Saturday, 9 December 2023
POLITICS NEWS

'ทนายแจม-ก้าวไกล' รีวิว 'รถไฟฟ้าสายสีชมพู' ไม่ใจดีกับเราเลย ที่จับสูงเกิน ทำแขนตึง คนตัวเล็กก็จับเสาไม่ได้ เพราะโบกี้คนแน่น

โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เปิดให้ใช้บริการ ระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร โดยมีสถานีรับส่งผู้โดยสาร 30 สถานี มีจุดเชื่อมต่อไปโครงข่ายอื่น 4 จุด ทำให้เชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง

ล่าสุด ทนายแจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้รีวิวการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถึงปัญหาที่พบในการใช้บริการบางจุด และอยากให้มีการปรับปรุง โดยมีผู้ใช้บริการรายอื่น ๆ ร่วมสะท้อนปัญหาด้วย

ข้อความระบุว่า “รีวิว นั่ง #สายสีชมพู ครั้งแรก จากศูนย์ราชการฯ ไปต่อวัดพระศรีฯ ‘ตึงแขน’ มาก ที่จับอยู่สูงเกินไปนะคะ น้องนมเย็นไม่ใจดีกับเราเลย” พร้อมได้ระบุต่อว่า “ที่ไม่สามารถจับเสาได้ เพราะโบกี้คนแน่น ทำให้ผู้โดยสารที่ตัวเล็กไม่สามารถจับได้”

นอกจากนี้ผู้โดยสารรายอื่น ยังได้ร่วมสะท้อนปัญหา เช่น

-เห็นด้วยเลยค่ะ เราสูง 170 ยืนจากสถานีวัดพระศรีถึงสถานีคู้บอนคือเมื่อยมาก เราเองก็ว่ามันสูงเกิน ที่จับก็น้อยเกินถ้าเทียบกับพื้นที่ยืน บางทีช่วงคนเยอะไม่มีที่จับหน้าจะคว่ำเพราะมันกระตุกแรง
ที่จับเขาไม่ได้ใส่สายตรงกลางให้มันห้อยลงมา รบกวนรถไฟฟ้ามาใส่สายกันด้วยนะคะ ไม่ได้มีแต่ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กต้องใช้ น้อง ๆ เด็กนักเรียนก็ต้องใช้ค่ะ

ช่วยป้าอ้อด้วยฮะ สูงเหลือเกิน ข้อข่งข้อเข่างิ คนแน่นมากกกก จะจับที่จับก็เสมิฟฮะ / เตี้ย 55

เนื่องจากไม่มีพนักงานขับ ตอนจอดจึงลงเพื่อเปิดทางให้ด้านในลงสะดวกแต่ประตูปิดทั้งที่มีคนกำลังลงเลยขึ้นกลับไปไม่ได้ ต้องรออีกสองเที่ยวเพราะแน่นขึ้นไม่ได้ น้องนมเย็นไม่น่ารักเท่าไหร่

‘อนุทิน’ ส่งข้อความร่วมยินดี ‘บิ๊กตู่’ ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เผย ‘อดีตนายกฯ’ ขอบคุณ-ฝากฝังทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง

(1 ธ.ค. 66) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี ว่า…

“ยินดีกับท่านด้วย เพราะเคยทำงานด้วยกันมาก่อนในฐานะร่วมรัฐบาลเดียวกัน ได้ส่งข้อความไปยินดีกับท่านแล้ว และท่านตอบกลับมาว่า ขอบคุณ และให้ช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อท่าน”

ศาลฯ สั่งจำคุก 'ทนายนกเขา' 5 ปี 9 เดือน ปรับ 2 แสน 'ตั๊น-จิตภัสร์' จำคุก 9 เดือน ปรับ 4 หมื่น คดีไล่ 'รัฐบาลปู' ปี 57

(1 ธ.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก 7 คนร่วมกันกบฏ ก่อการร้าย หมายเลขดำอ.2732/2562 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายนัสเซอร์ ยีหมะ การ์ดคปท., นายอุทัย ยอดมณี แกนนำคปท., นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา แกนนำคปท., น.ส.จิตภัสร์ หรือ ตั๊น กฤดากร, นายพานสุวรรณ ณ แก้ว, นายประกอบกิจ อินทร์ทอง และนายกิตติศักดิ์ ปรกติ นักวิชาการ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ฯ

จากกรณีเมื่อช่วงวันที่ 23 พ.ย.2556 - 1 พ.ค. 2557 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม กปปส. ได้ร่วมกันชุมนุม ต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินและขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง ยุยง ปลุกระดม ให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายนัสเซอร์ จำเลยที่ 1 กระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทที่หนักที่สุดข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป พิพากษา จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ส่วน น.ส.จิตภัสร์ หรือตั๊น จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานยุยงให้ข้าราชการหยุดงาน สั่งจำคุก 9 เดือนปรับ 40,000 บาท

นายอุทัยและนายนิติธร จำเลยที่ 2 และ 3 ศาลพิพากษาจำคุกรวม 5 กระทง คนละ 5 ปี 9 เดือน ปรับคนละ 200,000 บาท

นายพานสุวรรณ และนายประกอบกิจ จำเลยที่ 5 และ 6 ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 4 ปี 9 เดือน ปรับคนละ 180,000 บาท

