Thursday, 24 April 2025
NEWS

วุฒิสภา จัดโครงการสัมมนาสมาชิกวุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.68) ณ สถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาสมาชิกวุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง สมาชิกวุฒิสภา และผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเข้าร่วมโครงการดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกระบวนงานนิติบัญญัติตามหน้าที่และอํานาจของวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด และเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกวุฒิสภา 

สำหรับการสัมมนาในวันนี้เป็นกิจกรรมสัมพันธภาพของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์สมควร โพธิ์ทอง และทีมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ด้านการทํากิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เพื่อสร้างสรรค์มิตรภาพที่ดีต่อกัน อันจะยังให้การทำงานร่วมกันของสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปได้อย่างราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1AuU63rNpi/?mibextid=oFDknk

‘พีระพันธุ์’ คืนความเป็นธรรมให้ ‘เอกชัย ชาญประโคน’ หนุ่มพิการอดีตสตั๊นแมนตกยาก ซ้ำถูกบีบออกจากราชการ

สังคมนี้ยังมีความเป็นธรรม...อีกกรณีตัวอย่างที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ สามารถใช้กลไกภาครัฐผลักดันแก้ไขปัญหาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ การให้ความช่วยเหลืออดีตนักแสดงคิวบู๊ที่พิการจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก และถูกบีบให้ออกจากงานราชการอย่างไม่เป็นธรรม

ย้อนเรื่องราว ‘เอกชัย ชาญประโคน’ อายุ 39 ปี อดีตนักแสดงคิวบู๊หรือสตั๊นแมน ซึ่งประสบปัญหาพิการทางการเคลื่อนไหวจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เขาสอบติดพนักงานราชการตำแหน่งนักวิชาการอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี 2560 แต่ทำงานได้เพียง 4 เดือน ก็ถูกหัวหน้าบีบบังคับให้เซ็นใบลาออกทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่แจ้งเหตุผล 

หลังจากถูกบีบให้ออกจากราชการ เอกชัย อาศัยเบี้ยคนพิการยังชีพ  และพยายามดิ้นรนหางานทำ แต่ไปสมัครทำงานที่ไหนก็ได้รับค่าจ้างในจำนวนที่น้อย ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซ้ำยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานที่ทำงาน จึงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องก็เงียบหาย จนกระทั่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้รับมอบหมายให้มารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการในขณะนั้น

‘พีระพันธุ์’ ได้เร่งรัดให้มีการช่วยเหลือด้วยการประสานงานผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเขาได้เล่าถึงแนวทางการช่วยเหลือนายเอกชัยไว้ว่า 

“คุณเอกชัยเขาก็ประสบกับปัญหาชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ  ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความพิการ แล้วเขาก็โดนอะไรที่ไม่เหมาะสมมาหลายครั้ง เขาถูกเลิกจ้าง พูดง่ายๆ คือถูกบังคับให้ลาออกจากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็เลยยื่นเรื่องไปที่สำนักนายกฯ นานแล้ว ระหว่างนั้นเขาก็สู้ชีวิตมาตลอด ท่านนายกฯ (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มอบหมายให้ผมมาดูปัญหาเรื่องพวกนี้ ผมก็ได้พยายามติดต่อ  แล้วก็ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ และท่านประธานบอร์ดการเคหะแห่งชาติ เราอยากจะให้เขามีงานทําที่มั่นคง แล้วมีบ้านพักอาศัยที่ราคาถูก  ซึ่งทางการเคหะแห่งชาติก็มีตรงนี้พอดี” 

การเคหะแห่งชาติได้ให้ความช่วยเหลือ เอกชัย ด้วยการพามาสมัครทำงานที่บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท และพักอาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า โดยเสียค่าเช่าเพียงเดือนละ 999 บาท ตามนโยบายรัฐบาล  

ปัจจุบัน เอกชัย ได้งานและที่อยู่ใหม่ที่เอื้ออำนวยกับสภาพร่างกายและการใช้ชีวิตมากกว่าเดิม  ชีวิตของเขาดีขึ้น และสามารถเชื่อมั่นได้ว่า ‘สังคมนี้ยังมีความยุติธรรม’ เพราะมีผู้คอยอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง! กล่าวได้ว่าเป็นการ มอบชีวิตใหม่ ให้กับเขาอีกครั้ง

“ผมคิดว่าสังคมต้องเป็นอย่างนี้ สังคมต้องช่วยกันดูแล คนเราแต่ละคนไม่รู้อนาคตหรอก ตัวเราเองวันหนึ่งเราอาจจะเจออะไรลําบากอย่างนี้บ้างก็ได้ วันนี้เราไม่เจอ ก็ต้องช่วยคนที่เขาเจอ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนะครับ”

