Sunday, 28 April 2024
POLITICS NEWS

‘เศรษฐา’ ไม่ขอถาม ‘ชาดา’ หลังถูกโยง บ่อนพนันบางใหญ่ เชื่อ สตช.รู้หน้าที่ดี สาวถึงใครต้องมีความผิด ย้ำ ยึดกฎหมายเป็นหลัก

(23 มี.ค.67) ที่กองบิน 6 ดอนเมือง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง กล่าวถึงการจับบ่อน บางใหญ่ ที่มีกระแสข่าวว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ว่า เรื่องบ่อนเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้เดินทางไปที่ สน.ลุมพินี ก็ได้กำชับแล้ว เรื่องนี้เรารับไม่ได้และผิดกฎหมาย แต่ตนไม่ได้ก้าวก่าย ว่า จะเป็นของนักการเมืองคนใด เพราะยึดตามหลักกฎหมายมากกว่า จะเป็นของใครเมื่อทำผิดก็ต้องถูกจับ 

ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความสนิทสนมกับเจ้าของบ่อนที่ถูกจับ นายกรัฐมนตรี ส่วนกลับทันที ว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณชาดาด้วย และตรงนี้ไม่ต้องกำชับอะไร เชื่อว่าทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ฝ่ายความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็รู้ ว่าหากสาวถึงใครก็ต้องมีความผิด แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายชาดาด้วย เพราะคนเรารู้จักกับคนเยอะเหมือนกัน พอเราไปรู้จักกันแล้ว พอคนนึงทำผิด และจะบอกมีส่วนเกี่ยวข้อง มองว่าไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ แต่อันนี้ตนก็ไม่ได้ไปก้าวก่าย และจะไม่สอบถามนายชาดาด้วย เพราะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องสืบสาวเอาเอง 

“เรื่องของอาชญากรรมไม่หมดไป แต่เราพยายามทำให้มันน้อยลง ยึดหลักกฎหมายเป็นหลัก คนมีหน้าที่ที่ต้องทำ เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ก็ต้องจัดการกันไป”นายเศรษฐา กล่าว

‘ผู้ว่าฯนนทบุรี’ แจ้งจับ ดำเนินคดี สส.ก้าวไกล เหตุ สร้างความเข้าใจผิด ใส่ร้ายให้เสียหาย หมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา

(23 มี.ค.67) นายเสฎฐวุฒิ คีรีพอน ตำแหน่ง นิติกรชำนาญการ ที่ทำการปกครองจังหวัดนนทบุรี ได้รับมอบอำนาจจากนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท. คชสิทธิ์ โคตะโน รอง สว.(สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ให้ดำเนินคดีความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 แก่นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สส.นนทบุรี เขต 8 พรรคก้าวไกล

กรณีแถลงข่าวการจับบ่อนการพนันในพื้นที่อำเภอบางใหญ่ จ.นนทบุรี ที่อาคารรัฐสภา เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง และจังหวัดนนทบุรี ต.บางกระสอ อ.เมืองจังหวัด จ.นนทบุรี ที่พูดว่าผู้ว่าฯสั่งให้ปลัดจังหวัดหิ้ว สส.ออกจากที่เกิดเหตุ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 11.00 น.ที่อาคารรัฐสภา

โดยรายละเอียดในบันทึกประจำวันระบุว่า นายเสฏฐวุฒิ คีรีพอน ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากนายสุธี ทองแย้ม แจ้งว่า ด้วยจังหวัดนนทบุรี ได้ทราบข้อเท็จจริงจากสื่อสังคมออนไลน์ กรณีเฟซบุ๊ก (Facebook) พรรคก้าวไกล นนทบุรี ได้มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 11.00 น. ณ อาคารรัฐสภาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง และจังหวัดนนทบุรี โดยสรุปได้ว่า

1. นายคุณากร มั่นนทีรัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี เขต 5 พรรคก้าวไกล กล่าวว่า "เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ได้มีการบูรณาการของเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปจับกุมบ่อนการพนันคาสิโนผิดกฎหมาย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย เข้าร่วมสังเกตการณ์ พบว่าบ่อนมีขนาดใหญ่และคาดว่าเป็นบ่อนที่มีการบุกจับใหญ่ที่สุด ที่ทางราชการร่วมกันจับกุม ผมได้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่ซอยหมู่บ้านพระปิ่น 3 และได้แสดงตนว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอเข้ามาสังเกตการณ์ว่ามีการจับกุมอย่างไร เหตุใดถึงเปิดให้นักพนันเข้ามาเล่นได้เป็นจำนวนมาก โดยที่ทางส่วนราชการไม่รับทราบได้อย่างไร

เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกรมการปกครองกับสถานีภูธรจังหวัดนนทบุรี และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ได้มีการตกลงกัน หลังการจับกุม และย้ายผู้ต้องหาทั้งหมดไปที่ศาลาประชาคม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรีเพื่อทำบันทึกจับกุม ผมจึงได้ขอตามไปที่ศาลาประชาคม ในฐานะผู้แทนราษฎรเพื่อสังเกตการทำงาน แต่เมื่อผมเดินทางไปถึง ทางปลัดจังหวัดนนทบุรีได้เชิญผมออกมาจากห้องประชุม โดยให้เหตุผลว่ากังวลว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น อยากเรียนว่าในฐานะของผู้แทนราษฎรที่อยากมา สังเกตการณ์แทนประชาชน รวมถึงอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายการยุติธรรมสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร อยากที่จะเป็นตัวแทนผู้แทนราษฎรที่เข้าร่วม สังเกตการณ์ว่ากระบวน การลงบันทึกการจับกุมเป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ หรือขัดต่อพระราชบัญญัติ การอุ้มหายหรือซ้อมทรมานหรือไม่

ภายหลังทางปลัดจังหวัดได้ขอโทษผมแล้ว ถึงการกระทำที่เกิดขึ้นส่วนตัวไม่ได้ติดใจอะไรแต่ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี คิดว่าการบูรณาการ และการทำงานส่วนราชการ รวมถึงการลงพื้นที่สังเกตการณ์ต่าง ๆ ควรที่จะมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน ไม่ต้องถึงขั้นหิ้วปีกก็ได้ และฝากถึงประชาชนที่มีการตั้งข้อกังขา ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเพราะปลัดจังหวัดและลูกน้องได้จับแขนทั้งสองข้างของผมและพยามเชิญลงมาจากศาลาประชาคม ไม่มีราษฎรคนไหนที่จะยินยอม ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติกับผมเช่นนี้แม้กระทั่งตัวผู้ต้องหาเองก็ตาม และขอตั้งข้อสังเกตว่าบ่อนใหญ่ขนาดนี้ จังหวัดนนทบุรีปล่อยทิ้งไว้ได้อย่างไร"

2.นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี เขต 8 พรรคก้าวไกลกล่าวว่า "จากเหตุการณ์การจับกุมเมื่อคืนนี้ 19 มีนาคม 2567 ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนนทบุรี เกิดความขุ่นมัวในใจเป็นอย่างมาก ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ส่วนงานราชการจังหวัด ที่นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี (นายสุรี ทองแย้ม) ที่มีการสั่งให้ปลัดจังหวัดนนทบุรี หิ้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เข้าไปสังเกตการทำงานออกมา โดยใช้การกระทำที่รุนแรง อยากถามถึงรัฐมนตรีหรือผู้เกี่ยวข้องว่า การกระทำลักษณะนี้เห็นสมควร หรือไม่ในการกระทำต่อสมาชิกผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่ง

ในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี อยากรับฟังคำขอโทษอย่างเป็นทางการและงานราชการจังหวัด ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ลงมาว่าการกระทำในลักษณะนี้ใช้อำนาจใด และเหมาะสมหรือไม่ในฐานะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติดจะนำเรื่องการจับกุมบ่อนในครั้งนี้เข้าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินฯ และติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อรอรับรายงานมาสืบหาความเกี่ยวพันกับข้าราชการหรือไม่ และการจับกุมเมื่อวานนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ด้วย” รายละเอียดปรากฏตาม QR Code ท้ายหนังสือนี้

จังหวัดนนทบุรี พิจารณาแล้วพบว่า การแถลงข่าวของนายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี เขต 8 พรรคก้าวไกล ที่ให้ข่าวว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีสั่งให้ปลัดจังหวัดนนทบุรีหิ้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นั้น อาจทำให้ประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเกิดความเข้าใจผิดว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ใช้อำนาจโดยมิชอบตามกฎหมาย ใช้ความรุนแรง ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในข้อเท็จจริงผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี มิได้มีการสั่งการเกี่ยวกับเรื่องนี้

อีกทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ให้ข่าวดังกล่าว ก็มิได้อยู่ในพื้นที่ขณะเกิดเหตุแต่อย่างใด จึงเป็นการกล่าวหาที่ปราศจากข้อเท็จจริง เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวดังกล่าวออกสู่สาธารณะ ประชาชนทั่วไปรับทราบ อาจส่งผลให้ผู้ที่ได้รับ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงเข้าใจผิดทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ หรือทำให้ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดอาญาฐาน “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี จึงได้มอบหมายให้ นายเสฎฐวุฒิ คีรีพอน ตำแหน่ง นิติกรชำนาญการ ที่ทำการปกครองจังหวัดนนทบุรี แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ร.ต.ท. คชสิทธิ์ โคตะโน รอง สว.(สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ ได้รับคำร้องทุกข์ คดีอาญาไว้แล้ว จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘สรวุฒิ’ อัด!! ‘สส.ก้าวไกล’ หลังเสนอตัดงบสร้างบ้านพักศาล ซัด!! โจมตีผิดๆ ถูกๆ แถมไม่เข้าใจโลกความเป็นจริง

(22 มี.ค. 67) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกมธ. ชี้แจงว่าบางทีการไปโจมตีการครองตนของข้าราชการตุลาการต้องระวัง เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาใช้ชีวิตอิสระแบบคนอื่นไม่ได้ บ้านพักต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ บางคนไม่เข้าใจวิธีการเป็นไปของโลกก็จะโจมตีผิด ๆ ถูก ๆ ข้าราชการตุลาการ ผู้พิพากษาต้องผดุงความยุติธรรมสูงสุด เราเองคงหาความยุติธรรมเหนือกว่านี้ไม่ได้ 

นายสรวุฒิ กล่าวต่อว่า ในระบบทั่วโลกก็เป็นเช่นกัน ถ้าหากไม่ให้เขาสันโดษ ให้มีเพื่อนจำนวนมาก จะทำให้ไม่มีความอิสระเพราะต้องเกรงใจไปทั่ว เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาสิทธิที่เขาพึงมี มีอะไรบ้าง เช่นเดียวกับ สส. ถ้าไม่มีผู้ช่วย สส. 7-8 คน ถามว่าจะดูแลประชาชนอย่างไร ถ้าจะแก้ต้องแก้หลักใหญ่ อย่าโจมตีจุดเล็ก จะได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น ยืนยันขอให้ตั้งงบตามที่คณะกมธ.แก้ไข

ด้านน.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคก้าวไกล โต้กลับว่าเห็นด้วยที่อาชีพผู้พิพากษามีเกียรติศักดิ์ศรี แต่สส.ก็มีความอันตราย มีศัตรูทางการเมืองไม่แพ้กัน แต่ไม่มีบ้านพักอาศัยที่ภาษีประชาชน และยืนยันงบประมาณสร้างบ้านพักศาลควรตัดออก เพราะไม่จำเป็น

‘บิ๊กต่อ’ ขาดทุนยับ แต่ยูเทิร์นกลับไม่ยาก ฟาก ‘บิ๊กโจ๊ก’ โกยกำไร หลุดบ่วงผู้ต้องหา

บันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์...วันเดียว 3 คำสั่ง...จากปลายปากกาของนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย…นายเศรษฐา ทวีสิน ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องเห็นด้วยจำนวนมาก แต่ก็มีบางส่วนตะโกนสวนว่า…ตลก ทำไปได้ไง...

เป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 20 มี.ค. 2567

คำสั่งแรก ที่ 106 /2567 ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผบ.ตร. และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ‘บิ๊กโจ๊ก’ รองผบ.ตร. ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี

คำสั่งที่สอง ที่ 108/ 2567 ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ‘บิ๊กต่าย’ รองผบ.ตร. รักษาราชการ ผบ.ตร.