ส่วน นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นนักวิชาการ แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามข้อมูลวิชาการ จึงไม่มีความผิดพิพากษายกฟ้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 2, 3 ,4 ,5 ,6 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ที่กระทำผิดเพราะต้องการแสดงออกเพื่อต่อสู้ทางการเมืองเพราะเห็นความไม่ชอบธรรมในรัฐบาลและไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อส่วนตัวหลังเกิดเหตุได้เข้ามอบตัว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างกล้าหาญ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

‘เทพไท’ ยินดี ‘ลุงตู่’ เป็นองคมนตรีคนใหม่ แต่งกลอนเชิดชูความดีที่สร้างไว้ให้ชาติไทย

(1 ธ.ค. 66) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง ระบุว่า ‘สดุดีลุงตู่’ ขอแสดงความยินดีกับ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีคนใหม่

ส่วนตัวผมกับลุงตู่นั้น รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนที่ท่านเป็นหัวหน้าคสช. และเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก ผมรู้จักกับท่านในฐานะผมเป็นโฆษกส่วนตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับท่านที่อยู่ในฐานะรองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้ทำงานร่วมกันที่ ศอฉ. กองพันทหารราบที่11 ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายเดือน ในปี 2553  

ตอนท่านเป็นหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี อาจจะเห็นผมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พาดพิงถึงตัวท่านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่ได้มีเหตุอะไรที่ไม่พอใจเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 และการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน จึงได้วิพากษ์วิจารณ์ไปตามหลักประชาธิปไตยที่ผมยึดมั่นอยู่

แต่ในระหว่างที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ท่านได้ทำคุณประโยชน์ ให้กับประเทศชาติในหลายประการ มีผลงานที่จับต้องได้หลายโครงการ และที่สำคัญที่สุด คือท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยถูกข้อกล่าวหาว่า ทุจริตคอร์รัปชันเลย ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มือสะอาดคนหนึ่ง ที่สังคมการเมืองไทย ควรจะผู้นำมือสะอาดแบบนี้มาก ๆ

ในโอกาสที่ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ผมจึงขอนำบทกลอนชื่อ ‘สดุดีลุงตู่’ ที่ผมเคยเขียนไว้ สมัยอยู่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และมาเพิ่มเติมอีกหนึ่งบท หลังจากท่านได้รับโปรดเกล้าเป็นองคมนตรีเมื่อวานนี้

ซึ่งบทกลอนบทนี้ ผมได้มอบให้ อาจารย์ณกรณ์ ชูรักษ์ เรียบเรียงดนตรีและขับร้องเป็นเพลงแหล่ ซึ่งจะเผยแพร่ในวันที่ 4 ธันวาคม 2566 นี้ หรือหากมีใครจะนำไปขับร้องด้วย ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เพลงแหล่ สดุดีลุงตู่

สดุดี ลุงตู่ ผู้ยิ่งใหญ่
ผู้อยู่ใน หัวใจ ไทยทั้งหล้า
เป็นนายกฯ 9 ปี ที่ผ่านมา
ได้นำพา ชาติบ้านเมือง เรืองระบือ

ความสงบ เกิดขึ้น ทุกหย่อมหญ้า
ทั้งพารา แซ้ซ้อง และเชื่อถือ
ความซื่อสัตย์ สุจริต คนเลื่องลือ
กล่าวขานชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เป็นรัฐบาล สร้างผลงาน ไว้มากมาย
ไทยทั้งหลาย ทั่วถิ่น ถวิลหา
คนละครึ่ง เราชนะ ติดตามมา
ได้เยียวยา ช่วงโควิด พิชิตไทย

พัฒนา โครงสร้าง ทั้งประเทศ
ทุกคานเขต ก้าวหน้า ทันสมัย
สร้างถนน สร้างสะพาน ทางรถไฟ
นักท่องเที่ยว หลั่งไหล มามากมาย

ฟื้นสัมพันธ์ ไมตรี กับซาอุ
ส่งออก ยอดทะลุ ในการขาย
สร้างรถไฟ ในกรุงเทพ 12 สาย
ความเร็วสูง รางคู่ก็ได้ พัฒนา

ทั้งแหล่งน้ำ การเกษตร ปศุสัตว์
ทุกแผนงาน ของรัฐ ได้จัดหา
ทรัพยากร มนุษย์ ได้พัฒนา
คนจน คนรากหญ้า ได้ดูแล

บัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ ได้จัดให้
เบี้ยยังชีพ ก็ได้ ให้คนแก่
อสม. กำนันผู้ใหญ่ ได้ดูแล
เพื่อพ่อแม่ พี่น้อง ผองไทยเรา

ปรับเงินเดือน ให้องค์กร ส่วนท้องถิ่น
ได้มีกิน มีใช้ ไม่อายเขา
อบต. อบจ. เทศบาลเรา
ช่วยแบ่งเบา เพิ่มรายได้ ให้สุขขี

ทุกชุมชน เทศบาล ท่านจัดให้
ค่าตอบแทน ก็ได้ ทุกพื้นที่
ผลผลิต การเกษตร ราคาดี
เพราะรัฐมี ส่วนต่าง ของราคา

เกษตรกร มีรายได้ พอใช้สอย
อย่างน้อย ห้าอย่าง ไม่สร้างปัญหา
ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด ยางพารา
ข้าวชาวนา และมันสำปะหลัง

ประเทศไทย ได้เจริญ รุดหน้า
ทั่วพารา ไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง
ทำเพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ อย่างจริงจัง
คนไทย สมดั่งหวัง ทั้งแผ่นดิน