นี่คือคำพูดจากใจของ ‘พีระพันธุ์’ ผู้มุ่งมั่นอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและไม่ทิ้งกัน 

ประธาน สว.แถลงต่อสื่อมวลชน กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเรื่องจากกลุ่มตัวแทน สว.สำรอง

(21 ก.พ. 68) ที่อาคารรับรอง 2 โรงแรมสวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 และสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ร่วมแถลงต่อสื่อมวลชน กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเรื่องจากกลุ่มตัวแทน สว.สำรอง และผู้สมัครรับเลือก สว. กว่า 40 คน ขอให้สอบสวนการได้มาซึ่ง สว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

นายมงคล ประธานวุฒิสภา แถลงว่า ต้องขออภัยที่รบกวนสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวด่วนเรื่องสำคัญที่สืบเนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมการเสนอให้คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษรับเรื่องการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง วุฒิสมาชิก พ.ศ 2567 เป็นคดีพิเศษ ซึ่งตนรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะอำนาจในการสืบสวนตรวจสอบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งรับเรื่องไว้แล้วและดำเนินการตรวจสอบ และเมื่อ สว.ได้รับการรับรองทำหน้าที่มา 6 เดือนให้ความร่วมมือกับ กกต.มาตลอด ในขณะที่สวเข้ามาอย่างถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขตามระเบียบที่ กกต.กำหนดไว้ และทำหน้าที่ของวุฒิสมาชิกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ไปฝักใฝ่ หรือเกี่ยวข้องกับผู้หนึ่งผู้ใด แต่อยู่ดีๆท่ามกลางความขัดแย้งต่างๆเกิดมีข่าวนี้ขึ้นมาตรวจสอบ ตนจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ วุฒิสภา กล่าวว่า ได้ตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว.ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นอำนาจหน้าที่กกต.พิจารณา แต่เนื่องจากทุกวันนี้จากข่าวด้านสื่อมวลชน ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนต่อวุฒิสภาที่ได้มาจาก 20 กลุ่มอาชีพ ในการเข้ามาพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ และทราบว่าขณะนี้มีการดำเนินการจากผู้ที่ร้องเรียน ต่อดีเอสไอ ซึ่งตนไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใดแต่ทราบจากกระแสข่าวว่าอยู่ในกระบวนการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับ แต่ตามข้อกฎหมาย การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตและหน้าที่ตราบใดที่หน่วยงานหลักตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้มอบอำนาจจะพูดในลักษณะที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภาโดยรวมเกิดความไม่เชื่อมั่นในกกต. จึงอยากจะฝากว่า การดำเนินการต่างๆ อยากจะขอไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับเรื่องดำเนินการ ไม่ว่าจะรับจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานใดๆ ขอให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ 

ซึ่งตนไม่ได้ให้ร้ายใครแต่จัดการให้ข่าวของพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อาจทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสียหรือทำให้สังคมเข้าใจผิด จึงขอทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ว่าสว.ได้มาโดยสุจริต โปร่งใส ทุกคนมีการแข่งขันแนะนำตัวตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ความคิดที่กล่าวหาว่าเป็นอาชญากรข้ามชาติอั้งยี่ซ่องโจรเป็นข่าวที่เกินเลยความจริงไป

พ.ต.อ.เอกกอบ อัจนากิตติ สว.ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า การได้มาซึ่งสว.ในครั้งนี้ได้มาโดยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มาโดยสมาคมหรืออั้งยี่ การกล่าวหาเกินเลยจากข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามกฎหมาย รัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระหรือหน่วยงานของรัฐก็ดี ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยและความผาสุขของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก การจะมากล่าวหาว่า องค์กรของรัฐซึ่งมีหน้าที่ ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชน เป็นกระบวนการที่มิชอบด้วยกฎหมายมีความมุ่งหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเป็นการกล่าวหาใส่ความ ซึ่งผู้ใดก็ตามที่กล่าวหาใส่ความว่าสว.ที่ได้มาครั้งนี้โดยไม่มีความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ สมาคมอั้งยี่หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นการใส่ความให้เกิดความเสียหายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการนิติบัญญัติ ดังนั้นผู้ดำเนินการตรงนี้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไม่ว่าจะเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐก็ดีหรือผู้บริหารบ้านเมืองก็ดีต้องรับผิดชอบ

พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ผู้ที่เข้าสู่กระบวนการคัดเลือก สว.แต่ไม่ได้รับเลือกเข้ามา แต่มากล่าวหาว่ากระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องรับผิดชอบ ส่วนที่บอกว่าวิธีการที่ได้มาซึ่ง สว.ไม่ชอบนั้น ท่านก็เข้ามาในกระบวนการนี้ด้วย และมากล่าวหาดังนั้นความรับผิดชอบตรงนี้ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ส่วนรายละเอียดของกฎหมายทุกคนคงรู้ว่าลักษณะกฎหมายเป็นอย่างไรจึงขอฝากทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน ว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง และประการสำคัญขณะนี้มีกระบวนการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการฉ้อฉลและบิดเบือนอำนาจทุจริตในวงกว้างและพยายามแก้เพื่อนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันพยายามแก้ปัญหาและขจัดคนไม่ดีทุจริตฉ้อฉลมาบริหารบ้านเมืองแต่ขบวนการนี้ย้อนกลับมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญให้ได้และทำให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันเพื่อให้การดำรงอยู่ของการเคารพกฎหมายดำรงอยู่และผาสุขสงบเรียบร้อย ใครก็ตามที่บังอาจบิดเบือนฉ้อฉลไม่สามารถดำเนินการได้ต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป  พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาดูกรอบในการดำเนินการทำได้แค่ไหนอย่างไร โดยจะประสาน กกต. เพื่อสอบถามเรื่องที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนว่าดำเนินการไปถึงไหนเพื่อนำผลการตรวจสอบมาเป็นข้อมูลประกอบและรวบรวมกับข้อกฎหมายที่จะดำเนินการต่อไป

เมื่อถามว่า ส่วนรู้สึกอย่างไรที่ถูกกล่าวหา นายมงคล กล่าวว่า ไม่สบายใจ เพราะหน่วยงานที่มีอำนาจทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว พวกเราเองโดยเฉพาะตนและรองประธานวุฒิสภาทั้ง 3 ได้รับการตรวจสอบ และได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นประธานวุฒิสภา โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ต่อมาได้ให้ความร่วมมือกับ กกต. ในการตรวจสอบขอข้อมูลอะไรมาก็ให้ กกต.ตรวจสอบตลอด หากพบผู้ใดกระทำผิดก็ได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ของ กกต.ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง แต่เหตุไฉนหน่วยงานที่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ อยู่ดีๆก็มาให้ข่าวมาออกข่าว ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของเราในการปกป้องสิทธิ ศักดิ์ศรีของวุฒิสภาสมาชิก

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกลเกมการเมืองหรือไม่ พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ถ้าจะมองให้รอบคอบการใช้กฎหมายมาอ้างอิงในการดำเนินคดีกับคณะวุฒิสมาชิกในครั้งนี้เป็นการใช้ข้อกฎหมายไม่ตรงตามข้อเท็จจริง การที่กลุ่มบุคคลกระทำการเช่นนนี้โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมดำเนินการ มองได้แล้วว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ โดยการอ้างกฎหมายอาญามาใช้โดยมิชอบ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อสร้างปัญหาให้กับการบริหารการปกครองบ้านเมือง มีกลุ่มคนที่ไม่สำนึกนำพาไม่เคารพกติกากฎเกณฑ์ของบ้านเมืองเพื่อสร้างวิกฤตรัฐธรรมนูญ การใช้กฎหมายอาญามาตรา 116 มาอ้างว่า กลุ่มที่สมัคร สว.ที่ได้รับการรับรองจากกกต.แล้ว ไปยุยงปลุกปั่นก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยเพื่อให้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง อันนี้ถ้ามองด้วยหลักกฎหมายที่ถูกต้องผู้ที่ทำการนี้ เป็นพวกกล่าวหานำเรื่องไปให้ดีเอสไอต่างหาก ที่พยายามบั่นทอนความมั่นคง 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตยเรามีอำนาจบริหารนิติบัญญัติและตุลาการ ซึ่งรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ตรวจสอบถ่วงดุลกับ 3 อำนาจนี้ ดังนั้นการที่ ดีเอสไอ หรือรัฐมนตรี กล่าวหาเป็นการบิดเบือนและฉ้อฉลอำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะเป็นการเมืองหรือไม่ท่านก็พิจารณาได้ ลักษณะอย่างนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา เพราะตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นรอบด้าน ปัญหาที่คณะรัฐมนตรีต้องไปแก้ไขมากมายทำไมไม่ไปทำ มาสั่นคลอนกระบวนการนิติบัญญัติมันใช่หรือไม่

พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า รัฐสภาเป็นองค์กรใช้นิติบัญญัติแทนประชาชน จะมายุแยงยั่วยุ หรือปลุกปั่นประชาชน กล่าวหาฝ่ายนิติบัญญัติแสดงว่าบ้านเมืองไม่ได้ปกครองด้วยกฎหมาย เมื่อไม่มีการปกครองโดยใช้กฎหมายจะเอาหลักอะไรมาบริหารประเทศ อยากรู้ว่าจะแก้ปัญหารอบด้านแนวชายแดนอย่างไร ต้องให้ต่างประเทศมาช่วยแก้หรือชี้นำหรือไม่ ถ้ามีคนต่างด้าวมาทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเราแล้วอยู่ๆไปทำสั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมและยกฟ้องคดีสำคัญ ท่านรู้จักตู้ห่าวหรือไม่เป็นตัวอย่างเล็กๆที่ใช้อำนาจทุจริตเชิงประจักษ์ เป็นการกระทำปกติววิสันฉ้อฉลบิดเบือนกฎหมาย และกระบวนการนี้กลับมาอีกครั้งเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ปี2560 ซึ่งได้แก้ปัญหานี้ไปแล้วด้วยการกำหนดไม่ให้คนที่มีความไม่ซื่อสัตย์เข้ามา บริหารบ้านเมือง ประชาชนไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องหรือรับใช้ การกระทำการเพื่อให้การเมืองอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยแต่ประชาชนมีหน้าที่ป้องกันคนดี ให้คนดีมีโอกาสปกครองบ้านเมืองตอนนี้ประชาชนสับสนเพราะมีคนปลุกปั่น โดยใช้กฎหมายบิดเบือน

“เราไม่อยากระบุบุคคล แต่ที่ปรากฎตามสื่อกลุ่มกระบวนการนี้กำเริบสืบสานไปเรื่อยๆไม่ให้มีการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยปกติเรียบร้อย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย เป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญ จะได้แก้รัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อให้กระบวนการนี้กลับมาพี่น้องยอมไหมครับ การที่สว. เข้ามาเป็นการปกป้องประโยชน์ประชาชนซึ่งเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่บอกไว้ว่าองค์กรไหนทำหน้าที่อะไรบ้าง กกต.มีหน้าที่ ตรวจสอบทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันปกป้อง ส่วนคนที่ไม่มีหน้าที่และก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองพวกนี้ต้องถูกดำเนินคดี จะเป็นกระบวนการจากอะไรก็ตาม ต้องดำเนินคดรและถูกตรวจสอบว่ามาอย่างไรมีองค์กรไหนอยู่เบื้องหลังทำอย่างไรให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา” พ.ต.อ.กอบ กล่าว

พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง กล่าวว่า กระบวนการนี้เป็นปมโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี2560 มันไม่ค่อยปกติ จากนี้ไปจะมี สว.จำนวนหนึ่ง ใช้กระ

กองทุนดีอี อนุมัติงบ 2 พันล้านบาท หนุนพัฒนาดิจิทัล 3 ด้านสำคัญ การใช้เทคโนโลยี – ความปลอดภัย – พัฒนาบุคลากรดิจิทัล

บอร์ดกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อนุมัติวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีศักยภาพสูง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเป้าหมายในการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงในโลกดิจิทัลและเตรียมบุคลากรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว

ภายใต้กรอบนโยบาย 3 ด้าน ได้แก่
📌 Digital Technology (High Impact & Scalability)
เน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจและสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายผลกระทบเชิงบวกอย่างกว้างขวาง ทั้งในภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และบริการสาธารณะ โดยมุ่งส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

📌 Digital Trust & Security
เสริมสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในโลกไซเบอร์ ด้วยการพัฒนาระบบป้องกันข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามดิจิทัลและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน

📌 Digital Manpower
มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับกำลังคนในยุคดิจิทัล ครอบคลุมทั้งทักษะเชิงเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมพิเศษ!
📅 วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้
กองทุนดีอี จัดกิจกรรม "คลินิกกองทุน"
เพื่อให้คำแนะนำและปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจยื่นขอทุน โดยจะแนะนำวิธีการดำเนินการและการเขียนข้อเสนออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและน่าสนใจ

เปิดรับข้อเสนอโครงการ ปี 2568
ยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 มี.ค. 2568
เปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการดิจิทัล ร่วมส่งข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพดิจิทัล และต่อยอดไอเดียให้เป็นจริง

🔗 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม:
https://defund.onde.go.th
🔗 ระบบยื่นคำขอ ขอรับทุน:
https://defund-rt.onde.go.th/

ร่วมต่อยอดไอเดียสู่ความสำเร็จ ด้วยโอกาสพัฒนาดิจิทัลที่คุณไม่ควรพลาด!
มาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลไปด้วยกัน!

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่าย 'ตาต้าท่าขี้เหล็ก'

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่า ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย เน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ และข้อสั่งการของ พ.ต.อ.ทวีสอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรม ที่เน้นการปราบปรามแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางที่จะส่งมายังกรุงเทพมหานคร ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ซึ่งกำชับการปราบปรามยาเสพติด อย่างเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.

สำนักงาน ป.ป.ส. โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.

บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1 ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ เข้ามาซุกซ่อนในพื้นที่ตอนในเพื่อรอกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.67 บก.ปส.1 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด“ตาต้าท่าขี้เหล็ก” จำนวน 2 คน และทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ต่อมาทราบว่าเครือข่ายตาต้าท่าขี้เหล็ก ยังมีความเคลื่อนไหวใน การลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ และปริมณฑล โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปต่างประเทศ จึงได้ทำการสืบสวนกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 พบพฤติการณ์กลุ่มผู้ถูกจับมีการเดินทางจากภาคเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน และมีการใช้ยานพาหนะรถยนต์กระบะตู้ทึบในการบรรทุกยาเสพติด โดยอำพรางเป็นรถขนส่งสินค้าทั่วไป ใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงบูรณาการ สภ.มหาราช ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ในการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อตรวจสอบพฤติการณ์ดังกล่าว ผลการตรวจสอบ พบยาเสพติด(ไอซ์) ของกลาง จำนวน 2,464 กิโลกรัม ซุกซ่อนมาในรถยนต์กระบะตู้ทึบจำนวน 2 คัน และรถยนต์ โตโยต้า รุ่นแคมรี่ จำนวน 1 คัน จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ยึดรถยนต์ของกลาง จำนวน 3 คัน โทรศัพท์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดบริเวณทางหลวงหมายเลข 32 สายเอเชีย กม.46+600 ป้อมตำรวจมหาราช ต.ท่าตอ อ.มหาราช ต่อเนื่อง กม.37+500 ต.ตานิ่ม อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาลัยและสดุดี 2 ตำรวจกล้า สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 

(20 ก.พ.68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสูญเสียตำรวจน้ำดีจากเหตุคนร้ายลอบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 2 นาย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.25 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ขณะที่ จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ปฏิบัติหน้าที่ชุดสายตรวจ 20 ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบโดยรถจักรยานยนต์สายตรวจ หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีการมั่วสุมยาเสพติดในซอยหลังสถานตรวจสภาพรถยะรัง หมู่ 3 อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลอบยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย เป็นเหตุให้ จ.ส.ต.เดโชฯ และ ส.ต.ต.ทรงชัยฯ เสียชีวิต 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองสารนิเทศ ขอสดุดีตำรวจกล้าทั้ง 2 นาย ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มความสามารถ พลีชีพในหน้าที่ 'ตำรวจ' รักษาความสงบสุข ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของตำรวจทั้ง 2 นาย พร้อมสั่งดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ กรณี จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี จะได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,460,960 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'พ.ต.อ.' และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,289,540 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'ร.ต.อ.'

ผบ.ตร. ประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ปัญหาคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย วาง 4 ขั้นตอนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทุกพื้นที่ สั่งลงดาบตำรวจทำผิดตามนโยบายนายกรัฐมนตรี มอบ "พล.ต.ท.สำราญฯ" กำกับดูแล

(20 ก.พ. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ศปก.ตร. อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางระบบประชุมทางไกล 

ในที่ประชุมฯ ผบ.ตร. ได้ประชุมติดตามสถานการณ์และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ จึงได้สั่งการให้เร่งรัดการปฏิบัติในการตรวจสอบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม เพื่อตอบข้อเคลือบแคลงของพี่น้องประชาชนและสังคม หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแลการปฏิบัติ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติใน 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ตรวจสอบ : ให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในทุกมิติ รวมทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการอย่างเข้มงวดโดยไม่กระทบกับการท่องเที่ยว 
2. ปฏิบัติการ : ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติ ลงพื้นที่ตรวจสอบชาวต่างชาติที่พำนักในพื้นที่ เช่น ที่พัก แผนการท่องเที่ยว การรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
3. บังคับใช้กฎหมาย :  หากพบมีการทำความผิดของชาวต่างชาติ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดทันที
4. ประชาสัมพันธ์ : สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อตอบคำถาม ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมและประชาชน และให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสื่อต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวเชิงวิเคราะห์ แนวโน้มสถานการณ์การกระทำความผิดของคนต่างด้าวและแก๊งคอลเซ็นเตอร์พื้นที่จังหวัดเฝ้าระวัง เส้นทาง และรูปแบบการกระทำความผิด รวมทั้งผลการดำเนินการด้านกฎหมายและกลไกการส่งต่อระดับชาติ โดย ผบ.ตร.กำชับทุกพื้นที่/จังหวัด ปรับแผนการปฏิบัติและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้ารับมือในทุกมิติ 

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กำชับเข้มงวด หากพบตำรวจรายใดเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เอื้อประโยชน์ ประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย จนเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของหน่วยพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประเทศชาติ ให้ดำเนินการทางปกครอง วินัย และอาญาเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำชับหากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที 

