเพียงหนึ่งตัว หรือจะบินมาเป็นฝูง ก็ไม่เคยคิดตอมขี้...ฉันใด แมลงวันจะตัวเดียวหรือบินมาเป็นพันเป็นหมื่นตัว ก็มักจะเลือกขี้ตอม...ฉันนั้น

ผึ้งอยู่ที่ไหนก็ชอบดอกไม้ แมลงวันต่อให้อยู่ใกล้ดอกไม้แสนสวย ก็จะบินหากองขี้อยู่ร่ำไป

เกิดเป็นคนมาแล้วทั้งทีก็ควรมองให้ออก สิ่งใดคือความหวานบริสุทธิ์ คือสาระประโยชน์ที่มีคุณค่ามากมายต่อโลกใบนี้ และสิ่งใดคือของเสีย คือขยะ คือความเน่าเหม็น ที่คอยสะท้อนถึงความสกปรกที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ

คุณคือผึ้ง หรือคือแมลงวัน คุณเลือกเป็นได้ด้วยตัวเอง

ก่อน 'ก้าวไกล-อนาคตใหม่' จะไปปฏิรูปใคร ต้องรู้จัก 'ปฏิรูป' ตัวเองอย่างถ่องแท้ก่อน

ในยุคที่ผู้คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งเข้าใจเพียงแค่ว่า 'ประชาธิปไตย' คือ 'การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' นั้น... พวกเขากลับไม่สามารถแยกแยะบทบาทหน้าที่ของพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ ไม่รับรู้ว่า ทุก ๆ อารยประเทศประชาธิปไตยบนโลกใบนี้ 'สิทธิ' และ 'เสรีภาพ' ว่าล้วนแล้วแต่มีขอบเขตและข้อจำกัดตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ๆ กำหนดเอาไว้ทั้งแล้วทั้งสิ้น 

...และนั่นก็ทำให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง มักจะอาศัยช่องโหว่นี้ นำเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจของคนไทยส่วนหนึ่งในเรื่องของระบอบการเมืองการปกครองมาหาประโยชน์ ด้วยหวังผลในการแสวงหาอำนาจทางการเมือง จากนิสัยขี้เบื่อง่ายของคนไทย และความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ามาจากเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ 4 ปีหลังนั้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกติกาที่ใช้กับทุกพรรคการเมืองเหมือนกันหมด 

บรรดาความคาดหวัง (ฝัน) ที่คนเหล่านั้นนำมาขายให้ผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เท่าทัน หากลองตรองด้วยสติสัมปชัญญะเยี่ยงเช่นวิญญูชนปกติ และได้ลองพิจารณาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววันเลย ด้วยเพราะพฤติการณ์และพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการแยกแยะ ถูก ผิด ชอบ ชั่ว ดี อยู่ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องของวินัยจราจร บรรดาผู้ที่ใช้รถใช้ถนนต่างเพิกเฉย ละเลย ต่อการปฏิบัติตามกฎจราจร...เรายังพบเห็นผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก ขับขี่รถย้อนศร ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ไม่ข้ามถนนตรงทางข้ามหรือสะพานลอย ไม่ยอมหยุดรถ ให้คนข้ามถนน ฯลฯ 

เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการปฏิบัติตนตามกฎหมายอันเป็นกติกาพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมอย่างสงบสุข ที่ยังมีคนจำนวนมากไม่ปฏิบัติตาม!!

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นกฎหมายอื่น ๆ อันเป็นกติกาที่มีความสำคัญและจำเป็นในการอยู่ร่วมกันในสังคม ถูกเพิกเฉย ละเลย และฝ่าฝืน รวมทั้งยังมีการด้อยคุณค่าต่อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อปั่นทอนความเข้มแข็งของสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านกลุ่มที่มักหยิบยกเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เป็นเครื่องมือจากช่องโหว่ของสังคม

ความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' (Reform) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง...

(1) [-รูปะ-] ว. สมควร, เหมาะสม, เช่น ปฏิรูปเทส คือ ถิ่นที่สมควร หรือ ถิ่นที่เหมาะสม (ป.).
(2) ว. เทียม, ไม่แท้, เช่น มิตรปฏิรูป. (ป.).
(3) [-รูปะ-] ก. ปรับปรุงให้สมควร เช่น ปฏิรูปบ้านเมือง. (ป.).

พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มักจะนำเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม ทั้ง ๆ ที่บรรดาแกนนำของพรรคของกลุ่มเองก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ชอบธรรมให้เห็นจนกระทั่งกลายเป็นคดีความมากมาย หนัก ๆ ก็ถึงขั้นถูกยุบพรรค บรรดาแกนนำถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซ้ำยังมีการกระทำความผิดจนเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนการกระทำผิดดังกล่าวถูกส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2

ดังนั้น สิ่งที่บรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้าซึ่งเป็นอดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ควรต้องทำก่อน คือ ต้องนำคำว่า 'ปฏิรูป' ซึ่งหมายความว่า 'ปรับปรุงให้สมควร' มาทบทวนปรับใช้กับพรรคการเมืองของตนเองอย่างจริงจัง ด้วยเหตุที่เคยถูกยุบพรรคไปแล้วครั้งหนึ่ง และถูกยื่นยุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2 

คำถาม? ทำไมบรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า จึงมิได้ทำการ 'ปรับปรุง' พรรคการเมืองของตนเองให้สมควร หากแต่ยังหมั่นสร้างเหตุให้ถูกยื่นยุบพรรคได้สม่ำเสมอ...เรื่องนี้ยังคิดไม่ตก!!

บ้านเมืองเรา จำเป็นต้องมีกฎหมายอันเป็นกติกา กฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้สังคมซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถขับเคลื่อนและดำรงคงอยู่ได้อย่างสงบสุข  โดยไม่ควรมีใครมาอ้างว่า กฎหมายนั้นไม่มีความชอบ แล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะหากสังคมส่วนใหญ่คิดเช่นนั้นแล้ว โลกใบนี้ย่อมจะไม่สามารถแสวงหาความสุขสงบได้อย่างแน่นอน

ในวันนี้ พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ อาจจะยังไม่เข้าใจในนิยามความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' หรือ 'การปรับปรุงให้สมควร' อย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้แล้วสมควรต้องพยายามทำความรู้จักและหัด 'ปฏิรูป' ตัวเองก่อนจะไปปฏิรูปคนอื่น ๆ ต่อไป 

หากยังคงดื้อดึง หรือ ดึงดันที่จะใช้คำว่า 'ปฏิรูป' ต่อ โดยไม่ใส่ใจที่จะปรับปรุงแก้ไขตน ก็คงต้องเตรียมรับผลกรรมที่จะเกิดขึ้นกับทั้งกับแกนนำ สมาชิก และตัวพรรคเอง ชนิดที่หนีไม่ออก เลี่ยงไม่ได้ และหลบไม่พ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

ยุบแล้ว ยุบอีก ยุบต่อ!!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top