มีผลงาน ของท่าน อีกมากมาย
สาธยาย บอกได้ ไม่จบสิ้น
ชื่อลุงตู่ ดังก้อง ทั่วธานินทร์
ทุกฐานถิ่น อย่างทรนง องอาจ

จนบัดนี้ มีพระบรม ราชโองการ
สนองงาน ใต้เบื้อง พระยุคลบาท
โปรดเกล้า เป็นองคมนตรี ศรีของชาติ
ขอรับใช้ เป็นข้ารองบาท ทุกชาติไป

‘ชัยธวัช’ อ้าง!! นิรโทษกรรมคดี ม.112 นำไปสู่ความปรองดอง พร้อมธำรงรักษาให้พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ

(1 ธ.ค. 66) นายธชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ‘นิรโทษกรรม 112’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ข้อเสนอการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดอง หรือการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อถกเถียงสำคัญสำหรับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในปัจจุบันคือ เราควรนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยหรือไม่

เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราควรนำมาพิจารณาร่วมกันคือ หากเรานิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้ว จะเป็นการไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือจะเป็นการปล่อยให้เกิดการแสดงความคิดเห็น หรือการแสดงออกทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่

สำหรับประเด็นนี้ ผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ ก็ด้วยความรักความศรัทธาหรือความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับหรือการสร้างความกลัว ดังนั้น การบังคับใช้ ม.112 อย่างรุนแรงดังที่เป็นอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยั่งยืน ซ้ำร้ายยังจะส่งผลบ่อนทำลายสายใยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในระยะยาวอีกด้วย

ในสภาพการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ปรารถนาดีหรือจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ควรต้องร่วมกันตั้งหลักในการพิจารณากุศโลบาย ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และพลวัตของสังคมไทย เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ จัดวางพระราชสถานะอย่างประณีตภายใต้รัฐธรรมนูญ ระมัดระวังอย่าให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพระราชอำนาจกับหลักการ ‘ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง’ ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมเชื่อมั่นว่า มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะธำรงรักษาให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะตามรัฐธรรมนูญอย่างมั่นคง สังคมไทยในห้วงยามนี้ต้องการทุกคนมาร่วมกันคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมีสติ มิใช่การอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ม.112 มาคุ้มครองผลประโยชน์หรืออำนาจของตนเอง

'อานนท์' โวย!! ศาลอาญา ไม่อนุญาตให้เป็นทนายจำเลยช่วย 'ทอปัด' อ้าง!! ทั้งที่ยังมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นทนายความ เหตุคดียังไม่ถึงที่สุด

'อานนท์' ยื่นคำร้องคัดค้าน ภายหลังศาลอาญาไม่อนุญาตให้เบิกตัวมาทำหน้าที่ทนายจำเลยในคดี 112 ของ 'ทอปัด' ระบุ ยังมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นทนายความ เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 นายอานนท์ นำภา ทนายความและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของศาลอาญาที่ไม่อนุญาตให้เบิกตัวอานนท์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาทำหน้าที่ทนายจำเลยในนัดสืบพยานคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ของ ทอปัด อัฒอนันต์ อายุ 28 ปี ศิลปินนักวาดภาพอิสระ จากการวาดภาพรัชกาลที่ 10 เผยแพร่ในอินสตาแกรม ซึ่งจะมีการสืบพยานในวันที่ 1, 15 ธ.ค. 2566 และ 31 ม.ค. 2567  

การยื่นคำร้องคัดค้านเกิดขึ้นภายหลังเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2566 ศาลอาญามีคำสั่ง ‘ยกคำร้อง’ ต่อคำร้องในคดีของทอปัด ที่อานนท์ยื่นขอให้เบิกตัวมาทำหน้าที่ทนายความของจำเลย ร่วมกระบวนการพิจารณาสืบพยานในวันที่ 1, 15 ธ.ค. 2566 และ 31 ม.ค. 2567

ทั้งนี้ อานนท์ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 หลังศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ให้จำคุก 4 ปี และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันระหว่างอุทธรณ์ แม้จะยื่นประกันแล้ว 3 ครั้ง รวมถึงศาลฎีกาก็มีคำสั่งไม่ให้ประกันหลังทนายความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกัน จนถึงปัจจุบัน (30 พ.ย. 2566) อานนท์ถูกคุมขังมาแล้ว 66 วัน

🔴 คำร้องคัดค้านคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เบิกตัวทนายอานนท์มาในคดีของทอปัดมีเนื้อหาดังนี้...

คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 1 ธ.ค. 2566 ทนายความจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเบิกตัวทนายจำเลย ซึ่งถูกขังโดยอำนาจของศาลนี้มาปฏิบัติหน้าที่ทนายความ ศาลมีคำสั่งยกคำร้องและไม่เบิกตัวทนายความจำเลยมาปฏิบัติหน้าที่โดยให้เหตุผลว่า ทนายความจำเลยถูกพิพากษาว่ามีความผิดในคดีอาญา (คดีมาตรา 112) มีโทษจำคุก 4 ปี จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ทนายได้ 

ทนายจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้...

