Wednesday, 22 January 2025
POLITICS NEWS

‘นครโมเดล’ สะเทือน!! ถึง ‘สงขลา’ ถ้า ‘ไพเจน’ ปักหลักสู้!! ‘สุพิศ’ ก็เหนื่อย

(30 พ.ย. 67) พลันเมื่อ ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ถอนตัวไม่ลงรักษาแชมป์ ชื่อของ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ลาออกจากราชการ มาอาสาเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาก็โดดเด่นอยู่คนเดียว

‘สุพิศ’ มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาขอทำงานเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลา ด้วยยแนวคิด ‘สงขลาเมืองสะอาด’ อันสะท้อนให้เห็นว่า สงขลายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องปัดกวาดแก้ไข และมองเห็นปัญหาบ้านเกิดอีกหลายอย่างถึงยอมเสียสละหน้าที่ราชการในระดับอธิบดีที่ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ

เมื่อไพเจนถอนตัว เส้นทางนายกฯอบจ.สงขลาของสุพิศก็คล่องขึ้น หายใจสะดวกขึ้น ถ้าสุพิศปักหลักสู้ สุพิศก็จะเหนื่อย เพราะ 4 ปีของไพเจนบนตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา แน่นอนว่า คนสงขลาจะต้องมองเห็นผลงานมากกว่าของสุพิศ

แต่แม้นสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากทีมสงขลาพลังใหม่ จะยืนโดดเด่นอยู่คนเดียวก็ยังจะประมาทไม่ได้ ยังมีนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน ที่พรรคใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าในการขอแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยสำเร็จ และไม่ควรลืมว่า สงขลาคือบ้านเกิดของ ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้นธารของพรรคประชาชน และยังมีน.ส.อภิญญา ยอดแก้ว ผู้สมัคอิสระ ที่เปิดตัวเสนอเป็นนายกอบจ.หญิงคนแรกของ จ.สงขลา ก็จะมาร่วมแบ่งคะแนนในรอบนี้ด้วย

แต่นั้นยังไม่น่าประหวั่นพลั่นพรึงเท่ากับการปรากฏชื่อ ‘ถาวร เสนเนียม’ จะร่วมลงชิงกับเขาด้วย เพราะไม่ควรลืมว่า ถาวร คืออดีต สส.สงขลาหลายสมัย อดีตอัยการที่คนสงขลารู้จัก แถมยังผ่านงานบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วถึงสองกระทรวง รมช.มหาดไทย และ รมช.คมนาคม มีประสบการณ์ และคุณสมบัติพร้อม

แม้ถาวรจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร เพราะยังมีข้อกังวลเรื่องคดีที่รอศาลฏีกาตัดสิน ถาวรเกรงว่า ถ้าลงสมัครแล้วได้รับเลือกตั้ง แต่อีก 1 ปีต่อมาศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นลบ อบจ.สงขลาก็ต้องสูญเสียงบร่วม 100 ล้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่

แต่พลันที่มีชื่อถาวรปรากฏผ่านสื่อโซเชี่ยล ข่าวถูกแชร์ไปทั่ว เพียงวันเดียวก็สร้างความฮือฮาไปทั่ว ร้านน้ำชากาแฟต่างกล่าวขานถึงในเชิงสนับสนุน-เหมาะสม สมน้ำสมเนื้อกับสุพิศ ‘ถาวร’ ขอเวลา 4-5 วันในการประเมินคดี ประชุมร่วมกับทนายความเพื่อประเมินว่าคดีจะออกมาทางบวก หรือทางลบ แล้วจะตัดสินใจ แล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพียงแต่ถาวรอาจถูกตั้งคำถามเรื่องอายุ แต่ในทางการเมืองอายุเป็นเพียงตัวเลข โดนัล ทรัมป์ อายุเท่าไหร่แล้ว โจ ใบเด็น อายุเท่าไหร่กว่าจะหยุด

ที่ต้องประหวั่นพลั่นถึงถ้าถาวรลงสมัคร เพราะถาวรไม่ได้ไปคนเดียว เขามีองคาพยพมากมายในการจัดทัพกับช่วงเวลาสั้นๆ และอาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติที่เขาสังกัดอยู่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นแม่ทัพภาคใต้อยู่ และ ดร.นที รัชกิจประการ ภรรยา ก็จะพ้นโทษออกจากคุกในวันที่ 8 ธันวาคมนี้แล้ว ก็จะมาเป็นมือเป็นไม้ได้เป็นอย่างดี

สรุปความง่ายๆ ว่า ถ้าถาวรลงสมัคร ก็จะเป็นคู่ชิงของสุพิศที่สนุก เพราะเป็นสนามของคนรู้ใจ รู้เกมกันอยู่ แต่ถ้าถาวรไม่ลงสุพิศก็จะลอยลำ แต่ทำอย่างไรให้สุพิศ สลัดพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นตัว เดินออกห่างจากคนที่คนสงขลา และคนใต้ไม่ชอบให้ดี เพราะจะเป็นตัวถ่วงคะแนนในสถานการณ์ประชาธิปัตย์ขาลง อ่อนแอ

ประชาธิปัตย์อ่อนแอจนนำพาให้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ พ่ายแพ้ในสนาม อบจ.นครศรีฯ เปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ เข้ามาสร้าง ‘นครโมเดล’ ได้สำเร็จ

