Tuesday, 18 March 2025
POLITICS NEWS

ผลโพลชี้!! ผลงาน 6 เดือนรัฐบาลแพทองธาร สอบไม่ผ่าน!! ประชาชนยังไม่พอใจผลงาน

(2 มี.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน การสำรวจอาศัย

การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก

ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก

สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ  พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า

1. กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

3. กระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

4. กระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

5. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57
ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

6. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

7. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

8. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

9. สำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

10. กระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า
ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

11. กระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

12. กระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

13. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

14. กระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

15. กระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

16. กระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

17. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา
ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

18. กระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

19. กระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

20. กระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

'ประชาธิปัตย์' จัด 'เดโมแครต ฟอรัมครั้งที่ 4' 'วาระน้ำเพื่อประชาชน' มุ่งยกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมาย “น้ำประปาสะอาดทั่วไทย ทุกประปาต้องดื่มได้” 

พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดสัมมนา เดโมแครต ฟอรั่ม ครั้งที่ 4 “วาระน้ำเพื่อประชาชน : ก้าวใหม่ประปาหมู่บ้าน” ขึ้นที่ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การดำริของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งงานดังกล่าวได้รับเกียรติจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาเป็นประธาน 

ตลอดจนมีตัวแทนจากหน่วยภาครัฐหลายหน่วยงาน อาทิ กรมอนามัย กรมทรัพยากรน้ำบาดาลกรมทรัพยากรน้ำ กรมป่าไม้ตลอดจน สส. อดีตรัฐมนตรี อดีต สส. เช่น นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีตรมช.มหาดไทย นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีต สส. นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายปรพล อดิเรกสารและไพศาล จันทวารา ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายกุลเดช พัวพัฒนกุล อดีตประธานบอร์ดการยางแห่งประเทศ นายสุรศักดิ์ วงศ์วนิช คณะรมช.สธ. นายบุญมี สรรพคุณ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตวุฒิสมาชิกจังหวัดอุทัยธานี นายอารยะ โรจนวณิชชากร อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายสาธุ อนุโมทามิ และ นายราม คุรุวาณิชย์ รองประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. รวมทั้งผู้นำท้องถิ่น และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก โดยมีวิทยากรจากภาคส่วนต่างๆเช่น นายรัชชผดุง  ดำรงพิงคสกุล  รักษาการผู้อำนวยการสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัยนายเกรียงศักดิ์  ภิระไร  ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล ผู้แทนกรมทรัพยากรน้ำบาดาล นายพลกฤต ปุญญอมรศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี นายชาตี ปานทอง  รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหอมศีล จังหวัดฉะเชิงเทรา นางลัดดาวัลย์  มีสุวรรณ์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหีบ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปรีชา สเลม เลขานุการ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการโดย นางสาวพลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่พิธีกร

นายธนิตพล ไชยนันทน์ ผู้อำนวยการพรรคฯ ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า งานวันนี้จัดขึ้นเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สำหรับนำไปสู่การจัดทำนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์และจัดทำโครงการน้ำเพื่อประชาชนตลอดทั้งประปาหมู่บ้านเพื่อประชาชนให้ประสบผลสำเร็จ 

นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานและกล่าวว่าปาฐกถาพิเศษว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประปาหมู่บ้านกว่า 69,000 แห่ง แต่จากการตรวจสอบของกรมอนามัยในจำนวนกว่า 10,000 แห่ง พบว่ามีเพียง 420 แห่ง หรือ 4% เท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ประชาชนถึง 96% กำลังใช้น้ำที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่สะอาด ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขโดยด่วน

ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยการเข้าถึงน้ำสะอาดต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 73% โดยไทยติดอันดับรั้งท้ายที่มีเพียง 4% ที่ใช้น้ำสะอาด การสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการระดมความคิดจากตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปเป็นข้อสรุปสำหรับพัฒนานโยบายพรรคฯ เพื่อให้ทุกประปาหมู่บ้านต้องสามารถดื่มได้ เพราะการแก้ไขปัญหาน้ำสะอาดเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์มุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการใช้น้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า 

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานจัดงานเดโมแครต ฟอรัม (Democrat Forum) กล่าวว่า งานดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการเปลี่ยนแปลงให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งของประชาชนและเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความก้าวหน้าและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมุ่งหวังที่จะนำประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าของทุกคนจึงมีแนวทางเปิดพรรคกว้างสร้างวิสัยทัศน์เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนแบบไร้รอยต่อมุ่งวาระประชาชนที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศและจัดทำนโยบายที่ตอบโจทย์วันนี้และอนาคตโดยให้กลไกพรรคทุกระดับร่วมขับเคลื่อนโดยที่ผ่านมาพรรคฯ ได้มีการจัด เดโมแครต ฟอรัม มาแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่

“เศรษฐกิจคาร์บอน :วิกฤติในโอกาส สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำ ซึ่งเป็นนโยบายของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่กำกับดูแลกระทรวง ทส. และนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค ที่กำกับดูแลกรมอนามัยโดยเล็งเห็นความสำคัญของน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้มาก หากสามารถยกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านได้ จะทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนกว่า 6 หมื่นหมู่บ้านดีขึ้น 

ดังนั้นการนำเสนอแนวทางนโยบายจากการเสวนาครั้งนี้ มีเป้าหมายสุดท้ายคือทุกประปาต้องดื่มได้  โดยเริ่มจากเป้าหมายแรกคือทุกประปาต้องสะอาด และน้ำประปาต้องเข้าถึงทุกครัวเรือน ทั้งนี้พรรคฯ.จะยกร่าง พ.ร.บ. น้ำสะอาดเป็นฉบับแรกของประเทศเช่นเดียวที่เสนอร่างพรบ.อากาศสะอาดต่อสภาผู้แทนราษฎรไปก่อนหน้านี้

