Tuesday, 5 December 2023
POLITICS NEWS

‘ปานปรีย์’ เผย!! ถกขึ้นเงินเดือน ขรก. แนวโน้มดี ชี้!! ต้องเน้น ขรก.แรกเข้า หวั่น!! เทใจไปเอกชน

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นประธานการประชุมหารือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่องการปรับเงินเดือนข้าราชการ ร่วมกับตัวแทนกระทรวงการคลัง เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงบประมาณเข้าร่วมประชุม

ต่อมาเวลา 13.35 น. นายปานปรีย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ไปศึกษาและดูแนวทางที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ โดยการประชุมครั้งนี้ตนมาสังเกตการณ์ ในฐานะกำกับดูแล ก.พ. จึงมาฟังความคิดเห็นที่ทางหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายหารือกัน ซึ่งทิศทางออกมาดี ส่วนรายละเอียดต้องทำเพิ่มเติม คาดว่าก่อนสิ้นเดือน พ.ย. เสร็จแน่นอน 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่มีข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือนเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะขึ้นน้อยมาก มีหลักการและแนวทางอย่างไร นายปานปรีย์ กล่าวว่า ต้องดู เพราะมีในส่วนข้าราชการแรกเข้า ที่จะต้องปรับฐานเงินเดือน เพื่อให้คนที่เข้ามาใหม่มีความสนใจที่จะเข้ามาสู่ระบบราชการมากขึ้น เพราะถ้าฐานเงินเดือนต่ำเราอาจจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพ และคนที่จะเข้ามารับราชการอาจจะตัดสินใจเลี้ยวไปภาคเอกชน การประชุมครั้งนี้ต้องมาดูด้วยว่าเงินเดือนเอกชน ที่จบปริญญาตรี จะเริ่มต้นจากตรงไหน และดูความเหมาะสมในส่วนของราชการว่าควรจะเป็นเท่าไหร่

เมื่อถามว่า ควรจะต้องปรับเป็นจำนวน 25,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ยังไม่ใช่ ต้องดูรายละเอียดอีกอย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นเท่าไหร่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่บรรจุตั้งแต่ระดับ 3-7 ที่ไม่ใช่ระดับผู้บริหาร จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า การหารือยังไปไม่ถึงตรงนั้น ตอนนี้กำลังดูในส่วนของข้าราชการแรกเข้าก่อน เมื่อถามย้ำว่าการขึ้นจะเป็นการขึ้นทั้งระบบ ใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ขอให้รอฟังก่อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการรับฟังข้อมูลครั้งนี้ โอกาสที่จะขึ้นเงินเดือน มีสูงหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า “เป็นไปตามนโยบาย” 

เมื่อถามย้ำว่า ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวย้ำว่า “เป็นไปตามนโยบาย จะขึ้นมากหรือขึ้นน้อย ก็ค่อยว่ากัน”

‘อนุทิน’ คลอดมาตรการแบ่งเบาภาระประชาชนต่อเนื่อง ผุดขยายเวลา ‘จัดเก็บภาษีที่ดินฯ’ ปี 67 ต่ออีก 2 เดือน

(10 พ.ย.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ประจำปี 2567 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี 2567 เป็นการทั่วไป ออกไป 2 เดือน ตามที่ รมว.มหาดไทยได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยมีมาตรการเพื่อแบ่งเบาภาระพี่น้องประชาชนที่เผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วในส่วนของไฟฟ้า ขณะที่ส่วนของประปาอยู่ระหว่างการพิจารณา 

ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศให้มีการขยายกำหนดการเก็บภาษีที่ดินและท้องถิ่นในปี 2567 ออกไป 2 เดือน ซึ่งท่านอนุทิน ได้ลงนามแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนมีผลบังคับต่อไป โดยมาตรการนี้จะช่วยทำให้ประชาชนมีเวลาสามารถบริหารค่าใช้จ่าย เหลือสภาพคล่องไปใช้จ่ายในระยะเวลาที่ยืดออกไป สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ขณะนี้อยู่ในช่วงของการฟื้นเศรษฐกิจ

โดยโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สาระสำคัญของประกาศกระทรวงฯ ได้ขยายระยะเวลาดำเนินการในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังนี้…

1.ขยายกำหนดเวลาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดทำบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกาศ พร้อมจัดทำข้อมูลเกี่ยวข้องกับผู้เสียภาษีแต่ละรายทราบ จากเดิมภายในเดือน พ.ย. 2566 เป็น ภายในเดือน ม.ค. 2567

2.ขยายกำหนดเวลาของ อปท. ในการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี จากเดิมก่อนวันที่ 1 ก.พ. 2567 เป็น ก่อนวันที่ 1 เม.ย. 2567

3. ขยายกำหนดเวลาของ อปท. ในการแจ้งการประเมินภาษี โดยส่งแบบประเมินภาษีให้ประชาชนผู้เสียภาษี จากเดิมภายในเดือน ก.พ. 2567 เป็น ภายในเม.ย. 2567

4.ขยายกำหนดเวลาของผู้เสียภาษีในการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี จากเดิมภายในเดือน เม.ย. 2567 เป็น ภายในเดือนมิ.ย. 2567

5.ขยายกำหนดเวลาของผู้เสียภาษีในการผ่อนชำระภาษี ดังนี้ งวดที่1 จากเดิมชำระภายในเดือนเม.ย. 2567 เป็น ภายในเดือนมิ.ย. 2567 / งวดที่2 จากเดิมภายในเดือน พ.ค. 2567 เป็น ภายในเดือน ก.ค. 2567 และ งวดที่ 3 จากเดิมภายในเดือน มิ.ย. 2567 เป็นภายในเดือน ส.ค. 2567 