พร้อมกันนี้ ผบ.ตร.ขอให้ผู้บังคับบัญชาถ่ายทอดข้อสั่งการและเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุกนาย โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของประเทศ และต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำผิดเด็ดขาด และขอบคุณตำรวจทุกนายที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตั้งใจทำงาน รักษาความดี ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ร่วมสัมผัสความมหัศจรรย์แห่งการให้ของงานออกร้านคณะภริยาทูต 27 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคมนี้ ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

Donation HUB สภากาชาดไทย ร่วมกับ คณะภริยาทูตประจำประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว 'งานออกร้านคณะภริยาทูต ครั้งที่ 58' ภายใต้แนวคิด 'มหัศจรรย์แห่งการให้...ไม่หยุดชอป' (Miracle of Giving) โดยมี นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย พร้อมด้วย นางปรัชญา ซิงห์ ภริยาเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดีย ประธานคณะกรรมการจัดงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี 2568 Mdm. Trang Thi Thu Ho  ภริยาเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประธานคณะกรรมการจัดทำสลากงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี 2568 นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย และผู้สนับสนุนการจัดงานร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าว ณ Main Entrance, พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

โดยกำหนดจัดงานออกร้านคณะภริยาทูต ครั้งที่ 58 ขึ้น ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และเว็บไซต์ www.iredcross.org

พิเศษ !! เปิดจำหน่ายบัตรเข้างานในราคาพิเศษ Early Bird 40 บาท (จากราคาปกติ 50 บาท) ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 และการจำหน่ายสลากคณะภริยาทูตในรูปแบบออนไลน์ หรือร่วมบริจาคเงินในโครงการต่างๆ ของสภากาชาดไทยได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนแพลตฟอร์ม www.iredcross.org

‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ พร้อมด้วย ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด’ โพสต์ข้อความขอโทษ อ.ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาการทำงานวิจัยด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

(19 ก.พ. 68) ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความขอโทษ ศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาด้วยข้อมูลเท็จ

นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการสัมมนาข้าราชการตำรวจผู้บริหาร ระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า

(19 ก.พ.68) เวลา 15.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบาย เรื่อง “นโยบายรัฐบาลในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติยุค Digital Disruption” แก่ข้าราชการตำรวจระดับผู้บริหารทั่วประเทศ ในโครงการสัมมนาผู้บริหาร ระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตทุ่งสองห้อง กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , จเรตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 337 คน แบ่งเป็นระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า จำนวน 44 คน และระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่า จำนวน 293 คน ให้การต้อนรับและรับมอบนโยบาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทั่วประเทศในการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมในทุกมิติ ขอให้ตำรวจทั่วประเทศรับมือและปราบปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกด้าน โอกาสนี้ขอมอบนโยบาย 3 เรื่อง ได้แก่

1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แสวงหาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เช่น มาตรการยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิดโดยเฉพาะสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

2. การแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรภูมิภาค โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น Interpol, Europol, ASEANAPOL รวมถึงความสัมพันธ์แบบทวิภาคี

3. สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการทางวินัยและอาญาแก่ข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด เพื่อยกระดับมาตรการการลงโทษ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ทั้งนี้ โครงการสัมมนาผู้บริหารระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดโครงการ ซึ่งได้กล่าวแก่ข้าราชการตำรวจที่ร่วมโครงการ ว่า โครงการนี้เป็นเจตนารมณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีกองบัญชาการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งที่อยากเน้นย้ำคือ mindset ทัศนคติของตำรวจที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายที่ถูกที่ควร ซึ่งด้วยความเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วย ย่อมต้องไม่ปล่อยปละละเลยในการปฏิรูปตัวเองก่อน จากนั้นนำสิ่งที่ได้จากการสัมมนาลงไปมอบต่อ และกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นที่ยอมรับของประชาชน ย้ำว่าตำรวจทำดีต้องชื่นชม ตำรวจที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ทำผิดกฎหมาย รับผลประโยชน์โดยมิชอบ นำมาซึ่งความเสื่อมเสียของหน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกป้อง แต่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ ขอให้ตำรวจทุกนายต้องพิทักษ์ปกป้องสถาบัน และพิทักษ์ปกป้องประชาชน นำมาซึ่งสันติและความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง

"ดร.เฉลิมชัย" นำทีม ทส. ย้ำบทบาท สผ. ให้เป็นหลักด้านนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 50 ปี

(19 ก.พ. 68) เวลา 09.30 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ทส. เข้าร่วมงานเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ครบรอบ 50 ปี “สผ. ก้าวต่อไป เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน” พร้อมเยี่ยมชมผลงาน “50 Years ONEP From Vision to Reality” ในรูปแบบ Art & Gallery โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหาร สผ. ให้การต้อนรับ ณ ห้อง Auditorium ชั้น 5 อาคารทิปโก้ 1 

