Friday, 25 April 2025
NEWS

ผบช.ทท. ประชุมขับเคลื่อน ศปทท.ภ.2 ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่น รองรับสถานการณ์ในทุกมิติ 

ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการส่งเสริมให้ทุกเมืองในประเทศไทยเป็นเมืองน่าเที่ยว มุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพื่อสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" (ศปทท.ตร.) ประสานการปฏิบัติร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องรวมถึงการบูรณาการขอความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรภาครัฐและเอกชนจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว

ล่าสุดวันนี้ (17 ก.พ.68 ) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เป็นประธานการประชุม ขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 2 (ศปทท.ภ.2) ณ ห้องประชุม สภ.เมืองพัทยา โดย ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบไปด้วย พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2 ในฐานะหัวหน้า ศปทท.ภ.2 , พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผบก.ทท.1 , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี  , พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี/หน.ศปทท.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย รอง ผบก.ในสังกัด ภ.2 ผ่านระบบทางไกลผ่านจอภาพ และผู้แทนคณะทำงานหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เปิดเผยหลังประชุม ว่า ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีการจัดตั้ง 'ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' (ศปทท.ตร.) เพื่อดูแลยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ซึ่งอาศัยการบูณาการความร่วมมือ ระหว่าง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจน้ำ กรมการปกครอง กรมเจ้าท่า ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว และภาคเอกชน อาทิ เช่น สมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ประธานชุมชนวอล์คกิ้งสตรีท นายกสมาคมผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองพัทยา และประธานผู้ประกอบการกลางคืนเมืองพัทยา โดยได้จัดทำข้อมูลท้องถิ่นในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญตามวงจรการท่องเที่ยว เพื่อนำมากำหนดจุดตรวจ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูเเลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว รองรับกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบต่อไป

โดยวันนี้ได้ลงพื้นมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 เพื่อประสานจ้อมูลท้องถิ่นด้านวงจรการท่องเที่ยว ไม่จะเป็นที่กิน ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว รวมถึงจุดเสี่ยงและจุดที่เกิดปัญหาอาชญากรรมขึ้นบ่อย เพื่อบูรณาการร่วมกันภายใต้ Police 4.0 ในจุดตรวจ และการรับแจ้งเหตุในการติดตามช่วยเหลือกับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีศูนย์ 1155 ส่วนของภูธรจังหวัดชลบุรีจะเป็น ศูนย์ 191 ซึ่งขณะนี้สามารถลิ้งเข้าร่วมกันทั้ง 3 สาย จากผู้แจ้งที่เป็นชาวต่างชาติเมื่อโทรมาที่ 191 ของจังหวัดสามารถติดต่อตามภาษาของนักท่องเที่ยวมาที่ ศูนย์ 1155 ก็จะติดต่อประสานการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ ทั้งหมดถือเป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาการจับเคลื่อนศูนย์ดังกล่าวในพื้นพัทยาถือว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ปัญหาการก่อเหตุการ์ดทำร้ายนักท่องเที่ยวลดลง ปัญหาอาชญากรรมในแหล่งท่องเที่ยวลดลงจากความร่วมมือ แต่จะมีในส่วนเหตุที่นักท่องเที่ยวกับนักท่องเที่ยวด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมถึงกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วเข้าหลักกเกณฑ์การพิกถอนวีซ่า จากนี้จะให้คณะทำงานภูธรจังหวัดชลบุรีในการพิจารณาพิกถอนวีซ่ากับนักท่องเที่ยวที่เข้าก่อเหตุและเข้าหลักเกณฑ์

ซึ่งหลังจากนั้นเสร็จสิ้นการประชุม ตำรวจท่องเที่ยว ได้มีการบูรณาการร่วมกับ สภ.เมืองพัทยา และ ตม.ชลบุรี ออกตรวจสอบ กวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งผลการปฏิบัติสามารถจับกุม บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โอเวอร์สเตย์ และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 26 ราย

สมาคมนักเรียนไทย-จีนจัดงาน China Fair 2025 ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

เมื่อวันที่ 15-16 ก.พ. 68 สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเสด็จเปิดงาน China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Travel ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ณ ลานชั้น 9 อาคาร SIAM SCAPE เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งงานดังกล่าวจัดโดยสมาคมนักเรียนไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะแนวด้านการศึกษาต่อที่ประเทศจีน โอกาสการทำงาน และการท่องเที่ยวจีนให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในด้านต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน

สำหรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมพิธีเปิดงาน อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, มาดามหวัง ฮวน ภริยา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย, นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม, รองศาสตราจารย์ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดี ด้านศิลปะวัฒนธรรม เครือข่ายการเรียนรู้ และ LLL จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายฐาปณัฐ อุดมศรี รองผู้อำนายการกลุ่มวิจัยและพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้, นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (กรุงเทพ)

ระหว่างพิธีเปิด ผู้แทนจากสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เข้าเฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย ทั้งนี้ ผู้บริหารสมาคมฯ และผู้มีอุปการคุณในการจัดงานฯ จำนวน 30 คน ได้เข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก ในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