6.ขยายกำหนดเวลาของ อปท. ในการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้าง จากเดิมภายในเดือน พ.ค. 2567 เป็น ภายในเดือน ก.ค. 2567 

และ 7.ขยายกำหนดเวลาของ อปท. ในการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา จากเดิมภายในเดือน มิ.ย. 2567 เป็นภายในเดือน ส.ค. 2567

‘ภูมิธรรม’ เบรกเสียงวิจารณ์ ผลงานรัฐบาล 60 วันไม่คืบ ขอฝ่ายค้านใจเย็นๆ มั่นใจ ผลงานชัดเจนใน 100 วัน ลั่น!! มีเวลา 4 ปี ให้ ปชช.ตัดสินว่าผ่านไม่ผ่าน

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าการแถลงผลงาน 60 วัน ของรัฐบาล ไม่มีอะไรใหม่ ว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมดา และพยายามจะบอกกับฝ่ายค้านว่ารัฐบาลทำงานสร้างสรรค์ อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อยากให้มองว่าอะไรที่รัฐบาลทำ และเห็นว่าจะมีผลดีเกิดขึ้นในอนาคต อย่าซีเรียส อย่ามองทุกอย่างเป็นการเมืองหมด แต่เมื่อมีความเห็นก็สะท้อนได้เพราะรัฐบาลก็จะได้เป็นกระจกสะท้อนตัวเองด้วย ว่าทำอะไรไปแล้วเข้ายังไม่เข้าใจ

หน้าที่รัฐบาล คือ ทำให้เกิดความเข้าใจ และขณะนี้ทุกอย่างได้เริ่มต้นหมดแล้ว และที่วางไว้จริงๆ คือช่วง 100 วันแรก ที่จะปรากฏผลงาน แต่นายกรัฐมนตรี ต้องการชี้แจง 30 วัน 60 วัน เพื่อจะได้เห็นว่ามีความคืบหน้าในการทำงานอะไรบ้าง เชื่อว่าช่วง 90 วัน และ 100 วัน จะเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เช่น กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำอะไรหลายอย่างแต่ยังไม่ได้เอามาพูดออกสื่อ เช่น แก้ปัญหาสินค้าราคาแพง การบุกตลาดเชิงรุกไปมณฑลต่างๆ และคิกออฟเรื่องการส่งออก

“นายกฯ ต้องการจะบอกว่ามีอะไรคืบ แต่ต้องใช้เวลา 90 วัน 100 วัน ถึงจะเห็น อย่าเพิ่งวิจารณ์ วันนี้รัฐบาลทำงานหนักมากอยู่แล้ว นายกฯ บุกทุกด้าน และวันที่ 21 พ.ย.นี้ จะเป็นการรวมทีมระหว่างบีโอไอ เอกอัครราชทูต และทูตพาณิชย์ทั่วโลก สภาอุตสาหกรรมสภาหอการค้าสภาการท่องเที่ยว จะประชุมที่กรุงเทพฯ กำหนดรูปแบบการทำงานร่วมกัน เพื่อรุกตลาดต่างประเทศ การทำงานได้วางรูปแบบไว้และเคลียร์เรื่องต่างๆ ผลจึงยังไม่เกิด ขอให้อดใจรอ 100 วัน จะแถลงว่ามีอะไรบ้างที่เกิดเป็นรูปธรรม เรื่องไหนที่เริ่มต้นแล้วและจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เรื่องใดที่ทำสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ใจเย็นๆ รอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ขอย้ำว่าทุกอย่างเริ่มต้นแล้ว ขอให้รอดูวัดกัน รัฐบาลมีโอกาส 4 ปี ค่อยๆ ดูไป ถ้า 4 ปี คิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย มาเสวยอำนาจเสวยสุขอย่างเดียว งวดหน้าก็พร้อมให้ประชาชนพิจารณา แต่ผมเชื่อว่าเราตั้งแต่เวลาหลายวันทุกอย่างจะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นผล”

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังมีเรื่องที่นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันเคลียร์เรื่องปัญหาหนี้นอกระบบ ขณะที่ระดับอำเภอ ให้นายอำเภอและผู้กำกับการตำรวจ ร่วมมือจัดการปัญหาโดยเชิญทุกฝ่าย ทั้งคนที่ให้เงินกู้กับผู้กู้มาหารือ สมมติกู้ 1 หมื่นบาท ผ่อนไป 3-4 หมื่นบาทก็น่าจะพอแล้ว เพราะที่ทำมาก็ผิดกฎหมาย เก็บดอกเบี้ยไม่ใช่ดอกเบี้ยตามกฎหมายอยากให้ยุติ เรื่องนี้ทำแล้วแต่ยังไม่เกิดผล และนายกฯ เตรียมที่จะแถลงเรื่องแก้หนี้นอกระบบ

นอกจากนั้น ที่เราทำยังมีเรื่องของยาเสพติดที่จะดำเนินการ โดยนายกฯ สั่งการเสมอว่ามีการวัดเคพีไอผู้ว่าฯ ต้องบอกได้ว่าดีขึ้นอย่างไร ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้ามาทำงานแก้ฐานรากให้ดี แต่พอจะแก้บางทีมีอุปสรรคมาก เพราะสังคมไทยมีความหลากหลาย ดังนั้น หน้าที่รัฐบาลคืออดทน ชี้แจง ทำความเข้าใจ และปรับปรุงให้สอดรับกับสิ่งที่คิดให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ควรจะแบ่งหรือกระจายงานให้คนอื่นเป็นเจ้าภาพหลักดูแล เช่น เรื่องกฎหมาย เศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยไม่ต้องดูแลหรือพูดเองทุกเรื่อง หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่นายกฯ แย่งงานทำคนเดียวทำคนเดียวทุกเรื่อง เวลานี้งานที่นายกฯ แบ่งให้รองนายกฯ และรัฐมนตรี ก็เต็มไปหมดทุกเรื่อง ผู้ที่รับมอบก็หนักพอสมควร ทุกอย่างอยู่ในขึ้นเตรียมการ