ทางด้านนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค และที่ปรึกษา รมว. ทส. ได้กล่าวว่า ทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่าน้ำประปาจะต้องดื่มได้ในทุกน้ำประปา จากแนวคิดของตัวแทนจากกรมอนามัย ที่ต้องการเห็นการบริหารจัดการน้ำประปาในประเทศด้วยการสร้างความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กรมอนามัย กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจนกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น และองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศ ขณะที่ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากตัวแทนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งทำให้เห็นงานของกรมที่มีสำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาล กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้ง 12 เขต เพื่อให้บริการน้ำใต้ดินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศสามารถติดต่อประสานงานเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนได้

สำหรับปีงบ 2568 กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทส. มีแผนงานโครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่ออุปโภคบริโภค เพิ่มเติมอีก 143 แห่ง สามารถเพิ่มน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ถึง 14.716 ล้าน ลบ.เมตรต่อปี ประชาชนจะได้ประโยชน์ 27,600 ครัวเรือน มีโครงการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น โดยมีโครงการก่อสร้างระบบอีก 300 แห่ง นอกจากนั้นยังมีการเตรียมความพร้อมเครื่องจักร ที่พร้อมใช้งานสำหรับการขุดเจาะน้ำบาดาล ชุดปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลเคลื่อนที่ ชุดซ่อมแซมประปา ชุดจ่ายน้ำอีกจำนวนมาก รวมทั้งโครงการเสริมศักยภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการประเมินคุณภาพน้ำให้กับ อปท. ทั่วประเทศ 520 แห่ง 

“ทรัพยากรน้ำ ถึงแม้จะมีมากแค่ไหน ก็มีจำกัด จึงต้องใช้อย่างรู้คุณค่า ไม่ว่าจะดึงขึ้นมาใช้เพื่ออุปโภค บริโภค หรือเพื่อการเกษตรก็ตาม จึงอยากให้ช่วยกันตระหนัก” นายอภิชาต กล่าว 

สำหรับ นายสมบัติ ยะสินธุ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะ กมธ. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้กล่าวถึงเรื่องการกระจายอำนาจ ที่พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญ ถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการน้ำประปาเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน นอกจากต้องใช้บุคลากรที่มีความเหมาะสมแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจ และมีองค์ความรู้ ในการบริหารจัดการระบบประปาหมู่บ้านและงบประมาณอีกด้วยจึงต้องมีการเสริมความรึและทักษะเพิ่มเติม

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการเสวนา ได้มีการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นจากผู้ร่วมเสวนาแสดงความเห็นอย่างกว้างขวางโดยแสดงความชื่นชมและขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านและสุขภาพของประชาชนอย่างเอาจริงเอาจัง

‘ภูมิธรรม’ ตอกสหรัฐ-ชาติตะวันตก เคยเสนออุยกูร์ลี้ภัย แต่ถูกเมิน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตัวเอง ยันไทยไม่มีทางเลือก-ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ วอนสื่อไทยบางราย อย่าโหมจนเป็นเรื่อง ไม่กังวลเรื่องก่อการร้าย

(28 ก.พ. 68) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข้อกังวล จะมีเหตุก่อการร้าย หลังจากส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า หากเราส่งชาวอุยกูร์แล้วได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเรื่องที่จะต้องขบคิดกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีนที่ควรแก่การเชื่อถือ ในขณะเดียวกันจีนมีสิทธิที่จะขอตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมานานกว่า 11 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเหตุเพราะเรา แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้ ขณะเดียวกันเรื่องการส่งตัวไปประเทศที่ 3 เราดำเนินการมา 11 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ส่งไปตุรกีกว่าร้อยคนเราประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบรับเลย และตนก็ได้บอกกับชาติตะวันตกแล้วว่าหากเขารับไป ก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา ดังนั้นเมื่อทางการจีนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป เราจึงดำเนินการตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ชี้แจงกับประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐ ก็ได้พูดคุยกับตน ซึ่งก็ได้ย้ำไปว่า เราจะทำภายใต้อธิปไตยและกฎหมายของไทย คำนึงถึงหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ รวมถึงคำนึงถึงกฎหมายที่จะไม่ส่งคนไปเสียชีวิต เรามีสถานะอยู่แค่นี้กักตัวเอาไว้ก็ทำผิดกฎหมาย เราไม่มีทางเลือก และชัดเจนว่าเราไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องดำรงประเทศให้มีความถูกต้องและเหมาะสม เพราะการที่เราขังชาวอุยกูร์ ก็ถูกร้องเรียนมาตลอดว่าเป็นการทรมาน ซึ่งขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ดังนั้น การส่งอุยกูร์กลับไปจีน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้งรัฐบาลก็จะติดตามเรื่องของความปลอดภัยเป็นระยะ

นายภูมิธรรม ยังขอวิงวอนให้สื่อไทยและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในประเทศไทยบางราย ที่นำเสนอเหมือนอยากให้ประเด็นไม่จบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย อยากให้คำนึงถึงประเทศไทยด้วย ยืนยันรัฐบาลไทยมีความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ไทยถูกกล่าวหาและปฏิเสธจากทุกฝ่าย เราไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือโหดเหี้ยม อำมหิต ที่จะส่งคนไปตาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเรา เพื่อไม่ต้องมารับภาระ และจากการติดตามตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลสิ่ง แต่หลังจากนี้ก็ต้องติดตามและพิจารณาเป็นระยะ พร้อมยืนยันว่าไทยมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการส่งอุยกร์กลับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง และมองว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เป็นเรื่อง