งาน "China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Treavel" เป็นการนำเสนอบูธขององค์กรด้านการศึกษา และบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว 28 แห่ง มาแนะนำและแนะแนวเพื่อเปิดโอกาสในนักเรียน, นักศึกษา, ผู้ที่กำลังหางาน และผู้ที่สนใจเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศจีนได้รับข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ ครอบคลุมทั้งด้านทุนการศึกษา การสมัครเรียนต่อจีน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา จนถึงระดับปริญญาเอก, การแนะแนวอาชีพ และการทำงานกับองค์กรในจีนพร้อมทั้งมีการเปิดรับสมัครงานจากองค์กรที่ต้องการบุคลากรที่มีความสามารถด้านภาษาจีน ตลอดจนบริการด้านการท่องเที่ยว เช่น ตั๋วเครื่องบิน ประกันภัย เอเยนซี แพลต์ฟอร์มออนไลน์บริการวีพีเอ็น บริการด้านเอกสารวีซ่า ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทย-จีน และการชิงตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพฯ- กว่างโจวจากสายการบินไชนาอีสเทิร์นแอร์ไลน์อีกด้วย

ทั้งนี้ ยังมีการจัดเวทีเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ แนะแนวการศึกษาโดยรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีนที่เรียนทั้งสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ฯลฯใน Seesion การแชร์ประสบการณ์จากรุ่นพี่ “Fit to Fly to China” ในวันที่ 15 ก.พ. 68 ประกอบด้วย ดร.กฤตนัย ต่อศรี สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน(UCAS), ดร.สรสิช ผดุงรัชดากิจ มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ (UIBE), ผศ.ดร.วุฒิชัย บุญพุก มหาวิทยาลัยเป่ยหาง(BUAA), ดร.ณฐพร คงจินดามุนี มหาวิทยาลัยซุนยัดเซน (SYSU) และน.ส.จิรัชญา ภิญโญวรกุลมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (FDU)

นอกจากประเด็นการศึกษาแล้ว ในวันที่ 16 ก.พ. 68 ยังมี Session การแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์การทำงานโดยผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ในช่วง Exclusive Talk with the Leaders โดยได้รับเกียรติจาก คุณโจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy613 จำกัด, หม่อมหลวงสุภาพ ปราโมช พร้อมด้วยคุณอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจอาเซียน, ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ 8 Minute History และ Morning Wealthและคุณเจตยา วรปัญญาสกุล Head of Learning Excellent Center บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย

งาน China Fair 2025 by TCSA สำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น และเป็นที่ประทับใจของผู้มาร่วมงาน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาและผู้ปกครอง เพราะถือเป็นช่องทางที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจีน และความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งด้านวัฒนธรรม การศึกษา การทำงาน และการท่องเที่ยวในจีนมากยิ่งขึ้น กิจกรรมนี้ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างไทย-จีน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน China Fair by TCSA และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ที่จะช่วยรวบรวมนักศึกษาไทยในจีนและนักศึกษาจีนในไทย เพื่ออนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #1 อย่าปล่อยให้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ถูกกฎหมาย

(17 ก.พ. 68) ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวดในการห้ามนำเข้าและจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ซึ่งถือเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก จนมีประเทศต่าง ๆ ราว 40 ประเทศที่เดินตามมาในแนวทางนี้ แต่ทว่า ประเทศไทยกลับกำลังจะถอยหลังเข้าคลอง ด้วยมีความพยายามที่จะ “ปลดล็อก” การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อให้สามารถนำเข้า หรือจำหน่ายได้แบบไม่ผิดกฎหมาย โดยสภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งอนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้มีการจัดทำข้อสรุปออกมาเป็น 3 แนวทาง คือ แบนบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนปัจจุบัน อนุญาตนำเข้าเฉพาะ HTP และยกเลิกกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ได้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของ 3 แนวทางตามมาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ไว้ดังนี้ 

แนวทางที่ 1 การกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย (แบนบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาด) 
ข้อดี
1. กฎหมายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันทั้ง 3 ฉบับ เป็นกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยและของโลก ที่มีการเพิ่มจำนวนประเทศที่แบนเป็น 40 ประเทศ อย่างรวดเร็ว
2. ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารเสพติด และเป็นช่องทาง (gateway) นำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่น ๆ
3. สามารถป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เข้าสู่การเสพติดนิโคติน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องได้รับการปกป้อง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จากประสบการณ์ของต่างประเทศที่พบว่าประเทศที่แบนจะมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ไม่แบน

แนวทางที่ 2 คงกฎหมายห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ยกเว้น Heat not burn Tobacco Product (HTP) ข้อดี
1. HTP เป็น Electronic Nicotine Delivery Device ชนิดที่เป็น solid คือ นำใบยาสูบมาหั่นฝอย โดยจะใช้ความร้อนจากอุปกรณ์มากกว่า 300 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 600 องศาเซลเซียสเหมือนการเผาไหม้บุหรี่ทั่วไป
2. มีการเผาไหม้เป็นไอ ไม่มีเถ้า ไม่มีควัน (น้ำมันดิน) ไม่มีน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ใช้ใบยาสูบซึ่งให้นิโคตินธรรมชาติ
ข้อเสีย 
1. ยังคงมีนิโคติน ผลิตภัณฑ์ HTP จะต้องมีคำเตือนว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติด และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่อนุญาต ซึ่งผู้ผลิต IQOS ก็ยอมรับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้ลดความเสี่ยงเมื่อเปลี่ยนมาใช้ HTP

แนวทาง 3 ยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้า
ข้อดีที่กล่าวอ้างคือ
1. ทันสมัย เทียบเคียงได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว
2. จะได้ควบคุมอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทย
3. จัดเก็บรายได้จากการเก็บภาษีได้เพิ่ม
4. เป็นการให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกเสพ

