Thursday, 15 May 2025
POLITICS NEWS

ขยายกรอบชดเชยมาตรา 28 เพิ่ม 1.5 แสนล. จ่ายเงินประกันรายได้

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการขยายกรอบอัตรายอดคงค้างรวมทั้งหมดของภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 จากที่กำหนดไว้ไม่เกิน 30% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพิ่มขึ้นเป็น 35% เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับปีงบประมาณ 65 เพื่อเปิดเป็นวงเงินให้สำหรับโครงการประกันรายได้พืชผลเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล 

“เหตุผลที่ต้องขยายกรอบครั้งนี้ เพราะวงเงินภายใต้กรอบอัตรายอดคงค้าง ณ วันที่ 19 พ.ย.64 มีวงเงินคงเหลือเพียง 5,360 ล้านบาท ไม่เพียงพอกับการดูแลโครงการประกันรายได้ ดังนั้นเมื่อขยายกรอบเพิ่มขึ้นมาอีก 5% จะมีวงเงินเพิ่มได้อีก 1.55 แสนล้านบาท รวมเป็น 160,360 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอกับโครงการประกันรายได้ โดยเฉพาะโครงการที่รอการอนุมัติในส่วนที่ 2 ทั้งการประกันรายได้ข้าว และยางพารา เพื่อให้เกษตรกรได้รับเงินจากโครงการประกันครบทั้งหมด  และเมื่อผ่านการเห็นชอบแล้ว คาดว่า ในเดือนธ.ค.นี้ ธ.ก.ส.จะเร่งจ่ายเงินได้แล้วเสร็จสิ้นภายในฤดูเก็บเกี่ยวนี้”

“บิ๊กตู่” ประธานปช.สภากห. กำชับเหล่าทัพคุมเข้มสถานการณ์โควิด-19 สกัดแรงงานข้ามชาติตามแนวชายแดน โดยไม่ได้มีการหารือกรณีการโอนงบฯลับกระทรวงกลาโหมไปตั้งศูนย์บัญชาการกระทรวงกลาโหม

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 11/2564 โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้วาระการประชุมสภากลาโหม เป็นการติดตามสถานการณ์ภาพรวมด้านความมั่นคง สนับสนุนรัฐบาล และ ศบค.รับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 

ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีวาระสั่งการเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องกำชับให้เหล่าทัพเข้าไปดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นเการคงมาตรการสกัดแรงงานผิดกฎหมายลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดน และปัญหาการค้ามนุษย์ 

iLaw เปิดสถิติผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 'เพนกวิน' มากสุด 22 คดี 

iLaw เผย สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ปลายปี 2563 - 2564 อย่างน้อย 156 คน ใน 162 คดี 'เพนกวิน' มากสุด 22 คดี 'อานนท์' 14 คดี 'ไมค์ - รุ้ง' คนละ 9 คดี ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี 6 คน

iLaw โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน เผยแพร่ สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มีรายละเอียดดังนี้…

ครบหนึ่งปี ของการนำมาตรา 112 กลับมาใช้อีกระลอกหนึ่ง นับตั้งแต่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรีว่าจะบังคับใช้กฎหมาย “ทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่” ต่อผู้ชุมนุม

จากนั้นมาจำนวนคดี #ม112 ฐานหมิ่นกษัตริย์ฯ ที่เคยหายเงียบไปสองปีกว่า ก็พุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน https://freedom.ilaw.or.th/node/994

ปลายปี 2563 ต่อปี 2564 สถิติจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อย่างน้อย 156 คน ใน 162 คดี เป็นข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ทราบและอ้างอิงได้ https://tlhr2014.com/archives/23983

จากจำนวนคดีทั้งหมดนี้ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ได้ประกันตัว หรือได้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกคุมขังระหว่างการดำเนินคดี นับถึงวันครบรอบหนึ่งปีของการนำมาตรา 112 กลับมาใช้ครั้งใหญ่ มีคนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดีอย่างน้อย 6 คน คือ อานนท์ นำภา, ไผ่ จตุภัทร์, เพนกวิ้น พริษฐ์, รุ้ง ปนัสยา, ไมค์ ภาณุพงษ์ และเบนจา อะปัญ