นครโมเดล
-ไม่ซื้อเสียง
-ไม่มีหัวคะแนน
-ไม่ฮั้วประมูล
-ไม่โกงกิน
-ไม่รังแกคนอื่น
-ไม่ใช่บ้านใหญ่

นครโมเดลนอกจากการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้แล้ว ‘นครเข้มแข็ง’ ยังใช้สื่อโซเชี่ยลในการแนะนำตัว หาเสียงอย่างเป็นระบบ เนื้อหาที่โดนใจในอารมณ์คนนครฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับบุคลิกการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของสาวมั่น จึงทำให้นครโมเดลสำเร็จ

ความพ่ายแพ้ของเจ้ต้อย ทำให้นครโมเดลถูกกล่าวขานถึง และสั่นสะเทือนไปถึงสงขลา นี้คือปรากฏการณ์ที่ ‘สุพิศ’ ต้องทบทวน และกำหนดทิศทางใหม่ให้ชัดเจน

‘รัดเกล้า’ โพสต์เฟซ!! โต้กลับ ‘แบงค์ ศุภณัฐ’ ชี้!! เป็น ‘โรคระแวง การสร้างคอนเนคชั่น’

(30 พ.ย. 67) ‘เนเน่’ หรือ นางสาวรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในฐานะศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และสถาบัน วปอ. โดยมีใจความว่า ...

#ปปร และ #วปอบอ เป้านิ่ง อคติทางการเมือง

เอาจริงๆ โรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นของกลุ่มนักการเมืองในสังคมไทยนี่นับว่าอยู่ในระดับเรื้อรัง เป็นโรคที่มีมากันยาวนานแล้วนะคะ ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงโทษประชาชนไม่ได้ที่จะมีอคติมองว่าการสร้างคอนเนคชั่นเป็นเรื่องไม่ดี มันก็คงเป็นเพราะเขาโดนมาเยอะ เจ็บมาแยะ กับการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน ทุกพรรค ควรรับไว้เป็นการบ้าน คือต้องช่วยกันแก้อคติด้วยการประพฤติดี ใช้คอนเนคชั่นและเครือข่ายที่มีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน หากทุกคนร่วมกันทำเช่นนี้ ทำไปหลายๆ ปี แน่นอนว่ามันจะช่วยบรรเทาโรคระแวงของประชาชนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่อาการโรคระแวงนี้ยังไม่ทุเลา หลักสูตรดัง เช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) และ การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น #เป้านิ่ง ให้คนยิงเป้า จับผิด ตำหนิ ติติง ระบายความระแวงใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ควรทำต่อความระแวงของประชาชน คือการ #ขว้างงูไม่พ้นคอ ทำให้โรคระแวงมันแย่ลงด้วยการเอาอคติทางการเมืองของตนเองมายัดเยียด ป้ายสีใส่กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม มุ่งหวังให้ประชาชนหันไปรุมคนอื่นแทนนะคะ 

ในโพสต์นี้ เนเน่ในฐานะศิษย์เก่าของทั้งสถาบันพระปกเกล้าและสถาบัน วปอ. ขอตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทาง ส.ส. แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เกี่ยวกับ หลักสูตร วปอ.บอ. นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างความกระจ่างในข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันเหล่านี้ และมิหน่ำซ้ำ ยังอาจจะตอกย้ำโรคระแวงในใจของประชาชนให้อาการแย่ลงไปอีกค่ะ

ข้อที่ 1. ที่ถามว่า... คนที่เข้าไปเรียนใช้สิทธิอะไรในการถูกคัดเลือกเข้าไปเรียน...

เฉกเช่นที่ สส.แบงค์ ออกมาปกป้องหลักสูตร ปปร. ว่าผู้จัดหลักสูตรมีการจัดสรรโควต้าให้กับ สส. 40 คน ทาง วปอ.บอ. เองก็มีโควต้าทางการเมือง 10 คนค่ะ บ้างก็เป็น สส. บ้างก็เป็นข้าราชการการเมือง (ซึ่งก็มีเนเน่ ที่เป็นรองโฆษกรัฐบาล ในช่วงนั้น) อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้นเกือบ 500 คน จำเป็นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการของหลักสูตร เพื่อกลั่นกรองหา 150 คนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในอนาคตได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ (ซึ่งจริงๆคณะกรรมการหลักสูตรเคยเล่าให้เนเน่ฟังอยู่หลายครั้งนะคะว่าเขาเสียดายมากๆ ที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อพรรค) เข้ามาเรียน ความจริงมีคนมาสมัครนะคะ แต่อายุเกินบ้าง อายุขาดบ้าง เลยกลายเป็นว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลล้วนไม่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เลยไม่มีใครได้เรียนค่ะ ...เล่าให้ฟัง จะได้ระงับดราม่าไว้ก่อนค่ะ ว่าทำไมไม่มีคนจากพรรคก้าวไกลมาเรียนเลย... อาจารย์อยากให้พวกคุณมาเรียนจริงๆ นะคะ ท่านเชื่อว่าการมามีส่วนร่วมจะช่วยให้คนในพรรคของคุณเข้าใจเรื่องของความมั่นคงมากขึ้น ขนาดตอนที่นักเรียน วปอ.บอ. รุ่น 1 เรียนจบแล้วมีนำเสนอผลงานทางวิชาการ ทางหลักสูตรยังส่งจดหมายเชิญไปที่พรรคประชาชน (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อแล้ว) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการส่งตัวแทนรับฟังค่ะ)

