Thursday, 24 April 2025
NEWS

‘ทราเวลโลก้า’ ฉลองครบรอบ!! ทศวรรษแห่งนวัตกรรม มอบดีลสุดพิเศษ!! ให้นักท่องเที่ยวนับล้านทั่วโลก

(24 ก.พ. 68) ในปีพ.ศ. 2568 ทราเวลโลก้า (Traveloka) สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ฉลอง 13 ปีแห่งนวัตกรรมและการเติบโต ทราเวลโลก้าก่อตั้งขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปีพ.ศ. 2555 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติวงการการเดินทาง ปัจจุบันเติบโตเป็นแพลตฟอร์มการเดินทางแบบครบวงจร โดยขยายการให้บริการไปประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม เพื่อให้นักเดินทางได้ท่องเที่ยวทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก

ทราเวลโลก้ามอบดีลฉลองวันเกิด พร้อมส่วนลดพิเศษ คูปองจัดเต็ม และแฟลชเซลล์ ครอบคลุม 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม พ.ศ. 2568 ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยร่วมวางแผนการเดินทางแสนสนุกในปีนี้ พร้อมรับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย

ซีซาร์ อินทรา (Caesar Indra) ประธานบริษัททราเวลโลก้า ได้กล่าวถึงการเติบโตของบริษัทว่า “ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ทราเวลโลก้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการการท่องเที่ยว ไม่เพียงแค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังรวมถึงตลาดสำคัญทั่วโลก เราได้ผสมผสานความเชี่ยวชาญเชิงลึกในแต่ละตลาด ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรม และมุ่งมั่นพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันแอปพลิเคชันทราเวลโลก้ามีผู้ใช้งานประจำกว่า 40 ล้านคนและให้บริการใน 8 ประเทศ จนเติบโตเป็นแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวระดับโลกที่ก้าวไปพร้อม ๆ กับนักเดินทาง ด้วยการมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล การมอบส่วนลดวันเกิดของทราเวลโลก้าครั้งนี้ จึงเป็นทั้งการเฉลิมฉลองเส้นทางแห่งความสำเร็จ และโอกาสในการตอบแทนลูกค้า พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่น คุ้มค่า และน่าประทับใจ”

มาร่วมทำให้ทุกการเดินทาง คุ้มค่ายิ่งขึ้น ไปกับทราเวลโลก้า
เพื่อขอบคุณลูกค้าคนสำคัญ เราขอมอบส่วนลดพิเศษมากมาย ให้คุณวางแผนการเดินทางปีพ.ศ. 2568 ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นนำ พันกว่าเจ้า ทั้งสายการบิน ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และอื่น ๆ พร้อมโปรโมชันสุดคุ้ม ให้คุณเดินทางได้อย่างสะดวกและคุ้มค่าที่สุด
•รับส่วนลดสูงสุด 50% สำหรับเที่ยวบิน โรงแรม และประสบการณ์การเดินทาง ให้ทุกจุดหมายปลายทางในฝันของคุณเป็นจริงในราคาที่คุ้มค่ากว่าที่เคย
•ปลดล็อค Flash Sale รายวัน ทุกวัน วันละ 2 รอบ เวลา 09:00 – 11:00 น. และ 21:00 – 23:00 น.
•เสริมด้วย Flash Sale แบบจำกัดจำนวน ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 
•รับ Flash Sale พิเศษ เฉพาะวันที่ 3 มีนาคม เวลา 00:00 – 02:00 น. และ 13:00 – 15:00 น. และวันที่ 4 มีนาคม เวลา 13:00 – 15:00 น.
•พิเศษ! อย่าพลาดโปรโมชันสุดคุ้มในช่วง Birthday Peak ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม
•เที่ยวเกาหลีใต้สุดคุ้มด้วยส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม: ทราเวลโลก้าจับมือกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) มอบโค้ดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจอยากเดินทางไปเกาหลีใต้ ดังนี้
oเที่ยวบิน: โค้ด LOVEKOREAFL – ส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท
oที่พัก: โค้ด LOVEKOREAHT – ส่วนลด 400 บาท
oประสบการณ์: โค้ด LOVEKOREATA – ส่วนลด 100 บาท

ทราเวลโลก้าแนะจุดหมายปลายทางยอดฮิต ที่รอให้คุณออกเดินทาง
•ในประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ หาดใหญ่ และสงขลา
•ต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย

ทราเวลโลก้ามอบประสบการณ์การเดินทางที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ ด้วยบริการที่หลากหลายกว่า 20 รายการ ครอบคลุมทั้งการขนส่ง ที่พัก และแหล่งท่องเที่ยว ล่าสุด แอปพลิเคชัน Traveloka 5.0 ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ทันสมัยและบริการที่ครบครัน รวมถึงแพ็คเกจล่องเรือและทัวร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ช่วยให้การวางแผนการเดินทางตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยแถบค้นหาแรงบันดาลใจด้านการเดินทาง (Search Bar) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบสะสมคะแนน (Traveloka Points) ที่ได้รับการอัปเกรดให้ได้แต้มมากขึ้น ทำให้ Traveloka 5.0 มอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นและตอบโจทย์นักเดินทางได้ดียิ่งกว่าเดิม