1. ทนายความจำเลยยังมีศักดิ์และมีสิทธิ์ในวิชาชีพทนายความอย่างสมบูรณ์ตาม พ.ร.บ.ทนายความ เพราะคดีการเมืองที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งตามรัฐธรรมนูญย่อมถือว่าทนายความจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งการสิ้นสุดลงของการเป็นทนายความย่อมเป็นไปตามกฏหมายว่าด้วยทนายความ ซึ่งทนายความจำเลยยังมีชื่อเป็นทนายความ ไม่ได้ถูกเพิกถอนการเป็นทนายความแต่อย่างใด ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ อันเป็นการขัดขวางไม่ให้ทนายความได้ปฏิบัติหน้าที่ในคดีได้

2. การที่ศาลมีคำสั่งไม่ให้ทนายความจำเลยมาศาลเพื่อทำหน้าที่ ทั้งที่ทนายความจำเลยถูกขังโดยอำนาจศาล ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ในการสืบพยานโจทก์จะไม่มีทนายความที่จำเลยไว้วางใจและแต่งตั้งมาทำหน้าที่ กระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีมาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดในหมวดความมั่นคงและเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ย่อมไม่อาจดำเนินไปด้วยความยุติธรรมได้ 

ทั้งนี้ กระบวนพิจารณาคดีมาตรา 112 ได้ถูกจับตาโดยประชาคมโลกมาโดยตลอด รวมทั้งเนติบัณฑิตแห่งสหภาพยุโรปได้เคยทำหนังสือแสดงความกังวลในการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความจำเลย ซึ่งถูกละเมิดจากการแสดงออกอย่างสันติทางการเมืองจนกระทบต่อการทำหน้าที่ ซึ่งหนังสือดังกล่าวถูกส่งไปยังสภาทนายและถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยตรง

การออกคำสั่งของศาลในคดีนี้ยังตอกย้ำถึงกระบวนการยุติธรรมในคดีมาตรา 112 อย่างชัดเจนว่า มีความไม่ปกติ และอาจเกิดความไม่ยุติธรรมในการพิจารณาคดี

3. หากศาลเห็นว่า การแต่งกายในชุดนักโทษไม่เหมาะสมที่จะสวมครุยเนติบัณฑิตว่าความในห้องพิจารณา เหมือนในการพิจารณาคดีของศาลนี้ในหลายคดี หากศาลมีคำสั่งห้ามสวมชุดครุย ทนายความจำเลยก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งแม้จะไม่เห็นด้วย 

การที่ทนายความจำเลยไม่อาจแต่งกายด้วยชุดสุภาพแบบสากลนิยม แต่ต้องสวมชุดนักโทษ ก็เพราะศาลนี้และศาลอุทธรณ์ ตลอดจนศาลฎีกา ไม่ได้มีคำสั่งให้ประกันทนายความจำเลย ไม่ใช่เรื่องที่ทนายความแต่งกายไม่ถูกระเบียบเอง ทั้งการไม่อาจสวมครุยก็ไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ ถึงขนาดจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะหากทนายความปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยความยุติธรรม แม้อยู่ในชุดนักโทษก็สามารถทำให้เกิดความยุติธรรมได้ แต่หากทำหน้าที่ไปด้วยอคติหรือมิจฉาทิฐิ แม้จะสวมชุดครุยที่ทอด้วยไหมก็คงไม่มีค่าอันใด

ด้วยเหตุผลที่ทนายความจำเลยกล่าวมาข้างต้นทนายความจำเลยจึงขอแถลงคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าวไว้ 

อานนท์ นำภา
ทนายความจำเลย

'สุวัจน์' เคลียร์ปม 'กรณ์' ทิ้งชาติพัฒนากล้า ชี้!! เป็นความตั้งใจเดิม ไม่เกี่ยวอ้าแขนรับ 'สส.แจ้'

(30 พ.ย. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี เขต 2 ที่โดนขับออกจากพรรคก้าวไกลจากกรณีปัญหาคุกคามทางเพศ ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า ทางพรรคฯ โดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ และได้รับเข้าเป็นสมาชิกพรรคฯ ก็ได้แจ้ง กกต. และได้แจ้งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรให้รับทราบ

ส่วนเหตุที่รับเข้ามาก็มีการติดต่อและสมัครมาที่พรรคฯ และเราก็ดูในเรื่องคุณสมบัติโดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติถูกต้องและคิดว่ารัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดเอาไว้ให้หาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ฉะนั้นตนก็คิดว่าก็เป็นโอกาสของนายวุฒิพงศ์ฯ ในการที่จะมาทำงานที่พรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อพิสูจน์ผลงานให้กับพี่น้องประชาชนได้เห็นและทำงานตามแนวทาง นโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนา

ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และกลัวประเด็นดรามาของแฟนคลับพรรคชาติพัฒนากล้าก็มีจำนวนมากนั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ได้พูดคุยและได้รับทราบว่านายวุฒิพงศ์เองก็ได้ชี้แจงต่อสาธารณะไปแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นนั้นก็เกิดมาก่อนที่จะมาอยู่กับพรรคชาติพัฒนา และในส่วนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันกับพรรคชาติพัฒนาแต่อย่างใด ฉะนั้นก็คิดว่าเป็นโอกาสที่นายวุฒิพงศ์จะได้พิสูจน์ตนเองในการทำงานให้พี่น้องประชาชนเห็น และก็ทำงานตามแนวนโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนาต่อไป