คำสั่งที่สาม ที่ 109/2567 ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทย เป็นประธาน

การเด้ง ผบ.ตร. เข้ากรุในอดีตมีมากมายหลายคน...แต่หนนี้เป็นประวัติศาสตร์ก็ตรงที่เป็นการ ‘เด้งคู่’ หรือ ‘แพ็คคู่’ ซึ่งเมื่ออ่านระหว่างบรรทัดของคำสั่งดูแล้ว วิญญูชนย่อมสดับตรับฟังได้ข้อสรุปเหมือนกันว่า…

‘บิ๊กต่อ’ เละเป็นโจ๊ก ขาดทุนย่อยยับ ขาเชียร์ออกอาการหงุดหงิดในลีลาภาวะผู้นำที่เนิบนาบของท่านไปตาม ๆ กัน

ส่วน ‘บิ๊กโจ๊ก’ ที่เป็นผู้ต้องหาโดยแท้โกยกำไรอื้อซ่า...จากผู้ต้องหายกชั้นเป็น ‘คู่ขัดแย้ง’ ถึงขั้นประกาศสละอดีตลืมความขัดแย้ง…เซทซีโร่...

งานนี้กรรมการนอกสนามบอกว่า...บิ๊กโจ๊กชนะ

แต่ก็นั่นแหละ ศึกครั้งนี้ต้องดูกันยาว ๆ อย่างน้อยก็อีก 3-4 เดือน ว่าใครจะเด๊ดสะมอเร่ย์…บิ๊กโจ๊กเองก็ยังถูกหมายเรียกคดีสมคบฟอกเงินไล่ล่า… วันนี้ (22 มี.ค.) เป็นหมายใบที่สอง บอกให้ไปรายงานตัววันที่ 26 มี.ค. แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าช่วงนั้นบิ๊กโจ๊กอยู่ระหว่างลาไปอังกฤษ

ส่วน ‘บิ๊กต่อ’ มองมุมไหนก็พูดได้ว่าไม่เกิน 3 เดือนได้กลับปทุมวัน ทำหน้าที่ ผบ.ตร. จนเกษียณ 30 ก.ย. 2567

แต่สายข่าวที่น่าเชื่อระบุว่า...คนที่ชนะที่แท้จริงคือคนที่ชี้แนะชี้นำนายกฯ ให้ตัดสินใจ ซึ่งสายข่าวไม่ลังเลที่จะระบุว่าเขาคือคน…จันทร์ส่องหล้า..คนนั้น ซึ่งบัดนี้น่าจะมีโผอยู่ในใจแล้วว่า ต.ค. ปีนี้จะให้ใครขึ้น ผบ.ตร.

ในมุมวิเคราะห์...เต็งจ๋า ผบ.ตร. ตามหน้าไพ่ต้องบอกว่า…

ปีนี้ตัดบิ๊กโจ๊กออกจากคู่ชิงไปได้ เหลืออีก 3 บิ๊ก บิ๊กต่ายเต็งหาม ถ้าสองเดือนที่รักษาการโชว์ฟอร์มเข้าตากรรมการ จันทร์ส่องหล้าก็ต้องส่องต่ายให้ได้ดี

มีประเด็นที่ยังกระพริบตาไม่ได้อยู่นิดเดียวก็ตรงที่ เดือน เม.ย.นี้ สีกากีที่ชื่อ พล.ต.ท.ประจวบ วงษ์สุข ผช.ผบ.ตร. คนเมืองเหนือที่มีกระแสข่าวว่า ‘เจ๊แดง’ คนเดิมสนับสนุนอยู่นั้น จะได้ขึ้นรองผบ.ตร. หรือไม่...ถ้าได้ขึ้นก็แทบจะฟันธงได้ว่างานนี้โผพลิก…บิ๊กจวบมาแน่...

แต่ถ้า เม.ย. ไม่มีอะไร...บิ๊กต่ายก็คงเข้าป้าย แต่มีข้อแม้ว่าสองเดือนนี้ห้ามเหยียบเปลือกกล้วยลื่นล้มเด็ดขาด…!!