ทั้งนี้ เราเข้ามาในช่วงที่ประเทศ เผชิญกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจภายในที่สะสม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง และวิกฤตการณ์ของโลก เช่น วิกฤตการณ์การเงินที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย เราจึงต้องเร่งทำงาน และเป็นข้อดีที่นายกฯ ลงรายละเอียดทั้งหมดและสั่งทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่แย่งงานไปทำ

เวลานี้ ครม.มี 35 คน อยากจะมี 50 คน 100 คนด้วยซ้ำ เพราะงานหนัก แต่ไม่หวั่น พร้อมสู้ โดยมีนายกฯ เป็นธงนำให้ลงพื้นที่ต่างๆ การที่นายกฯ ออกต่างจังหวัดตลอด ได้เรียนรู้และเข้าใจ และทราบปัญหาแท้จริง เพราะเจอทั้งเกษตรกร และกลุ่มต่างๆ และกำชับว่าไม่ต้องตามไป ใครมีงานที่เกี่ยวข้องก็ไป ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องไป ให้ทำงานของตัวเอง

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า รัฐบาลจะสอบผ่านหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มั่นใจแน่นอน เราตั้งใจ 100% เอาความรู้และประสบการณ์ เรามีความสามารถ ส่วนจะมั่นใจหรือไม่มั่นใจประชาชนจะเป็นคนตอบ

‘อนุทิน’ มอบนโยบาย ‘การประปาส่วนภูมิภาค’ เดินหน้าทำ ‘น้ำประปาดื่มได้’ ลดภาระประชาชน

เมื่อวานนี้ (9 พ.ย. 66) ที่อาคารศาลากลางจังหวัดขอนแก่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมามอบนโยบายกับข้าราชการในพื้นที่ และกล่าวถึงแนวทางการช่วยเหลือประชาชน ว่า ตนได้มอบนโยบาย ให้การไฟฟ้า และการประปา ทั้งส่วนของนครหลวง และภูมิภาค ช่วยเหลือประชาชน ด้วยการอย่ารีบถอดมิเตอร์ น้ำ ไฟ ให้ประชาชนได้ยืดเวลาชำระออกไปเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ รับปฏิบัติแล้ว ตรงนี้ต้องขอขอบคุณที่เราใจตรงกัน เห็นความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง และเห็นความทุกข์ของประชาชน ต้องเร่งแก้ไข มาวันนี้ ตนขอมอบนโยบายเพิ่มเติมให้กับการประปาส่วนภูมิภาค

“เราต้องทำให้น้ำประปามีความสะอาดเพียงพอให้ดื่มได้ และต้องไม่มีค่าใช้จ่าย ผมขอมอบนโยบายนี้ให้กับการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าท่านมีความสามารถในการบริหารจัดการ หาทางออกอย่างเหมาะสม เราอย่าลืมว่า บางคนเต็มใจซื้อน้ำดื่ม ขวดละ 10-20 บาท ไม่ใช่ปัญหา แต่กับอีกหลายล้านคน นี่คือภาระค่าใช้จ่าย เขาไม่ได้มีเงินมากมายนัก และอะไรที่ภาครัฐช่วยได้ ก็ควรจะหาทางช่วย หน้าที่ของเรา ชาวกระทรวงมหาดไทย คือบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สิ่งที่เราพอทำได้เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น เราต้องรีบทำ” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย กล่าว

'เทพไท' ยุติบทบาททางการเมือง เตรียมทำหนังสือแชร์ประสบการณ์ในเรือนจำ ลั่น!! เดินหน้าทำเพลง จัดรายการวิเคราะห์การเมือง ดูแล 'กาแฟเทพไท'

(10 พ.ย. 66) เทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับ 'ป้าจอย' ถึงทิศทางการทำงานการเมืองหลังได้รับอิสรภาพว่า มีคำถามเกี่ยวกับทิศทางการเมืองว่าจะเดินไปในแนวไหน?

“ผมได้คุยกับครอบครัวและตกผลึกว่า เรามีกับ 8 คนพี่น้อง ผมกับมาโนช ก็ต้องยุติบทบาททางการเมือง ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย”

ทั้งเทพไท และมาโนช เสนพงศ์ น้องชาย ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี วันนี้เทพไทในวัย 62 ย่าง 63 กว่าจะกลับมาทำงานการเมืองต่อได้ก็อายุย่าง 70 แล้ว จึงน่าจะยุติบทบาททางการเมืองยาว

เทพไท บอกอีกว่า มีการคุยกันว่า จะมีใครทำงานการเมืองต่อได้บ้าง ก็เหลืออยู่ 4 คนที่ทำงานการเมืองต่อได้ คนแรกคือ เชาร์วัศน์ เสนพงศ์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ยังมีพละกำลังทำงานการเมืองต่อได้

“อาจารย์เชาร์วัศน์ แนวโน้มยังติดอยู่กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถ้าอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค อ.เชาร์วัศน์ ก็คงจะอยู่ประชาธิปัตย์ต่อไป”

อีกคนคือ พงศ์สิน เสนพงศ์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยของ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ ก็คงจะอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

น้องมุก จริยา เสนพงศ์ ทำงานอยู่กรีนพีช เป็นเอ็นจีโอ ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม การเมืองภาคประชาชน เขาคุ้นเคยกับปิยบุตร แสงกนกกุล เรียนรุ่นเดียวกันที่ธรรมศาสตร์ พรรคก้าวไกลก็อยากให้เข้ามาช่วยทำงานการเมือง แต่เขาไม่สะดวก