แต่ข้อเท็จจริงของของการเปิดเสรี ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ คือ
1. ในประเทศที่เคยแบน แล้วควบคุมได้ดี เปลี่ยนมาเป็นอนุญาตให้ขายได้ เกิดการระบาดเพิ่ม 2-5 เท่า เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์
2. ในประเทศที่อนุญาตให้ขายได้ถูกกฎหมาย โดยห้ามขายในเยาวชน 18-21 ปี ยังคงระบาดหนักในเยาวชน เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา

จากการสรุป 3 แนวทางของอนุกรรมาธิการฯ 
- แนวทางที่ 1 การคงกฎหมายห้ามนำเข้าและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จะสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนไทยลงได้ 
- แนวทางที่ 2 และแนวทางที่ 3 ข้อดีไม่ชัดเจน แต่จะทำให้อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

ทหารเขมร ร้องเพลงชาติกัมพูชาบน 'แผ่นดินไทย' หวิดปะทะเดือดที่ปราสาทตาเมือนธม

(17 ก.พ. 68) สถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนทม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อคณะทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นมายังพื้นที่ดังกล่าว พร้อมร้องเพลงชาติของตนและมีการโต้เถียงกับทหารไทยอย่างดุเดือด  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 12.30 น. โดยมีการบันทึกคลิปวิดีโอจากฝั่งทหารไทย ขณะที่ผู้นำทหารกัมพูชาในชุดแขนยาวสีขาว กล่าวถ้อยคำในเชิงข่มขู่เป็นภาษาไทยและภาษาเขมร โดยระบุว่า "ห้ามทหารไทยเหยียบพื้นที่นี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง" 

ด้านทหารไทยได้ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า "ผมมายืนตรงนี้เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา" แต่ผู้นำทหารกัมพูชาได้สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า "เดี๋ยวกูก็จะสั่งลูกน้องกูเหมือนกัน" ก่อนจะเดินทางกลับไปยังฝั่งกัมพูชา  

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมทหารกัมพูชาจึงขึ้นมาร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าว และใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวต่อทหารไทย 

ขณะเดียวกันด้าน แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติบนแผ่นดินไทย ยืนยันทำไม่ได้แน่นอน

พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การโต้เถียงระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย โดยต่างฝ่ายต่างถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนไทย แม้จะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันแน่ชัด ทั้งนี้ ฝ่ายไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาขึ้นมาสักการะได้ แต่ต้องไม่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใดๆ  

แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า การร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้** ฝ่ายไทยจึงเข้าไปตักเตือนและท้วงติงเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการใช้ภาพถ่ายหรือคลิปไปเป็นหลักฐานกล่าวอ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้ประสานพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาทหารกัมพูชาผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว และกองกำลังสุรนารีได้ดำเนินการทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ

กลุ่มเซ็นทรัล ส่งมอบบ้าน 72 หลัง ให้กลุ่มเปราะบาง ร่วมเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(17 ก.พ. 68) พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมทั้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ คุณปริญญ์ จิราธิวัฒน์ รองประธานและกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และคุณสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมพิธีฯ ณ ห้องรับรอง 11 กองบัญชาการกองทัพไทย

สำหรับการจัดพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นความร่วมมือกันระหว่าง กองทัพไทย ประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ  กองทัพอากาศ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมฯ ได้พิจารณาเห็นชอบให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ 

โดยน้อมนำพระราชปณิธานที่ทรงมีความห่วงใยและทรงให้ความสำคัญในความเป็นอยู่และที่อยู่อาศัยของราษฎร มาเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการฯ มีกำหนดปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน จำนวน 72 หลัง ซึ่ง บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างตามโครงการฯ ให้กับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ นำไปซ่อมแซมบ้านเรือนช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือบุคคลไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านบ้านพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 53 หลัง และจังหวัดนราธิวาส จำนวน 19 หลัง ที่บ้านปารีย์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ของเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปลายปี 2566

‘บอสณวัฒน์’ คว้าลิขสิทธิ์ ’มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์‘ พร้อมเปิดตัวเลขถือครอง 5 ปี มูลค่า 180 ล้าน

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล - Mr.Nawat Itsaragrisil” โพสต์ภาพ นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กับป้าย MISS UNIVERSE พร้อมข้อความ MGI ผู้ถือลิขสิทธิ์ อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวด่วนในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ว่า บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ถือสิทธิ์ในการจัดประกวด “MISS UNIVERSE THAILAND” โดย คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล และ คุณแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ จะร่วมแถลงข่าว วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ณ MGI HALL ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK (Show DC เดิม) พร้อมตอบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้!!