การปฏิวัติการท่องเที่ยวร่วมกับพันธมิตร
นอกเหนือจากภารกิจในการช่วยให้ลูกค้าหลายล้านคนออกไปเที่ยวในจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ แล้ว เรายังมุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น โดยทราเวลโลก้าร่วมมือกับสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainable Tourism Council: GSTC) จัดการฝึกอบรมด้านความยั่งยืนให้กับโรงแรมกว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนก้าวขึ้นเป็นผู้สนับสนุนระดับแพลตตินัมรายแรกของ GSTC ในปีพ.ศ. 2567 ตอกย้ำบทบาทสำคัญของเราในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ โครงการเสริมทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของทราเวลโลก้า (Traveloka Goodwill - Digital Literacy) ยังได้มอบความรู้และทักษะดิจิทัลที่จำเป็นให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมและขนาดย่อย (MSME) เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยว กว่า 96,000 ราย ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเสริมศักยภาพในการปรับตัวและเติบโตในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

ทราเวลโลก้ายังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหามลภาวะจากขยะพลาสติกในประเทศไทย โดยในปีพ.ศ. 2567 ทราเวลโลก้าได้สนับสนุนการเก็บขยะพลาสติกจากมหาสมุทรจำนวน 24,000 กิโลกรัม ผ่านความร่วมมือกับ Second Life กิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย ปริมาณขยะที่เก็บได้นี้มากกว่าปริมาณขยะพลาสติกที่บริษัทใช้ในสำนักงานต่อปีถึง 5 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ผ่านมา ทราเวลโลก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติในระยะยาว และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้เติบโตควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการเดินทางในภูมิภาค

ทราเวลโลก้าสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตร เสริมสร้างระบบนิเวศการเดินทางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทราเวลโลก้าได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับสายการบินกว่า 300 แห่ง ผู้ให้บริการที่พัก กว่า 2.2 ล้านราย และพันธมิตรด้านกิจกรรมด้านการเดินทางกว่า 90,000 ราย ในมากกว่า 100 ประเทศ เรามุ่งมั่นนำเสนอโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุมและราบรื่นเพื่อให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกและตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

เนื่องจากภูมิทัศน์การท่องเที่ยวยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทราเวลโลก้าจึงร่วมกับ YouGov เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดในหัวข้อ “การท่องเที่ยวในมิติใหม่: ทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” โดยได้เก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 12,000 คน จาก 9 ประเทศ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญที่จะส่งผลต่อวงการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผลการศึกษานี้จะช่วยให้พันธมิตรสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในประเทศไทย 70% ของนักเดินทางนิยมท่องเที่ยวภายในประเทศ เนื่องจากความสะดวกสบาย ขณะที่ 85% ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยธรรมชาติยังคงเป็นปัจจัยดึงดูดหลัก (72% ชื่นชอบภูเขา และ 65% นิยมชายหาด) นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย (41%) และเครื่องมือดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดีย (46%) และแพลตฟอร์มการเดินทาง (37%) มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึง ความจำเป็นในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ตลาดท้องถิ่น ตัวเลือกการเดินทางที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงประสบการณ์ที่เน้นความคุ้มค่า การปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของนักเดินทางได้ดีขึ้น และคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

‘อพท.’ ลุย!! เสริมกำลังดัน ‘กระเช้าไฟฟ้า ภูกระดึง’ เตรียมปั้นพื้นที่ท่องเที่ยวยั่งยืน รองรับนักท่องเที่ยว

(24 ก.พ. 68) ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ อพท. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มอบหมายให้ ผู้บริหารสำนักพัฒนาขีดความสามารถการท่องเที่ยว (สพข.) สำนักท่องเที่ยวโดยชุมชน (สทช.) และสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย (อพท.เลย) เดินหน้าลงพื้นที่ จังหวัดเลย เพื่อหารือถึงแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอภูกระดึง โดยเตรียมนำมาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STMS) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หรือ Global Sustainable Tourism Council ไปใช้ในการค้นหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวตามความบริบทและความเหมาะสมในพื้นที่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดจากโครงการสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง

ในโอกาสนี้ ผู้บริหาร อพท. ได้เข้าพบ นายศุภฤกษ์ น้อยสุวรรณ นายอำเภอภูกระดึง ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอภูกระดึง พร้อมหารือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 องค์กร ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน เทศบาลตำบลภูกระดึง องค์การบริหารส่วนตำบลผานกเค้า องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยส้ม และองค์การบริหารส่วนตำบลภูกระดึง ถึงแนวทางการการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนเข้าร่วมส่งเสริมมาตรฐาน STMS โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 5 องค์กร เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมมาตรฐานการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และยินดีเข้าร่วมส่งเสริมมาตรฐาน STMS ของ อพท. และจะร่วมลงพื้นที่สำรวจศักยภาพของพื้นที่ทั้ง 54 หมู่บ้านในโอกาสต่อไป

สำหรับความคืบหน้าในเรื่องการสร้างกระเช้าภูกระดึงนั้น ทางจังหวัดเลยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความยินดีและพร้อมที่จะร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ ร่วมกัน เพราะเป็นโครงการที่รอมานาน และได้ให้ข้อเสนอแนะในการสร้างการรับรู้และสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมให้กับท้องถิ่นและชุมชนอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงต่อไป โดยขั้นตอนการดำเนินงานต่อไปของ อพท. คือ การพัฒนาศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 5 องค์กร ตามมาตรฐาน STMS และการพัฒนาศักภาพด้านการท่องเที่ยวของ 54 หมู่บ้าน เพื่อให้ได้แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมท่องเที่ยว เรื่องราวท้องถิ่น อาหารท้องถิ่น เครื่องดื่มท้องถิ่น ของฝากและของที่ระลึก ที่พักและผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป

‘เอ็มจี’ ทยอยนำเข้า!! ‘NEW MG IM6’ ล็อตแรก เตรียม!! เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มี.ค.นี้

(24 ก.พ. 68) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ NEW MG IM6 จำนวนกว่า 300 คัน จากท่าเรือ เซี่ยงไฮ้สู่ประเทศไทย โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่เริ่มนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จาก SAIC MOTOR CORPORATION โดยรถรุ่นนี้มีแผนเตรียมนำเข้ามาในประเทศไทยต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก และมีกำหนดเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มีนาคม 2568 

NEW MG IM6 มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยี สมรรถนะการขับขี่ และนวัตกรรมล้ำสมัย โดย NEW MG IM6 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้า SUV ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมในจีน นอกจากนี้ ช่วงปีที่ผ่านมา IM6 ยังสามารถคว้ารางวัลมากมายในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รางวัล Red Dot Design Award ปี 2021 และ 2024 ประเทศเยอรมนี จากระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ  IM OS  ในสาขา Brand & Communication Design และ รางวัล Product Design Award จาก IM6 ตามลำดับ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นเลิศในศาสตร์แห่งการออกแบบ สะท้อนความหรูหรา และตอกย้ำความมั่นใจในระบบความปลอดภัย ด้วยการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก C-NCAP (China-New Car Assessment Programme) อีกด้วย ด้วยจุดเด่นที่ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น รวมถึงแพลตฟอร์มช่วงล่าง Digital Chassis ที่เน้นเรื่องสมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม การออกแบบภายในระดับพรีเมียม 

สำหรับในประเทศไทย NEW MG IM6 ได้รับการปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของผู้ใช้ในประเทศมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนนและพฤติกรรมของผู้บริโภค ชาวไทย โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) การตัดสินใจของ เอ็มจี ในการเลือกประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายธุรกิจในระดับสากลนั้นเป็นเพราะศักยภาพของตลาดที่แข็งแกร่ง นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล และการต้อนรับที่ดีจากผู้บริโภคต่อรถยนต์พลังงานสะอาด การเปิดตัว NEW MG IM6 ในประเทศไทยในวันที่ 18 มีนาคมนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ SAIC MOTOR CORPORATION ในการรุกตลาดโลก โดยบริษัทฯ มีแผนส่งออก NEW MG IM6 ไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อรุกตลาดต่างประเทศ ในปี 2025 พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและมีคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์การเดินทางอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก

‘การไฟฟ้า-ตำรวจ สภ.ลาดหลุมแก้ว’ บุกทลาย!! เหมืองบิตคอยน์รายใหญ่ ย่านปทุมธานี ขโมยไฟฟ้าหลวงใช้!! สูญปีละกว่า 40 ล้านบาท ผงะ!! พบกำลังขุดอยู่ มากถึง 440 เครื่อง

เมื่อวันที่ (21 ก.พ. 68) นายธนิต เหมือนทอง ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอ ลาดหลุมแก้ว พ.ต.ต.ณัฎพล อุดน้อย สว.(สอบสวน)สภ.ลาดหลุมแก้ว พร้อมด้วยกำลังฝ่ายปกครองอำเภอลาดหลุมแก้ว และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน นำหมายค้นของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้าทำการตรวจค้นโกดังให้เช่าเลขที่ 34/7 ซอยโรงเชือดไก่ ม.2 ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี หลังสืบทราบว่ามีการขโมยไฟฟ้าใช้อย่างผิดกฎหมาย

จากการเข้าตรวจค้นโกดังลักษณะโครงสร้างเหล็กยกสูง เนื้อที่ประมาณ 100 ตร.ว. ภายในพบเครื่องขุดบิตคอยน์ใช้งานอยู่จำนวน 440 เครื่อง พัดลมระบายความร้อน หม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 1500KVA3 เฟส ซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง 1 ตัว พัดลมระบายอากาศทำงานอยู่จำนวนหลายเครื่อง โน๊ตบุ๊ก เครื่องระบายความร้อน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องขุดบิทคอยน์ใช้แล้วจำนวนมาก

จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีผู้ใดทำงานอยู่ภายใน แต่มีการเดินเครื่องบิตคอยน์อยู่ตลอดเวลา มีการระบายความร้อนของห้องขุดบิตคอยน์คล้ายระบบชิลเลอร์เครื่องปรับอากาศ

นายธนิต เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าพบมีความผิดปกติของการเดินสายไฟฟ้าแรงสูง เลยสุ่มวัดค่ากระแสไฟฟ้าแรงสูง พบมีค่าผิดปกติกับหม้อแปลงที่ขนาดใช้อยู่จะใช้ไม่เกิน 6 แอมป์ต่อเฟส แต่วัดได้ 30 แอมป์ต่อเฟส จึงสันนิษฐานว่ามีทำเหมืองบิตคอยน์แน่นอน เพราะกระแสไฟฟ้าสูงขนาดนี้