เทพไท กล่าวอีกว่า น้องชายคนเล็ก ครรชิต เสนพงศ์ เขาเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ก็คงอยู่ก้าวไกลต่อไป 

“4 คนนี้จะทำงานการเมืองต่อไป สำหรับผมก็ไม่มีบทบาททางการเมืองแล้ว ก็จะยังคงเป็นที่ปรึกษา สนับสนุนการเมืองสุจริต ไม่ซื้อเสียง ไม่หากินกับยาเสพติด และฮั้วประมูล”

เทพไท เปิดเผยว่า อนาคตจะทำพ็อกเก็ตบุ๊กสักเล่ม ท่านชวนแนะนำให้เขียนประสบการณ์ชีวิตในคุก 16 เดือน เผยแพร่ให้กับประชาชน

เทพไท ย้ำว่าเตรียมทำงานเกี่ยวกับเพลง เข้าห้องอัดเสียง เนื่องจากตอนอยู่ในเรือนจำได้แต่งเพลงเกี่ยวกับเรือนจำไว้ 15 เพลง และอื่น ๆ อีก 20 เพลง

เทพไทบอกว่า ยังเตรียมจัดรายการวิเคราะห์การเมือง เพราะเคยมีประสบการณ์จัดรายการ 'สายล่อฟ้า' ซึ่งเป็นรายการที่มีเรตติ้งดีมาก แต่เป็นทีวีดาวเทียม ต่อไปอาจจะจัดบนทีวีดิจิทัล ก็ต้องดูว่ามีช่องไหนสนใจ และรูปแบบรายการจะเป็นอย่างไร แต่คงจะยังมี 'ล่อฟ้า' อยู่

เทพไทบอกอีกว่า อย่างอื่นก็คงจะมีทำธุรกิจอยู่บ้าง โดยทำ 'กาแฟเทพไท' ให้บริการคอกาแฟบ้านเรา หลังจากนี้ก็จะทำอยู่ 3-4 เรื่องนี้

‘กกต.เชียงใหม่’ จี้!! ‘สส.ก้าวไกล’ แจง ปมปลอมลายเซ็น-ใช้เอกสารเท็จ ขีดเส้น!! ภายใน 15 วัน ยัน ไม่เลือกปฏิบัติ ทำทุกอย่างตามขั้นตอน กม.

(9 พ.ย. 66) นายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผอ.กกต.) ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เผยกรณีผู้ช่วยหาเสียงนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ หรือ ‘สส.ตี๋’ สส.เชียงใหม่ เขต 7 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร้อง กกต.จังหวัด กรณีนายภัทรพงษ์ ใช้เอกสารเท็จเบิกค่าใช้จ่าย และเบี้ยเลี้ยง ผู้ช่วยหาเสียง สส. และทีมงาน ว่า ผู้ร้องได้มาร้อง กับ ผอ.กกต. พร้อมยื่นเอกสารหลักฐานตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ก่อน กกต.จังหวัด ได้พิจารณารับเป็นคำร้อง วันที่ 17 ตุลาคม และผู้ร้องมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กกต. วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน

นายนพดล กล่าวต่อว่า ต่อมา กกต.จังหวัด ได้มีหนังสือเชิญนายภัทรพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา มาให้ปากคำเพื่อแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าว วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่นายภัทรพงษ์ ได้ขอเลื่อนเข้าให้ปากคำดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่พร้อม ทาง กกต.จึงให้โอกาสเพื่อมาชี้แจงและให้ปากคำ ภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้

นายนพดล กล่าวต่อว่า จากนั้นทางพนักงานสอบสวน และ ผอ.กกต.จังหวัด จะเสนอเรื่องให้ กกต.จังหวัดพิจารณา เพื่อชี้มูลความผิดหรือไม่ก่อนเสนอ กกต.กลาง พิจารณาตัดสินตามขั้นตอนระเบียบกฎหมาย ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาตามปกติ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร

นายนพดล กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้ตั้ง หรือแจ้งข้อหากับผู้ถูกร้อง เพราะยังไม่ได้สอบปากคำจนกว่าผู้ถูกร้องมาชี้แจง และให้ปากคำเพื่อประกอบสำนวนคดีดังกล่าวครบถ้วนแล้ว เพื่อความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่ง กกต. ยึดหลักปฏิบัติดังกล่าว ของการเลือกตั้งทุกระดับ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น อย่างเท่าเทียม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะการยื่นบัญชีรายรับ-รายจ่าย หาเสียงเลือกตั้ง ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าสอบได้หรือสอบตก ต้องยื่นและแสดงบัญชีดังกล่าวตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ถ้ามีการปกปิด และแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ ต้องถูกตรวจสอบ เพราะนักการเมือง ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่สามารถละเว้นได้

'ชัยชนะ' ฟาด!! 2 เดือน 'รัฐบาล-นายกฯ' สอบตก ยก 3 ผ่าน 'อนุทิน-ชาดา-ธรรมนัส' ทำงานเห็นผล

(9 พ.ย.66) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของรัฐบาลหลังเข้ามาบริหารประเทศ 2 เดือน ว่า  2 เดือนในการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายก​รัฐมนตรี​ สิ่งที่น่าผิดหวัง คือ ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจของประเทศได้ ประชาชนยังอยู่ในยุคที่ข้าวของมีราคาแพง อีกทั้งปัญหาการพนันออนไลน์ ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวปัญหาอาชญากรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการพนันออนไลน์มากมาย และสุดท้ายการแก้ไขปัญหายาเสพติดก็ล้มเหลว ส่วนการปรับลดราคาพลังงาน ก็เหมือนเป็นการปรับลดแบบไฟไหม้ฟางระยะสั้น แก้ปัญหาไม่ตรงจุด และการทำงานของนายกฯ 2 เดือนที่ผ่านมา ก็เปรียบเสมือนนายกฯ เป็นหัวหน้าทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่วนใหญ่จะท่องเที่ยวในต่างประเทศมากกว่า และดูว่าการเดินทางต่างๆ ก็ไม่มีเป้าหมาย