เป็นอันแน่นอนแล้วว่า ลิขสิทธิ์การจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในปีนี้ได้หลุดจากมือ ปุ้ย–ปิยาภรณ์ แสนโกศิก กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็น โกลบอล จำกัด มาสู่มือบอสณวัฒน์เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 ต่อตลาดหลักทัพย์ ว่า

ลักษณะการลงทุน “บริษัทเข้าซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) สำหรับปี 2568 ถึงปี 2572 รวมทั้งสิ้น 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัท เจเคเอ็น โกลบอลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
มูลค่าเงินลงทุน “บริษัทจะต้องชำระค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 180 ล้านบาท ให้กับ JKN Global Content Pte. Ltd.“

‘ต๊ะ พลัฏฐ์’ โพสต์เฟซ ฟาด!! การศึกษาไทย ยิ่งแก้ยิ่งแย่ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทำลาย!! ชีวิตวัยรุ่นของเด็กไทย ทำให้ผู้ปกครองต้องเสียเงิน เกินเหตุ

เมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 68) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

การศึกษาไทย ยิ่งแก้ยิ่งแย่

ผมช่วยลูก 3 คนได้เข้าเรียนที่ดีๆ

เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ลูกสาวคนเล็ก ที่เคยเรียนระบบสวิส อยากเรียนแพทย์ เราเลยต้องเปลี่ยนระบบมาเรียน รร. สาธิต แห่งหนึ่งที่มีการสอนเป็นภาษาอังกฤษ
ผมต้องกลับมาช่วยลูกวางแผนการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง แล้วพบว่า 

ระบบ TCAS ที่ดึงรูปแบบมาจาก UKAS ของอังกฤษ พี่ไทยเราสร้างความปั่นป่วนให้เด็กไทยเรียกว่าระบบคัดกรองเรายุ่งยากและเข้มข้นกว่าอังกฤษ 
ระบบที่ว่า ได้ทำลายชีวิตวัยรุ่นของเด็กไทย แทนที่จะมีความสุขกับการเรียน ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ และมีทักษะชีวิต เพราะมหาวิทยาลัยต่างสร้างวิธีการคัดกรองที่ยิ่งนับวันยิ่งซับซ้อน จนเด็กต้องเอาเวลาไปทำให้ตัวเองผ่านความต้องการคัดเลือกไปจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต

ถ้าคุณจะสอบเข้าแพทย์ในระบบอังกฤษ ที่เราลอกแบบเขามา สิ่งที่นักเรียนต้องทำคือ 
1.สอบภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์
2.ทำคะแนนวิชาที่ต้องผ่านเช่น คณิต เคมี ชีวะ และหรือ อีก 1 วิชา เป็นทางเลือกให้ดีพอ
3.ถ้าหากเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Oxford ต้องสอบอีกนิดหน่อย
4.ทำให้มหาวิทยาลัยรู้ว่า ทำไมคุณอยากเรียนแพทย์ และคุณเรียนแล้วจะไปทำอะไร

ส่วนที่ประเทศไทย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยและที่เรียนเยอะมากๆ คณะแพทย์อาจจะมีน้อยหน่อย แต่ก็มีมากขึ้นเยอะมาก คณะอื่นๆหลายที่มีที่เรียนมากกว่านักเรียน เพราะเด็กเราเกิดน้อยลงเยอะมาก แต่ระบบคัดกรองยิ่งนับวันยิ่งทรมาณเด็ก

คุณต้องเรียนเยอะมากๆในหลายวิชาที่ไม่ได้ใช้ตอนโต และต้องทำเกรดเฉลี่ยให้ดี ต้องสอบแล้วสอบอีก ที่สำคัญ ต้องทำ Portfolio ที่ทำระบบผิดเพี้ยนไปจากเจตนาของการคัดกรองต้นแบบ ที่สำคัญเมื่อคุณผ่านทุกอย่างเราก็เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่อยู่ต่ำกว่า 100 ของโลก 

ถ้าหากเราใช้ระบบเดียวกัน คะแนนเท่ากันเด็กที่ส่งใบสมัครไปต่างประเทศ เชื่อไหมครับหลายคนที่พลาดหวังจากไทยจะได้เรียนมหาวิทยาลัยระดับโลก และเด็กจะเหนื่อยน้อยกว่าการเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยในไทย 

ขอวิงวอนให้ที่ประชุมอธิการบดี มหาวิทยาลัยทบทวนระบบคัดกรองใหม่ และคืนชีวิตวัยรุ่นให้เด็กไทย โตมาอย่างมีคุณภาพมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย 

ต๊ะ พลัฏฐ์

จเรตำรวจแห่งชาติหารือเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , UNODC และ HSI ประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือคัดแยกเหยื่อ

(17 ก.พ. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ครั้งที่ 2 โดยมี พล.ต.ต พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. และคณะ พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ , ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime, UNODC) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations, HSI) ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการประชุมครั้งนี้ เป็นการแจ้งผลการปฏิบัติภายหลังการประชุมร่วมกันในครั้งแรก โดยได้มีการดำเนินการตาม 7 มาตรการเข้มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการซักถามคัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อป้องกันผู้ที่ถูกหลอกลวงข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งพบว่ามาตรการดังกล่าวเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวสัญชาติต่างๆ จำนวน 58 คน ที่เปลี่ยนใจไม่เดินทางไปยัง อ.แม่สอด ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลไทย โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมันเชื้อเพลิง ไปยังฝั่งเมียวดี พบว่าสามารถกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างได้ผล มีการปล่อยตัวคนกลับออกมาจำนวนมาก และสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บางส่วน ซึ่งสถานทูตประเทศต่างๆ ชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับสถานทูตทุกประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และ IP Address เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบจุดที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มแก๊งดังกล่าว ซึ่งต้องประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ว่ายังมีคนที่ถูกหลอกจากพื้นที่เมียวดีอีกหรือไม่ รวมทั้งเพื่อมีข้อมูลเชิงลึกในการคัดแยกเหยื่อ และสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางสถานทูตประเทศต่างๆ ไว้แล้ว เพื่อสะดวกในการทำงานร่วมกันต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน ทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยยินดีช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และยินดีช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกลวงไป ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการกลไกการคัดแยกเหยื่อ และกลไกลการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM โดยการปฏิบัตินี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของสถานทูตประเทศต่างๆ และ UNODC มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีการประชุมหารือร่วมกันในครั้งนี้ และจะได้มีการประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งทุกประเทศขอบคุณทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างยิ่ง และทุกประเทศยินดีให้ความร่วมมือในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพื่อการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการช่วยเหลือเหยื่อ ตลอดจนการส่งตัวกลับประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