เมื่อถามว่าในด้านการข่าว มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการก่อความไม่สงบหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยากให้ช่วยกัน เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้มีการละเมิดใคร หากส่งเขาไปเสียชีวิตอาจต้องกังวล แต่ปัจจุบันนี้เขายังอยู่ดี แต่หากมีปัญหาหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของคนที่ผิดจากสิ่งที่ควรจะเป็น

‘เกรียงยศ’ เรียก สจส.กทม. เข้าให้ข้อมูล ‘ป้ายรถเมล์’ แบบใหม่ หลังพบงบก่อสร้างสูงถึง 3.3 แสน ทั้งที่ก่อนนี้เอกชนทำให้ฟรี

‘เกรียงยศ’ เรียก สจส.กทม. เข้าให้ข้อมูลกรณีป้ายรถเมล์ พบป้ายรถเมล์ราคาสูงถึง 3.31 แสน แพงกว่าบ้านน็อกดาวน์ทั้งหลัง เผยก่อนหน้านี้เอกชนสร้างให้ฟรี แนะทบทวนแนวทางก่อสร้างป้ายรถเมล์ใหม่

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษในวันนี้ ได้มีการเชิญผู้แทนจากกรุงเทพมหานครมาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับป้ายรถเมล์รูปแบบใหม่ที่กรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้าง 

จากกรณีการก่อสร้างป้ายรถเมล์แบบใหม่ของกรุงเทพมหานครรูปแบบใหม่นี้ได้เกิดข้อสงสัยแก่ประชาชนและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากถึงงบประมาณที่ใช้ในโครงการดังกล่าวค่อนข้างสูง แต่ป้ายรถเมล์รูปแบบที่จัดทำขึ้นมีราคาไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาทและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ 

รวมถึงความแตกต่างในการก่อสร้างป้ายรถเมล์จากเดิมที่เคยใช้รูปแบบให้เอกชนดำเนินการก่อสร้างป้ายรถเมล์ให้โดยแลกกับสิทธิในการโฆษณาเพื่อประหยัดงบประมาณ 

นายเกรียงยศ กล่าวต่อว่าในครั้งนี้สำนักจราจรและขนส่ง(สจส.) กรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงว่าป้ายรถเมล์รูปแบบใหม่ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่ Type M ขนาด 3 ที่นั่ง มีราคาประมาณหลังละ 242,000 บาทต่อป้าย หากคิดราคาเป็นตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 35,000 บาท  และ Type L ขนาด 6 ที่นั่ง มีราคาประมาณหลังละ 331,000 บาทต่อป้าย หากคิดราคาเป็นตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 33,000 บาท 

ทางคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ได้ให้ข้อเสนอแก่ทาง สจส. ว่าสมควรทบทวนรูปแบบในการดำเนินการก่อสร้างป้ายรถเมล์ในปีงบประมาณต่อไปเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากรูปแบบที่ใช้ในปัจจุบันมีราคาสูงกว่าปกติ โดยที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชน เช่น กล้องวงจรปิด จอแสดงรายละเอียดเส้นทางเดินรถ ฯลฯ

‘พีระพันธุ์’ ยันไม่ทิ้งโครงการสูบน้ำด้วยแสงอาทิตย์จากเหมืองเก่าลำพูน เผยบรรจุไว้ในงบปี 69 แล้ว - เพิ่มพื้นที่เกษตรใช้ประโยชน์เป็น 600 ไร่

(27 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามทั่วไปในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเรื่อง ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร โครงการเหมืองถ่านหินเก่า ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ว่า

ในลำดับแรก ตนขอนำเรียนว่าสำหรับโครงการก่อสร้างระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร โครงการเหมืองถ่านหินเก่า ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ควรเป็นโครงการที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ต่อปี 2565 ในส่วนของกระทรวงพลังงานนั้นได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากสำนักงานประสานงานโครงการพระราชดำริ เนื่องจากมีราษฎรได้ยื่นฎีกาเพราะต้องการน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการสำรวจพื้นที่ ตรวจข้อเท็จจริงและปัญหาต่าง ๆ และนำมาสู่การที่จะต้องบรรจุในเล่มงบประมาณ ในส่วนของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีปัญหาหรือข้อขัดข้องแต่อย่างใด ซึ่งได้มีการนำมาบรรจุงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 

แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่ได้เริ่มต้นจากกระทรวง เมื่อมีการสำรวจพื้นที่ ฯลฯ ทำให้ไม่ทันที่จะบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ต่อมาเมื่อทำใหม่ในปีงบประมาณปี 2567 ซึ่งเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ทำให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ขาดช่วงและล่าช้ามาจนถึงปลายปี ขณะเดียวกันก็ต้องมีการจัดทำงบประมาณปี 2568 ต่อกันไป เมื่อได้มีการบรรจุโครงการในงบประมาณปี 2567 เรียบร้อยแล้วจึงไม่มีการบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 อีกต่อไป ปรากฏว่าในชั้นกรรมาธิการงบประมาณได้มีการตัดลดงบประมาณของกระทรวงพลังงานและได้มีการตัดโครงการนี้ออกไป 

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจากการตัดลดงบประมาณที่เกิดขึ้น จึงได้มีการบรรจุโครงการนี้ในปีงบประมาณ 2569 เรียบร้อยแล้วและยังได้มีการขยายพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว จาก 533 ไร่ เป็น 600 ไร่ อีกด้วย

‘ป.ป.ช.’ เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ‘สุทิน - โรม’ ส่อขัดประมวลจริยธรรม ปมแถลงข่าวเท็จให้ร้าย ‘ลุงตู่’