นายชัยชนะ ยังกล่าวต่อด้วยว่า มีรัฐมนตรีแค่ 3 คนที่สอบผ่าน คือ นายอนุทิน ชาญ​วี​ร​กูล​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องของสังคมหลายเรื่อง ​ทั้งเรื่องเปิดผับถึงตี 4, นายชาดา ไทยเศรษฐ์​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย วางแผนแก้ไขปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพลอย่างมีระบบ, ร้อยเอกธรรมนัส พรหม​เผ่า​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้กับประชาชนและดูแลพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลเศรษฐาต้องกลับไปทบทวน เพราะรัฐมนตรีใน ครม. 35 คนสอบผ่านแค่ 3 คน ที่เหลือยังไม่มีผลงานประดับชัดเจน

“ต้องบอกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่การเดินแบบแฟชันโชว์หรือเป็นไกด์ทัวร์ จุดสำคัญต้องมีวุฒิภาวะ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังไม่มีโดยเฉพาะเหตุการณ์ที่จูบมือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อันนี้ถือว่าขาดภาวะความเป็นผู้นำ และตนขอให้คะแนนนายกฯ แค่ 3 คะแนนจากเต็ม 10 และ 3 คะแนนที่ให้คือ 1.นายกไหว้สวย 2.ไปเที่ยวทำให้คนรู้จักประเทศไทยมากขึ้นและ 3.คือนายกแต่งตัวแฟชัน” นายชัยชนะ กล่าว

‘สุทิน’ รับ!! เข้าใจผิด ‘งบประมาณกองทัพ’ มาตลอด กระจ่าง!! ต้องประเมินคู่แข่ง เพื่อหาอาวุธที่ต่อกรกันได้

(9 พ.ย. 66) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 66 พร้อมให้นโยบายตอนหนึ่งว่า เป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญในด้านของความมั่นคง ที่เป็นหลักสูตรมีคุณค่า และสถาบันนี้เป็นสถาบันหลักด้านความมั่นคงและยินดีกับทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียน ซึ่งตนโชคดีในฐานะ รมว.กลาโหม ได้มาดูความมั่นคงของประเทศ

สิ่งที่มีคุณค่าคือ การเรียนรู้ร่วมกัน 1 ปีคือยุทธศาสตร์ของวปอ. ซึ่งตนก็เคยมาศึกษาแผนยุทธศาสตร์และงานวิจัยของ วปอ. หลายครั้งนับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นก็จะได้ทราบแผนของรุ่นที่ 66 ตนในฐานะมาดูแลความมั่นคง ก็ต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกัน  แต่การพัฒนาประเทศไม่ได้ดูที่การศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ที่บางอย่างยังมีปัญหา ต้องดูว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาประเทศ แต่ยังขัดแย้งในตัวเอง จากประสบการณ์ อาชีพ 

คนเก่งมีเยอะแต่ทำงานไม่เข้ากัน ในการพัฒนาประเทศแต่ละคนคิดตามมุมมองของตัวเอง อาทิ การเมือง ก็คิดแบบการเมือง การทหารก็คิดแบบการทหาร นักวิชาการก็คิดตามแบบนักวิชาการ เพราะฉะนั้นการพัฒนาประเทศจึงไม่เป็นเอกภาพ ทำให้เห็นว่าในหลายอาชีพก็มีความขัดแย้งกัน ต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง ขาดจุดร่วมที่อยู่ร่วมกัน

ดังนั้น วปอ.มีจุดที่สำคัญคือ มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นศูนย์รวมคนเก่ง ทั้งทหาร ภาคเอกชน ซึ่งเป็นโอกาสดีของประเทศ ถือว่าเป็นทีมรวมดาราโลกมาอยู่รวมกัน มีทีมเวิร์กที่ดี ทำให้เห็นว่าการมาเรียนที่นี่จะทำให้มีเครือข่ายและมุมมองที่ดี

นายสุทิน กล่าวต่อว่า สงครามในปัจจุบัน เป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเราเคยเสียมาแล้วยุค IMF ซึ่งเอกราชทางด้านความมั่นคงเราต้องคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางวัฒนธรรม แต่เด็กรุ่นใหม่ไปเอาวัฒนธรรมต่างชาติ ไม่มีเอาวัฒนธรรมของตัวเอง ตนมองว่าเอกราชทางเศรษฐกิจทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 

ในการรักษาเอกราช ตนมองว่าภัยคุกคามใหม่ที่มีคือภัยจากข้างนอก คือการรบกันข้างนอก อาทิ รัสเซีย-ยูเครน การรบในอิสราเอล และในอนาคตก็จะเกิดสงคราม 2 ขั้ว ถ้าเราวางตัวไม่ถูกและไม่ดี ประเทศไทยก็โดนดึงเข้าไปร่วมด้วย เมื่อช้างชนกัน หญ้าแพรกอย่างเราก็มีปัญหา

ดังนั้นจะมีแนวทางเพื่อให้ประเทศไทยที่เป็นหญ้าแพรกจะได้อยู่รอดเมื่อช้างสารชนกันนอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามใหม่ อีกหลากหลายซึ่งเราต้องคิดแผนขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากภัยคุกคามทางทหารยังคงมีอยู่

นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามทางด้านความคิดที่เป็นภัยอยู่ในประเทศ เวลานี้คนไทยมีความคิดเห็นหลากหลาย ที่มีต่อสถาบันสำคัญของชาติ ถูกกระทบซึ่งเป็นภัยที่สำคัญ แตกแยกทางความคิดที่มีในโซเชียล นอกจากนี้มีภัยจากการไม่เชื่อมั่นสถาบันการเมือง ที่หากไม่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ความขัดแย้งทางการเมือง จะทำให้เป็นภัยกับทุกเรื่อง รวมไปถึงภัยจากสิ่งแวดล้อมที่ต้องจัดการขณะนี้ไม่ลงตัว เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ แก๊ง Call Center ข้ามชาติ ที่มีการดูดเงินในบัญชีออกไปเป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก หากเราตั้งรับภัยพวกนี้ไม่ได้ก็จบ 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีศูนย์ป้องกันทางไซเบอร์ดังนั้นอยากให้ศูนย์ไซเบอร์ฯ ของกองทัพไปคุ้มครองไซเบอร์ในหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ภัยจากโรคระบาดก็สร้างความเสียหายย่อยยับ ซึ่งปัจจุบันพบโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น หากเราไม่ตั้งรับ จะทำให้มีผลกระทบในหลายเรื่อง รวมถึงภัยยาเสพติด สมัยก่อนมีการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่า เริ่มมีปัญหาในเรื่องของเด็กติดยาเสพติดที่อายุน้อยลงต้องป้องกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 

จากที่ไปดูในศูนย์เด็กเล็กพบว่า มีเด็กไม่สมบูรณ์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยาเสพติด เพราะพ่อแม่ซึ่งเป็นเยาวชนติดยาและมาแต่งงานกัน ในขณะนี้กลุ่มพวกยาเสพติดกระจายอยู่ในกลุ่มของผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายทุนมนุษย์ เป็นความเศร้าใจ 

ดังนั้นความมั่นคงทางทหาร ก็มีผลกระทบเนื่องจากการรับพลทหารเข้ามาก็มีเด็กติดยาทำให้กองทัพอ่อนแอ แม้มีเครื่องบินไอพ่น F-16 หรือยุทโธปกรณ์ที่เข้มแข็ง ยาเสพติดก็เป็นสิ่งที่น่าหนักใจเนื่องจากเป็นภัยมั่นคงที่เข้ามา รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชัน ลามไปยังข้าราชการชั้นผู้น้อย จนสุดท้ายมาตกผลึก ของความยากจน ตอนนี้สิ่งที่สูญเสียกับเอกราชคือความยากจนของคนในชาติ เช่นคนในต่างจังหวัดที่มีที่ดินจำนวนมาก ขณะนี้การถือครองที่ดินลดลง ซึ่งชาวบ้านฐานใหญ่ ของประเทศมีที่ดินไม่ถึง 10% แม้ว่าจะมีที่ดินก็ยังติดภาระ ที่อาจจะหลุดลอยไป

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เกิดสงครามประชาชนเป็นภัยที่มองไม่เห็น กองทัพก็จะเอาไม่อยู่ จากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคี เพราะจากนี้ไปกลายเป็นว่าทรัพย์สินต่างๆจะอยู่กับคนกลุ่มน้อย ซึ่งพวกเราต้องคิดให้หนัก โดยภัยคุกคามใหม่ กองทัพรับมือคนเดียวไม่ได้ ทหารเก่งขนาดไหนก็รับมือไม่ได้ และสุดท้ายจะเกิดความขัดแย้งในสังคมและสะสมหลายรูปแบบ ทั้งความยากจน ความข้นแค้น มีความกดดัน จนมาทะเลาะกันในสภาและมีการลงถนน 

โดยเราไม่มีวัฒนธรรมที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวนำ ดังนั้นทหารก็ต้องเข้ามาแก้ แต่ก็ยาก อีกทั้งยังจะโดนด้อยค่า ถูกแยกออกจากประชาชน บทสรุปที่สำคัญ คือการป้องกันราชอาณาจักรไม่ใช่หน้าที่ของคนไทยคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะหน้าที่ของทหารแต่เป็นของทุกภาคส่วน ทุกกระทรวงทำร่วมกันต้องช่วยกัน ตนหวังว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ที่มาครบทุกสาขาอาชีพ และเป็นผู้ใหญ่ ตนเชื่อว่าทุกคนรักชาติและอยากเห็นประเทศชาติก้าวกระโดด 

คนที่มาเรียนวปอ.เป็นความหวังของกระทรวงกลาโหมในเรื่องของเครือข่าย ที่จะดำเนินงานและเป็นกำลังสำคัญ ส่วนกระทรวงกลาโหมจะทำอะไรได้บ้างนั้นในฐานะที่ตนเป็นพลเรือน และมีหลายคนพูดว่าจะรู้เรื่องของทหารและไม่ทะเลาะกับทหารหรือและเอามุมมองนักการเมืองมาทำงาน ตนขอเรียนให้สบายใจว่าความรับผิดชอบของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของประเทศ 

ตนมายืนตรงนี้ในฐานะตนเองและพรรค ก็ต้องรับผิดชอบ คือการปกป้องเอกราชสู้กับภัยคุกคามใหม่ ต้องทำให้กองทัพทันสมัย แข็งแกร่ง กะทัดรัด ไม่เช่นนั้นก็สู้ไม่ได้ รวมทั้งภารกิจ ต้องช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ออกมาพัฒนาโดยนำทรัพยากรทางทหารมาช่วยเศรษฐกิจ กองทัพต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการบริหารภายในกองทัพ เทคโนโลยีในการรบ ที่ต้องสู้กับเขาได้ อยู่แบบเดิมไม่ได้ 