‘จิตรเทพ เนื่องจำนงค์’ ส่งต่อความรู้ให้น้อง ๆ มทร. ธัญบุรี ปูทางสู่ผู้ประกอบการด้าน Agro-food Innovation

เมื่อวันที่ (8 ก.พ. 68) นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้บรรยายหัวข้อ การสร้าง Digital branding และการเป็น Content creator ให้กับน้อง ๆ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมแนวคิดด้านการสร้างแผนธุรกิจ เพื่อเป็นผู้ประกอบการ Agro-food Innovation หน้าใหม่ 

สำหรับ นายจิตรเทพ นับเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการบริหารธุรกิจและการลงทุน โดยก่อนหน้านี้ เคยเป็นที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, เลขานุการประจําคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ ดีล เมคเกอร์ จำกัด  และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางจิน อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด

‘ดร. สุชัชวีร์’ เผยภาพประวัติศาสตร์ "คุณหมอลาดกระบังรุ่น 1" จากภาพฝันสู่การสร้าง "แพทย์นวัตกรรมอินเตอร์” ที่แสนภาคภูมิใจ

เมื่อวันที่ (16 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กของ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ “ดร.เอ้ สุชัชวีร์” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ภาพประวัติศาสตร์ "คุณหมอลาดกระบังรุ่น 1" เรื่องอยากเล่า

สิบปีที่แล้ว เมื่อครั้งผมได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. ในปี 2558 ผมมี "ความฝัน" มุ่งมั่นสร้าง "คณะแพทยศาสตร์ สจล." เพื่อสร้าง "แพทย์นวัตกรรม" ที่นอกจากจะรักษาผู้ป่วยได้ดีแล้ว ยังมีความรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างงานวิจัย และนวัตกรรมการแพทย์ เพื่อให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองได้ ทั้งยังต้องมีความเป็น "อินเตอร์" ไร้ข้อจำกัดทางภาษา และวัฒนธรรม ทำงานได้กับทุกคน ทุกที่ในสังคมโลก 

วิสัยทัศน์สร้าง "แพทย์นวัตกรรมอินเตอร์" เป็น "ความฝันอันยิ่งใหญ่" และใหม่มากในวงการแพทย์ของไทย จึงมีความยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ และมีความท้าทายมาก ในการจะทำให้สำเร็จ จะต้องอาศัย "ผู้นำ" ที่มีความรู้ลึกซึ้ง มีความกล้าหาญ และมีอุดมการณ์ มาเดินทางร่วมกันกับผม ถึงจะเป็นไปได้

ผมจึงใช้เวลาเฟ้นหา "คณบดี" มาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะแพทย์ในฝัน คนแล้วคนเล่า นานนับปี สุดท้ายสวรรค์เป็นใจ ให้ผมได้พบกับ "คุณหมอน้อย" ศาสตราจารย์ นายแพทย์อนันต์ ศรีเกียรติขจร อดีตรองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ระดับ 11 ผู้เชี่ยวชาญด้าน "สมอง" หรือ Neurologist ตัวท็อปของไทย ตกลงปลงใจ กล้าลาออกจากจุฬาฯ มาร่วมก่อการณ์ ตั้งคณะแพทย์ลาดกระบัง บรรจุเป็นอาจารย์ใหม่ "คนแรก" ในปี 2559 โดยไม่มีอะไรมาการันตี มีเพียงโต๊ะให้นั่งตัวเดียว ไม่มีอาคาร ไม่มีใคร ใจถึงมาก

และแล้ว...เส้นทางการสร้างคณะแพทย์ และสร้างหลักสูตรแพทย์อินเตอร์แนวใหม่ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ผมในฐานะ "อธิการบดี" และพี่หมอน้อยในฐานะ "คณบดี" เราวิ่งสู้ฟัด ทำกันทุกอย่าง ผมไปพรีเซนต์ที่ "แพทยสภา" อธิบายหลักสูตรแนวใหม่ด้วยตนเอง ซึ่งต้องกราบขอบพระคุณผู้ใหญ่ของแพทยสภาที่เชื่อมั่น รับรองหลักสูตรแพทย์นวัตกรรมอินเตอร์ ครั้งแรกของประเทศไทย เป็น "จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ"

จากอาจารย์หมอคนแรก สู่การมาร่วมอุดมการณ์ ของอาจารย์หมอชั้นนำของประเทศ นำโดย รองศาสตราจารย์นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ อาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช ปัจจุบันเป็น "ผู้อำนวยการ" และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพ.ธัญญพงษ์ ณ นคร "พี่หมอเก๋" นักเรียนทุนอนันทมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ผู้ได้รับรางวัล อาจารย์แพทย์ที่เป็นแบบอย่างของอาจารย์แพทย์ จากแพทยสภา นพ.อนวัช เสริมสวรรค์ อาจารย์หมอหัวใจนักประดิษฐ์ ที่มีชื่อเสียง และยังมีทั้งอาจารย์หมอรุ่นใหม่จากในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์