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' จี้ ‘มหาดไทย’ สอบที่มาทุน 'แอมเนสตี้' พร้อมหนุนคนไทยชุมนุมขับไล่

'นันทิวัฒน์ อดีตรองผอ.ข่าวกรอง' ลั่น!! 'แอมเนสตี้' อยู่ใต้กฎหมายไทย จี้!! มท. ตรวจสอบที่มาของเงินทุน ถ้าผิดกฎหมายต้องจัดการ หนุนคนไทยชุมนุมกดดันให้รัฐบาลขับไล่ ยันไม่มีประเทศไหนยอมให้เอ็นจีโอมีเสรีภาพทำอะไรได้ตามใจ

24 พ.ย. 64 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความว่า…

แอมเนสตี้อยู่ใต้กฎหมายไทย

คนไทยที่จะไปชุมนุมกดดันให้รัฐบาลไล่แอมเนสตี้ออกไปจากเมืองไทย ผมเชียร์ เห็นด้วยและอยากให้ออกไปพ้น ๆ ประเทศไทย

แอมเนสตี้ มีสองส่วน แอมเนสตี้อินเตอร์เนชันนัล สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก จดทะเบียนกับกระทรวงแรงงาน 

'เทพไท' เสนอ วิธีแก้เผ็ดพวกซื้อเสียง ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ให้นับคะแนนรวมจุดเดียว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คลิปใน Facebook ส่วนตัวว่า หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้มีผลบังคับใช้แล้วจำเป็นจะต้องมีการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นมาอย่างน้อย 2 ฉบับคือ พ.ร.ป.เกี่ยวกับพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมีการยกร่างขึ้นมาจากหลายส่วน ทั้ง กกต.พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้นำเสนอต่อสังคมให้ได้รับรู้ และแสดงความคิดเห็นกัน

ส่วนตัวขอเสนอความเห็นเกี่ยวกับการนับคะแนนการเลือกตั้ง ลงใน พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย เพราะการเสนอให้มีการนับคะแนนรวมกันที่จุดว่าที่ว่าการอำเภอในเขตเลือกตั้ง กำหนดให้อำเภอละ1แห่ง ถ้าเขตเลือกตั้งใดมี2อำเภอ ก็ใช้จุดนับคะแนน2แห่ง ถ้ามี 3 อำเภอ ก็ใช้จุดนับคะแนน 3 แห่ง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ใช้ผู้นำท้องถิ่นเป็นหัวคะแนน เดินซื้อเสียงจากชาวบ้าน ถ้าหากยังมีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งประจำหมู่บ้าน ก็สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการซื้อเสียงของผู้สมัครได้

ทำให้บรรดาหัวคะแนน และประชาชนผู้ใช้สิทธิ์ที่ขายเสียง ก็ไม่กล้าที่จะหักหลัง ไม่เลือกคนซื้อเสียง กลัวจะเป็นอันตราย จากลุ่มอิทธิพลของคนซื้อเสียง แต่ถ้าเป็นการนับคะแนนรวมกันที่อำเภอ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า หน่วยเลือกตั้งใดเลือกผู้สมัครคนใดมากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้ผู้สมัครที่ต้องการซื้อเสียงก็ไม่กล้าลงทุนซื้อเสียงอีก เพราะไม่มีหลักประกันว่า จะซื้อเสียงได้เข้าเป้าตามความต้องการ และประชาชนที่ถูกซื้อเสียง ก็สามารถที่จะรับเงินแล้วไม่เลือกก็ได้ มาตรการนี้จะเป็นการดัดหลังนักการเมืองซื้อเสียง ให้หมดสิ้นไปจากระบบการเมืองไทย 

ส่วนการกลัวว่าการนับคะแนนรวมที่อำเภอ จะมีการเปลี่ยนหีบเลือกตั้ง ระหว่างขนส่งหีบนั้น สามารถแก้ปัญหาได้โดยให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สามารถใช้สิทธิ์ส่งผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง ติดตามลำเลียงหีบบัตรไปส่งที่จุดนับคะแนนประจำอำเภอได้ และการป้องกันการเปลี่ยนหีบคะแนนเลือกตั้ง สามารถทำได้ง่ายกว่าการซื้อเสียง ที่กำลังระบาดอย่างหนักไปทั่วประเทศในขณะนี้ 