มติสภาฯ 298 ต่อ 166 เสียง 'เห็นชอบ' วาระ 3 จับตา สว.ถก 26 มี.ค. ต่อ คาด!! พ.ค. บังคับใช้

(22 มี.ค.67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระ 2-3 จำนวน 41 มาตรา

หลังที่ประชุมมีการลงมติรายมาตราในวาระ 2 เสร็จสิ้น ที่สุดที่ประชุมได้เข้าสู่ขั้นตอนการลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ฯ ในวาระ 3

ผลปรากฏว่ามติที่ประชุม 298 ต่อ166 เสียง ลงมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2567 เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยมีผู้งดออกเสียง 1 เสียงไม่ลงคะแนน 1 เสียง

สำหรับขั้นตอนหลังสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ จากนี้จะเป็นการพิจารณาในส่วนของ วุฒิสภา (สว.) พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นด่านสุดท้าย ในวันที่ 26 มี.ค.67

จากนั้นสภาฯ จะนำร่าง พ.ร.บ.ไปยังรัฐบาลเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ซึ่งคาดว่างบประมาณปี 2567 จะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.67

'อัครเดช' ยัน!! 'รทสช.' พร้อมใจหนุนร่างกฎหมายงบประมาณฯ ซัดผู้ไม่หวังดี ปล่อยข่าวคว่ำงบฯ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง

(22 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีข่าวจะมีการคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ว่า เป็นการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดี ต้องการสร้างความปั่นป่วนและหวังผลทางการเมือง หวังให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอยืนยันว่าจะลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากเป็นมติพรรคออกมาแล้ว เพราะเห็นว่างบประมาณมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศ

นายอัครเดช กล่าวว่า อยากให้คนที่ปล่อยข่าวออกมาหยุดพฤติกรรมลักษณะนี้ได้แล้ว เพราะไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติโดยรวม การเมืองควรจะพักเอาไว้ก่อนเวลานี้ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า ที่ผ่านมาประเทศและประชาชนรอคอยงบประมาณเพื่อนำงบประมาณออกมาใช้มาพัฒนาประเทศ และขับเคลื่อนภาคส่วนต่าง ๆ แต่กลับมีการปล่อยข่าวในวันที่จะลงมติ จึงขอย้ำว่าให้หยุดการกระทำเพราะไม่มีประโยชน์อะไร

“พรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันอีกครั้งจะสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อย่างเต็มที่ และพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมสนับสนุน คนที่ปล่อยข่าวคงจะหวังผลทางการเมืองหวังสร้างความปั่นป่วนและสร้างความแตกแยกในรัฐบาล แต่จะไม่เป็นผล เพราะถึงอย่างไรงบประมาณก็จะผ่านสภาฯ อยู่แล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจได้” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

‘อุ๊งอิ๊ง’ รับ!! จะไปตักเตือน ‘สส.เพื่อไทย’ หลังดูบอลเว็บเถื่อนช่วงอภิปรายงบในสภาฯ

(22 มี.ค.67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถ.วิภาวดีฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง สส.พรรคเพื่อไทย เปิดชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ระหว่างทีมชาติไทย และทีมชาติเกาหลีใต้ ในช่วงที่สภาผู้แทนราษฎรมีการอภิปรายงบประมาณปี 2567 โดยชมผ่านเว็บเถื่อน ซึ่งเว็บดังกล่าวมีโฆษณาของเว็บพนันด้วยว่า ต้องตักเตือนกันเรื่องที่ดูบอลระหว่างประชุมงบประมาณ ซึ่งเป็นเวลาไม่เหมาะสม

พร้อมย้อนถามสื่อมวลชนว่า “ตรงนี้มีใครดูเว็บเถื่อนบ้างมั้ย อิ๊งค์ว่าจริง ๆ ต้องดูแลเรื่องนี้อีกทีด้วย อิ๊งค์คิดว่าเว็บเถื่อนทุกคนเข้าถึง เราก็ต้องดูเว็บที่ไม่เถื่อน หรือช่องทางที่ไม่เถื่อน เราสามารถให้ประชาชนได้ดูยังไงได้บ้าง อันนี้คงต้องดูแลกันต่อไป แต่ใช่ ไม่ควรดูในเวลานั้น อิ๊งค์ก็จะตักเตือน”

'ศธ.' สั่ง!! ทุกสถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวง ห้ามหนุนการเมือง 'ทางตรง-อ้อม' หลังพบกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มแทรกซึมเข้าไปจัดกิจกรรมเพื่อหวังผล