ทั้งนี้ในเรื่องคุณสมบัติของคนที่เข้าเรียน ที่ ส.ส.แบงค์ ทำให้หลายคนกังขาว่าคนที่มาเรียน "ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ" เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด เหมารวม นึกว่าหมายถึงนักเรียนทั้งหมด ...ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เนเน่ขอชี้แจงว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวกะทิ บ้างมีโปรไฟล์เป็นถึงนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บ้างเคยเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างเป็นผู้บริหารในองค์กรระดับประเทศ อีกทั้ง ทางฝั่งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวท็อปในหน่วยงานของตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ เนเน่ได้เรียนรู้หลายเรื่องจากเพื่อนๆ เหล่านี้ ไม่น้อยไปกว่าที่ได้เรียนจากวิทยากรเลยค่ะ เขาเก่งกันจริงๆ นะคะ วอนหยุดเอาอคติทางการเมืองที่คับแคบมาตัดสิน มาด้อยค่าเพื่อนๆ ร่วมสถาบันของเนเน่เลยค่ะ ข้อ 2. ที่ถามว่าคนที่มาเรียนนั้นได้ จ่ายเงินค่าหลักสูตรหรือไม่ เพราะที่กองทัพให้ข้อมูลมาคือค่าใช้จ่ายหลักสูตรนี้ #เรียนฟรี และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการกองทัพไทย แปลว่าใช้ #ภาษีกู แบบเต็มๆ ...

อันนี้ เกรงว่าแหล่งข่าวในกองทัพของ สส.แบงค์ คงจะพูดไม่ครบนะคะ อันนี้ ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจให้ตรงกันนะคะ ว่าผู้เรียนกลุ่มเอกชน และข้าราชการการเมืองต้องจ่ายเงินเอง 130,000 บาทเพื่อใช้ในการดูงานในประเทศและต่างประเทศค่ะ (ที่ว่าเรียนฟรีนี้ สำหรับบุคลากรของรัฐ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่ทางหน่วยงานส่งตัวแทนมาเรียนเท่านั้นค่ะ) ...ฉะนั้นขอย้ำนะคะว่า นอกเหนือจากที่เราไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชนแล้ว เราได้ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวลงทุนเพื่อรับความรู้ผ่านหลักสูตรนี้ค่ะ

อ่อ... และที่ถามว่า ‘กล้าเอารูปมาโพสต์’ ไหม ... ในคอมเมนท์ เนเน่ขอเอารูปตอน วปอ.บอ. ไปทำ CSR ด้วยเงินส่วนตัวที่พวกเราระดมกัน นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัย มาให้ดูเป็นตัวอย่างให้ดูนะคะว่าเราก็รวมตัวกัน ‘ก่อการดี’ ไม่ต่างอะไรกับ คณะนักศึกษา ปปร. ของ สส.แบงค์ ค่ะ มาช่วยกันคลายโรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นในสังคมไทยด้วยการเมืองสร้างสรรค์กันดีกว่านะคะ

ทีม ‘สุพิศ’ เร่งถอดบทเรียนก่อนเดินต่อ ‘นายกฯอบจ. สงขลา’ หลัง ปชป.เสียทีในสนามเลือกตั้ง ‘นายก อบจ.นครศรีฯ’

เป็นที่รับทราบกันแล้วสำหรับผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลปรากฏน้ำท่วมเมืองนครศรีฯ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ จากสายสีน้ำเงิน เอาชนะ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ จากค่ายสีฟ้ากว่า 30000 คะแนน

สรุปนะครับ #ผลนับคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.นครศรี
-เบอร์ 2 328,823 (น้ำ)
-เบอร์ 1 294,835 (เจ้ต้อย)
-เบอร์ 4 31,586 (ชัย)
-เบอร์ 3 3,657 (อาญาสิทธิ์)

ต้องยอมรับความจริงว่า เจ้ต้อยถึงแม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่มีคะแนนมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 20 ธันวาคม 2563 เพราะครั้งนั้น เจ้ต้อยได้มา 260000 กว่าคะแนน เพียงแต่ 300000 กว่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นยังไม่อาจต้านกระแสแรงของน้ำได้

ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับในวันที่น้ำเปิดตัว และไปยื่นใบสมัคร ยังมีคนนครศรีฯจำนวนมากถามกันว่า เบอร์ 2 คือใคร น้ำเป็นใคร ในขณะที่เจ้ต้อยคนรู้จักกันทั้งจังหวัด แต่ผ่านไปเพียงสองอาทิตย์คำถามว่า เบอร์ 2 คือใคร เริ่มไม่ได้ยินคำถามนี้ แต่กลับเริ่มมีกระแสเปลี่ยนเลือก 'น้ำเบอร์ 2' เหตุผลสำคัญของกระแสเปลี่ยนมาจากหลากหลายเหตุผล

พิจารณาประเด็นของน้ำก่อน ด้วยบุคลิกของสาวมั่น พูดจาฉะฉาน ปราศรัย หรือให้สัมภาษณ์ไม่ต้องดูโพย อันเป็นการสะท้อนว่า รู้จริง ทำการบ้านมาดี นโยบายที่เน้นไปทางเศรษฐกิจ มันตรงกับสภาวะปัจจุบันของคนไทย เมื่อบวกรวมกับทีมยุทธศาสตร์ผู้ช่ำชองการเลือกตั้ง ทีมสื่อที่ทำสื่อเสนอผ่านโซเชียลอย่างเป็นระบบ ส่งเข้าถึงห้องนอนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกช่วงวัย การปราศรัยของน้ำในช่วงโค้งท้าย ๆ สะท้อนความมั่นใจ ความเชื่อมั่นสูง อันเป็นภาวะผู้นำ