เราจึงเปิดรับ "นักศึกษารุ่นแรก" ในปี 2561 ซึ่งได้รับคำถามมากมายจากผู้ปกครองว่า "แพทย์นวัตกรรม" คืออะไร ลาดกระบังเปิดหมอเป็นไปได้หรือ อาจารย์หมอมาจากไหน หลักสูตรทำไมไม่เหมือนคนอื่น เราตอบกันเป็นร้อยพันคำถาม รายวัน รายคน แต่เราก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะเราเข้าใจ ต้องขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ไว้ใจเรา ฝากลูกไว้ให้เราดูแล

ปีแรก พี่หมอน้อยบอกผมว่า "อธิการ เราจะรับเฉพาะเด็กที่พร้อม และมีความตั้งใจจริง รับเท่าที่เรามั่นใจ" เพราะถึงแม้เราสามารถรับได้ถึง 50 คนต่อปี ใครก็รู้คณะแพทย์เปิดรับเท่าไหร่ ก็มีคนมาเรียน เพราะหมอ คือ "วิชาชีพในฝัน" แต่อาจารย์กลับรับเด็กไม่ถึงครึ่งของโควต้าที่รับได้ เปิดใหม่ก็ยังกล้าไม่ง้อคนเรียน ผมยอมใจเขาเลย

จากวันนั้นถึงวันนี้ "นักศึกษารุ่นแรก" ได้ผ่านกระบวนการบ่มเพาะอย่างเข้มข้น จากคณะแพทย์ลาดกระบัง ที่อาจารย์ทุกคนเอาจริงเอาจัง และได้ออกฝึกชั้นคลินิก ที่โรงพยาบาลสิรินธร ซึ่งได้รับการดูแลใส่ใจจากอาจารย์หมอที่นั่นอย่างเต็มที่ น้องนักศึกษาต้องขยัน อดหลับอดนอน มุมานะจนเรียนจบ 6 ปี ในปี 2567

วันนี้ วันถ่ายรูปบัณทิตแพทย์ "รุ่นที่ 1" บัณฑิตแพทย์ใหม่ 17 คน ผู้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกใน 65 ปี ของพระจอมเกล้าลาดกระบัง ผมซึ่งติดตามดูน้องทุกคน ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปีที่ 1 ทุกคนยังสดใสเหมือนเดิม แม้ต้องทำงานหนักเป็นแพทย์ประจำ ลามารับพระราชทานปริญญาบัตร

"พี่เอ้" เรียกน้อง ๆ ทุกคนว่า "คุณหมอ" อย่างภาคภูมิใจที่สุด จึงขอแสดงความยินดีกับคุณหมอลาดกระบังรุ่น 1 และคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ผมเชื่อมั่นว่าคุณหมอจะสร้างชื่อเสียงให้กับคณะแพทย์ลาดกระบัง ทุ่มเททำหน้าที่แพทย์ด้วยจรรยาบรรณ และด้วยความเสียสละ เพื่อประโยชน์ของสังคม ทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่รุ่นน้อง รุ่นต่อๆไป 

ผมยังมองดูอาจารย์หมอทุกคน ที่ยิ้มแย้มด้วยความภาคภูมิใจในชีวิต "ครู" เพราะได้เห็นลูกศิษย์ ประสบความสำเร็จ ท่านต้องใช้ความรู้ทั้งชีวิตเพื่อสร้าง "ลูกศิษย์" หนึ่งคน ต้องทุ่มเท เสียสละความสุข ความสบายส่วนตน เพื่อบ่มเพาะ "ลูกศิษย์" ให้เก่งยิ่งกว่าตนเอง ครูเป็นมากกว่า " เรือจ้าง" เพราะต้องดูแล ให้คำแนะนำ "ลูกศิษย์" ตลอดชีวิตครู โดยเฉพาะ "ครูแพทย์" ที่ลูกศิษย์ยังคงต้องปรึกษาตลอดไป

ผมจึงขอกราบขอบพระคุณ "ครู" จากคณะแพทยศาสตร์พระจอมเกล้าลาดกระบังทุกคน ที่ท่านทำหน้าที่ "ครู" อย่างสุดความสามารถ จนสร้างประวัติศาสตร์ในวันนี้

เชียงใหม่-เปิดกิจกรรม “ADVOCATE 2025”และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ 14 ตำบลต้นแบบ

วันที่ (16 ก.พ. 68) เวลา 16.00 น. วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “ADVOCATE 2025” โดยได้รับเกียรติจากนายกู้เกียรติ นิ่มเนียม หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นประธานเปิดกิจกรรม และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ 14 ตำบลต้นแบบ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน และคุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารทรัพยากรการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยเเห่งชาติ ร่วมกล่าวแสดงความยินดีต่อผลสำเร็จการดำเนินงาน  ณ ลานประตูท่าแพ

กิจกรรม “ADVOCATE 2025”  มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการการยกระดับศักยภาพผู้นำชุมชนต้นแบบ ADVOCATE และนวัตกรรมการเรียนรู้มีดี เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่งในภาคเหนือตอนบน สู่การพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills และ Management Skills แก่บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่นำร่อง พร้อมฝึกปฏิบัติเสริมทักษะการทำงานและบริหารโครงการของบุคลากรผู้เข้าร่วมโครงการ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้สูงวัยในชุมชน และระบบหนุนเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดของสินค้าชุมชน

