Wednesday, 4 October 2023
POLITICS NEWS

สเตป!! ธุรกิจเพลงไทย ในจังหวะที่ไม่พ้นเงื้อมมือนักฟอกเงิน ผลงานถี่-มีแต่เพลงไร้คุณภาพ-ไม่ถูกจดจำ-ปิดตัวแยกย้าย

ถ้านับย้อนกลับไปสัก 15-20 ปีก่อน ฉากหลังของ ‘นักธุรกิจสีเทา’ หรือ ‘มาเฟียต่างชาติ’ ที่ซุกตัวทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยมานาน มักจะสร้างเงินได้มหาศาลจากการค้ามนุษย์, ยาเสพติด และรถยนต์หรูนำเข้าแบบหนีภาษี โดยมีตำรวจ และนักการเมืองไทยขี้ฉ้อมีเอี่ยวตามเคย และการเปิด “ค่ายเพลงไทย” ในห้วงเวลานั้น ก็หนีไม่พ้นเป็นหนึ่งในวิธีบังหน้าเพื่อจะฟอกเงินให้ขาวใส เพราะด้วยการทำธุรกิจค่ายเพลงไทยในช่วงเวลาขาลง เป็นจังหวะเวลาที่ดูน่าเชื่อถือ และน่ายกย่องในสายตาสังคมที่สุด ประหนึ่งเป็นพ่อพระผู้ใจดี ที่แม้วงการเพลงไทยกำลังถอยหลังลงคลอง ความคึกคักเริ่มจะหดหายไป กลับมีคนรวยที่มีน้ำใจเดินเข้ามาหวังจะปลุกวงการเพลงไม่ให้เงียบสงัด

แต่ ‘ความน่าเชื่อถือขององค์กร’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย ‘คนที่น่าเชื่อถือ’ ในวงการเพลงมาออกหน้านั่งแท่นบริหารงาน คอยดีลทีมงาน ชวนศิลปินนักร้อง ดึงนักดนตรี เข้าสังกัด เพื่อมาช่วยกันสร้างผลงานเพลงที่มาจากการ ‘ถลุงเงินบาป’ แบบไม่อั้นในการผลิต 

เงินหนา ๆ ของผู้ลงทุนในคราบโจร เป็นที่หอมหวานของเหล่านักแต่งเพลงไส้แห้ง และโปรดิวเซอร์ทางดนตรีที่ไม่สนว่าจะได้เงินมาจากคนประเภทไหน รวมศิลปินนักร้องมีชื่อจำนวนหนึ่งที่อยากได้ค่าทำงานแพงลิบเพื่อจะยกระดับตัวเองโดยไม่เคยฉุกคิดว่า ที่เขาจ่ายในราคาสูงเกินจริง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ก็เลยทำให้เกิด ‘ค่ายเพลงจากนักฟอก’ ก่อตัวขึ้นไม่น้อยในสังคมดนตรีไทย เวลาเปิดค่ายจะแถลงข่าวใหญ่โต มีเหล่า ‘คนดังที่คิดน้อย’ แทบจะทุกวงการขึ้นเวทีไปยืนถ่ายรูปช่วยกันฟอกโจรด้วยความชื่นมื่น แต่เมื่อถึงคราวสังคมรู้ถึงกลิ่นที่ผิดปกติ ก็จะแอบปิดตัวไปแบบเงียบ ๆ ในเวลาเพียงปีสองปีเสมอ

ค่ายเพลงจากเงินเทาเหล่านี้ มักจะมีผลงานออกมาถี่ ๆ แต่มักจะเป็นผลงานเพลงที่ไร้คุณภาพ ไม่เป็นที่จดจำ หลังปิดตัวแยกย้ายกันไปไม่นานนักสังคมก็จะลืมทั้งชื่อค่าย และชื่อของศิลปินแต่ละเบอร์ที่เคยออกผลงานมา