การประกาศเป็นยุทธศาสตร์ของน้ำ “ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนน” ถือเป็นการสวนกระแสที่ท้าทายกับภูมิทัศน์การเมืองใหม่ จึงมีคำถามตามมาว่า ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนนจะชนะอย่างไร จะเอาคะแนนมาจากไหน

ส่วนเจ้ต้อย ไม่ได้มีข้อด้อยอะไรมาก เพียงแต่โดนหนักประเด็นลาออกแล้วมาสมัครใหม่ ทำให้ต้องเสียงบจัดการเลือกตั้งสองครั้ง 100 กว่าล้าน กับเรื่องการไปเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน(ถนน)มากไป กับการเป็นบ้านใหญ่ การเมืองครอบครัว

แต่ประเด็นที่เจ้ต้อยโดนหนักไปตกอยู่กับ 'แทน-ชัยชนะ เดชเดโช' สส.นครศรีฯ (ลูกชาย) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีล้นเมืองคอน การนำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ (ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร) ที่คนใต้ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การด้อยค่า ม.ทักษิณ รวมถึงประเด็นเนรคุณ ที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันมากในช่วงท้ายของการหาเสียง อันเกิดจากแทนไปพาดพิงถึงสองพี่น้องตระกูลยุติธรรมว่า สอบตกทั้งคู่ 

ประกอบกับคนไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่ชอบแทน มาร่วมกันรุมช่วยน้ำไม่ว่าจะเป็นเทพไท เสนพงศ์ (คึก) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล (ปุ้ย) เมื่อบวกรวมกับผู้แพ้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอนันต์ ทองอุ่น, อำนวย ยุติธรรม, สนั่น พิบูลย์ เป็นต้น ล้วนสร้างแรงบวกให้น้ำทั้งนั้น เมื่อสื่อโซเชียลมาช่วยเสริมจึงทำให้น้ำเป็นฝ่ายกำชัยในที่สุด

แต่ที่น่าสนใจคือแรงกระเพื่อมหลังจากนี้ ทั้งแรงกระเพื่อมในจังหวัด และแรงกระเพื่อมไปยังจังหวัดข้างเคียง แรงกระเพื่อมในจังหวัดต้องรอดูการเลือกตั้ง สส.ในสมัยหน้า เพราะการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ประชาชนได้สอนบทเรียนให้ประชาธิปัตย์อย่างเจ็บปวดแล้ว จะแลนด์สไลด์ไปถึงเลือก สส.ด้วยหรือไม่

มีการกล่าวถึงนครโมเดล จะมีการเปรียบเทียบไปถึงสงขลา จะเอานครโมเดลไปใช้ที่สงขลาได้หรือไม่ สงขลาแน่ชัดแล้วว่า ไพเจน มากสุวรรณ์ นายกฯอบจ.คนปัจจุบัน อำลาเวที ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ลาออกจากราชการเปิดตัวลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ภายใต้การสนับสนุนของ ‘นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รมช.สาธารณสุข และนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย ด้วยเห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจของสุพิศที่อาสาเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เมืองสงขลา ด้วยความพร้อมทั้งครอบครัว และธุรกิจ ประสบการณ์

ส่วนคู่แข่งของสุพิศ ที่ชัดเจนแล้ว มีเพียง ‘นิรันดร์ จินดานาค’ จากพรรคประชาชน ในทางการเมืองสำหรับสงขลาแล้ว นิรันดร์ ยังไม่เท่าไหร่ อยู่ที่การสร้างนโยบาย สร้างกระแส และทีมงานพรรคประชาชนว่าจะช่วยได้แค่ไหน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ชัดว่าจะมีใครลงแข่งบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอื่นก็ยังไม่เห็นขยับชัด

การจะเอานครโมเดลมาใช้กับสงขลาจึงน่าจะยังยากอยู่ เพราะผู้สนับสนุนหลักของสุพิศ ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการแพ้-ชนะ ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกับ การที่จะมีใครสักคนลุกขึ้นมาประกาศเป็นยุทธศาสตร์ 'ไม่ซื้อเสียง-ไม่มีหัวแนน' ตามนครโมเดล สำหรับสงขลาคงจะยาก เว้นเสียแต่ว่า พรรคภูมิใจไทย ไปเฟ้นหาคนใหม่ ใส ๆ มาแบบน้ำ และหาทีมบริหารดี ๆ เข้ามา สร้างนโยบายที่โดดเด่น แตกต่าง 

วันนี้สำหรับขั้วประชาธิปัตย์ ที่หันไปสนับสนุนสุพิศ คงต้องนำบทเรียนจากนครศรีฯมาทบทวน และหาข้อสรุป เพื่อกำหนดเป็นแนวทาง ถึงจะเห็น 'ชัย' ของ 'สุพิศ' เงินไม่ใช่ตัวกำหนดชัยชนะ 

รู้จัก สส.หญิงแกร่งแห่งเมืองโอ่ง ‘กุลวลี นพอมรบดี’ กับผลงานเด่นสานต่อแก้ภัยแล้งช่วยชาวบ้าน จ.ราชบุรี