ส่วนจะมีมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น หรืออาจจะมีตามมาอีกด้วยนั้น ตนเองไม่ทราบ ตอนนี้ไม่มีมาเพิ่ม ตอนนี้มีแค่นี้ ส่วนจะมีหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่เหตุการณ์วันข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ก็มีที่ต้องหาสังกัดพรรคอยู่ 2 คนเห็นว่าได้ครบหมดแล้ว จากนี้ไปก็ไม่มีกรณีไหนแล้ว ซึ่งทำให้ตอนนี้พรรคชาติพัฒนามี สส.รวมเป็น 3 คน ส่วนจะมีเรื่องตำแหน่งจะมีหรือไม่หรือต่อรองอะไรนั้น ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องอะไรทั้งสิ้นก็เพียงแต่ว่า เมื่อมาสมัครที่พรรคแล้วตรวจสอบคุณสมบัติตามข้อบังคับพรรคที่เกี่ยวข้องก็ถือว่าเมื่อนายทะเบียนยืนยันว่าการตรวจสอบคุณสมบัติทุกอย่างถูกต้องก็เท่านั้น ไม่ได้ไปมีมุมอื่น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงนายกรณ์ จาติกวนิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคฯ ไปแล้วนั้น จะมีการเคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า จริง ๆ นายกรณ์พอเลือกตั้งเสร็จ ตอนเลือกตั้งนายกรณ์เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พอเลือกตั้งเสร็จเราได้กัน 2 เสียงและหลังเลือกตั้งนายกรณ์ก็มาแจ้งกับตนว่า จะขอลาออกจากหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค โดยตอนนั้นจะออกทั้ง 2 ตำแหน่งเลย ตนเลยได้บอกกับท่านว่า เพิ่งเลือกตั้งเสร็จ อยากให้ท่านอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน เหมือนกับเป็นขวัญเป็นกำลังใจ เราก็ทำงานร่วมกันมา ตนก็ขอท่านไว้ ถ้าจะออกก็ออกจากหัวหน้าพรรคตำแหน่งเดียวก่อน สมาชิกพรรคเอาไว้อีกสักระยะหนึ่งแล้วกัน แล้วท่านอยากจะออกอะไรไม่มีปัญหา ซึ่งท่านก็ได้อยู่เป็นสมาชิกพรรคอีกต่อมา 2-3 เดือน

“เมื่อวานผมก็ได้พูดคุยกันแล้วก็รับทราบ ก็เป็นไปตามเรื่องเดิม เพราะเรื่องเดิมก็แสดงวัตถุประสงค์แล้ว และไม่ได้เกี่ยวกับการรับสมาชิกมาเพิ่ม เพราะได้คุยกันไว้แล้ว ตอนนั้นท่านบอกว่าเมื่อผลการเลือกตั้งเสร็จและผลการเลือกตั้งได้มา 2 เสียงท่านก็คิดว่าอยากที่จะยุติบทบาทการทำงานหน้าที่ทางการเมืองไว้ชั่วขณะหนึ่งก่อนและท่านขอคิดอะไรอีกสักหน่อยหนึ่งทำนองนั้น ก็ได้พูดคุยกันแล้วและก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องอื่น ๆ” นายสุวัจน์

'พีระพันธุ์' โพสต์ยินดี 'ลุงตู่' ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เชื่อ!! ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของชาติ

(30 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความยินดีกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีวานนี้ (29 พ.ย.2566) โดยระบุว่า…

เมื่อคืนผมดีใจมากพอทราบข่าวพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ให้เป็นองคมนตรี ผมรีบติดต่อท่านทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และภารกิจใหม่อันมีเกียรติยศและมีความสำคัญยิ่งทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อประเทศ และต่อสถาบันหลักของชาติ

ผมดีใจมากเพราะมีคนดีอีกคนหนึ่งได้รับโอกาสนี้ โดยเฉพาะเมื่อท่านไม่ใช่เพียงเป็นแค่คนดีจริงๆเท่านั้น แต่เป็นคนดีที่มีความสามารถมีความรอบรู้ในการบริหารและการพัฒนาบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต

ผมเชื่อมั่นและมั่นใจว่าท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของประเทศในการสร้างความมั่นคงและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นและความเจริญมากยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับท่านเป็นที่สุดครับ ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’

นอกจากนี้ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็ได้แสดงความยินดี กับพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เพราะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมานาน สร้างคุณูปการให้กับสังคม และประชาชนไว้อย่างมากมาย

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยทำงานร่วมกับพรรคมาระยะหนึ่ง พวกเราได้เห็นความตั้งใจจริงในการเข้ามาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พ้นจากการเมืองไปแล้ว พร้อมทั้งได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำงานสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งองคมนตรีต่อไป

'นายกฯ' ทาบอก!! พรหมลิขิต 'ดีเอสไอ' ขั้วอำนาจเก่าผงาด-หมูเถื่อนข้ออ้าง

วันอังคารที่ 28 พ.ย. เพิ่งจะนำทีมไปตรวจค้นสำนักงานใหญ่บริษัทแม็คโครที่ย่านพัฒนาการ กรณีรับซื้อเนื้อและเครื่องในหมูจากสองบริษัทพ่อลูกที่กำลังถูกดำเนินคดีนำเข้าหมูเถื่อน...