"ซึ่งการจัดซื้ออย่าถามว่าจะซื้ออะไร แต่ต้องถามว่า ซื้อมาแล้วจะสู้อะไรกับเขาได้ ผมเข้าใจผิดมาตลอดเรื่องการจัดงบประมาณของกองทัพ จากเดิมที่เอาฐานเดิมมาทำ แต่กองทัพคิดอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอาคู่แข่งทางทหาร มาคิดด้วย อาทิ เมื่อเขามีเรือดำน้ำ มี F-16 ก็ต้องมีสิ่งที่นำมาสู้กับเขาได้ ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณดูคู่แข่งและคู่ต่อสู้ นับว่าเป็นความทันสมัยเช่นกัน นอกจากนี้ ต้องทันสมัยและอยู่ในใจประชาชน แม้กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน ถ้าไม่อยู่ในใจประชาชนและได้ใจประชาชน ก็ไม่ได้ และสิ่งใดไม่อยู่ในใจประชาชนก็ต้องหลีกเลี่ยง" นายสุทิน กล่าว

‘แทนคุณ-เค สามถุยส์’ บุกสภาพา ‘อดีต ผอ.รร.’ ร้องขอความเป็นธรรม หลังถูก ‘ผู้ช่วย สส.ก้าวไกล’ บีบให้เซ็นใบอนุโมทนาทิพย์ เฉียด 1.2 ลบ.

(9 พ.ย.66) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายนิยม นพรัตน์ หรือ ‘เค สามถุยส์’ นำผู้อำนวยการ (ผอ.) โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.จันทบุรี มายื่นหนังสือผ่านตัวแทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม สืบเนื่องจากโดนผู้ช่วย สส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) คนหนึ่งของ จ.จันทบุรี โดยผู้ช่วยคนดังกล่าวมีอักษรย่อ จ. คุกคาม

นายแทนคุณกล่าวว่า วันนี้พา ผอ.โรงเรียนมาร้องเรียน เพราะถูกผู้ช่วย สส.ของพรรค ก.ก. โดยขอให้ ผอ.คนนี้ช่วยออกใบอนุโมทนา 2 ใบ โดยใบแรกจำนวน 8 แสนบาท และใบสองจำนวน 3.7 แสนบาท แต่ผอ.ไม่ยอมออกให้ เนื่องจากไม่มีอำนาจและไม่มีจำนวนเงินดังกล่าวเข้าโรงเรียนแต่อย่างใด ภายหลังเหตุการณ์นี้ ผอ.ได้รับความเดือดร้อนโดนใส่ร้ายป้ายสีกระทบเรื่องส่วนตัว อีกทั้งผู้ช่วย สส.รายนี้ยังบุกเข้ามาโวยวาย ผอ. ว่าทุจริตคดโกง

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า เรื่องของผู้ช่วย สส. คนนี้จะเชื่อมโยงไปถึง สส.จันทบุรี คนนั้นหรือไม่ เพราะเห็นเขาโพสต์เฟซบุ๊ก เรื่องต่างๆ และพวกเราไม่ใช่มุ่งอาฆาตมาดร้าย ไม่ใช่คนที่คิดจองเวร หรือมีความแค้นส่วนตัว แต่เมื่อได้รับเรื่องนี้มาเราก็ดำเนินการ ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่คล้ายๆแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วย สส. ผู้ชำนาญการ หลายพื้นที่ รวมทั้งตัว สส. เองด้วยที่มีอีกหลายเรื่อง แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เรียกว่าเป็น 10 เคสไม่ใช่ธรรมดา ถ้าพูดทุกวันถึงสิ้นปีคงไม่หมด

“ตอนนี้บอกได้เลยว่าตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลมาประเทศไทยไม่เหมือนเดิมจริงๆ ไม่เคยมีการเมืองครั้งไหนที่จะเรียกว่าเมาเสรี ฟรีกาม คุกคามประชาชน รุนแรงและเลวร้ายเท่ากับการมีอยู่ของพรรคก้าวไกล” นายแทนคุณกล่าว

ขณะที่ เค สามถุยส์ กล่าวว่า ผู้ช่วย สส. คนดังกล่าวเป็นเพศหญิง และเป็นหลานเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจันทบุรี แต่มีพฤติกรรมเข้าไปอยู่ในกุฏิวัด ซึ่งกุฏิดังกล่าวสร้างจากเงินผู้มีจิตศรัทธาในศาสนา เพื่อใช้รับรองพระสงฆ์ แต่ผู้ช่วย สส. กลับยึดครองไว้เอง ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้เจ้าอาวาสวัดเสียหายไปด้วย หากไม่รู้เรื่องด้วย

ด้าน ผอ. กล่าวทั้งน้ำตาว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ตนไม่ยอมเซ็นใบอนุโมทนาให้ ต่อมาในวันที่ 28-29 มีนาคม ผู้ช่วย สส. ไปหว่านล้อมชุมชนเพื่อให้มากดดัน ทำให้ตนได้รับความเดือดร้อน ชีวิตวุ่นวาย ลามไปถึงลูกสาวด้วย สุดท้ายทนไม่ได้จึงลาออกจากการเป็นผอ. แต่ก็เปลี่ยนใจขอทบทวนไม่ลาออก เนื่องจากมีเวลา 30 วัน ในการทบทวน แต่ก็ถูกคำสั่งให้ออก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ทบทวนการเซ็นคำสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายแทนคุณ ได้เผยแพร่ภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว โดยเป็นภาพ สส.จันทบุรี เขต 2 พรรค ก.ก. คือ น.ส.ปรัชญาวรรณ ไชยสืบ พร้อมทีมผู้ช่วยดำเนินงานของผู้แทนราษฎร 