(27 พ.ย. 67) ‘กุลวลี นพอมรบดี’สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ราชบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือที่คนในพื้นที่จะเรียกกันติดปากว่า ‘สส. แคมป์’ เป็น สส. ที่มาจากครอบครัวนักการเมือง และทำงานรับใช้ชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่อายุ 25 ปี ในระดับท้องถิ่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนลงเลือกตั้งสนามใหญ่ในปี 2562 และได้รับเลือกเป็น สส. สมัยแรก และในปี 2566 ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่เขต 1 ราชบุรี เลือกเป็น สส. เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน 

สำหรับ ‘กุลวลี’ อยู่ครอบครัวการเมือง นางกอบกุล นพอมรบดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรคไทยรักไทย ในปี 2549 นางกอบกุล เสียชีวิต ขณะนั้น กุลวลี ศึกษา ด้าน accounting finance อยู่ที่ออสเตรเลีย มีการปรึกษากันในครอบครัวว่าจะหยุดเส้นทางการเมืองของตระกูลหรือเดินหน้าต่อ ได้ผลสรุปเดินหน้าต่อ กุลวลี จึงเริ่มเส้นทางการเมืองจากระดับท้องถิ่น ในวัย 25 ปี ในฐานะสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จนก้าวเข้าการเมืองระดับประเทศ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

หนึ่งในผลงานของ กุลวลี ที่สำคัญต่อพื้นที่เขต 1 ในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ที่ ต.บางป่า ที่ผ่านมาพื้นที่ดังกล่าวเคยประสบปัญหาภัยแล้ง ต่อมามีการสร้างคลองขุดลัดขึ้น ต.บางป่าเป็นพื้นที่เกษตรสวนมะพร้าว อาศัยน้ำจากคลองขุดลัดในการทำการเกษตร ในปี 2557 ซึ่ง นายมานิต นพอมรบดี  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็นบิดา ได้ริเริ่มโครงการไว้ และทาง สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการดำเนินโครงการต่อเนื่องมา มีการวางแผนวางท่อส่งน้ำเข้าไปตามสวนของกรมชลประทาน และการสร้างประตูกั้นน้ำ มีสถานีสูบน้ำเติมปริมาณน้ำตลอดเวลา 

อีกพื้นที่คือ ต.พงสวาย เส้นทางเดียวกันกับต.บางป่า ในแนวคลองขุดลัด ที่กำลังดำเนินการของบประมาณในการดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งมีการตั้งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในการเป็นสถานที่ปั่นจักรยาน และวิ่งเพื่อสุขภาพ 

ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานหินเขางู ทาง สส.แคมป์ มีแนวทางที่จะพัฒนาร่วมกันกับ สำนักงานป่านันทนาการ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ และความร่วมมือกับส่วนท้องถิ่น วางแนวโครงการสร้างสกายวอล์ค และมีพื้นที่ หุบลับ หรือ ภูผาแรด เป็นหนึ่งในอันซีน ที่อยู่ในแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวปี 2569

กล่าวได้ว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรในการแก้ปัญหาต่าง ๆ พร้อมกับสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวให้กับทางจังหวัดราชบุรี เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวบ้านในพื้นที่ตลอดเวลา เป็นนักการเมืองที่ทำงานเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 

"คุณสนธิบอกว่าการเมืองใกล้สุกงอม ผมก็หวังว่าสังคมไทยจะสุกงอมทางความคิดด้วยเช่นกัน ว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย ล้วนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจนอกระบบ ซึ่งเกิดความเสียหายร้ายแรงจนถึงปัจจุบัน"

(26 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตร พยายามนำประเด็นเรื่องเอ็มโอยู 44 มาปลุกระดมมวลชนลงถนน และจะมายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ว่า มีคนถามว่ากำลังจะมีการชุมนุมบนท้องถนนหรือไม่ และรัฐบาลเตรียมการรับมืออย่างไร

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และมีศักยภาพในการเคลื่อนไหวมวลชน แต่ผมคิดว่าการประกาศลงถนนคงไม่ใช่เร็วๆนี้ เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าการชุมนุมขนาดใหญ่แบบหลายๆปีก่อนจะเกิดขึ้นง่ายๆ

การปลุกประเด็นเรื่องชาตินิยมแม้จะมีผลกับคนส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่วาระของคนส่วนใหญ่ เพราะขั้นตอนการเจรจาใดๆกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่เริ่ม และหากมีการดำเนินการรัฐบาลก็จะทำอย่างชัดเจนโปร่งใส โดยมีทรัพยากรปิโตรเลียมกว่า 10 ล้านล้านบาท ที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นเป้าหมาย

คุณสนธิบอกว่าการเมืองใกล้สุกงอม ผมก็หวังว่าสังคมไทยจะสุกงอมทางความคิดด้วยเช่นกัน ว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย ล้วนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจนอกระบบ ซึ่งเกิดความเสียหายร้ายแรงจนถึงปัจจุบัน

ในมุมของรัฐบาลย่อมไม่ประสงค์การเผชิญหน้า ไม่ปรามาส ไม่ท้าทายกลุ่มใดๆ การทำงานยังเป็นช่วงเริ่มต้น นายกรัฐมนตรีกำลังจะแถลงผลงาน 90 วันแรก และประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจอีกหลายเรื่องเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังตั้งความหวังกับการทำงานของพรรคเพื่อไทย