“บิ๊กตู่” พอใจภาพรวมการลงทุนก่อนสิ้นปีดีขึ้น “พาณิชย์” เผยอนุญาตต่างชาติลงทุนในไทยแล้ว 213 ราย รวม 11,554 ล้านบาท ขณะที่ “BOI” เปิดมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG เกือบ 7 แสนล้านบาท

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภาพรวมด้านการลงทุนในไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุน ดังนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2564 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 213 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 11,554 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 5,000 คน

โดยชาวต่างชาติ 3 อันดับแรก ที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น 82 ราย (ร้อยละ 38) สิงคโปร์ 33 ราย (ร้อยละ 15) และ ฮ่องกง 20 ราย (ร้อยละ 9) และลงทุน ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ ธุรกิจบริการเป็นที่ปรึกษา บริหารจัดการ และให้บริการเดินรถและซ่อมแซมบำรุงรักษารถไฟความเร็วสูง ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินในประเทศไทย ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม วางระบบและทดสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโครงการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าอัจฉริยะระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านประกันภัย บริการออกแบบวิศวกรรม จัดซื้อจัดหา ก่อสร้าง ทดสอบและตรวจสอบท่อลำเลียงเชื้อเพลิงก๊าซรวมถึงสถานีควบคุมและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น

นายธนกร กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI รายงาน ว่าการกำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลให้สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. - ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท)
 

‘ไตรรงค์’ ดึงสติ นักเรียนนอก (คอก) ซัด อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้ บริบทไทย-ตปท. ต่างกัน

24 พ.ย. 64 ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความ เรื่อง #นักเรียนนอก (คอก) #ผู้เห็นขี้ดีกว่าไส้ มีเนื้อหา ว่า.

1.) รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขโดยนักการเมือง ก็ได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว (เป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว) เราก็ต้องรอกฎหมายลูก 2 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งกับกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ทั้งหมดทั้งปวง ผลของการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายลูกฉบับใหม่ทั้ง 2 ฉบับนั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์แสดงให้โลกได้เห็นว่า การเมืองไทยมันจะพัฒนาขึ้นหรือว่ามันจะเลวลง อันจักเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองและประชาชนผู้มีและใช้สิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยมีคุณภาพสูงขึ้นหรือต่ำลง 

ถ้าเกิดเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เคยเกิดขึ้นหลังการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ขึ้นมาอีกก็แสดงว่าการเมืองของเรามันเลวลง กล่าวคือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถกลั่นกรองเอาคนดีเข้าสภาได้มากกว่าคนไม่ดี ถ้าประชาชนเห็นแก่เงิน ยอมขายเสียง นักการเมืองเห็นแก่เงิน (ยอมขายตัว) มากกว่าอุดมคติและผลประโยชน์ของประชาชน การเมืองก็จะเลวลง การโกงกิน คอร์รัปชัน ก็จะมีมากขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะการเมืองชั่วร่วมกับราชการชั่วจะเป็นตัวถ่วงและขัดขวางความเจริญในทุก ๆ ด้าน นี่คือการมองในแง่ร้าย (เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) แต่อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ถ้าทั้งประชาชนและนักการเมืองยังจำความผิดพลาดในอดีตได้ และไม่หน้าด้านทำซ้ำอีก ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้ ก็ต้องรอดูกันต่อไป