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) มีรายงานข่าวว่า ในเร็วๆ นี้สำนักงาน "ป.ป.ช." กำลังจะแจ้ง ข้อกล่าวหากับนักการเมืองหลายคนที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่นำมาบังคับใช้กับฝ่ายการเมืองด้วยคือ ครม./สส./สว./ข้าราชการการเมืองนั้น    

โดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการอภิปราย/การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน/การเคลื่อนไหวที่ฝ่าฝืนหมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ15ที่ระบุว่า ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบ ของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือนและข้อ17ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ ง โดยตอนนี้นักการเมืองคนสำคัญหลายคนกำลังถูกตั้งข้อกล่าวหานั้น จะชี้แจงข้อกล่าวหาต่อสำนักงานป.ป.ช.อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทราบว่า "นายสุทิน  คลังแสง" สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย  เป็นหนึ่งในสส.ที่สำนักงานป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลความผิด  โดยระบุพฤติการณ์ของ "นายสุทิน" ว่า  วันที่ 8 กันยายน 2564 "นายสุทิน" ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ามีการแจกเงินให้สส.คนละห้าล้านบาทที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ชั้นสาม อาคารรัฐสภาเพื่อให้สส.ลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรีในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายสุทินมาชี้แจงกับสำนักงานป.ป.ช.แล้วแต่ไม่มีหลักฐานในประเด็นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมาแสดงกับสำนักงาน "ป.ป.ช." ซึ่ง "นายสุทิน" เข้าข่ายการละเมิดหมวด 2 ของมาตรฐานทางจริยธรรมฯ

และยังพบว่า "นายรังสิมันต์ โรม" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนนั้น สำนักงาน "ป.ป.ช."ดำเนินการตรวจสอบ/กลั่นกรองและไต่สวนข้อกล่าวหาของนายรังสิมันต์จำนวน 6 สำนวนคือ  1. การสนับสนุนพรรคก้าวไกลรับข้อเสนอจากกลุ่ม ILaw ที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดหนึ่งและหมวดสอง/สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้มีมติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112/เข้าร่วมชุมนุมขับไล่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์/แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยตั้งสสร./โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเสียดสีดูหมิ่น "พลเอกประยุทธ์"

2.วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 "นายรังสิมันต์" ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ "พลเอกประยุทธ์" โดยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จคือแอบอ้างสถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบเรื่องมัวหมองในอดีตของตนเองและเป็นนักบินเถื่อน ขาดคุณสมบัติการเป็นนักบินถวายการเดินทาง/ก่อหนี้เกินงบประมาณการซ่อมบำรุงอากาศยานของสตช. ทำให้นายกฯต้องขออนุมัติงบกลาง 937 ล้านบาทชำระหนี้ให้การบินไทย/ร่วมกันฮั้วประมูลกับเอกชนในการจำหน่ายอะไหล่ให้อากาศยานของสตช.และขายอะไหล่ที่ใช้ไม่ได้ให้เอกชนนำไปใช้งานต่อ

3. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง โดยนำเสนอข้อมูลของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสาธารณะในลักษณะอันอาจเป็นการบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันและทำให้ประชาชนเกลียดชังสถาบันฯและต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

4.จงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ / ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีจัดทำหนังสือและแถลงข่าวว่าจะเชิญประธานศาลฎีกามาชี้แจงกรณีไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบกลุ่มราษฎรโดยประธานศาลฎีกาอ้างว่าบุคคลภายนอกขอมาในกมธ. การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎรและจะนำวาระเข้าที่ประชุมกมธ.ดังกล่าวเมื่อวันที่7เมย.2564ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา129วรรคสี่และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯว่าด้วยข้อบังคับประมวลจริยธรรมของสส.และกมธ. พ.ศ.2563

5.เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เพื่อเป็นการทำลายสถาบันฯและล้มล้างการปกครอง และ 6. จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งการดำเนินการนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา6

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ผ่านมา สส.พรรคก้าวไกล 44 คนถูกยื่นฟ้องต่อสำนักงานป.ป.ช.กรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112  และตอนนี้สส.พรรคก้าวไกลที่โดนยุบพรรคได้ย้ายมาสังกัดพรรคประชาชน 25 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ"นายรังสิมันต์"ซึ่งทราบว่าสส.เหล่านี้กำลังไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง คดีฝ่าฝืนจริยธรรม จากการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานป.ป.ช.ในกรณีของ "นายสุทิน" และ "นายรังสิมันต์" รวมทั้งสมาชิกรัฐสภารายอื่นๆนั้น สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการมาหลายปีแล้วก่อนที่คณะกรรมการป.ป.ช.เจ็ดคน จะมีการลงมติเลือก "นายสุชาติ  ตระกูลเกษมสุข"เป็นประธานป.ป.ช.ซึ่งตอนนี้"พรรคประชาชน"ล่ารายชื่อสส.และสว.ราว 140 คน โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาให้ถอดถอน "นายสุชาติ" ออกจากตำแหน่ง

อีกทั้งกรณีนี้ มีการตั้งสังเกตว่า การออกมาให้ข่าวว่าจะยื่นถอดถอน"นายสุชาติ"ของสส.พรรคประชาชนและ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล"นั้นน่าจะ เป็นการกดดัน สำนักงาน "ป.ป.ช."ในฐานะผู้ไต่สวนคดี ของ "นายรังสิมันต์" และอดีต สส.พรรคก้าวไกล  44 คน รวมทั้ง "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" หรือไม่ 