แต่ถ้าพูดถึง 5-6 ปีที่ผ่านมาถึงชั่วโมงนี้ ‘กลุ่มทุนเทา’ คือผู้อยู่เบื้องหลัง ‘บ่อนพนันออนไลน์’ เป็นหลัก และแน่นอนยังคงเลี้ยงดูปูเสื่อนายตำรวจใหญ่ ๆ สายโฉด รวมถึงนักการเมืองสายดาร์กบางคน เพื่อการทำมาหารับประทานที่คล่องตัว ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่ยังคงใช้ ‘ฟอกตัวตน’ ก็คือการดำเนินธุรกิจเพลงไทยเพื่อใช้เป็นฉากบังหน้าเหมือนเคย เพียงแต่ไม่ใช่วิธีเปิดค่ายเพลงทื่อ ๆ ตรง ๆ เหมือนแต่ก่อน ครั้งนี้หันไปใช้วิธีให้สังคมรู้จักในนาม ‘ผู้ห่วงใยวงการเพลง’ ประกาศจ่ายค่าทำเพลงในอัตราสูง ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานเพลงทุกแขนงตื่นตาตื่นใจ ที่สุดปลาที่ว่ายไปงับเบ็ดธงที่โจรปักหลอกไว้ก็มีแต่คนหน้าตาเดิม ๆ 

ถ้าการเมืองไทยยังไม่ไปถึงไหน วงการเพลงไทยก็..ไม่ต่างกัน

‘นายกฯ’ ลั่น!! ปัญหา ‘บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน ย้ำ เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ

‘เศรษฐา’ เผยสไตล์ทำงานแบบมิติใหม่ เน้นคุยวงเล็กต้องพร้อมทุกเมื่อ ไม่ต้องซีเรียส หวังให้กระตือรือร้น ลั่นปัญหา ‘โจ๊ก-ต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ จ่อตั้งอดีตตำรวจช่วยงานปราบยาเสพติด

(3 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเชิญ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มาหารือภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องการพบปะกับข้าราชการระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินการคลัง ฝ่ายความมั่นคง จากนี้ต่อไปจะเป็นการทำงานในลักษณะแบบนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปประชุมใหญ่ที่มีองคาพยพขนาดใหญ่ ในลักษณะการประชุมหลาย 10 คน แต่อย่างการมาประชุมวันนี้ก็ประชุม 3-4 คน หรือ 6 คนเต็มที่ จากนั้นเป็นเรื่องการสั่งการและรับฟังความคิดเห็น จากเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเรื่องการให้วีซ่าฟรีของชาวจีนว่าจากการดำเนินการที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการกันอย่างไร และมีข้อเรียกร้องกันอย่างไร เพราะบางข้อเรียกร้องก็เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ภาษีต่างๆ ซึ่งเราก็ได้รับฟังและจะมีการหารือในกลุ่มอื่นต่อไป

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการพบปะกันธรรมดา ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ในการทำงาน ไม่มีอะไรผิดปกติ เรื่องแบบนี้เราทำกันมาอยู่แล้วและภาคส่วนอื่นก็ทำเช่นนี้ เพราะถ้าไม่มีการพูดคุยส่วนตัวคิดว่าน่าเป็นห่วงมากกว่า การประชุมต่อไปนี้ไม่ต้องเป็นทางการมาก ไม่ต้องมีการเตรียมงาน แต่จะเป็นการกระตุ้นให้กับทุกคนและตัวตนเองว่าข้อมูลต้องพร้อม ต้องเตรียมตัวให้ดีตลอดเวลา ไม่ต้องไปเตรียมตัว 2-3 วัน บอกเช้ามาบ่ายก็ได้ จึงอยากให้ผู้ร่วมงานทุกคนและหน่วยงานมีความกระตือรือร้น แต่ไม่ต้องซีเรียสมากที่จะมาพูดคุยกัน ถ้าหากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับไปหาข้อมูลกันมาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการพบกันครั้งนี้ ได้มีการเคลียร์ปัญหาในวงการตำรวจหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าตั้งแต่ช่วงที่มีการแต่งตั้งออกไป ทั้ง ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร.สุรเชษฐ์ ก็มีภาพข่าวออกไปแล้วว่ามีการพูดคุยกันในเชิงบวก

“คนเราอยู่ด้วยกันก็มีลิ้นกับฟันเป็นธรรมดา แต่ผมเชื่อว่าความตั้งใจจริงของทั้งสองท่าน และอาจจะยังมีอีกหลายๆคู่ที่อาจเป็นคู่กรณีกัน ซึ่งผมไม่ทราบ แต่เรามีนโยบายชัดเจนว่าเรามีภารกิจใหญ่ คือความมั่นคงของประเทศ การดูแลทุกข์สุขของประชาชน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องส่วนตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องทำงานให้ได้ ต้องไม่มีข่าวเชิงลบ ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชนได้ตลอดเวลา” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีความขัดแย้งกันเองจริงๆ และยังมีอีกหลายคู่ที่มีความขัดแย้งกันใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาในทุกวงการ แม้แต่วงการสื่อมวลชน อยู่ที่นี่ก็อาจจะมีการทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา บางคนไม่พูดคุยกันก็มี ถือเป็นธรรมดา