2.) เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับแก้ไขโดยนักการเมือง (เพียงไม่กี่มาตรา) ได้ถูกประกาศใช้บังคับแล้วก็ทำให้หวนคิดถึง ร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยประชาชนแสนกว่าคนที่ถูกรัฐสภาคว่ำไปเรียบร้อยแล้วนั้น ถ้าสมมุติว่าประเทศไทยเกิดมีรัฐธรรมนูญเช่นว่านั้นขึ้นมาจริง ๆ เราก็จะมีเพียงสภาเดียวที่มีอำนาจเหนือองค์กรอิสระและสถาบันศาลทั้งมวล มันก็จะเกิดความหายนะไม่แตกต่างจากที่ได้วิเคราะห์เอาไว้ในข้อ 1.) กล่าวคือ ประเทศไทยก็จะมีเผด็จการรัฐสภา การเมืองชั่วร่วมกับราชการชั่วก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่อความเจริญของประเทศในทุก ๆ ทาง อาจจะหนักกว่าเดิมที่เคยเกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2540 เพราะการซื้อสิทธิขายเสียงจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากมีทุนที่โกงสะสมไว้มีมากกว่าเดิม ลองดูในปัจจุบัน เพียงแค่เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ยังซื้อกันถึงเสียงละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท

เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสคนมีเงินย่อมกล้าจะลงทุนในระดับพันล้านหรือหมื่นล้านเพราะถ้ามีเสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเองได้ก็สามารถจะโกงกินได้เป็นแสน ๆ ล้าน มันต้องมีคนกล้า ด้านเสียอย่าง มีปัญหาม๊ะ?

3) แต่ที่น่าแคลงใจที่สุดอยู่ข้อหนึ่งก็คือว่าทำไมคนไทยที่ไปเรียนในต่างประเทศที่เจริญกว่าประเทศไทย เช่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จึงเกิดมีกลุ่มที่มีความคิดอยากจะลอกแบบทั้งระบบการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม และจารีตประเพณี ของพวกฝรั่งตาน้ำข้าวมาใช้กับประเทศไทยทั้ง ๆ ที่บริบท (context) มากมายแตกต่างกันลิบลับ พวกนักเรียนนอกเหล่านั้นคงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนโง่ไม่มีสมองคงจะต้องมีสาเหตุมาจากเหตุผลอย่างอื่น เช่น บางคนขาดประสบการณ์จึงถูกครอบโดยคนที่มีอาวุโสกว่า บางคนอาจจะไม่สามารถอ่านหัวใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศออก เพราะสายเลือดความเป็นนักการเมืองนักปกครองไม่มีใน DNA ของพวกเขา คือ ธรรมชาติมิได้สร้างเขามาเพื่อการนี้ก็ได้หรือว่ามีเหตุผลอื่น ๆ ที่เราไม่อาจเข้าถึงความในใจส่วนที่ลึกที่สุดของเขาได้ เช่นมาจากความรู้สึกอาฆาตมาดร้ายต่อบางสิ่งบางอย่างที่ฝังใจมาเป็นเวลานาน หรือต้องทำตามคำสั่งหรือตามความต้องการของใครที่อยู่เหนือกว่าแต่แอบอยู่ในที่มืดหรืออาจจะต้องทำตามคำสั่งของต่างชาติ (มหาอำนาจ) ที่ต้องการทำลายอธิปไตยของชาติไทยเพื่อประโยชน์บางประการของพวกเขาเพราะไม่รู้จึงต้องสันนิษฐานไว้หลาย ๆ ทาง

4.) เพราะว่าโดยหลักการแล้วการที่เราไปเรียนหนังสือในต่างประเทศนั้น เราเพียงเพื่อไปแสวงหาความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่ประเทศเหล่านั้นเขามีมากกว่าประเทศเราหรือของเขาก้าวหน้ากว่าที่ประเทศเรามี ไม่ว่าจะด้านการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ และสังคม เราไปเพื่อเรียนให้เข้าใจ นำสิ่งที่เข้าใจมาประยุกต์ใช้กับประเทศของเราเท่าที่พอเหมาะพอสม เพื่อให้ประเทศของเรามีทิศทางในการพัฒนาที่ดีขึ้นเพียงเท่านั้น

ผมเองเริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษหลังจากที่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว เรียกว่าเริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษตอนอายุ 21 ปี โดย ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ในขณะนั้นได้จ้างครูฝรั่งจากสถาบัน A.U.A. มาสอนพวกเรา 10 คนที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วย เพื่อเตรียมพร้อมด้านภาษาอังกฤษก่อนจะถูกส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยการสนับสนุนของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ หลังจากเรียนภาษาอังกฤษกับ A.U.A. ได้ประมาณ 1 ปี ตัวผมเองถูกมูลนิธิดังกล่าวส่งให้ไปเรียนปริญญาโทในโครงการปริญญาโทที่มูลนิธิฯ ได้จัดตั้งไว้ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงหลายท่านถูกจ้างให้มาสอน

ในปีแรกที่เข้าเรียนผมจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใด ๆ ในชั้นเรียนเลย เพราะไม่มั่นใจในภาษาพูดของตนเอง ต่อเมื่อจบปริญญาโทแล้วได้ทุนต่อไปทำปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา (มหาวิทยาลัยฮาวาย) ภาษาพูดของผมก็แข็งแรงขึ้น (ประกอบกับเผอิญมีแฟนสาวเป็นชาวอเมริกันที่ต้องพูดกันทุกวัน) ผมก็เลยกลายเป็นคนที่มีปัญหากับอาจารย์ผู้สอนมากเพราะถ้าผมไม่เห็นด้วยกับที่อาจารย์สอนผมก็จะยกมือขอแสดงความเห็นในทุก ๆ เรื่อง หรือถ้าเห็นว่าอาจารย์สอนไม่ค่อยชัดเจน ผมก็ไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ (คุณดำรง พุฒตาล เคยไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยฮาวายได้ฟังกิตติศัพท์เรื่องการเป็นคนเจ้าปัญหาในชั้นเรียนของผม ท่านนำมาเขียนเล่าให้คนไทยฟัง ขณะนั้นผมเป็นโฆษกรัฐบาลของ พล.อ.เปรมฯ)

แม้ระยะหลังเมื่อผมหาเวลาว่างจากงานการเมือง พอจะสมัครเข้าไปเรียนในโครงการสั้น ๆ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้างที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเขาเปิดสอนผมก็เลือกไปเรียนทั้งที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard ในสหรัฐอเมริกา) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge ในอังกฤษ) และคณะเศรษฐศาสตร์ (London School of Economics แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ)

'บิ๊กตู่' เป็นปลื้ม กระแส ใช้จ่าย 'คนละครึ่ง เฟส 3 -ยิ่งใช้ยิ่งได้' โค้งสุดท้าย เชื่อ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ แน่นอน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มกระแสการใช้จ่ายของประชาชนผ่านมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ที่รัฐบาลมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน ช่วยกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยความคืบหน้า (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 41.2 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 191,685.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.13 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 169,488.9 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 86,115 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 83,373.9 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 90,799 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,445.8 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 184.5 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.55 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 17,123.1 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.43 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,443 ล้านบาท

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด มีจำนวนกว่า 75,000 ราย ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ ผ่านเว็บไซต์  www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอป พลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ

‘เท่าพิภพ ก้าวไกล’ โวยรบ. เร่งแต่จะเปิดบ่อน ปล่อย ‘คนกลางคืน’ เผชิญชะตากรรมกันเอง

‘เท่าพิภพ’ โวย รัฐบาลกระตือรือร้นเปิดบ่อน แต่ไม่แยแส ‘คนกลางคืน’ ย้ำ ทุกธุรกิจต้องการความแน่นอนชัดเจน เผย ‘ก้าวไกล’ จ่อยื่นฟ้องแบบ Class Action รัฐบาล ศุกร์นี้