ในช่วงเช้าวันนี้ตนเองจึงเข้าไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.ลาดหลุมแก้ว เพื่อขอให้พนักงานสอบสวนขออำนาจศาลออกหมายค้น จึงพบเหมืองขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่มีการลักลอบใช้ไฟฟ้า คือจุดนี้มีการขอใช้ไฟฟ้าขนาด 50KVA แต่จริงแล้วด้านหลังมีการซุกซ่อนติดตั้งหม้อแปลงอีกตัวหนึ่งขนาด 1500KVA โดยการขโมยไฟฟ้าแรงสูงไปเข้าหม้อแปลงและจ่ายแรงต่ำใช้ในการขุดบิตคอยน์ โดยจุดนี้มีการขออนุญาติใช้ไฟฟ้ามาประมาณ 12 เดือน

ขณะเข้าทำการตรวจค้นไม่พบเจ้าของ โดยเครื่องที่ใช้งานอยู่จำนวน 440 เครื่อง และวางกองอยู่อีกจำนวน 100 เครื่อง ความเสียหายของการไฟฟ้าประมาณเดือนละ 3 ล้านบาทเศษ ตกปีละประมาณ 40 ล้านบาท หลังจากนี้จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียดเพื่อใช้ประกอบคดีทั้งหมดแล้ว

‘ผอ.พีซ สตรีศรีสุริโยทัย’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกคน ที่ให้ความสนใจ เผย!! ได้พลังบวก ความรักจากนักเรียน ทำให้อยากทำอะไรมากมาย

(24 ก.พ. 68) ดร.ศรประภา สิริภัทรวิช ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ย่านถนนเจริญกรุง เขตสาทร กทม. ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ขออนุญาต ขอบคุณทุกท่านผ่านทางนี้นะคะ  

ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบคลิปที่เป็นไวรัลในขณะนี้ และส่งกำลังใจมาให้ในทุกๆช่องทาง รวมถึงมาติดตามกันทางนี้นะคะ  

ขอบคุณเพื่อน พี่ น้อง ลูกศิษย์ และคนรู้จักทุกคนที่ช่วยแชร์ข่าวต่างๆ วันนี้เต็มหน้าฟีดเลย และที่สำคัญพูดถึงพีซในแง่บวกทั้งนั้นเลย ใจฟูมากจริงๆ ขอบคุณจริงๆนะ  

ขอบคุณทีมบริหาร ครูและบุคลากรโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ที่เป็นเบื้องหลังไวรัลในครั้งนี้ ตั้งแต่การคิดกิจกรรม ฝึกซ้อม ดูแลเสื้อผ้า หน้า ผม และปล่อยคลิปด้วย (ซึ่งมีมากกว่า 1 คลิปนะคะ) ขอบคุณมากๆเลย  

ขอบคุณลูกๆสภานักเรียนที่ทำคลิปต่างๆของโรงเรียนและผอ. และนักเรียนโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยทุกคน ที่ทำให้มีความสุขทุกวันที่ไปโรงเรียน ได้พลังบวก ได้กำลังใจ ได้ความรักจากนักเรียน ทำให้ผอ.ยิ้มมีความสุข และอยากทำอะไรๆมากมายให้กับนักเรียน  

ขอบคุณนักข่าวช่องต่างๆที่ติดต่อมา และทำข่าวให้แบบน่ารัก ทำให้โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีกนะคะ  

ขอบคุณเฟสปลอม tiktok ปลอมที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะคะ แต่ตัวจริง เล่นช่องทางนี้ทางเดียว และไม่ยืมเงิน ไม่ทักส่วนตัวนะคะ ฝากให้ระวังกันค่ะ  

ฝากติดตามผลงานโรงเรียน 2 ช่องทางนะคะ

Tiktok : ssyt_council67

Facebook : โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย

ปล.วันนี้อาจจะตามตอบไม่หมด แต่อ่านของทุกคน ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ  

ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำกลุ่มเสี่ยงเด็ก เยาวชน ใกล้โรงเรียน สถานศึกษา ต้องไม่มีเด็ดขาด หากจับกุมได้ สั่งขยายผลทุกมิติ พร้อมลงดาบหากพบตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องผลประโยชน์ ปล่อยปละละเลยจนกลายแหล่งมอมเมาเยาวชน 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลสั่งการให้ทุกหน่วยคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย หลังพบว่ามีข้อมูลในหลายพื้นที่มีร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเปิดขายผิดกฎหมายนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบข้อมูล ขานรับนโยบาย พร้อมปฏิบัติทันที ได้สั่งการให้ทุกหน่วยกำหนดมาตรการคุมเข้มปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวัง เด็กและเยาวชนตามโรงเรียน สถานศึกษา หรือที่มีแหล่งข่าวว่ามีสถานที่พัก ลักลอบเก็บอุปกรณ์ สิ่งของ และนำออกไปจำหน่ายให้เด็ก เยาวชน นักศึกษา หรือใกล้สถานประกอบกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ จะต้องไม่มีโดยเด็ดขาด รวมทั้งตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าตามแนวชายแดน สนามบิน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น ศุลกากร นอกจากนี้ ให้หน่วยประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่ ประสานข้อมูลบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อบูรณาการร่วมปฏิบัติในการเข้าตรวจสอบ ปราบปรามจับกุม 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเข้มงวดในการตรวจสอบ กวดขันตามอำนาจหน้าที่ หากจับกุมได้ให้มีการสืบสวนขยายผลดำเนินการทุกมิติ และกำชับทุกหน่วยห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่มิชอบ หรือปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นแหล่งมอมเมาเด็กและเยาวชน หากพบจะมีการดำเนินการทั้งวินัย อาญา และปกครองอย่างเด็ดขาด