เนื่องจาก หากพิจารณาจาก ช่วงเวลา ที่มีการตั้งไต่สวนของ "ป.ป.ช." เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่นายสุชาติ กำกับดูแล สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองเเละผู้ร้องเรียน "ประธานป.ป.ช." มีฐานะเป็นผู้ถูกไต่สวนทั้งสิ้น เเละการดำเนินการอัดคลิประหว่าง"นายสุชาติ"กับ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา"ประธานรัฐสภานั้น"นายวันมูหะมัดนอร์" ชี้เเจงเเล้วว่า"พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" กระทำเเบบไม่ใช่ลูกผู้ชายเเละสังคมน่าจะอ่านเจตนาของ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์"ได้ว่าหวังผลอะไร และพบว่า"นายสุชาติ"เป็นผู้ดำเนินการไต่สวนเเละวินิจฉัยคดีในสำนักงาน "ป.ป.ช."ที่ยึดหลักนิติธรรมอย่างรอบคอบ ในการตัดสิน/ประวัติโปร่งใส จนบางฝ่ายอาจเสียประโยชน์จากการทำงานของ "นายสุชาติ" จนต้องมีการดำเนินการถอดถอน"นายสุชาติ"

สส. ภูมิใจไทย - ประชาธิปัตย์ รุมจี้ถาม ‘ธนดล’ ปมสอบที่ดินปากช่อง มองเป็นการกลั่นแกล้งการเมือง

‘กมธ.ปกครอง’ เดือด สส.ภท.-ปชป. จี้ถาม ‘ธนดล’ เหตุตรวจสอบที่ดินปากช่อง มองเป็นการกลั่นแกล้งการเมือง ไม่ห่วงแรนโช ชาญวีร์-ทอสคาน่า-โบนันซ่า แต่ห่วงประชาชนที่ได้ที่ดินมาถูกต้อง

(26 ก.พ. 68) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา การทับซ้อนที่ดินของรัฐ กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีการเชิญ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล โดยมี นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เป็นประธาน

นายกรวีร์ กล่าวว่า เราได้ติดตามและเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการในเรื่องของปัญหาที่ดินทับซ้อน ซึ่งมีการลงพื้นที่ของนายธนดล ในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จึงนำมาเป็นกรณีศึกษา อย่างแรกก็ขอชื่นชมและขอบคุณคณะทำงานหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาและลงพื้นที่ ซึ่งก่อนหน้านี้กรรมาธิการเองก็ได้ศึกษาปัญหาที่ดินทับซ้อนมาก่อนแล้วพบว่าที่ดินของ ส.ป.ก.หลายแห่งมีทั้งการถูกบุกรุก และใช้ผิดวัตถุประสงค์ จึงได้ขอสอบถามเบื้องต้นถึงขอบเขตและอำนาจในการตรวจสอบ

ด้านนายธนดลชี้แจงว่า ตนเป็นคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นประธานตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก.ทั้งหมด 72 จังหวัด จากการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตนตาม พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดินปี 2534 และใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินปี พ.ศ.2518 ลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งตนต้องประสานงานกับ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดก่อนจะลงพื้นที่ และต้องยอมรับข้อเท็จจริงจากการที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบว่า แทบจะไม่มีผู้ที่ได้รับจัดสรรเป็นที่ ส.ป.ก.และใช้พื้นที่จริง กลายเป็นว่ามีผู้อื่นมาใช้พื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจพบเป็นรีสอร์ต ร้านกาแฟ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ทางปฏิรูปที่ดิน ก็จะทำหนังสือเรียกมาชี้แจง สุดท้ายก็จะเป็นดุลพินิจของปฏิรูปที่ดินในจังหวัดนั้นๆ ว่าจะเพิกถอนหรือไม่

“ก่อนที่เราจะทำอะไรต่างๆ ต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดรอบคอบ ไม่งั้นเราไม่กล้าที่จะทำเวลาเราไปตรวจสอบแต่ละพื้นที่ ก็จะมีผู้มีอิทธิพล อดีตนักการเมืองหรือนักการเมืองท้องถิ่น พร้อมที่จะฟ้องกลับเรามาได้ตลอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่น้อยคนจะทำจริงๆ เพราะต้องไปเจอผู้มีอิทธิพลผู้มีอำนาจพิเศษ” นายธนดลกล่าว

นายธนดลระบุว่า ได้ลงพื้นที่และไปตรวจสอบพยานหลักฐานให้ครบถ้วน จึงมาแถลงข่าว แต่ตอนแถลงอยู่ในช่วงการเมืองร้อนแรงก็อาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นประเด็นกลั่นแกล้งกันหรือไม่ แต่ยืนยันว่าทำตามหน้าที่และกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่ นายกรวีร์ระบุว่า เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่านายธนดลไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่เป็นจังหวะการเมืองจึงอยากทราบว่าที่ตรวจสอบที่ดินปากช่องมีหลักเกณฑ์อย่างไร ไม่เช่นนั้น ส.ป.ก.อาจถูกกล่าวหาว่า ทำให้เป็นประเด็นการเมือง

นายธนดลยังยืนยันว่า ที่ไปตรวจสอบที่ดินปากช่อง เพราะเป็นที่ดินกลุ่มที่ 3 ตามที่มีการจัดทำวันแมป ซึ่งตนไปมาหลายที่แต่ไม่เป็นข่าว ซึ่งที่ดินปากช่องมีประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินไม่ได้นำไปทำการเกษตร แต่นำที่ดินที่ได้รับจัดสรรไปขายทำให้ผิดวัตถุประสงค์ ผิดกฎหมาย แต่การที่ชุดตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบ ยอมรับว่าไม่ได้เจอทำผิดทั้งหมด แต่เป็นการทำเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนที่ดินที่มีปัญหาทับซ้อนจะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือให้เอกชนเข้ามาใช้พื้นที่ก็ต้องแก้กฎหมาย ซึ่งตนพร้อมทำตามกฎหมาย