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการที่ตนเคยอยู่ในแวดวงคนทำร้านอาหารผับบาร์หรือ ‘ธุรกิจกลางคืน’ มาก่อน ช่วง 2 ปีมานี้ ได้ฟังเสียงสะท้อนความทุกข์จากเพื่อนฝูงและผู้ประกอบการมากมายจนรู้สึกเหนื่อยใจกับการบริหารของรัฐบาลนี้มาก เพราะนอกจากความช่วยเหลือที่มีให้น้อยมากจนถึงไม่มีแล้ว ยังซ้ำเติมด้วยการทำตัวเป็นบ่อนทำลายความหวังในการทำมาหากินของพวกเขาด้วยความโลเลไม่ชัดเจนในมาตรการและคำสั่งแต่ละครั้ง และที่น่าน้อยใจมากก็คือ ในขณะที่รัฐบาลพูดกรอกหูประชาชน สร้างภาพสารพัดให้ธุรกิจกลางคืนเป็นผู้ร้ายของสถานการณ์โควิดแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่รัฐบาลกล้าที่จะทำมากกว่าคือการผ่อนปรนให้บ่อนชนวัว ชนไก่ กัดปลา แข่งนก ชกมวย ดำเนินการได้ ทั้งที่กิจกรรมเหล่านี้ก็เคยเกิดคลัสเตอร์ใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น

“รัฐบาลดูจะกระตือรือร้นมากเรื่องเปิดบ่อน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ถึงกับบอกว่าเป็นของขวัญคนไทยในวันลอยกระทง เพราะได้เห็นหนังสือคำสั่งผ่อนคลายการแข่งขันชนไก่ ปลากัด แข่งม้า ชนโค ชกมวยและแข่งนก ไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแล้ว ส่วนตัวผมไม่ขัดข้องอะไรในเรื่องนี้ แต่แค่มีคำถามว่า ในเมื่อรัฐบาลเชื่อมั่นว่าสามารถอนุญาตให้กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงดำเนินการได้ภายใต้มาตรการควบคุมโรค แล้วเหตุใดจึงไม่นำแนวคิดนี้มาใช้ให้เป็นคุณกับธุรกิจกลางคืนบ้าง คลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี คลัสเตอร์สนามวัวชน คลัสเตอร์บ่อนพนันเคยมีมาแล้วทั้งนั้น ถึงท่านให้เหตุผลว่ายังห้ามไม่ไปชมที่สนามตอนนี้ แต่ถามว่าการรวมกลุ่มตามบ้านเจ้ามือยังมีอยู่และเป็นความเสี่ยงเช่นกันใช่หรือไม่ และท่านจะห้ามได้อย่างไร แต่ท่านยังกล้าคลายล็อกให้ภายใต้เงื่อนไขการกำกับมาตรการความปลอดภัย แล้วทำไมจึงไม่กล้าใช้เงื่อนไขนี้คลายล็อกให้ธุรกิจกลางคืนที่ได้รับความลำบากอย่างต่อเนื่องด้วย”

เคาะงบ 2.6 ล้าน ซื้อไอโฟน 12 แจกฝ่ายบริหารทำเนียบ 111 เครื่อง

สำนักนายกฯ เคาะงบ 2.6 ล้าน ซื้อไอโฟน 12 จำนวน 111 เครื่อง แจกฝ่ายบริหารประจำทำเนียบรัฐบาล ทดแทนของตกรุ่น ที่จัดซื้อเมื่อ 4 ปีก่อน กำหนดสเปก 2 ขนาด 128 GB 23 เครื่อง เครื่องละ 26,440 บาท และขนาด 64 GB 88 เครื่อง เครื่องละ 24,570 บาท

วันนี้ (23 พ.ย. 64) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เผยแพร่ประกาศผลการจัดซื้อ และสัญญาจ้าง ให้บริษัท สหธุรกิจ จำกัด เป็นผู้ได้รับการคัดเลือก ตามโครงการจัดซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) จำนวน 111 เครื่อง วงเงิน 2,681,355.80 บาท จากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร 2,965,300 บาท

สำนักงานเลขาธิการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กำหนดราคากลาง (ราคาอ้างอิง) ไว้เมื่อ 23 กันยายน พ.ศ. 2564 ที่วงเงิน 2,964,199.60 บาท

โดยระบุในหนังสือเชิญชวนโครงการนี้ ว่า สลน. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการด้านการเมือง ด้านวิชาการ ด้านเลขานุการ ทำหน้าที่ศูนย์ประสานการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารฝ่ายการเมือง

“เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ มุ่งผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และเพื่อใช้ในราชการเพื่อทดแทนของเดิม ซึ่งได้จัดหาเมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ปัจจุบันเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top