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีพร้อมจะห้ามศึกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ ผมคิดว่าเราไม่ต้องห้าม เรามีการพูดคุยกันอย่างเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นที่ว่าการพูดคุยแล้วจะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่จำเป็น เราผิดใจกันได้ แล้วก็กลับมาสมานใจกันได้ใหม่ สังคมอยู่ด้วยกันมาจากหลายที่หลายทาง จะให้เห็นตรงกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องมีการพูดคุยกันในภาษาที่น่าฟัง ไม่ใช่ไปด้อยค่าซึ่งกันและกัน ต้องไม่มีการดูถูกดูแคลนกัน ที่ผ่านมาสังคมแตกแยกกันเยอะแล้ว ก็ขอให้มีมิติใหม่ ในการพูดคุยกันดีกว่า” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลบที่ออกไปประชาชนมีความคาดหวังอยากให้มีการปฏิรูปตำรวจ นายกรัฐมนตรีมองอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าทุกองค์การทุกสถาบัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การดูแลทุกข์สุขของประชาชน การพัฒนาความสัมพันธ์ มีการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เชื่อว่าทุกคนตระหนักดี และรู้ว่าอะไรไม่ดีก็ต้องมีการแก้ไข

เมื่อถามว่าได้มีการสั่งการอะไรพิเศษกับ ผบ.ตร. คนใหม่บ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยกันวันนี้ได้ขอให้มีการติดตามในเรื่องวีซ่าฟรีคนจีนเข้ามาต้องไม่มีปัญหา เรื่องของการตรวจคนเข้าเมืองต้องอำนวยความสะดวกให้ดี แต่อย่าให้สะดวกเกินไปจนกระทั่งลืมเรื่องของความมั่นคง นอกจากนี้ยังได้สั่งการในเรื่องยาเสพติด ต้องดูให้ดี เพราะปัจจุบันเหมือนจะมีเข้ามาเยอะ ตนลงพื้นที่ไปเพราะมีประชาชนมาพูดคุยและแสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก ก็ได้กำชับกับ ผบ.ตร.คนใหม่ไป และอีก 2-3 วัน ตนจะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่จะไปช่วยดูแลตรงนี้ ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไป

‘ชัยวุฒิ' ปัดข่าวนั่งเก้าอี้ สส.แทน 'บิ๊กป้อม' ยัน พปชร.ไม่ระส่ำ หลังมีข่าวเลขาธิการย้ายพรรค

ที่พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ตนเองจะมาเป็นสส.แทน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หาก พลเอกประวิตร ลาออก ว่า ยังไม่มีการทาบทามจากพลเอกประวิตร และพลเอกประวิตรเองก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคและเป็นสส. อยู่ ทำงานการเมืองต่อ 

เมื่อถามว่า ถ้ามีโอกาสเข้าไปในสภาก็จะทำงานสภาต่อใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าอย่าไปพูดเลยยังไม่ถึงเวลา

เมื่อถามว่าตัวตึงจะกลับมาหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าไม่มีตัวตึง  หมดยุคไปแล้ว วันนี้ไม่มีใครเป็นตัวตึงสบาย ๆ การเมืองยุคใหม่ เท่าที่ดูก็สร้างสรรค์

ส่วนความเป็นไปได้ที่พลเอกประวิตร จะลาออกสส.นั้น ตนไม่ทราบ ต้องถามหัวหน้าพรรคดีกว่า อย่าถามเรื่องนี้เลย ไม่มีผลทางการเมือง ถามเรื่องสำคัญ ๆ ดีกว่า 

เมื่อถามว่าอาจจะอยากให้นายชัยวุฒิ เข้าไปขับเคลื่อนในสภา นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนก็ช่วยอยู่แล้ว เป็นรองหัวหน้าพรรคมาประชุม สส.และประสานงานต่างๆในสภาอยู่แล้ว พรุ่งนี้ตนก็เข้าสภาไปประชุมกรรมาธิการวิสามัญ