โดย ดร.เฉลิมชัย ได้กล่าวเปิดงานพร้อมกับเน้นย้ำว่า ทส. มีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล และการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานบนพื้นฐานการเติบโตร่วมกัน อันจะนำไปสู่ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ซึ่ง สผ. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย แผน และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ ดังนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นำเทคโนโลยีมาช่วยในการปรับตัวให้ส่วนราชการมีสมรรถนะสูง และมีความทันสมัย ทำงานด้วยความรวดเร็ว เพื่อเดินหน้าอย่างมีคุณภาพทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

นอกจากนี้ในงานดังกล่าว รมว.ทส. ได้มอบรางวัล “คนดี ศรี สผ.” เพื่อเชิดชูเกียรติบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อุทิศตน และสร้างคุณประโยชน์แก่หน่วยงานและสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ของ สผ. คือ “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อประชาชน”

“อุทาหรณ์” หมายถึง “สิ่ง หรือเรื่องราวที่ยกขึ้นมาอ้าง หรือเทียบเคียงให้เห็นเป็นตัวอย่าง”

(19 ก.พ. 68) อ.ไชยันต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ยกเป็น อุทาหรณ์ บุคคลที่ใส่ร้ายคนอื่นด้วยข้อมูลเท็จ หลัง 2 นักวิชาการ ‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ และ ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู’ ใส่ความด้วยเรื่องไม่จริง จนต้องออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

(19 ก.พ. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และประธานอนุกรรมการบริหารกองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการมูลนิธิฯ นางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิฯ และคณะมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ กองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเครือข่ายสถานศึกษาต่าง ๆ ร่วมพิธี  ณ ห้องประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

การประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2568 และเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เห็นคุณค่าความสำคัญของอัตลักษณ์ไทยในเรื่องมารยาทไทย มารยาทในสังคม และสามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี นับเป็นจุดเริ่มต้นขวบปีแรกที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคมขึ้น เพื่อรณรงค์ สร้างกระแสและความตระหนักในการสืบสานและสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านมารยาทไทย

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#สายด่วนและแอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ชี้แจงคนยิวเที่ยวปายเพียง 2,000-3,000 คน/เดือน มาแล้วกลับ ส่วนยอด 30,000 คนสะสมทั้งปี

(19 ก.พ. 68) ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกมายืนยันว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่เดินทางมาเยือนอำเภอปาย อยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน โดยนักท่องเที่ยวเหล่านี้มาท่องเที่ยวและเดินทางกลับประเทศหลังจากพักผ่อน ส่วนยอด 30,000 คนที่ถูกกล่าวถึงเป็นยอดสะสมตลอดทั้งปี ไม่ใช่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาในช่วงเวลาเดียวกัน

นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่ปายว่า ข้อเท็จจริงคืออำเภอปายมีประชากรประมาณ 38,000 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรเป็นกลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ส่วนชาวอิสราเอลนั้นมาเป็นอันดับที่สอง จำนวนประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังชี้แจงว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ดำเนินการตรวจสอบและกวดขันการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวบางรายแย่งอาชีพคนไทย เช่น การเล่นดนตรีในพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด รวมถึงกรณีที่มีพฤติกรรมรุนแรง ซึ่งได้มีการเพิกถอนวีซ่าและผลักดันนักท่องเที่ยวเหล่านั้นออกนอกประเทศไปแล้ว

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังกล่าวถึงการมีมาตรการตรวจสอบการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการแย่งอาชีพคนไทยและการกระทำความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานความมั่นคง, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธรได้ดำเนินการตามมาตรฐานและตามขั้นตอนทุกเรื่องอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ด้วยอากาศดีและธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อน ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งที่เดินทางมาแล้วกลับไปและมาใหม่อีกครั้ง รวมถึงบางคนที่ติดใจและเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ให้กับชุมชน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการเข้า-ออกตามกฎหมายยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องและไม่เกิดปัญหาขึ้น

'สมศักดิ์' มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อน Medical & Wellness Hub พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub จ่อตั้งสำนักงานดูแลโดยเฉพาะ ยกระดับหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิศษ 7 กลุ่มอาการ รวมทั้ง 'สมุนไพร-ยา-อาหาร' ของไทย รุกส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับมาตรฐานเสริมความงาม อุ้มบุญ ผ่าตัดแปลงเพศกลุ่มต่างชาติ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง หรือ ATMPs พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพิ่มการเข้าถึงยา ATMPs ของประชาชน

(19 ก.พ.68) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub โดยได้มอบนโยบายต่อผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และการประกาศเจตนารมณ์เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medical Products, ATMPs) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