การส่งสัญญาณเคลื่อนไหวครั้งนี้ แม้จะมาจากคนกลุ่มเดิม ด้วยประเด็นและวิธีการแบบเดิม แต่บริบททางการเมืองต่างออกไป นี่คือรูปธรรมหนึ่งของการเมือง 3 ก๊กที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตุไว้ 

พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน เป็นการร่วมกันด้วยกลไกอำนาจ กติกา และสถานการณ์ ไม่ใช่การหลอมรวมทางอุดมการณ์ ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ก๊กจึงมีทั้งส่วนที่เผชิญหน้า และประสานประโยชน์กัน

ที่กำลังเคลื่อนไหวเรื่องการชุมนุมอยู่นี้คือก๊กอนุรักษ์นิยม (ยังไม่มีพรรคไหนเป็นตัวแทนชัดเจน)

แม้พลังของก๊กนี้จะเลือกพรรคการเมืองที่กำลังร่วมรัฐบาลกับก๊กเพื่อไทย แต่ไม่ยอมรับการนำของเพื่อไทย และยังมีความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามเหมือน 20 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันบนเวทีนอกจากวิจารณ์เพื่อไทย ยังโจมตีก๊กพรรคประชาชนด้วย เพราะไม่เอาก๊กนี้เช่นกัน

หากมีการเคลื่อนไหวมวลชนต้านรัฐบาลเพื่อไทย อาจเป็นได้ที่จะมีกองเชียร์ก๊กพรรคประชาชนบางส่วนเข้าด้วย เพราะเคยร่วมก๊กอนุรักษ์นิยมมาก่อน 

โดยลักษณะทางมวลชน ที่ออกจากก๊กเพื่อไทยส่วนใหญ่เข้าก๊กพรรคประชาชน ส่วนจากก๊กอนุรักษ์นิยมจะไม่เข้าก๊กเพื่อไทย แต่ไหลเข้าก๊กพรรคประชาชนด้วย และอาจไหลกลับก๊กอนุรักษ์นิยมอีกได้ ถ้าสถานการณ์มาถึง  

ผมไม่คิดว่าจะมีม๊อบใหญ่ ที่ควรจะเป็นคือแต่ละก๊กสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะยังมีประชาชนอีกมากที่ไม่ได้ยึดติดผูกพันกับก๊กไหน แล้ววัดกันในสนามเลือกตั้ง ผลงานจะเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะ

แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดสถานการณ์ชุมนุมต้านรัฐบาลนี้ โดยคนกลุ่มเดิมวิธีการเดิมเมื่อ 20 ปีก่อน ปรากฏการณ์ทางมวลชนแต่ละก๊กจะเป็นเช่นไร

‘สนธิ’ ประเมิน!! การเมืองใกล้สุกงอม พร้อมลงถนน ถ้าจำเป็น จวก!! การเมืองโจรสีเทา เล็งเข้าพบ ขอคำตอบจาก ‘แพทองธาร’

(24 พ.ย. 67) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค กล่าวถึงการประกาศทิศทางทางการเมือง ในการจัดงาน ‘ความจริง มีหนึ่งเดียว เพื่อชาติ ครั้งที่ 4’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้ ว่าหลักๆ แล้วผู้ปราศรัยแต่ละคนจะมีประเด็นที่พูดถึงสังคมและชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอธิปไตยของชาติ MOU 44 กฎหมายใหม่ ข้อตกลงใหม่ของ WHO องค์การอนามัยโลก จะเป็นผลร้ายต่อประเทศอย่างไร และส่วนตัวจะเป็นคนพูดสรุปปิดท้าย พยายามชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่จำเป็นว่าจะเป็นรัฐบาลการเมืองหรือรัฐบาลทหาร ยังมีปัญหาที่คนไทยทุกคนต้องทนกับมันมาตลอด โดยไม่มีใครเข้ามาแก้ไข กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวทุกอย่าง โดยจะยกตัวอย่างหลายเรื่อง เช่น กรณีทนายตั้ม การฉ้อโกงที่มีมากอย่างผิดปกติ เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่จบ เรื่องเขากระโดง ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทำให้คนไทยช้ำใจที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่อธิบดีกรมที่ดินออกมาแถลงว่าไม่ใช่ จึงจะชี้ให้ประชาชนเห็นทุกอย่าง วันนี้คือประเทศไทยที่เราอยู่มา และตั้งคำถาม ถามว่าเราอยากจะอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือต้องหาวิธีคิดที่จะทำอะไร เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะทุกวันนี้นักการเมืองไม่ได้สนใจอะไร การเมืองประชาธิปไตยในบ้านเรา สามารถตั้งพรรคการเมืองกันได้ง่าย ไม่พอใจไปตั้งพรรคซึ่งไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์และคนที่เข้ามาในการเมืองแต่ละคนไม่เหมือนต่างชาติ ระบอบการเมืองไทยเปิดโอกาสให้โจรคนสีเทา คนมีเงินเข้ามาเล่นการเมือง และเมื่อมีอำนาจทางการเมืองก็จะเกิดเหตุอย่างเช่น เขากระโดง