ด้านนายพลพีร์ สุวรรณฉวี สส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ได้จี้ถามว่า เมื่อวันแมปยังไม่เสร็จ ก็ไม่ค่อยสบายใจ การไปตรวจสอบเป็นสิ่งที่ถูก แต่เมื่อวันแมปยังไม่เสร็จ ไปตรวจสอบก็ต้องรอวันแมปอยู่ดี เมื่อให้เกียรติโคราชและปากช่องในการตรวจสอบ ในฐานะที่ตนเป็นคนโคราช ขอถามอธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงผู้ชี้แจงทุกคนว่าในพื้นที่โคราชที่ถูกตรวจ และคาดว่าจะมีธุรกิจที่คาดว่าอยู่ในที่บุกรุกเท่าไหร่

“ที่ถามเพราะเขาใหญ่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่มากของจังหวัดนครราชสีมา มีทั้งคนทำธุรกิจและเป็นลูกจ้างจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไปตรวจแล้วยังไม่สิ้นสุดกระบวนความ มันทำลายปากช่องไปแล้ว วันนี้คนที่จะมาลงทุนก็ไม่อยากมา จริงๆ คนที่ถือโฉนดที่ปากช่อง ก็กลัวขาสั่นกันหมด ปวดหัวว่าสิ่งที่ได้ซื้อมา หรือที่ถืออยู่มันถูกต้องหรือไม่ และมองไม่เห็นแสงไฟปลายอุโมงค์ว่าที่ดินของเราจะโดนหรือไม่ และพอวันแมปมา ก็มายื่นคัดค้านกันอีก” นายพลพีร์กล่าว

นอกจากนี้ นายพลพีร์ยังกล่าวว่า วันแมปจะเสร็จในปีนี้หรือไม่ ก็ไม่รู้ ตอนนี้ภาคเหนือก็มีทั้งคาเฟ่ สวนน้ำ ที่พักต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นมีตรวจสอบ จึงมองเป็นมิติอื่นไม่ได้จริงๆ และอยากได้คำตอบว่าควรจะบอกกับคนโคราชอย่างไร ว่าโฉนดที่ถือมา 30-40 ปี เป็นโฉนดปลอมหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพื้นที่โคราช จะไปฟื้นให้เขาอย่างไร 22 ที่ ที่ไปไม่ดังเท่าที่นี่ทีเดียว ไม่ต้องถามว่าทำไมที่นี่ถึงดัง มันมองมิติอื่นไม่ได้

ยังมองไม่เห็นว่าประชาชนได้ผลประโยชน์อะไรแต่ที่เห็นคือประชาชนที่เป็นหนี้เป็นสินได้โฉนดมากะว่าจะเอาที่ไปขายเพื่อเอาเงินเลี้ยงดูครอบครัวหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจแต่ทำไม่ได้แล้วจะทำได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่ไม่ว่าจะกี่หมื่นไร่ที่คิดว่ามันบวมหรือทับซ้อน ก็บอกมาเลยว่า ธุรกิจที่ไปตรวจมา มันบวม มันมีกี่ธุรกิจ ประชาชนที่ถูกผลกระทบมีเท่าไหร่ สำคัญที่สุดพื้นที่ราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นข้อพิพาททับซ้อน มีพื้นที่ราชการที่ไหนบ้าง เพราะหากที่ราชการบุกรุก ใครโดน การให้บริการประชาชนในพื้นที่จะทำอย่างไรต่อ ยกตัวอย่าง ถ้า อบต.ตั้งผิดที่ แล้วไปรื้อ จะให้ อบต.ไปอยู่ไหน วันนี้ก่อนที่ท่านจะไปตรวจ มันควรต้องประชุมให้เสร็จก่อน ยื่นหนังสือให้ประชาชนที่ครอบครองโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ต่างๆ ได้เข้ามาชี้แจงว่าได้มาอย่างไร รวมไปถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน มาคุยกันเมื่อวันแมปของประเทศยังไม่เสร็จ ก็ขอให้ทำวันแมปของปากช่องก่อน

“ผมไม่ได้เป็นห่วงแรนโช ชาญวีร์ เมื่อเพิกถอนเมื่อไหร่กรมที่ดินก็ต้องชดเชย ไม่ได้ห่วงทอสคาน่า โบนันซ่า แต่เป็นห่วงนาย ก. นาย ข. ที่มีที่ดิน 200 วา หรือ 1 ไร่ จะเดินกันต่ออย่างไร” นายพลพีร์กล่าว

ด้าน นายธนดลกล่าวว่า ที่ดินโคราชทำวันแมปแล้วแต่ยังไม่ได้โอน ยืนยันว่าการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินโคราชของตนไม่ผิด ถ้าไม่มั่นใจจะไม่ลงพื้นที่ให้เป็นที่ครหา และยอมรับว่า ที่ดิน ส.ป.ก.มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปแล้ว และจากการตรวจสอบพื้นที่บวมงอกมาจากนิคมทับที่ ส.ป.ก. จึงเป็นปัจจัยหลักในการลงพื้นที่ไปตรวจสอบ เอกสารซึ่งตนเห็นด้วยกับกรมที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์ที่ได้จากนิคม คือแต่ประเด็นที่ตนไม่เห็นด้วย คือที่ดินบวมออกไปทับที่ ส.ป.ก.เรื่อย ๆ หากวันหน้า ที่ดินของรัฐกลายเป็นที่ที่ดินของเอกชน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นี่เป็นสิ่งที่ออกมาต่อสู้