วันรุ่งขึ้น 29 พ.ย. 'พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล' อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ คนที่ 12 ก็ถูกเด้งดึ๋ง...ครม.โยกไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ตามข้อเสนอของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม อดีตอธิบดีดีเอสไอคนที่ 5 ที่ให้เหตุผลว่า “พ.ต.ต.สุริยามีความเหมาะสมที่จะไปขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ เพราะประสบการณ์สูง...ขอยืนยันว่าเหตุย้ายไม่เกี่ยวกับการปราบหมูเถื่อน”

ขณะที่ท่านโฆษกรัฐบาล คุณหมอชัย วัชรงค์ ยอมรับว่าสาเหตุการจับกุมเรื่องหมูเถื่อนล่าช้าเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องคดีโกงหุ้น บมจ.สตาร์ค และเหตุผลในเชิงการบริหารอื่น ๆ ด้วย...

จะด้วยเหตุผลกลใดก็ว่ากันไป...แต่สำหรับเจ้าตัว พ.ต.ต.สุริยา ทำแบนเนอร์สวยงาม โพสต์ชัด ๆ ว่า “ทำใจอยู่ตลอดเวลานับแต่มานั่งเป็นผู้บริหารสูงสุดที่นี่แล้วครับว่าต้องถึงวันนี้ แต่ผมเลือกทางเดินและวิถีผมเองตั้งแต่ต้น ไม่เสียใจครับเพราะทำเต็มที่แล้ว -เป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับทุกท่านครับ 28 พ.ย. 66 / พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล”

ก็นับว่า...อธิบดีท่านนี้มีหัวใจสิงห์อยู่ไม่น้อย...แม้ข้อความที่โพสต์อ่านแล้วก็ดูออกว่าน้อยใจ เสียใจอยู่พอประมาณ...

'เล็ก เลียบด่วน' ขอทวนความจำสักนิดว่า พ.ต.ต.สุริยา มาเป็นอธิบดีดีเอสไอ เมื่อ 18 ม.ค. 66 ช่วงที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรมว.ยุติธรรม ขณะนั้น พ.ต.ต.สุริยา เป็น ผอ.สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ โดยย้ายสลับกับนพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ ซึ่งขณะนั้นถูกครหากรณีทีมงานมีพฤติกรรมเทา ๆ ในปฏิบัติการปราบทุนจีนสีเทา...

และที่คนทั้งประเทศรู้จักและออกอาการสงสาร พ.ต.ต.สุริยา ก็คือวันที่ 12 พ.ย. วันที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ปรี๊ดแตก...เฉ่งปี๋เรื่องคดีหมูเถื่อนว่าล่าช้า...ทำไมไม่จับตัวการใหญ่ซะที...ผมสั่งไปแล้ว...

ครั้น พ.ต.ต.สุริยา ไปลุยห้างใหญ่...ค้าปลีกใหญ่อย่างแม็คโคร และจัดคิวจะไปห้างโลตัสวันที่ 1 ธ.ค.ก็ถูกเด้งดึ๋งซะก่อน...ใครต่อใครคาดว่า คดีหมูเถื่อนยังไงก็ไปไม่ถึงตัวการใหญ่ โดยเฉพาะนักการเมืองที่คนชื่อ 'เศรษฐา' รู้อยู่เต็มอกว่าใครบ้าง...

ครับ...จากนี้ไปก็มานั่งลุ้นกันแบบไม่ระทึก เพราะพอจะรู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า...หวยอธิบดีดีเอสไอจะไปออกที่ใคร...ตอนนี้คนที่จะมานั่งรักษาการก็ต้องเป็นรองอธิบดีคนที่ 1 คือ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ลูกน้องเก่าของ พ.ต.ต.ทวี สอดส่อง และเป็นมือทำงานร่วมก๊วนกับ พิชิต ชื่นบาน เจ้าของฉายา 'ทนายถุงขนม' มือกฎหมายของนายกเศรษฐาด้วย

ไม่แต่เท่านั้น...ถ้ายังจำกันได้ พ.ต.ต.ยุทธนา หรือ 'รองแพร' ของชาวดีเอสไอ ยังเป็น 1 ใน 4 ผู้ต้องหาที่ถูก 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ฟ้องข้อหาประพฤติมิชอบกรณีดำเนินคดีเขาทั้งสองเรื่องสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อ 2553 ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ศาลฎีกาตัดสินจำคุก ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอเพียงคนเดียว ส่วนดีเอสไออีก 3 คนคือ 'รองแพร' กับพวก ศาลยกฟ้อง...

พวกของ 'รองแพร' อีกสองคนที่ศาลยกฟ้องคือ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ตอนนี้โอนไปเป็นใหญ่ในตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต. อีกคนคือ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ตอนนี้เป็นรองอธิบดีดีเอสไอ

พูดไปทำไมมี...เรื่องการปราบปรามหมูเถื่อนหรือเรื่องการดำเนินคดีกับแก๊งโกงหุ้นสตาร์ค น่าจะเป็นเพียงเหตุผลข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น...แต่ที่สำคัญที่สุดน่าจะอยู่ตรงที่รัฐบาลเพื่อไทย โดยเฉพาะผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค ที่นอนตีพุงอยู่ที่ รพ.ชั้น 14 และรวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี ร่วมกันจัดทัพปรับแถววางคนของตัวเองให้ตอบสนองตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุดในทุก ๆ มิติ...รวมทั้งโจทย์การเมือง

น่าติดตาม...น่าดูชม...พรหมลิขิตเวอร์ชันดีเอสไอเป็นยิ่งนัก 

สวัสดี

'พุทธะอิสระ' เตือน!! 'ก้าวไกล' หากหยุดพฤติกรรมทรามลิ่วล้อด้อมส้มไม่ได้ ปล่อย 'หมิ่นสถาบันฯ-ย่ำยีคนเห็นต่าง' กม.นิรโทษล้างคดี 112 ก็แค่เพ้อฝัน