นายกู้เกียรติ นิ่มเนียม  หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมระดับฐานราก โดยบุคลากรท้องถิ่นเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักร่วมกับภาคีเครือข่าย ความสำเร็จของโครงการจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้ท้องถิ่นไทย พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนทุกวัย เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตในยุคใหม่ ต่อสู้กับความยากจน และขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มุ่งมั่นผลักดันวิสัยทัศน์การเป็น "มหาวิทยาลัยชั้นนำที่รับผิดชอบต่อสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม" โดยวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตเป็นหน่วยงานสำคัญในการริเริ่มและเปิดโอกาสทางการศึกษา "โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นการส่งมอบองค์ความรู้และพัฒนาทักษะให้แก่คนทุกช่วงวัย ผ่านความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม" 

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี สุรีย์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ ทางวิทยาลัยจึงสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ในการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills และ Management Skills แก่บุคลากรและผู้นำชุมชนของ อปท. จำนวน 140 คน ใน 14 พื้นที่นำร่อง จาก 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ด้วยกระบวนการฝึกปฏิบัติเสริมทักษะการทำงาน และการบริหารโครงการที่ส่งเสริมธุรกิจและผลิตภัณฑ์จากผู้สูงวัยในชุมชน เพื่อสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน
    
การทำงานร่วมกันนี้ ก่อให้เกิดการหนุนเสริมกันและกันระหว่างบุคลากร อปท. กับผู้สูงวัยในการทำกิจกรรมร่วมกันผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน  อาทิ ในจังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลตำบลป่าป้องพัฒนาข้าวแต๋นและข้าวเกรียบ เทศบาลตำบลเชิงดอยพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรชาสามสหาย ขิงผง และหัวปลีผง ส่วนเทศบาลตำบลท่าวังตาลเน้นผลิตภัณฑ์กล้วยหนึบและโคมล้านนา
ในจังหวัดเชียงราย เทศบาลตำบลแม่คำพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร ทั้งถุงหอม ลูกประคบ และยาดมสมุนไพร เทศบาลตำบลโยนกพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม และเทศบาลตำบลเวียงเน้นการพัฒนากระเป๋าและผลิตภัณฑ์จากผ้าที่หลากหลาย จังหวัดลำพูนโดดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมดินจากเทศบาลตำบลป่าไผ่ และผลิตภัณฑ์ถ่านรักษ์โลกจากเทศบาลตำบลวังดิน เทศบาลตำบลวังผางพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร ทั้งถุงหอม ลูกประคบ และยาดมสมุนไพร 

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นอื่น ๆ ได้แก่ ผ้าปักลายอัตลักษณ์จากเทศบาลนครลำปาง ผลิตภัณฑ์จักสานและน้ำพริกจากเทศบาลตำบลป่าแมต จังหวัดแพร่ ผลิตภัณฑ์จากทางมะพร้าวจากเทศบาลตำบลบ้านใหม่ จังหวัดพะเยา ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน เทศบาลตำบลแม่ลาน้อยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จากไม้กวาดและกุ๊บไต ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลฝายแก้ว จังหวัดน่าน ต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าพิมพ์ลายสีธรรมชาติสู่ของฝากอัตลักษณ์ท้องถิ่น 

ผลจากการร่วมโครงการนี้ มีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการมากกว่าสองพันคน พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนรวม 69 ชิ้น สามารถสร้างรายได้รวมให้กับชุมชนทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านบาท  การจัดกิจกรรมยังมี “ตลาดนัดสินค้าผู้สูงวัย” หรือ “MEDEE MARKET” ที่บริเวณลานประตูท่าแพ 

ภายในงานมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้สูงวัยจำนวนมากกว่า 60 รายการจากพื้นที่ที่เข้าร่วมและหน่วยงานความร่วมมือของโครงการฯ กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ (WORKSHOP) ระบายสีพวงกุญแจกุ๊บไตจากแม่ลาน้อย การสานดอกไม้จากไผ่ตอกบ้านป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ และกิจกรรมแต่งหน้าข้าวแต๋น จาก ต.ป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมกิจกรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมชมการแสดงร่วมสมัยจากศิลปินค่ายคนเมืองเรคคอร์ด และการแข่งขันประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่งพร้อมหางเครื่องจากนักเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ 

นอกจากนี้ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ณ โรงแรมอโมรา ท่าแพ จ.เชียงใหม่ วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังได้จัดเวทีแบ่งปันประสบการณ์และผลการนำความรู้ไปใช้ในพื้นที่ของผู้นำ ADVOCATE ทั้ง 140 คนจาก 14 ตำบล ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมนำเสนอโครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้สูงวัยในชุมชน และมอบประกาศนียบัตรสำหรับผู้ผ่านหลักสูตรนี้ 

ปัจจุบัน “โครงการการยกระดับศักยภาพผู้นำชุมชนต้นแบบ ADVOCATE และนวัตกรรมการเรียนรู้มีดี เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม” ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  เพื่อสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาทักษะแก่บุคลากร เพื่อการพัฒนากิจกรรมพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม สร้างรายได้หรือเกิดการสนับสนุนรายได้ให้กับกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ (Pre-aging) และผู้สูงอายุ อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในชุมชนอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Advocate CMU (www.facebook.com/AdvocateCMU) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่วมโครงการฯ