ทั้งนี้ ตนก็ยังทำหน้าที่ในสภาอยู่แม้จะไม่ได้เป็นสส. ก็ต้องช่วยทำงานเพราะเราเป็นรองหัวหน้าพรรค โดยวันนี้มีสัมมนาประชุมพรรคเตรียมความพร้อมสส. ในการทำงานทุกๆด้านทางการเมือง

ส่วนกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐอาจจะอยู่ได้แบบระส่ำ หลังมีข่าวลือว่าเลขาธิการพรรคอาจจะย้ายพรรคนั้น นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เขาย้ายพรรคแล้วหรอ ตนยังไม่รู้ ยังไม่ถึงเวลาหรอก พรรคเพิ่งเลือกตั้งเสร็จ เพิ่งจะตั้งรัฐบาลคงทำงานร่วมกันไปในนามพรรคพลังประชารัฐยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้"

เมื่อถามว่ายังมั่นคงหรือไม่กับ 40 เก้าอี้สส. นายชัยวุฒิกล่าวว่าก็ยังดีอยู่ ส่วนบรรยากาศก็ยังราบรื่นดี

สำหรับกรณีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ลาออกจากสมาชิกพรรคนั้น ตนไม่ทราบน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว มีเหตุผลน่าจะไปทำงานอะไรบางอย่างที่ต้องลาออกจากพรรคการเมือง ต้องถามนางนฤมล

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังกล่าวถึง คณะกรรมการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ที่แต่ละพรรคการเมืองจะส่งตัวแทนเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการนั้น ว่า  เท่าที่ทราบคือจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกพรรคคุยกันอยู่ว่าเป็นแนวทางนี้แต่ข้อสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอให้คณะกรรมการหรือกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นคุยกันอีกที

ทั้งนี้ ในนามพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องของทุกพรรคการเมือง และมองว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ขับเคลื่อนเรื่องนี้พรรคการเมืองเดียวไม่ได้ เป็นเรื่องของทุกฝ่าย ทุกพรรคและ สมาชิกวุฒิสภา (สว.)เพราะการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ต้องคุยกันทุกกลุ่มทุกฝ่าย และคงจะใช้เวลา ไม่ได้ข้อสรุปเร็วๆนี้  นายชัยวุฒิกล่าว

‘สส.ก้าวไกล อยุธยา’ โพสต์โปรโมตเบียร์ซ้ำรอย ‘หมออ๋อง’ ด้าน ‘ไอซ์ รักชนก’ ไม่ปราม กลับคอมเมนต์แซว ‘แบ้วเกิ๊น’

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค. 66) นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.เขต 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพตัวเองถือกระป๋องเบียร์และโปรโมตร้านขายเบียร์ โดยระบุข้อความว่า…

ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีคนทำ ‘เบียร์ยี่ห้อตัวเอง’ มาให้เรา ไม่คิดว่าจะได้มีเรื่องประทับใจแบบนี้เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป คนทำเบียร์ยุดยา นี่มันน่าร้ากกกกทุกคนเลยครับ มีหลายยี่ห้อด้วย Dark House Bar ของที่ระลึกชิ้นนี้ เราจะเก็บรักษาเพื่อเตือนใจ พวกเราให้ทำงานเต็มที่ เดินหน้าความฝันที่ทุกท่านส่งต่อมาให้ครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #กรุงเก่าก้าวไกล #เต้ทวิวงศ์

โพสต์ดังกล่าวได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กบางส่วนเข้ามาเตือนนายทวิวงศ์ให้รีบลบโพสต์ เพราะเป็นกรณีเดียวกับนายแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ สส.พรรคก้าวไกล ที่โพสต์ภาพเบียร์พิษณุโลก

อย่างไรก็ตามนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็ได้มาคอมเมนต์ด้วย ทว่ากลับไม่มีการทักท้วงเพื่อน สส.ว่าเป็นการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย แต่กลับคอมเมนต์ว่า ‘แบ้วเกิ๊น’

สำหรับการโพสต์ของนายทวิวงศ์ ส่อเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม

‘วราวุธ’ เตรียมหารือ ‘ชัชชาติ’ ดันนโยบายจ่ายค่าเช่าบ้านคนละครึ่ง เพื่อหาที่อยู่ให้คนไร้บ้าน - ตกงาน ตั้งเป้า!! ปี 79 ทุกคนต้องมีที่อยู่

(3 ต.ค. 66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึง กรณีที่กระทรวงผลักดันนโยบายจ่ายค่าเช่าบ้านคนละครึ่ง เพื่อสนับสนุนชาวบ้านให้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ว่า นโยบายดังกล่าวกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดำเนินการมา 1 ปีมีผู้เข้าโครงการเพียง ไม่ถึง 100 คน ซึ่งโครงการนี้จะสนับสนุนเงินครึ่งหนึ่งให้กับผู้ที่ไร้บ้าน ที่เป็นการเช่าบ้านไม่เกิน 2,000 บาทถึง 3,000 บาท โดยเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมโครงการ คือ ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย และไม่มีงานทำ เป็นการใช้บ้านเช่าที่มีราคาถูก และหากไม่มีงานทำกระทรวงก็จะร่วมมือกับภาคเอกชน ออกเงิน ค่าเช่าบ้านให้ครึ่งหนึ่งและหางานให้ เพื่อช่วยลดปัญหาให้ประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยมีที่อยู่ และให้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ โดยผู้ที่เข้าเงื่อนไขสามารถสมัครเข้าโครงการได้ ตามแผนของกระทรวง เพิ่งเริ่มเมื่อปีที่แล้ว และตามเป้าหมายของกระทรวง ภายในปี 2579 ทุกคนที่ไร้บ้านจะต้องมีที่อยู่อาศัย

นายวราวุธกล่าวว่าสถานการณ์คนไร้บ้านปัจจุบันใน กทม. มีปริมาณมากขึ้น จึงถือเป็นภารกิจหนึ่งของพม. ที่อยากให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย และมีรายได้ ที่ไม่ใช่งานประจำ ซึ่งจะหารือกับนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่กระทรวงอีกครั้งในสัปดาห์หน้าเพื่อประเมินตัวเลข ที่ชัดเจน และแม่นยำ 

‘นายกฯ เศรษฐา’ ร่วมอัปเดตเศรษฐกิจ ‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ยัน!! ไม่มีความขัดแย้ง ต่างฝ่ายต่างรับฟังกันด้วยเหตุผล

(2 ต.ค. 66) ที่กระทรวงการคลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางมาเข้ากระทรวงการคลัง หลังจากก่อนหน้านี้ ได้หารือ กับ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำเนียบ เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การเข้ากระทรวงการคลังนั้น นายเศรษฐา ได้มีคำสั่งเรียกหน่วยในกระทรวงการคลังมาพูดคุยเรื่องเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐบาล รวมทั้ง เรียกพบหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทาน เข้าพบ เพื่อติดตามสถานการณ์เรื่องอุทกภัย และน้ำแล้งที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวัน (อีอีซี) ด้วย

โดยนายเศรษฐา กล่าวถึงกรณีที่ได้หารือ กับนายเศรษฐพุฒิ ว่าเป็นการพบกันธรรมดาในฐานะผู้บริหารสูงสุด ในฐานะนายกก็ต้องรับฟังความเห็นผู้บริหารเป็นธรรมดา โดยเน้นเรื่อง เศรษฐกิจโดยรวม ส่วนเรื่องนโยบายก็รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ส่วนรายละเอียดนั้นขอไม่เปิดเผย

“ยืนยันว่าคุยกันด้วยดี และจะมีการนัดพบกันอย่างต่อเนื่อง ไม่มีประเด็นเรื่องความขัดแย้ง ไม่มีแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจร่วมกัน ได้คุยกันในทุกเรื่อง แน่นอนว่าหลังจากนี้ ต่างฝ่ายจะนำข้อมูลกลับไปทบทวน ไม่เช่นนั้นจะเรียกมาพบทำไม ไม่ได้เรียกมาจัดฉากเพื่อทะเลาะกัน แต่เรียกมาพูดคุยกันเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งผู้ว่า ธปท. ก็ดูแลสภาพการเงินการคลังของประเทศ ถ้าผมเชิญท่านมา ก็ต้องให้ความสำคัญกับท่าน ส่วนตัวผมกังวลมีข้อกังวลทุกเรื่องที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะของ นายเศรษฐพุฒิจากที่ได้รับฟัง ก็มีทั้งเรื่องที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ จะให้เห็นด้วยกันทุกเรื่องไม่ได้ ต้องคุยกันด้วยเหตุและผล ส่วนการคุยมีผลให้ปรับนโยบายไหมนั้น ยังไม่มี แต่ก็ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน และต้องพูดคุยกันต่อเนื่อง