เชียงใหม่- คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

(24 ก.พ. 68 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มช. รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานเปิดการเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ความรู้และเป็นแนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า "ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ PM2.5 จึงได้จัดกิจกรรมเสวนา "แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน" เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรและประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันฝุ่น PM2. ซึ่งปัญหา มลพิษทางอากาศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง การป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 จำเป็นเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการให้ความรู้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการลดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน"

ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ และในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมเสวนาแนวทางป้องกันฝุ่นPM2.5 ในเชิงการจัดการทางกายภาพ และแนวทางการปฏิบัติเชิงพฤติกรรม ที่สามารถนำไปประยุกต์ และปฏิบัติได้ทั้งในสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 

โดยมีหลักที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
1. ด้านกายภาพ (กั้น กรอง ดัน) กั้น : ปิดประตูหน้าต่างที่สนิท ชื่อตามขอบหน้าต่าง หรือรูรั่วอื่น ๆ ให้ชิด และเปิดระบาย อากาศบ้าง ช่วงที่ฝุ่นภายนอกน้อย กรอง : ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เปิดเครื่องพ่อกอากาศ และปิดพัดลมดูดอากาศ(ถ้ามี) ดัน : ติดตั้งเครื่องเติมอากาศสะอาด สร้างแรงดันอากาศภายในห้องให้มากว่าภายนอก เพื่อ
ดันฝุ่นไม่ให้เข้ามาในห้อง

2.พฤติกรรม (3ส 1 ล)
ส.สะสาง คัดแยกสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้แล้วออกไปเพราะจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ส.สะอาด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และเช็ดถูทำความสะอาดพื้นและตามซอกมุมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น รวมทั้งล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น
พัดลม เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศและมุ้งลวด
สร้าง สร้างสุขนิสัย ในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมีฝุ่นละอองสูง อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดมากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยปลูกต้นไม้ที่มีลักษณะใบหนา หยาบ มีขน เพื่อช่วยดักฝุ่น ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละองเพิ่ม เช่น การจุดธูป-เทียน การเผาขยะ การจุดเตาถ่าน และการสูบบุหรี่

ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า"จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าคนเชียงใหม่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานานเกือบครึ่งปี (ประมาณ กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ สถิติยังบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันฝุ่นจึงไม่ควรจำกัดเพียงแค่การสวมใส่หน้ากากหรือหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้ง แต่ควรรวมถึงการจัดการฝันในสถานที่ทำงานด้วย ซึ่งการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบต่อสุขภาพของบุคลากร การติดตามคุณภาพอากาศ ปรับปรุงระบบระบายอากาศสวมหน้ากากที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพของพนักงาน เป็นมาตรการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

กิจกรรมในครั้งนี้มีการบรรยายใน 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ สถิติคุณภาพอากาศตัวเมืองเชียงใหม่ ป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานอย่างไร การเลือกขนาดเครื่องฟอกอากาศ การเฝ้าระวังและติดตาม การปรับปรุงด้าน PM2.5 คณะแพทยศาสตร์ การติดตั้งแผ่นกรองฝุ่น เครื่องปรับอากาศ และพัดลม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คือ รศ.ดร.ยศธนา คุณาทร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. , ผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. , ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. , คุณวิชชากร จามีกร หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการระบบสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์ มช. และคุณณัฐพล ไชยแก้ว วิศวกร สังกัดงานอาคารสถานที่ บรรยายใน 6 หัวข้อในการเตรียมความพร้อมและเสริมความรู้แก่บุคลากร ให้ทราบถึงแนวทางในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ใช้ในหน่วยงานช่วงที่เกิดภาวะฝุ่น PM2.5 เพื่อลดดผลกระทบด้านสุขภาพของบุคลากรและผู้ที่มารับบริการของคณะแพทยศาสตร์ มช.

นายกรัฐมนตรีไทยจับมือนายกกัมพูชาเดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบในการปราบปราม กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.) ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปประชุมร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อร่วมมือกันในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ซึ่งในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางตำรวจกัมพูชาได้มีการระดมกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายจุด ซึ่งข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 215 คน ในจำนวนนี้มีคนไทย จำนวน 125 คน และชาวต่างชาติจำนวน 90 คน โดยยังมีการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนจุดที่กวาดล้าง จำนวนของผู้ที่ถูกจับกุม และผู้ที่รับการช่วยเหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการปฏิบัติ และขณะนี้ พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่การกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความต้องการของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้มีการไปหลอกลวงไม่ใช่แต่คนไทยเพียงฝ่ายเดียว ยังมีการไปหลอกลวงคนทั่วโลก ซึ่งการค้นหาและการตรวจค้น จับกุม ยังมีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องจนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป

ขอนแก่น-กรมชลประทานขุดพื้นที่แก้มลิง พบแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาอายุราว 500 ปี 