รัฐบาล ปลื้ม!! นักท่องเที่ยว แน่นเมือง ‘เบตง’ เตรียมดัน!! ซอฟต์พาวเวอร์อาหาร วัฒนธรรมขึ้นชื่อ

(16 ก.พ. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสวัสดิการของกองทัพฯ พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังข้อมูล เพื่อนำเสนอก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จังหวัดสงขลา ในวันอังคารนี้

โดยวันนี้(อาทิตย์16กพ.)ได้เดินทางเข้ารับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะที่บริเวณชายแดน ไทย-มาเลเซีย และอำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยได้พบปะกับผู้แทนของภาคเอกชน ส่วนราชการด้านความมั่นคงและผู้แทนของปกครองท้องถิ่นและผู้แทนของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในการพัฒนาพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการท่องเที่ยวชายแดนไทย- มาเลเซีย ซึ่งพบว่าชาวอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ขอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาลงที่สนามบินเบตงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหลังจากยกเลิกเที่ยวบินมาเบตงตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน เพื่อเพิ่มช่องทางการขนส่งทั้งผู้โดยสารและ สินค้า

ขณะที่สถานการณ์ทั่วไปในพื้นที่อำเภอเบตง พบว่าเป็นไปด้วยความคึกคัก ธุรกิจห้างร้าน เปิดกันอย่างคึกคัก ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเบตงมีความสงบมากว่า 11 ปีที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ จนวันนี้ เบตง เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียกว่าร้อยละ 95% เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากทุกวัน

ทั้งนี้ชาวเบตงอยากให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ ร่วมกับอำเภอเบตง จัดกิจกรรมท่องเที่ยวสำคัญในช่วงเทศกาลต่างๆของอำเภอเบตง รวมทั้งอยากให้สนับสนุนเรื่องศิลปะวัฒนธรรม และซอฟพาวเวอร์ท้องถิ่น ทั้งอาหารชื่อดังที่น่าสนใจ เช่น ข้าวมันไก่เบตง ติ่มซำ อาหารประเภทปลาที่ขึ้นชื่อแห่งเดียวอย่างเมนู ”ปลานิล สายน้ำไหล “อันเป็นของดีของเบตง รวมทั้งกิจกรรม ประเพณีสำคัญของพื้นถิ่น อันเป็นวิถีชีวิตของชาวไทยและชาวจีนมาเลเซียในอดีต นอกจากนี้ อำเภอเบตงได้รายงานว่า สกายวอล์คแห่งใหม่ในอำเภอเบตงที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 05:00 น. ไปจนถึง 10:00 น. มีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวเต็มเกือบทุกวัน ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของอำเภอ ชึ่งชาวเบตงฝากเชิญชวนมาเที่ยวที่เบตงแล้วจะหลงรักเบตง

นายจิรายุ กล่าวว่าทั้งนี้ ตนจะสรุปรายงานการลงพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

‘สนธิ’ แจง!! ไม่เคยพูดว่า ‘พีระพันธุ์’ เกี่ยวข้องกับคนบนเรือในคดีแตงโม แต่เชื่อ!! รู้จักกับ ‘ปอ ตนุภัทร’ สนิทถึงขั้นให้เรียก ‘อาตุ๋ย’ อย่างเป็นกันเอง

(16 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง

ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์ 

ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง

และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ จับมือ ‘AFD’ จากฝรั่งเศส เดินหน้า!! แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อให้คนไทย มีลมหายใจที่สะอาด

(16 ก.พ. 68) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรรมการบริหาร มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง ยามยาก สภากาชาดไทย ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ ได้ร่วมกับ AFD หน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส เดินหน้าทำโครงการร่วมพัฒนาคุณภาพอากาศในอาเซียน โดยนำคณะทำงานของอาเซียนมาร่วมกันศึกษาการพยายามแก้ไขมลพิษทางอากาศในไทย ร่วมงานกับทั้งหน่วยงานรัฐและภาคประชาสังคม อย่างสภาลมหายใจกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนได้มีอากาศสะอาด

‘ซาบีดา’ รมช.มหาดไทย เปิดงานสัญลักษณ์เมืองเลิงนกทา จ.ยโสธร ระทึกเวทีถล่ม เจ้าตัวบาดเจ็บเล็กน้อย โชว์สปิริต!! เปิดงานต่อ ขณะ ‘สส.ยโสธร’ เจ็บหนัก

(16 ก.พ. 68) เกิดเหตุ ฉากราวเหล็กเวที งาน “สัญลักษณ์เมืองเลิงนกทา” จ.ยโสธร ถล่มลงมา ในระหว่าง น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดงาน เบื้องต้นเจ้าตัวโดนแผงเหล็กบริเวณศีรษะ บาดเจ็บเล็กน้อย สามารถเปิดงานต่อได้ และถ่ายรูปร่วมกับพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกาย ล่าสุดได้ทำ CT สแกน ผลปกติ ขณะนี้เดินทางกลับแล้ว

ขณะที่ นายธนพัฒน์ ศรีชนะ สส.ยโสธร จาก x-ray และ CT แสกน พบกระดูกสันหลัง T3 แตกจึงส่งต่อไป รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี

ด้าน นายสุทธิชัย จรูญเนตร สส.อุบลราชธานี อาการบาดเจ็บเล็กน้อย รักษาต่อที่ รพ.เอกชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top