นายสมศักดิ์กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขปี 2568 เพื่อยกระดับให้เป็นกระทรวงด้านสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ เพิ่มโอกาสสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและประเทศ ผ่านการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวดสปา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมสุขภาพและชีวการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดต้องมีมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และบริการสุขภาพระดับโลก โดยจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวผ่าน 7 นโยบายสำคัญ คือ 1.การจัดตั้ง 'สำนักงานนโยบายและเศรษฐกิจสาธารณสุข (สนศส.)' เป็นหน่วยงานระดับกรม ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย และกำหนดนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการคลังสุขภาพ เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้คุ้มค่า สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และสร้างระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน

2.ยกระดับภูมิปัญญาไทย คือ นวดไทย โดยพัฒนาหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ คือ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome), โรคหัวไหล่ติด, โรคนิ้วล็อก, ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร), หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, อัมพฤกษ์อัมพาต และกลุ่มระบบสืบพันธุ์ 3.ยกระดับสมุนไพรไทย/ยาไทย อาหารไทย ภายใต้แนวคิด "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ" โดยผลักดันการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 106 รายการ ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกเพื่อส่งเสริมให้แพทย์สั่งจ่ายยาสมุนไพร 32 รายการใน 10 กลุ่มอาการโรคที่พบบ่อยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 10 ส่งเสริมสมุนไพรไทยและอาหารไทยต่างๆ เช่น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล ปลาส้ม/แหนมที่มีโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ 4.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพราว 1.42 ล้านล้านบาท โดยเน้นประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เช่น สปา บ่อน้ำพุร้อน แหล่งน้ำแร่ จับคู่โรงแรมกับโรงพยาบาลในการให้บริการแพคเกจสุขภาพ พัฒนาระบบเอเยนซีขายแพคเกจสุขภาพ เพิ่มคลินิก Wellness การแพทย์และแพทย์ไทยในโรงแรม ซึ่งมีการนำร่องแล้วคือโมเดล Wellcation ของเขตสุขภาพที่ 5 และ Phuket Wellness Sandbox

5.ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ โดยปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดราว 2 แสนล้านบาท เป็นการนำเข้า 9 หมื่นล้านบาทและส่งออก 1.18 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่ซับซ้อน ได้แก่ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยางทางการแพทย์ หลอดสวน หลอดฉีดยา และกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เตียงผู้ป่วย เตียงตรวจ รถเข็นผู้ป่วย เบื้องต้นจะส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย เร่งรัดกระบวนการอนุมัติอนุญาตและทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อน และใช้วิธีจับคู่ระหว่างผู้วิจัยและผู้ที่จะผลิตต่อ 6.ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (ATMPs) ซึ่งทั่วโลกมีมูลค่าถึง 4.19 แสนล้านบาท คาดว่าปี 2573 จะเติบโตถึง 1.25 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลกำลังผลักดันศูนย์กลาง ATMPs ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ในระดับโลก ภายในปี 2570 เนื่องจากเอกชนมีความสนใจและต้องการผลักดันอุตสาหกรรม และจะหาทางออกเพื่อลดข้อกังวลของสภาวิชาชีพในการใช้ผลิตภัณฑ์ ATMPs และ 7.การดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) โดยจะขับเคลื่อน 4 เรื่อง คือ เวชศาสตร์ความงาม เน้นตรวจสอบแพทย์ต่างชาติที่เข้ามาประกอบเวชกรรมในไทย รวมถึงแพทย์เถื่อน คลินิกเถื่อน ยกระดับคลินิกความงามให้มีมาตรฐานระดับสากล เปิดหลักสูตรอบรมแพทย์เวชปฏิบัติความงามเป็นหลักสูตรกลางของประเทศ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับหัตถการเสริมความงาม และพัฒนาระบบเอเยนซีให้สามารถโฆษณาเชิญชวนชาวต่างชาติมารับบริการได้, จิตเวชและพฤติกรรมบำบัดสำหรับชาวต่างชาติ, การอุ้มบุญและการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI และการผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ

"วันนี้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ทั้ง 4 สถาบัน ประกาศเจตนารมณ์เพื่อร่วมมือกันทางวิชาการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ยา" ที่ออกฤทธิ์เป็นยีน เซลล์ หรือเนื้อเยื่อ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงของผู้ป่วย โดยปี 2568 มีเป้าหมายให้คนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงยา ATMPs ในไทยที่ได้มาตรฐานอย่างเหมาะสมผ่านกลไกการอนุญาตวิจัยในพื้นที่ทดลอง 5 แห่งในสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งศูนย์บริการผลิตภัณฑ์ยา ATMPs แบบเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นายสมศักดิ์กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top