ด้าน นายราชิต สุดพุ่ม สส.ประชาธิปัตย์ ได้จี้ถามนายธนดล ถึงเหตุผลของการไปตรวจสอบที่ดินปากช่อง ว่าเพราะอะไรเพราะปกติส.ป.ก.ก็งานเยอะอยู่แล้ว จึงอยากทราบที่มาของการไปตรวจสอบเพราะหากไม่มีคนร้องก็คงไม่ไป ตนไม่ได้เกี่ยวกับใครตนอยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่แค่อยากทราบที่มา

ขณะที่นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ สส.สระบุรี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานและโฆษก กมธ. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีโอกาสไปตรวจในพื้นที่สระบุรี ก็ต้องขอบคุณที่ไปตรวจสอบบางที่ที่เป็นประเด็น โดยเฉพาะการออกโฉนดทับที่ ส.ป.ก. ซึ่งตนเห็นด้วยที่ท่านต้องนำกลับมาเป็นสมบัติของชาติ แต่ตนไปเห็นในรายการหนึ่งเปิดประเด็นว่า ป.ป.ช. ได้เปิดสัญญาจัดการหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบธุรกิจโรงแรมหรูเขาใหญ่ ก็เป็นที่สนใจว่า นายธนดลมีแนวคิดหรือมีโครงการที่จะไปตรวจสอบหลายโรงแรมที่อยู่พื้นที่เขาติดเขาใหญ่หรือไม่ ตนอยากให้ไปตรวจสอบหลายๆ โรงแรมที่เป็นประเด็นข้อสงสัย เพื่อทำให้ชัดเจนต่อประชาชน

ทำให้นายธนดลกล่าวว่า เห็นตามข่าวคือโรงแรมเทมส์วัลลีย์เขาใหญ่ ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางเข้าเขาใหญ่ประมาณ 5 นาที ถ้าให้ตรวจสอบก็พร้อมที่จะตรวจสอบ หากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการอนุญาต แต่ตนมีอำนาจตรวจสอบเฉพาะที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้มีอำนาจตรวจสอบนิคม

ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันว่า กรมที่ดินได้แถลงข่าวชัดเจนไปแล้วว่าปัญหาทับซ้อน ไม่เกี่ยวกับกรมที่ดิน กรมที่ดินน่าจะเป็นปลายทาง เพราะเป็นการทับซ้อนระหว่างที่ดิน ส.ป.ก.และที่ดินนิคม ถ้าผลตรวจสอบเป็นอย่างไรกรมที่ดิน เป็นปลายทางก็พอซึ่งเป็นปลายทางก็พร้อมจะทำตาม แต่ในชั้นดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว อีกทั้งพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่ยกเว้นเนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมแผนที่ทหาร

‘ธนกร’ จี้ ตั้งศูนย์ปราบอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างประเทศ พร้อมจัดการเอาผิดขั้นเด็ดขาดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

‘ธนกร’ หนุน รัฐบาลเอาจริงปราบต่อเนื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จี้ ตั้งศูนย์ปราบอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างปท. เร็วที่สุด ฝาก ฝ่ายมั่นคงซีลชายแดนเข้ม คัดแยก-ป้องกันเครือข่ายทะลักเข้าไทย

(26 ก.พ.68) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังที่รัฐบาลร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ที่สำคัญคือจีน ในการร่วมมือแก้ปัญหาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาแก้ปัญหานั้นได้ผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ทำให้สถิติประชาชนถูกหลอกลวงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตนขอสนับสนุนให้รัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง เดินหน้าร่วมกับทุกประเทศ จัดการเอาผิดขั้นเด็ดขาดกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะคีย์แมนคนสำคัญที่อาจเป็นข้าราชการระดับสูง ตำรวจ ทหาร หรือส่วนท้องถิ่นก็ตาม ที่รู้เห็นเป็นใจอำนวยความสะดวกให้แก่พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เครือข่ายค้ามนุษย์ กลุ่มคนพวกนี้จะต้องได้รับโทษหนัก เพื่อไม่ให้กลับมาทำผิดอีก ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนคนไทย โดยที่ผ่านมาก็ทราบดีว่าเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมาก

นอกจากนี้ขอฝากเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานทั้งตำรวจทหารและฝ่ายความมั่นคง วางกำลังซีลสกัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายสัญชาติที่ขณะนี้ถูกปล่อยลอยแพในเมียวดี ประเทศเมียนมากว่า 7,000 คน ไม่ให้ทะลักเข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องมีการคัดกรองตรวจสอบประวัติให้ละเอียด ว่าใครเป็นเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำความผิดและใครเป็นเหยื่อ เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างประเทศขึ้นโดยเร็วเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกันและส่งตัวกลุ่มเครือข่ายทั้งหมดกลับไปยังประเทศต้นทาง

“เป็นเรื่องดีที่ทราบว่าวันศุกร์นี้นายกฯจะไปดูพื้นที่ด้วยตัวเอง ซึ่งบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องมีการจัดการปราบปรามอย่างจริงจังขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้กลับมาสร้างความเสียหายให้กับประเทศได้อีก และเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยให้ปลอดภัยจากการถูกหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอฝากทั้งตำรวจและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทยเร่งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ รู้เท่าทันกลลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อซ้ำอีก” นายธนกร กล่าว

‘พรรคสามนิ้ว’ มีพฤติกรรมยกเลิก 112 และคิดล้มล้างการปกครอง เห็นเจตนาชัดเจน!! ถึงการเป็น ‘พรรคการเมืองอันตราย’