(24 ก.พ. 68) ที่บริเวณโนนหนองเทา บ้านสำโรง ต.บ้านขาม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นนายธนนพพงษ์ เฉลิมศรีกร ครูโรงเรียนบ้านสำโรง ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบเศษหม้อ เศษไห ดินเผา ที่ถูกรถแบคโฮ ขุดเปิดหน้าดิน เพื่อเตรียมพื้นที่สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ (แก้มลิง) ของกรมชลประทานที่ 6 พบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอนกว้างประมาณ 50 เมตร อยู่กลางแหล่งน้ำหนองบึงสำโรง ชาวบ้านเรียกว่า “โนนหนองเทา”  ตรงข้างเนินดินมีหลุมจากการขุดของรถแบคโฮ ลึกประมาณ 3 เมตร ช่วงความลึกราว 1.5 เมตร พบชั้นดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผา เกาะตัวกัน พร้อมเถ้าดินเผา หนาประมาณ 30 เซนติเมตร เศษหม้อบางชิ้นสามารถดึงออกมาได้ โดยได้นำมามาทำความสะอาด พบว่ามีลวดลายเขียนด้วยสีธรรมชาติ สีแดง เป็นลายเส้น ลักษณะคล้ายกับลายเส้นของเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง จ.อุดรธานี 

นายธนนพพงษ์ เผยว่า เดิมทีที่ตรงนี้อยู่ในบริเวณโครงการขุดรอกบึงสำโรง เพื่อจัดทำแก้มลิง ซึ่งผู้รับเหมาได้มาขุดดินตรงเนินหนองเทา เพื่อนำดินแห้งไปปูเป็นเส้นทางให้รถบรรทุกวิ่งในช่วงที่ดินในหนองน้ำมีแต่น้ำ จากการขุดลงไปประมาณ 3 เมตร พบเศษ ซากหม้อไห โบราณ ตรงบริเวณนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้แก่ ในหมู่บ้านว่า สมัยก่อนแถวบ้านสำโรงจะมีโนนที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เรียกว่าโนนหนองเทา โนนพันชาด โนนหนองส้ง โนนหัวชิงไค ซึ่งบริเวณนี้มีการปั้นดินเผา ปั้นหม้อ เชื่อมโยงกับประศาสตร์ของปรางค์กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งช่วงนั้นชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสมัยคนแปดศอก (มนุษย์ที่มีความสูง 8 ศอก) ซึ่งเป็นจุดสังเกตว่าหาว่ามีปรางค์กู่ฯ ที่ไหน ก็จะมีแหล่งผลิตหม้อ ไห ไม่ห่างกันด้วย ตรวจสอบอย่างละเอียดจะพบเศษ ซาก หม้อ ไห กองทับถมกัน ซึ่งจะต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือกรมศิลปากร เข้ามาตรวจสอบอายุให้แน่ชัดอีกครั้ง ซึ่งในโอกาสต่อไปจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนด้วย

ขณะที่ นางเคน เตินเตือน อายุ 80 ปี ชาวบ้านสำโรง เล่าว่า สมัยก่อนปู่ย่าตายายพ่อแม่เล่าสืบต่อกันมาว่า บริเวณดังกล่าว มีไทยตีหม้อมาตีหม้ออยู่ตรงนั้น (ตีหม้อ คือ ปั้นหม้อ) สมัยเป็นเด็กจำได้ว่าตอนไปเลี้ยงควายได้นำเศษหม้อ เศษไห มาโยนเล่น แต่ไม่เคยได้เห็น หรือใช้หม้อไหที่มีลายแบบนี้เลย 
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริเวณโนนหนองเทา ทางชาวบ้านได้มีการอนุรักษ์ไว้ไม่ให้มีการขัดดินตรงนั้นออกเพื่อทำแก้มลิง ซึ่งจะปรับปรุงให้เป็นเกากลางน้ำ พร้อมกับได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ และหาอายุของเศษหม้อไห เหล่านั้นต่อไป

‘กลุ่มก่อความไม่สงบ’ สร้างสถานการณ์!! ต้อนรับ ‘ทักษิณ’ ‘แยม ฐปณีย์’ หวิดโดนไปด้วย เผย!! เพิ่งออกมา แค่แป๊บเดียว

(23 ก.พ. 68) เจ้าหน้าที่สภ.เมืองนราธิวาส ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิด บริเวณในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส 

จากการตรวจสอบเบื่องต้นทราบว่า พบเป็นรถยนต์กระบะ ดีแม็ก สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 6955 นราธิวาส ของ เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงประจำสนามบินนานาชาตินราธิวาส ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ 

ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อทำพื้นที่ให้ปลอดภยก่อน นำกำลังเจ้าหน้าที่และหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบอีกครั้ง 

ส่วนประเด็นและสาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่สร้างสถานการณ์เพื่อต้อนรับดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะเดินทางลงมาในพื้นที่ ท่าอากาศยานนราธิวาส ในเวลา 09.50 น. 

ซึ่งงานนี้ก็ได้มีคณะสื่อมวลชน เดินทางติดตาม ลงพื้นที่ไปทำข่าวกันหลายสำนัก รวมทั้ง ‘แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว ‘The Reporters TV’ 

งานนี้เรียกได้ว่า ‘เฉียดตาย’ เพราะระเบิดได้ดังสนั่นขึ้น หลังจากที่ แยม ฐปณีย์ นั้น ได้ออกมาจากจุดเกิดเหตุ ‘แค่แป๊บเดียว’ 

ล่าสุดอัพเดทแล้ว แยม ฐปณีย์ นั้น ‘ปลอดภัย’

‘ดร.อานนท์’ โพสต์เฟซ!! นศ.รามคำแหง มีทุกระดับ ทั้ง ‘ลำบาก-ยากจน’ แต่ก็มีมานะ เผย!! ได้สอนที่นี่เหมือนได้ทำบุญ ‘ให้ความรู้-คำปรึกษา-การช่วยเหลือ’ แก่เด็กที่ใฝ่ดี