นายสนธิยังประเมินสถานการณ์การเมือง ณ วันนี้ว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยฟาดฟันพรรคภูมิใจไทย เรื่องเขากระโดง เพราะต้องการเกิดการต่อรองเรื่อง สนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งการเมืองมีอยู่แค่นี้ มีแต่ความเลวทราม และตนจะพูดถึงชั้น 14 ด้วยว่าเป็นไปได้อย่างไร ถือเป็นการขยี้กระบวนการยุติธรรมไทย ตนคิดว่าถึงเวลาต้องรวบรวมกลุ่มคนที่เห็นด้วยหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทยหรือนักการเมืองเลวๆ ได้รับรู้

ส่วนการรวบรวมคนจะมีม็อบหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องวัดไปตามสถานการณ์ อย่าตั้งคำถามว่าจะให้ตนออกถนนหรือเปล่า เพราะไม่รู้ ตนไม่อยากลง แต่ถ้าจำเป็น เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็จะทำ ซึ่งตอนนี้เริ่มร้อนแรงแล้ว อาจต้องรอให้เดือดกว่านี้อีกนิดหน่อย และคิดว่าสถานการณ์ขณะนี้สำหรับประชาชนอย่างตนใกล้สุกงอมแล้ว แต่สำหรับนักการเมือง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ดูรายงาน สว.สีน้ำเงิน ไม่มีใครแตกถ้านักการเมืองคุม สส. สว. ได้ แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าพร้อมคุยกับนายสนธิและทุกฝ่ายนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ได้เตรียมตัวแล้ว โดยจะรวบรวมเรียบเรียงคำร้องเรียนที่จะพูด เพื่อจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี จะยื่นรายละเอียดให้ดู และจะถามคำตอบอย่างตรงไปตรงมาในหลายเรื่อง ซึ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น

‘ทนายวันชัย’ โพสต์เฟซ!! ถึง ‘นักร้อง’ กรณีศาลรัฐธรรมนูญ ชี้!! ถูกตบคว่ำ หมอไม่รับเย็บ จุดอย่างไรก็ไม่ติด ท่านไม่เอาด้วย

(24 พ.ย. 67) ทนายวันชัย สอนศิริ โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘นักร้อง’ โดยมีใจความว่า ...

สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ....

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องว่าพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณไม่ได้ล้มล้างการปกครอง เป็นการตบกระบาลเปรี้ยงไปยังบรรดานักร้องจนหน้าคว่ำคะมำไปตาม ๆ กัน แท้ที่จริงนักร้องพวกนี้คือพวกที่พยายามจะล้มล้างและเซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องจับแพะชนแกะ โยงเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัดให้เป็นประเด็น เป็นนิติสงคราม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง คำวินิจฉัยในวันนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า อย่าร้องกันมั่ว ๆ ส่งเดช ไม่เข้าท่าเข้าทาง

คนพวกนี้สู้ในสภาก็ไม่ได้ จะจัดม๊อบนอกสภาก็ไม่ไหว ทำอย่างไรก็จุดไม่ติด การร้องศาลรัฐธรรมนูญก็คงเป็นวิธีเดียวที่คนพวกนี้จะทำได้ เคยได้ผลเรื่องคุณเศรษฐามาแล้วก็เลยได้อกได้ใจ หวังว่าจะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือกำจัดรัฐบาลเหมือนที่เคยทำได้ แต่ศาลท่านไม่เอาด้วย ยิ่งผลคะแนนที่ออกมานั้นมันเกือบจะเอกฉันท์เต็มร้อย ทำให้ไอ้ห้อยไอ้โหนประเภทนักร้องที่จะเล่นเกมแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ ทำให้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ

สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพื่อไทยและคุณทักษิณก็อย่างมัวกระหยิ่มยิ้มย่อง ต้องใช้โอกาสนี้สปีดการทำงานให้เต็มสูบ เรื่องปราบปรามยาเสพติด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การทำมาค้าขาย ต้องเห็นผลให้ได้ภายในเดือนสองเดือนนี้ ศาลท่านก็ยกคำร้องแล้วว่าคุณทักษิณไม่เกี่ยวกับเรื่องครอบงำชี้นำอะไรทั้งนั้น ลุยได้ต้องลุย เดินเครื่องได้ต้องเดิน เพื่อไทยเป็นรัฐบาลนะ ไม่ใช่เป็นฝ่ายค้าน ผลงานต้องมี ไม่ใช่มีแต่น้ำลายพ่นกันไปวันๆ เวลาก็เหลือเพียงสองปีเศษ จะเอาสองร้อยเสียงขึ้นไป ต้องไม่ใช่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ คนเขารอผลงานและการแก้ปัญหาอยู่ อย่าให้เขารอนานไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นทักษิณก็ทักษิณเถอะ เพื่อไทยก็เพื่อไทยเถอะ ยังขืนอืดอาดยืดยาด...ระวังจะโดนเหมือนที่เคยโดนมาแล้ว

‘ดร.ปวิน’ สวนเดือด!! ‘นางแบก’ ด่าพรรคส้ม ลั่น!! ไม่เคยจับมือ กับ ‘คนทำลายประชาธิปไตย’

(24 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความ ‘แรง’ โดยมีใจความว่า ...