(24 ก.พ. 68) พรรคการเมืองพรรคหนึ่งในสังคมไทย เที่ยวโฆษณาบอกผู้คนว่า “เป็นคนรุ่นใหม่” เข้ามาเพื่อที่จะให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น จะไม่มีพฤติกรรมโกงกิน คอรัปชั่น หรือมีนิสัยเลว ๆ เหมือนที่นักการเมืองรุ่นเก่าในอดีตเคยทำไว้อย่างแน่นอน 

ใครเลือกเราเข้ามา ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม

ใช่ครับ ตั้งแต่มีพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่พรรคนี้เข้าสภามา ประเทศไทยในสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ไม่เหมือนเดิม” จริง ๆ เพราะมันแย่ลงมาก เสื่อมทรามลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กวัยรุ่นก้าวร้าวมากขึ้น ไหว้ผู้ใหญ่ไม่เป็น มีทัศนคติในการใช้ชีวิตที่บิดเบี้ยว ไม่รู้จักบุญคุณคน ลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ ใช้ชีวิตแบบแหกกฎระเบียบข้อบังคับของสังคม ถือดีว่าตัวตนนั้นจะทำสิ่งใดก็ได้แบบไร้ขอบเขต ที่สำคัญมีแนวคิดที่ชิงชังสถาบันกษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนผืนแผ่นดินไทย นึกจะจาบจ้วงล่วงละเมิดก็กระทำกันตาม ๆ กันมา มีการ “ชูสามนิ้ว” เป็นสัญลักษณ์สะท้อนกลุ่มก้อนที่มีแนวคิดเดียวกัน ว่าข้านี่แหละเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์ หรืออยากให้มีการ “ล้มล้างการปกครอง” แบบเดิม ๆ ให้หมดหายไปจากประเทศไทย

ตลอดหลายปีที่ “พรรคการเมืองสามนิ้ว” เข้ามา “กินเงินเดือน” จากภาษีของประชาชน กลับใช้เล่ห์เพทุบายหลอกใช้เด็กให้กระทำการผิดกฎหมาย 112 จำนวนมาก หลายคนต้องหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ จำนวนไม่น้อยก็ต้องติดคุก หมดอนาคตลงนับจากนั้น

ภาพลักษณ์การเป็น “พรรคการเมืองสามนิ้ว” ที่แสดงความกลิ้งกลอก หลอกใช้เด็กให้กระทำการจาบจ้วงสถาบันแทน ถือเป็น “พรรคการเมืองที่โหดร้าย” ไร้ความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ หลอกทุกคนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นพรรคการเมืองที่แอบดีลกับตะวันตก หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในแผ่นดินชาติของตนเอง 

นักการเมืองภายในพรรค ยังแยกกันไปเผยเจตนา “ยกเลิก 112” ผ่านการโพสต์ข้อความ และในการชุมนุมสาธารณะนับครั้งไม่ถ้วน มีหลักฐานเป็นภาพข่าวพร้อมข้อความ และคลิปวิดีโอมากมาย เห็นชัดถึง “เจตนาร้าย” ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ซ้ำยังนำการยกเลิกมาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งหมดคือพฤติกรรมของ “กลุ่มคนอันตราย” ที่แฝงตัวมาในคราบนักการเมืองในสภา 

ปล่อย “พรรคสามนิ้ว” ไว้ “ประเทศไทย” จะไม่ดีเหมือนเดิม 

สมุทรปราการ-ลุยแล้ว!! ชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครหมายเลข 3 ลงพื้นที่หาเสียงชุมชนหลังวัดหนามแดง ประชาชนจำนวนมากให้การต้อนรับ

นายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา หรือเฮียน้อย ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มบางแก้วรวมพลัง

ลงพื้นที่หาเสียงภายในชุมชนหลังวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ โดยมี นางสาวพัชรากร กุลรัตนจินดา หรือปลัดพัช สตรีอาสาพัฒนาบางแก้ว ร่วมลงพื้นที่ช่วยหาเสียงในครั้งนี้

พร้อมทั้งเดินชู้ป้าย แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาการขับเคลื่อนท้องถิ่นของกลุ่มบางแก้วรวมพลัง ในสโลแกน โปร่งใส เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 

โดยทางด้าน นายชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 กล่าวว่า ตนเองได้มีโอกาสลงพื้นที่มาพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ภายในชุมชนหลังวัดหนามแดงเพื่อขอคะแนนเสียงเข้าไปพัฒนาบริหารงานท้องถิ่น กับ 11 นโยบายเปลี่ยนบางแก้วให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ 1 ศูนย์พิทักษ์เมืองบางแก้ว ปลอดภัย 24 ชม. 2 โรงพยาบาลบางแก้วและศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุ 3 โรงพยาบาลสัตว์บางแก้ว 4 ศูนย์สร้างอาชีพเพื่อผู้สูงอายุสตรีและผู้ด้อยโอกาส 5 ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังน้ำท่วม 6 ซ่อมแซมบ้านผู้ยากไร้

7 สำนักทะเบียนราษฎร์เทศบาลเมืองบางแก้ว 8 การพัฒนาด้านการศึกษา 9 นวัตกรรมการจัดการขยะสู่เมืองสะอาดไร้ขยะตกค้าง 10 การบริการสาธารณะ และ 11 การพัฒนาการจัดการเมือง (Smart City) นอกจากนี้ กลุ่มบางแก้วรวมพลังยังมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและพร้อมเข้ามาบริหารงานท้องถิ่นพัฒนาเมืองบางแก้วให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ กลุ่มบางแก้วรวมพลัง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชนชุมชนหลังวัดหนามแดงและอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนพี่น้องประชาชน และเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป อย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ในวันอาทิตย์ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2568 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น ณ. หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีรายชื่ออยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top