(23 ก.พ. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า …

ผมเห็นข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิดอย่างหนึ่งนะครับ คือเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญใหญ่มาก
เด็กที่มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาจากทุกระดับจริง ๆ มาจากที่ยากจนและลำบากมากก็มี มีมานะอุตสาหพยายามเพื่อการศึกษา แม้จะมีอุปสรรคเพียงใดก็ตาม

เมื่อกี้ได้ช่วยสมทบทุนช่วยเหลือบัณฑิตรามคำแหงที่เพิ่งจบ ไฟไหม้บ้านบนที่เช่าวอดทั้งหลัง พ่อเสียชีวิตในกองเพลิง แม่ยังอยู่โรงพยาบาล ตัวน้องเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่ไม่มีที่อยู่

ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมาจากพื้นฐานฐานะทางสังคมเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยปิดที่โด่งดังมีชื่อ นักศึกษามักจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีหรือมีสถานะทางสังคมเศรษฐกิจดีอยู่แล้วพอสมควร มันเกิด self selection

แต่สำหรับมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น ผมมั่นใจว่ามีนักศึกษาทุกระดับ ทำให้อาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษได้มีโอกาสทำบุญ ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ให้การช่วยเหลือแก่เด็กนักศึกษาที่ลำบากแต่ใฝ่ดี ผมว่านับเป็นโอกาสอันดีและเป็นกุศลยิ่ง 

เมื่อกี้อานนท์เลยโอนเงินให้อาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปช่วยบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงครับ ไม่ได้มาก เพราะอานนท์นั้นมีไม่มาก 
แต่อยากจะพูดว่า นี่คือ ความงดงาม ของการเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเปิดจริง ๆ ครับ

‘พยาบาล ICU’ เผย!! วิชาชีพนี้ ต้องทำงานหนัก พักน้อย วอน!! ให้เกียรติกันบ้าง ถูกทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ

(23 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘C Kanittha Kapunya’ โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า ...

ในฐานะที่เป็นพยาบาล ICU และต้องดูแลลูกน้องที่ต้องเข้าเวร ในอีกมุมมองที่อยากแบ่งปันเรื่องราวให้ได้รับรู้นะคะ 

พยาบาลเป็นวิชาชีพค่ะ ทำงานหนัก พักน้อย กินข้าวเเบบรีบเร่ง ในหลายครั้งที่เจ็บป่วยก็ต้องให้น้ำเกลือ ให้ยาและกลับไปดูแลคนไข้ต่อ ถ้าคิดภาพไม่ออกก็ย้อนกลับไปมองถึงช่วงโควิดนะคะ 

สิ่งที่ตัวเราได้พบเห็นจากการทำงาน ที่อยากจะมาแบ่งปันให้รับทราบ ในบางประเด็น คือ

1. เราเคยเจอคนไข้ถีบติดผนังห้องแบบฟ้าเหลือง
ขณะที่ไปเปิดเส้นให้ยา เนื่องจากคนไข้สับสนจากภาวะพิษสุราเรื้อรัง

2.เราเคยเจอคนไข้ปาอุจจาระใส่แต่หลบทัน

3.เคยยกพลิกคว่ำคนไข้ชายน้ำหนัก 150 กิโลกรัม
เพื่อรักษาภาวะ ARDS โดยใช้พยาบาลผู้หญิงทั้งหมด 3 คน

4. เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งท้องแก่ เดินทั้งเวรเพื่อรักษาคนไข้ที่อาการวิกฤต แล้วน้องเลือดออกจนเกือบแท้ง 

5. เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งมีเนื้องอกในมดลูกเดินทำงานจนเป็นลม 

6.เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งมีซีสในรังไข่ เดินทำงานจนซีสแตก

7. ลูกน้องคนหนึ่งลาคลอด 3 เดือน ต้องกลับมาทำงาน คนไข้ก็ต้อง CPR นมก็ต้องปั๊ม กลับบ้านไปเลี้ยงลูกไม่ได้นอนจนเป็น bell 's palsy 

8.บางคนพ่อแม่ป่วยก็ไม่ได้กลับบ้านไปดูแล ทำงานอยู่กับความรู้สึกผิดเหล่านี้

9.เคยเจอคนไข้และญาติที่ไม่มีเงินกลับบ้าน พยาบาลต้องช่วยสนับสนุนค่าเดินทางในหลายครั้ง

10.เคยเจอคนไข้ที่เป็นคนเร่ร่อน มารับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตใน ICU พยาบาลคือญาติกลุ่มเดียวที่เขามีอยู่ในขณะนั้น ช่วยดูแลทางกายและเยียวยาจิตใจจนเขาจากไปอย่างสงบ ภายหลังการจากไปของคนไข้ พยาบาลได้ติดต่อทั้งสถานีตำรวจ สืบทะเบียนราษฎร์ ติดต่อหน่วยงานราชการท้องถิ่นด้วยตนเองจนได้พบญาติที่แท้จริงและได้นำศพคนไข้กลับไปบำเพ็ญกุศล

จริงๆ ในหลายๆ เรื่องที่พยาบาลได้ทำไม่ใช่แค่เพราะหน้าที่ที่ทำแล้วรับเงินเดือนแล้วจบ 
แต่คือสามัญสำนึกของการได้เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลกกันค่ะ 