ความน่ารังเกียจของ E นางแบกบางตัว คือการสร้างวาทกรรมว่า พรรคส้มคือจุดสุดยอดของความ Jungไรทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณและพรรคที่คุณสนับสนุนคือ ความ Jungไรทางการเมืองของแท้ อย่างน้อยพรรคส้มก็ไม่เคยจับมือกับคนที่ทำลายประชาธิปไตย คือแทนที่คุณจะไปด่า E พวกทำลายประชาธิปไตยเหล่านั้น กลับมาจิกกัดพรรคที่สมควรได้จัดตั้งรัฐบาล edok 

หลุดปม!! คดีล้มล้างฯ ภาค 2 นาทีทอง ‘อุ๊งอิ๊ง – ระบอบทักษิณ’

(24 พ.ย. 67) กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1(ทักษิณ ชินวัตร)และผู้ถูกร้องที่ 2(พรรคเพื่อไทย) ยุติการกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และศาลรธน.ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2567 นั้น มีข้อมูลและเหตุการณ์ที่ควรจะได้บันทึก-ขีดเส้นใต้วิเคราะห์เป็นข้อ ๆ พอเป็นสังเขป

1) ภาพรวม ศาลรธน.มีมติ 'ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย' คำร้องประเด็นที่ 1,และประเด็นที่3-6 (กรณีชั้น 14 และครอบงำ ชี้นำ) เป็นเอกฉันท์หรือ9ต่อ0  และมีมติ 7 ต่อ2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในประเด็นที่ 2 (กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา) คีย์เวิร์ดที่ศาลรธน.ไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็นอยู่ตรงข้อความ “แต่การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อการล้มล้างฯ ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่า  น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ”

อีกทั้งประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6  ศาลรธน.เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ

2) น่าขีดเส้นใต้กรณีประเด็นที่ 2 ที่มีบุคคลยิ่งกว่าวิญญูชนอย่างตุลาการศาลรธน. 2 ท่าน (นายจิรนิต หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์) เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ซึ่งจากกรณีนี้มีนักกฎหมายหลายคนเห็นว่าหากมีการยื่นคำร้องตามรธน.มาตา 49 อีกครั้ง โดยผนวกรวมกับประเด็นที่ 1 (กรณีชั้น14) โดยเพิ่มพยานหลักฐานให้น่าเชื่อถือมากขึ้น ศาลรธน.อาจรับไว้พิจารณาก็ได้

3) มีรายงานข่าวทั้งทางเปิดและทางลับว่านายธีรยุทธจะนำข้อมูล-ประเด็นต่าง ๆ ที่ทำไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการยื่นคำร้องในช่องทางอื่น ๆ ต่อไป เขาได้ประกาศแล้วว่าการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องชุดใหญ่ไฟกะพริบไม่เป็นปัญหาเพราะทำด้วยสุจริตใจ สำหรับพรรคเพื่อไทยการประกาศ ‘เอาคืน’ นายธีรยุทธและผู้เกี่ยวข้องด้วยการฟ้องชุดใหญ่ กล่าวอย่างถึงที่สุดนักสังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่เห็นว่า ‘ไม่หล่อ’ เอาซะเลย!! 

4) ผลจากศาลรธน.ไม่รับคำร้องครั้งนี้ โดยภาพรวมฝ่ายต่าง ๆ เห็นว่าศาลเป็นกลางน่าเชื่อถือ แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้พรรคเพื่อไทย ตัวนายทักษิณ ชินวัตร เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ถูกปลดล็อกจากเงื่อนปมมรณะไปได้ แม้จะมีคดีอื่น ๆ ที่มีการร้องเรียนผ่านป.ป.ช.,กกต.แต่กว่าจะทราบผลก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน...นานพอที่จะทำให้ 'ระบอบทักษิณ' ที่คืนชีพได้ในเบื้องต้นแล้วในวันนี้ลงหลักปักฐานได้อีกครั้ง   

5) กล่าวได้ว่าผังอำนาจ-สมการการเมืองของประเทศในขณะนี้ ปฏิเสธได้ยากว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ของทักษิณเป็นแกนนำรัฐบาลในการหยุดหรือตรึงพรรคส้ม..ปมปัญหาตรงนี้ว่าไปแล้วทำให้ประเทศไทยต้องมี 'ค่าใช้จ่าย' ให้กับระบอบทักษิณ..ทั้งความขัดแย้งในสังคมที่ปฏิเสธระบอบทักษิณ, กระบวนการยุติธรรมที่ถูกด้อยค่า..ฯลฯ..

6) แม้จะมีความรู้สึกของผู้คนไม่น้อยว่า ความรู้ ความสามารถในการเป็นนายกฯสองเดือนเศษยังไม่ผ่านหรือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ภาษากายของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในขณะนี้บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีความคึกคัก มีความมั่นใจกับบทบาท-ตำแหน่ง จนแทบจะอ่านใจนายกฯได้เลยว่าเธอขอเวลาอีก3-4เดือน ทุกอย่างจะเข้าที่...ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองเมื่อปมศาลรธน.ถูกถอดสลัก..เป็นโชคดีที่ตัวนายทักษิณมีเวลาที่จะฟูมฟัก  เสริมวิทยายุทธ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ..อย่างช้าผ่านไตรมาสแรกปี2568 อาจจะเห็น ‘นิวอุ๊งอิ๊ง’

7) ซาวเสียงกูรูการเมือง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองและแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน..สามารถสรุปได้ว่าถ้าไม่เกิดเหตุทางการเมืองแบบฟ้าถล่มดินทลาย ช่วงกลางหรือปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 อาจจะเกิดการยุบสภา...ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทวงแชมป์เลือกตั้งกลับมาได้ และ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะเป็นนายกฯอีกรอบ

8) ช่วยกันดูแลประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top