(30 พ.ย.66) นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า หลังจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเจรจาความเมืองกับพุทธะอิสระ แล้วก็พูดในเชิงว่า ถ้าการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ใช้คำว่า ยกเข่งก็น่าจะถูกต้อง ยกเว้นคดีทุจริตและความผิดทางชีวิต รวมทั้งหมายรวมไปถึงมาตรา 112 เข้าไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกล ก็จะติดคุกเพราะคดีนี้ นับตั้งแต่ผู้ก่อตั้งพรรคไปจนถึงลิ่วล้อบริษัท บริวาร ผู้มีความคิดหรือความเห็นเดียวกัน ล้วนอยู่ในเครือข่ายของพรรคก้าวไกลทั้งหมด

ในเวลานี้พวกเขาค่อนข้างจะเดือดร้อน คดีความผิดมาตรา 112 ที่ตนทำไว้ กำลังบีบคั้น รัดตัว ด้วยเหตุผลว่า กระบวนการดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 เมื่อศาลพิสูจน์ได้ว่า มีหลักฐานการกระทำผิดชัดเจน ส่วนใหญ่จะต้องติดคุกจริงๆ ซึ่งตอนนี้มีเป็นสิบๆ คดี แล้วในการดำเนินคดีนั้นก็มีบุคคลที่เป็นแกนนำ รวมทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรครวมอยู่ด้วย หรือดีไม่ดีก็อาจจะมีหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้พรรคก้าวไกลพยายามจะกระตือรือร้น ทุรนทุราย กระวีกระวาด ร้อนรน ที่จะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ด้วยข้ออ้าง ทำให้เกิดความปรองดอง อันนี้พอเข้าใจได้

แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้ติดตามวิธีเจรจา กระบวนการเจรจาความเมือง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่พุทธะอิสระค่อยๆ ทยอยปล่อยคลิปออกไป ท่านจะเห็นว่าพุทธะอิสระได้มีคำถามกับหัวหน้าพรรคก้าวไกลกลับไปว่า คุณมั่นใจแค่ไหนกับการที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วความผิดเดิมๆ มันจะไม่กลับมาเกิดขึ้นซ้ำอีก แล้วสามารถหยุดยั้งความรุนแรง ความจาบจ้วงล่วงเกิน หมิ่นปรามาสสถาบัน รวมทั้งมันจะเกิดบรรยากาศของความปรองดองขึ้นได้อย่างจริงๆ หละหรือ ซึ่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็รับปากว่าจะพยายามไปพูดคุย แล้วก็หาทางพูดกันหรือว่าหาวิธีการที่จะหยุดยั้งหรือว่าห้ามปรามบุคคลที่สร้างความร้าวฉาน หรือจาบจ้วงสถาบัน ไม่ทำให้เสียบรรยากาศของความปรองดอง

ด้วยประโยคหรือประเด็นเหล่านี้ พุทธะอิสระก็เลยทดลอง โยนหินถามทางดูว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ เขาสามารถคอนโทรล ควบคุมบุคคลหรือว่าลิ่วล้อ บริวารที่อยู่ในอาณัติ หรือผู้ศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเขาได้มากน้อยแค่ไหน จึงลองปล่อยคลิปการสนทนาความเมือง ที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเจรจา ปล่อยเป็นระยะๆ ซึ่งเวลานี้ก็เข้าสู่ EP ที่ 4-5 แล้ว

สิ่งที่พุทธะอิสระได้รับก็คือ พวกด้อมส้มทั้งหลายก็พากันมารุมด่า รุมประณาม สับจิก หยามเหยียด ดูหมิ่นพุทธะอิสระ แล้วก็ต่อว่าเล็กๆ กับหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งมาให้ค่าอะไรกับไอ้โล้นซ่ากับไอ้ตัวน่ารังเกียจอะไรประมาณนี้ ซึ่งมันก็ทำให้เห็นว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลมโนขึ้นว่า การผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย มันจะหยุดยั้งความแตกแยก และสร้างบรรยากาศของความปรองดองขึ้นได้

มันน่าจะเป็นเรื่องไม่จริง มโนขึ้นฝ่ายเดียว เพราะนี้แค่เริ่มต้นพวกลิ่วล้อด้อมส้มของเขาก็แสดงอาการ ปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง จาบจ้วง ล่วงละเมิดบุคคลที่เห็นต่างออกมาอย่างน่ารังเกียจ ประมาณว่า มึงกับกูจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

เหล่านี้จึงเป็นที่มาที่พุทธะอิสระตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกตว่า การออกกฎหมายปรองดอง ที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลพยายามจะพูดและโฆษณาไปตามสื่อต่างๆ ว่า มันคือการสร้างความปรองดอง หยุดยั้งความรุนแรงก้าวร้าว ล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะขนาดแค่เริ่มต้น คุณก็ยังไม่สามารถที่จะไปห้ามปรามบุคคลที่แสดงความก้าวร้าว รุนแรง แล้วก็ยุยงปลุกปั่น ดูถูก ดูหมิ่น เหยียบย่ำผู้เห็นต่าง ในเวลานี้พวกคุณยังห้ามเขาไม่ได้ ซึ่งคนเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ศรัทธาในตัวพวกคุณทั้งนั้น