'นายกฯ เศรษฐา' รับ!! ถอดหมวกนายกฯ ในวงดินเนอร์ เปิดใจ!! ไม่ชำนาญการเมือง น้อมรับฟังทุกคำแนะนำในวง

(9 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการร่วมรับประทานอาหารค่ำกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ว่า จุดประสงค์ที่นัดทานข้าวกันเนื่องจากได้บริหารงานมา 2 เดือน ถือเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมหลายพรรค และเราได้มีการเจอกันประจำอยู่แล้วในเวทีที่เป็นทางการ ที่ต้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกสัปดาห์ในวันอังคาร นอกจากนั้นยังมีการประชุมวงเล็กซึ่งได้มีการพบปะเจอกันบ้างในลักษณะที่เป็นทางการมากกว่า

“ผมในฐานะที่เพิ่งเข้าสู่การเมืองและไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน และวันนี้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมเองไม่มีความชำนาญในการที่จะใช้เวทีที่เป็นเวทีทางการมากนักเท่ากับพี่ๆน้องๆหลายท่านที่เข้าไปอยู่ในการทานอาหารค่ำด้วยกัน ผมก็ถอดหมวกความเป็นนายกฯมาเป็นพี่ เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หรือนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นน้องและมีวัยวุฒิน้อยกว่า พล.อ.ต.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ก็ได้มีการพูดคุยกันว่าในรัฐบาลก่อน ๆ ที่หลายท่านเคยดำรงตำแหน่งมาหลายรัฐบาลมาก และจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่เวลานานมานี้ได้พัฒนาไปอย่างไร วิธีการดำเนินการประชุม วิธีการพูดคุย วิธีการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ละคนก็มีข้อแนะนำกันมา ซึ่งผมก็น้อมรับไปปฏิบัติ มันเป็นการพูดคุยที่เป็นกันเองและบรรยากาศที่สบาย ๆ จากการที่เราได้มาทานอาหารอร่อย ๆ ซึ่งมีหมูแดงสไตล์ฮ่องกงซึ่งทุกท่านชอบและบะหมี่ที่ใช้มือปั้นเองมาโชว์ให้ดู ก็อยู่กันถึง 4 ทุ่มกว่า ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่ได้พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องที่หนัก ๆ มาก เช่น เศรษฐกิจหรือะไรไม่มี แต่เป็นเรื่องของวิธีการทำงานและพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า ตรงนี้มีการพูดคุยตักเตือน ตนก็แสดงตัวตนว่าเป็นคนอย่างไร อธิบายให้พี่ ๆ น้อง ๆ ฟังว่าสไตล์การบริหารเป็นอย่างไรบ้าง มีหลายคนหลายท่านได้พูดคุยแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้าง เช่น นายภูมิธรรม เป็นคนที่มีพรรษาทางการเมืองเยอะ มีวัยวุฒิสูง และเป็นคนที่ตนให้ความเคารพในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ท่านก็ได้อธิบายให้ฟังถึงวิธีการทำงานของตนอย่างไรให้กับรัฐมนตรีท่านอื่น และหยอดมาเรื่องการสอนให้ปรับปรุงตัวเองด้วย เพราะท่านนายกฯ เป็นคนพูดตรง ตรงนี้ก็อาจจะต้องนำไปปรับปรุงบ้าง เพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายที่มันดีเหมือน ๆ กัน แต่อาจจะมีหลายวิธีก็น้อมรับไปปฏิบัติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้มีคำแนะนำอะไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีอะไรก็พูดคุยกันธรรมดา ซึ่งเราต้องอยู่ด้วยกันมีอะไรก็พูดคุยกันได้ ก็แนะนำว่าอยากให้มีการเจอกันบ่อยขึ้นโดยการสลับกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งคราวหน้าจะเป็นนายอนุทิน ขณะที่นายวราวุธ บอกว่าอย่าไปจัดไกลถึงเขาใหญ่เอาแถว ๆ นี้ก็พอ ก็บรรยากาศดีไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ไม่ได้มีการพูดคุยหรือต่อรองหรือขอนโยบายอะไรมา ไม่มี

เมื่อถามว่าจะมีการนัดพบพูดคุยระดับย่อย ๆ ลงมาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แล้วแต่เห็นสมควร ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย ซึ่งท่านเองก็มีความสนิทสนมกับหลาย ๆ ท่านตรงนั้นในฐานะที่เป็นนายกฯ น้อยก็น่าจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีท่านอื่นได้ดีขึ้น

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐนาวาได้ขอความร่วมมืออะไรจากพรรคร่วมรัฐบาลเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้มีเลย เพราะตนเชื่อว่าทุกท่านรู้หน้าที่ดีอยู่แล้วว่าเรามาร่วมเรือลำเดียวกัน เรามาช่วยกัน เรามาที่นี่ เรามาเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตนคิดว่าทุกท่านรู้หน้าที่กันเองอยู่ ส่วนท่านอื่นอาจจะมีการคุยกันเรื่องเฉพาะเจาะจง ก็คงมีการไปคุยกันวงอื่นเวทีอื่น แต่เวทีนี้เป็นการไปพบปะสังสรรค์กันมากกว่า

เมื่อถามว่า การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปร่วมด้วยเหมือนเป็นการสอนงานทางการเมืองไปในตัวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี เพราะน.ส.แพทองธารเองมีความคุ้นเคยกับหลาย ๆท่านอยู่แล้ว และบางครั้งก็จะเห็นคุณอุ๊งอิ๊งเดินตามอดีตนายกฯ มานานแล้ว ไม่ได้มีนัยอะไร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top