“เดี๋ยวเย็นนี้ จะมีการโทรศัพท์คุยกันอีก ส่วนนัดหารือครั้งต่อไปคืออีก 2-3 อาทิตย์ หรือ อาจจะเร็วกว่านี้ หากมีความต้องการ แต่ก็จะมีการคุยกันให้บ่อยขึ้น และผู้ว่า ธปท. ก็ฝากนโยบายหลายเรื่อง ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดไว้เลย แต่ท่านก็ฝากมาว่า น่าจะทำส่วนนี้นะ และนโยบายอนาคตหลายเรื่อง ตนก็ได้เรียนถามท่านไปว่าผมคิดอย่างนี้ ท่านมีความเห็นอย่างไร สรุปคือ ต่อไปนี้ ถ้าผมทำอะไรจะคุยกับท่านบ่อยขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว

‘นฤมล’ ยื่นลาออกทุกสถานะใน ‘พลังประชารัฐ’ อ้าง!! รับผิดชอบหน้าที่เหรัญญิกพรรคสมบูรณ์แล้ว

(2 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ยื่นใบลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ แล้ว ทั้งตำแหน่งเหรัญญิกพรรค และยังลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.ด้วย โดยได้ยื่นหนังสือลาออกถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

นางนฤมล ได้แจ้งเหตุผลการลาออกดังกล่าวว่า เนื่องจากได้รับผิดชอบหน้าที่ตามกฎหมายในตำแหน่งเหรัญญิกพรรค ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

เพจ ธ.ออมสิน เขตสุโขทัย แสดงจุดยืนรัก ‘ชาติ ศาสนา กษัตริย์’ หลังเจอทัวร์ลง เหตุโพสต์ภาพคนสวมเสื้อมีโลโก้พรรคต่อต้านสถาบัน

(2 ต.ค.66) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘Kawin Kankeow’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

จากประเด็นการโพสต์ภาพคนสวมเสื้อซึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายพรรคการเมืองพรรคหนึ่งปรากฏในเพจของธนาคารออมสิน เขตสุโขทัย ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารธนาคารออมสิน เขตสุโขทัยแล้ว ท่านรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าท่านมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนผมก็ได้แสดงจุดยืนว่าการแสดงทัศนคติทางการเมืองในนามบุคคลเป็นเรื่องปกติ แต่ในนามองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารออมสินซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ การแสดงสัญลักษณ์ซึ่งดูเหมือนเป็นตัวแทนของการต่อต้านสถาบันฯ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของคนรักสถาบันฯ อย่างผมและคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก

กรณีนี้เข้าใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนอาจไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจนไม่ได้ตระหนักถึงความอ่อนไหวในประเด็นนี้ หลังจากการพูดคุยกันแล้วผมได้รับการตอบรับที่ดีว่าต่อไปนี้ทางธนาคารฯ จะระมัดระวังในการสื่อสารสาธารณะให้มากยิ่งขึ้น และจะปฏิบัติตามปรัชญาของธนาคารออมสินอย่างเคร่งครัดครับ

ส่วนทางด้านเฟซบุ๊ก ธนาคารออมสิน เขตสุโขทัย ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ในฐานะของผู้บริหารสูงสุดของสาขาเขตรู้สึกเสียใจ และขอน้อมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด และขอยืนยันว่าธนาคารออมสินซึ่งถือกำเนิดโดยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มีนโยบายให้พนักงานธนาคารทุกคนจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และแสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นกลาง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ธนาคารออมสินพร้อมที่จะให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะและความเชื่อ และจะดำรงตนเป็นแบบอย่างตามรอยพระราชจริยวัตรอันงดงามยิ่งของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 

โดยธนาคารออมสินจะยึดมั่นในการทำหน้าที่ธนาคารที่จะสร้างความสุขให้พี่น้องคนไทยและนำพาความเจริญเพื่อประเทศชาติพัฒนาในทุกด้านสืบต่อไป

‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘พณ.จังหวัด-DIT’ ดูแล ปชช.ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม กำชับ!! ป้องกันการกักตุนสินค้าเข้มข้น หวั่นของขาดตลาด-ขึ้นราคา

(1 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดและกรมการค้าภายใน เข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้  ทั้งระหว่างน้ำท่วม และหลังระดับน้ำลดลง ไม่ให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นขาดตลาด ให้มีกระจายสินค้าอย่างทั่วถึงและไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชน ไม่ให้มีการกักตุนสินค้า หากฝ่าฝืนให้มีการดำเนินการกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้กระจายสินค้า ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะผัก เครื่องมือ น้ำยาทำความสะอาดบ้านและวัสดุก่อสร้าง เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดแล้ว

ขณะเดียวกันให้นำรถโมบายกระจายลงในพื้นที่ในชุมชน ขายของลดราคา จัดกิจกรรมเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เช่น เอาสินค้าในชุมชนไปกระจายช่วยขายในพื้นที่อื่นๆ พร้อมกับขอให้เข้มงวดการติดป้ายแสดงราคาสินค้า ไม่ให้มีการฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้บริโภค

‘สมศักดิ์’ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมสุโขทัย กำชับทุกหน่วยเร่งช่วย ปชช. รับ สถานการณ์ยังน่าห่วง เตรียมเสนอแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวต่อ ครม.

(1 ต.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยจุดแรก ได้เดินทางไปตรวจประตูระบายน้ำแม่น้ำยม บ้านหาดสะพานจันทร์ อำเภอสวรรคโลก ร่วมประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย กับนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย นางสาวประภาพรทองปากน้ำ สส.สุโขทัย  นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล สส.สุโขทัย และหัวหน้าส่วนราชการ

โดยนายสุชาติ กล่าวรายงานสรุปว่า สถานการณ์น้ำในจังหวัดสุโขทัย เริ่มมีความน่าเป็นห่วงตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพราะมีฝนตกเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีน้ำป่าไหลมาจากจังหวัดรอบข้าง ส่งผลให้สถานการณ์น้ำในจังหวัดเวลานี้ อยู่ในจุดที่ต้องเฝ้าระวัง โดยขณะนี้ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 42 ตำบล 165 หมู่บ้าน 1,365 ครัวเรือน รวมถึงมีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 2,483 ไร่ ซึ่งทางจังหวัดได้เตรียมความพร้อม ในการดูแลช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่สั่งการอย่างเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งลงพื้นที่แล้ว โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ได้รายงานสถานการณ์และสรุปในเบื้องต้นให้รับฟังแล้ว ซึ่งขณะนี้ มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 1,365 ครัวเรือน เป็นพื้นที่กว่า 62,000 ไร่ ส่วนเรื่องการช่วยเหลือชาวสุโขทัย ในเรื่องการอพยพนั้น ยังมีน้อย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ มวลน้ำ ที่ไหลมาจากจังหวัดแพร่ โดยจากรายงานปริมาณน้ำของวันนี้ เมื่อเทียบกับของเมื่อวานที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า สูงขึ้น จาก 880 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มอีก 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยมวลน้ำทั้งหมด จะไหลมารวมอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทางจังหวัดสุโขทัย ก็พยายามปล่อยน้ำออกทางด้านซ้ายของแม่น้ำยมเป็นหลัก ซึ่งสามารถปล่อยได้ 450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนในวันพรุ่งนี้ ตนได้รับรายงานว่า น้ำน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อาจจะส่งผลกระทบให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอเมือง ยังพบดินสไลด์ริมตลิ่ง ความยาวกว่า 100 เมตร โดยผู้ว่าฯได้นำเอาบิ๊กแบ๊คมากั้นเรียบร้อยแล้ว คาดว่า วันนี้จะสามารถหยุดการไหลของน้ำเข้าในพื้นที่ของอำเภอเมืองได้

“หลังจากนี้ ผมและคณะ จะเดินทางไปจังหวัดแพร่ เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงมาก จึงได้กำชับให้ผมรีบลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ผมจะกลับมาประชุมที่จังหวัดสุโขทัยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสรุปแนวทางทั้งหมด นำไปเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยขอยืนยันว่า ผมทำงานการเมืองมา 40 ปี เห็นปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งจะพยายามแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top