เพราะงั้นข้อกล่าวอ้างที่คุณว่า ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ออกกฎหมายหยุดยั้งความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 จะสามารถทำให้เกิดความปรองดองในชาติได้ ร่วมไม้ร่วมมือพัฒนาคนในชาติได้

พุทธะอิสระยืนยันได้เลยว่า สิ่งที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ พรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ มโน เพ้อฝัน เขาแค่ฝันแต่เขาไม่ลงมือทำ

ถ้าเขาทำจริงๆ เขาจะต้องหยุดยั้งหรือห้ามปราม หรือส่งเสียงส่งสัญญาณแก่บรรดาผู้ศรัทธาเขาว่า พี่เอย น้องเอย เราต้องการบรรยากาศของความปรองดอง และผลักดันกฎหมายแห่งการปรองดองให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันจะทำให้เกิดความร้าวฉาน แตกแยก ตำหนิติด่าบุคคลผู้เห็นต่าง มันไม่ควรกระทำ และไม่ควรจะมี เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการปรองดองให้เกิดขึ้น มันต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน เริ่มต้นจากตัวคุณและสมัครพรรคพวกของคุณก่อน

แต่ว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกล ผู้บริหารพรรคก้าวไกล สส.พรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ ไม่มีใครสักคนออกมาห้ามปราม หรือส่งสัญญาณเตือนให้เกิดสติว่าเรากำลังก้าวไปสู่ชัยชนะ ความสำเร็จข้างหน้า เพราะฉะนั้นต้องอดออม อดใจ อดกลั้น อดทน ทำไม่ได้ และไม่คิดจะทำ เพราะฉะนั้นพุทธะอิสระจึงเชื่อโดยสุจริตใจว่า ข้ออ้างว่า ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองเป็นเท็จทั้งหมด

การที่พรรคก้าวไกลกระวีกระวาด กระตือรือร้น ดิ้นรน ขวนขวายที่จะผลักดันกฎหมายปรองดอง แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อการปรองดองของชาติ แต่เพื่อการหลุดพ้นของบุคคลที่ระดับแกนนำ บริษัท บริวาร ลิ่วล้อของตนที่ต้องคดีมาตรา 112 และกฎหมายการชุมนุมต่างหากเล่า

เท่าที่พุทธะอิสระประมวลภาพได้ มันมีอาการแบบนี้ ก็เข้าใจละนะว่า แกนนำกับผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล รวมทั้งอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลต้องคดีมาตรา 112 แล้วก็เห็นว่าสู้ไปก็ไม่มีทางชนะ ก็เลยอยากหาทางลง

แต่วิธีที่จะลงก็ไม่ใช่ด้วยการออกกฎหมาย มันต้องแสดงความสำนึกรับผิดชอบในพฤติกรรมที่ตนเองกระทำในอดีตที่ผ่านมา ด้วยการแสดงความจริงใจ ขอขมา อภัย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา แต่ถ้าเป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้สภาผู้แทน รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนทั้งประเทศ มาร่วมหาทางออกทางลงให้พวกคุณ ซึ่งมันน่าจะไม่ถูกต้อง

วิธีที่ถูกต้องก็อย่างที่บอกว่า คุณก็แสดงความสำนึกผิด แล้วก็ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนำขึ้นส่งสำนักพระราชวัง เพื่อทูลเกล้าถวายเพื่อทรงทอดพระเนตร และทรงมีพระราชวินิจฉัย พระเมตตา การุณ อย่างไรก็สุดแล้วแต่พระอัธยาศัย อย่างงั้นมันจึงจะถูกต้อง

ไม่ใช่มาหาวิธีเอามวลชนเข้าไปบีบ เอากฎหมายเข้าไปบีบ ซึ่งก็เพื่อหาทางรอดทางลงให้แก่ตัวเองทั้งนั้น ประชาชนทั้งประเทศไม่ได้อะไรเลยกับสิ่งที่พวกคุณทำอยู่ ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมาก แล้วก็ไม่จริงใจที่จะยุติปัญหา รวมทั้งไม่สำนึกว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองผิดพลาด ไม่ถูกต้อง พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่สำนึกผิด

เมื่อไม่สำนึกผิดแล้วจะมาหาทางลง มันจะมีทางที่ไหนให้คุณลง ทุกคนในประเทศนี้เขาก็มองออก เพราะงั้นจึงอยากบอกหัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้ก่อตั้งพรรคว่า ทางออก ทางรอด ทางลง มันง่ายมากแค่แสดงความสำนึกผิด ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง รวมทั้งบุคคลที่จาบจ้วง ล่วงเกินทั้งหมด ก็จบแล้ว

ขอย้ำว่าอย่ามาบังคับให้สภาผู้แทนฯ และสว. ผ่านร่างกฎหมาย แล้วก็ใช้บริการของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของตนเอง เช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวเกินไป เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่

แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ยังมีหลักคิดที่ว่า การพูดคุยนั้นเป็นกระบวนหนึ่งในการยุติปัญหาและรวมทั้งสามารถหยุดยั้งความรุนแรง ความร้าวฉานในสังคมได้ ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ แต่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิด เพราะเป็นการเอาเปรียบคนทั้งประเทศ เสียดายภาษีที่ต้องจ่ายไปจ้างคนเห็นแก่ตัวพวกนี้มาเอาเปรียบคนไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top