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีหนังสือด่วนที่สุดประกาศเรื่อง การส่งเสริมสถานศึกษาในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นพื้นที่เป็นกลางทางการเมือง เรียนถึงผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และศูนย์หรือสถาบันการเรียนรู้เฉพาะด้านหรือเฉพาะกิจทุกแห่ง ระบุข้อความในหนังสือว่า…

“ด้วยปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์กรณีที่มีพรรคการเมืองลงพื้นที่ปลุกปั่นเยาวชนในเขตพื้นที่โรงเรียนและสถานศึกษา โดยมีการส่งเสริมให้จัดกิจกรรมเพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักสากลที่สถานศึกษาต้องเป็นพื้นที่เป็นกลางทางการเมือง (neutrality ground)

ในการนี้ เพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษาในสังกัดเป็นพื้นที่เป็นกลางทางการเมือง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ จึงขอให้ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา วางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด โดยไม่ส่งเสริม เกื้อกูล สนับสนุนพรรคการเมืองในทางตรงและทางอ้อม ทั้งส่วนตัวและส่วนราชการ ในการจัด
หรือร่วมจัดกิจกรรมใด ๆ ของสถานศึกษาในพื้นที่”

'เอกนัฏ' สวนนักแซะงบพลังงาน ยัน!! กมธ.งบฯ ทำงานหนักใต้กรอบเวลาจำกัด โต้!! ฝ่ายค้านอย่าโบ้ยทุกปัญหาให้เหมือนเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ หรือ 'ยุคลุงตู่'

เมื่อวานนี้ (21 มี.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 ในส่วนของกระทรวงพลังงานว่า การแปรญัตติของเพื่อนสมาชิกอย่าง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ที่ขอปรับลดงบประมาณ 3% ก็ตรงกับที่กรรมาธิการฯ ขอปรับลดลงประมาณ 3% เพียงแต่ในการพิจารณาในสภาฯ วาระ 2 ไม่ได้เห็นรายละเอียดในการสงวนคำแปรญัตติ นอกจากยอดตัวเปอร์เซ็นต์คือ 3% ถ้าเราเห็นรายละเอียดเหล่านี้ก่อน การทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ คงจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ทั้งนี้ ในส่วนของกรรมาธิการฯ ไม่ได้มีเส้นแบ่งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เราทำหน้าที่ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ประชุมกันหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนถึงเย็นทุกวัน มีเวลา 2 สัปดาห์ที่จะไล่สอบซักถามหน่วยงานแทนเพื่อนสมาชิก เพื่อรักษาผลประโยชน์งบประมาณของประเทศชาติ

สำหรับ ข้อสงสัยของสมาชิก ตนขอย้ำว่า กรรมาธิการฯ ไม่ได้มาทำหน้าที่แทนรัฐมนตรี หรือรัฐบาล ที่ น.ส.ศิริกัญญา ซักถามเกี่ยวกับเรื่องของแผนปฏิบัติการพลังงานในส่วนค่าจ้างที่ปรึกษา แต่เราได้รับคำชี้แจงจากหน่วยงานที่อนุกรรมาธิการเรียกหน่วยงานมาชี้แจง ได้แจ้งว่า ตัวของแผนจะประกาศใช้ ประมาณเดือนกันยายนปี 2567 ฉะนั้นในส่วนของตัวโครงการจ้างที่ปรึกษาสำหรับการประเมินติดตามก๊าซเรือนกระจก จึงมีความจำเป็นต้องอนุมัติงบประมาณแล้วก็ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อไปประกอบในแผนให้ประกาศใช้ทันภายในเดือนกันยายนปี 2567

นายเอกนัฏ ชี้แจงว่า กระทรวงพลังงานได้งบประมาณน้อยมาก หากเทียบกับกระทรวงอื่น น่าจะน้อยที่สุดด้วย เพราะไม่ใช่กระทรวงที่มีภารกิจไปจัดซื้อจัดจ้างหรือไปก่อสร้าง แต่เป็นกระทรวงที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ต้องออกนโยบาย ตรวจดูกฎเกณฑ์ทำงานร่วมกับเอกชน ทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ให้ประชาชนมีพลังงานใช้ในราคาถูก และมีคุณภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ฉะนั้นข้อสังเกตจากสมาชิก ก็เป็นข้อสังเกตในลักษณะเดียวกันกับอนุกรรมาธิการฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือนโยบายการสนับสนุนรถอีวีรถไฟฟ้า

“นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน ทราบดีถึงความสำคัญของการทำงานของกระทรวงพลังงาน แล้วก็ไม่ติดยึดว่า เป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณน้อยที่สุด แต่เนื่องจากภารกิจหลักเป็นการกำกับดูแล ถ้าจะสร้างผลงานสร้างความเปลี่ยนแปลง มันต้องมีการรื้อกฎเกณฑ์กติกาหรือระบบเดิม ซึ่งท่านก็ทำมาตลอดแก้กฎระเบียบ กฎกติกาให้เหมาะสมทันสมัยในการแก้ปัญหา” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวย้ำว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่การไปบอกว่าปัญหาทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดนี้ หรือจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มันก็คงไม่ยุติธรรมกับทั้งรัฐบาลชุดนี้แล้วก็รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เช่น การตกลงให้สัมปทานบนพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และไม่ได้เกิดขึ้นในยุคนี้

ส่วนหนึ่งก็เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่ทำให้ประเทศไทยมีแหล่งพลังงาน แหล่งน้ำมัน แหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ แต่ส่วนที่เป็นปัญหาข้อพิพาทเมื่อเกิดขึ้นในรัฐบาลยุคไหน ตนเชื่อว่าก็อยู่ในใจของนายกรัฐมนตรีทุกคน แล้วก็อยู่ในใจพวกเรา ที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติให้มากที่สุด ไม่ใช่ไปดำเนินการตามองค์กรระหว่างประเทศ หรือบริษัทต่างชาติ อย่างเช่น เชฟรอน

“ผมขอยืนยันว่า ในระยะเวลาที่จำกัด กรรมาธิการฯทุกคนทำงานหนัก ได้ตัดสินใจแทนเพื่อนสมาชิกทุกคนอย่างรอบคอบ” นายเอกนัฏ กล่าว

‘สรรเพชญ’ ชี้ งบ มท. ส่วนของกรมส่งเสริมฯ 2.3 แสนล้าน เป็นแค่ภาพลวงตา ท้องถิ่นไร้อิสระ

เมื่อวานนี้ (21 มี.ค. 67) ณ อาคารรัฐสภา ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว (วาระ 2) เป็นวันที่สอง นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา ได้อภิปรายในมาตรา 20 ส่วนของกระทรวงมหาดไทย โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตว่ากระทรวงฯ มีความสับสนในพันธกิจของตนเอง เพราะเมื่อครั้งแถลงนโยบายฯ รัฐบาลตั้งใจขับเคลื่อนนโยบายผู้ว่าฯ CEO แต่ตามพันธกิจ ข้อ 4 ที่กระทรวงระบุไว้ในเอกสารงบประมาณ ว่าจะส่งเสริม และสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินในระดับพื้นที่

นายสรรเพชญ ชี้ต่อไปว่า การจัดสรรงบฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูเสมือนรัฐบาลส่งเสริมการกระจายอำนาจ โดยในปี 2567 ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรมากถึง 236,000 ล้านบาท จากงบฯ ของกระทรวงมหาดไทยกว่า 291,000 ล้านบาท หากแต่ไปดูในรายละเอียดโครงสร้างงบท้องถิ่น กลับพบว่าเป็นการอำพรางงบฯ เพื่อสร้างภาพว่ารัฐบาลส่งเสริมกระบวนการกระจายอำนาจ และความเป็นอิสระของท้องถิ่น 

ในโครงสร้างงบท้องถิ่น นายสรรเพชญ ได้ชี้ให้เห็นว่า งบฯ ที่เพิ่มขึ้นของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกว่า 236,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป 198,000 ล้านบาท งบอุดหนุนเฉพาะกิจ 38,000 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณากันในรายละเอียดกลับพบว่า ท้องถิ่นมีอิสระในการใช้งบประมาณจริง ๆ เพียง 42,000 ล้านบาท เพราะงบส่วนที่เหลือที่ได้รับการจัดสรรนั้นพ่วงไปด้วยเงื่อนไขบังคับที่มาจากส่วนกลาง

นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดสรรงบประมาณแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นเพียงการสร้างภาพของรัฐบาล แต่สุดท้ายมันคือการกดทับไม่ให้ท้องถิ่นโตตามศักยภาพของตนตามที่ควรจะเป็น 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top