หลายอย่างเรามีสิทธิ์ที่จะไม่พึงพอใจในบริการที่ได้รับ มีการด่าทอสนุกปากในสื่อออนไลน์ต่างๆ มีการทำร้ายร่างกายและจิตใจพยาบาลในหลายครั้ง และในหลายๆครั้งบางองค์กรมีการพูดคุยเจรจาให้ยอมความ เลยทำให้ผู้รับบริการหลายท่านไม่รู้ในสิทธิและหน้าที่ที่ควรให้เกียรติแก่กัน 

เราคือ หัวหน้าคนหนึ่งที่บอกกับลูกน้องว่าหากโดนทำร้ายร่างกายจากญาติหรือคนไข้ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนให้ดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่ต้องยอมความทุกกรณี เพราะหากไม่มีหน่วยงานไหนมาปกป้องสิ่งที่เราได้เสียสละไป เราควรจะถูกปกป้องโดยตัวของเราเอง 

-ขอเป็นกำลังใจให้กับพยาบาลทุกท่านที่ยังอยู่ในวิชาชีพนี้

-ยินดีกับพยาบาลหลายท่านที่ย้ายไปทำงานในประเทศที่วิชาชีพนี้ได้รับการให้เกียรติในการปฏิบัติงาน

-ขอบคุณคนไข้และญาติหลายๆท่านที่เข้าใจ เห็นใจและให้กำลังใจพยาบาลนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ

และท้ายนี้ขอขอบคุณวิชาชีพนี้ที่หล่อหลอมเราให้เป็นคนในมิติที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ...

Nurse is a work of heart.

‘ดร๊าฟ ดวงฤทธิ์’ ร่วมวงเสวนา!! ร่างพรบ.การศึกษา ชูนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’การศึกษาที่ตอบโจทย์!! ร่วมกับผู้แทนพรรคการเมืองอื่น ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 68) ณ.ห้องเดอะวัน โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ รัชดา จะมีการจัดเวทีเสวนา นโยบายสาธารณะ (Public Policy Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ ‘การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมเพื่อกำหนดทิศทางการศึกษาไทย: ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... ฉบับใหม่’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอวิสัยทัศน์และข้อเสนอเฉพาะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับผู้ปกครอง นักเรียน ครู และประชาชนทั่วไปที่สนใจในทิศทางการศึกษาของประเทศไทย

เวทีเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและเสนอแนะนโยบายสาธารณะ โดยมีผู้ร่วมเสวนา รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสฤษดิ์ บุตรเนียร พรรคภูมิใจไทย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ พรรคเพื่อไทย คุณปารมี ไวจงเจริญ พรรคประชาชน นางสาวณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 

สำหรับในช่วงของการตอบคำถามได้มีคำถามเกี่ยวกับสายอาชีวศึกษา ดร.ดร๊าฟได้กล่าวว่า 

“ผมเองก็จบอาชีวะมา พวกเราเข้าใจครับ ว่าหัวใจของการเรียนอาชีวะ คือการเป็นนักปฏิบัติที่ทำงานได้จริง ในสาขาความเชี่ยวชาญของตัวเอง ค่าเรียนช่างยนต์ ก็ต้องซ่อมเครื่องยนต์ได้ ทั้งเครื่องยนต์สันดาปและเครื่องยนต์ EV นี่แหละครับถึงเป็นส่วนสำคัญ ที่เราจะต้องแก้ในมาตรา 7 วงเล็บ 8 วงเล็บ 9 และมาตรา 8 ที่จะต้องให้ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการทำหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้น้องๆที่จบในสายอาชีวะได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและสังคม”

เวทีเสวนาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการร่วมกำหนดทิศทางการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตของเด็กและเยาวชนไทยทุกคน

‘พีระพันธุ์‘ ผู้ยื่นมือฉุดครอบครัว ’เรณู เนียนเถ้อ‘ จากฝันร้าย ช่วยพลิกคดีคืนอิสรภาพให้กับลูกชายของเธอที่ถูกกล่าวหาฆ่าคนตาย

เรื่องราวของ นางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้าน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูกชายวัย 17 ปี ที่ถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายและถูกตัดสินประหารชีวิต เธอได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนสามารถพลิกคดีและคืนอิสรภาพให้กับบุตรชายของเธอได้ในที่สุด

กรณีนี้ย้อนไปในปี 2553 เมื่อ ‘พีระพันธุ์’ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้านจาก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อขอความเป็นธรรมให้ นายอนุสรณ์ เนียนเถ้อ ลูกชายของเธอ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี และถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายเมื่อปี 2551 ก่อนถูกศาลชั้นต้นพิพากษาตัดสินประหารชีวิตในปี 2553 

เรณูพยายามช่วยลูกชายทุกวิถีทาง เพราะเธอเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูก และผิดหวังกับการทำงานของตำรวจที่ไม่ยื่นหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ที่จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายอนุสรณ์  

ในช่วงเวลานั้น เธอและครอบครัวมีความทุกข์มาก มีแต่ฝันร้าย เหมือนตายทั้งเป็น อีกทั้งยังถูกทนายความหลอกเงินเอาไปหลายแสนบาทเพื่อวิ่งเต้นคดี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2553 ระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ เรณูก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านให้ยื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ รมว.ยุติธรรม ซึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหลังจากนั้นแค่เพียงเดือนเดียว เธอก็ได้รับการติดต่อจากทีมงานของพีระพันธุ์ ซึ่งได้ประสานงานให้ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มาตรวจสอบคดี และร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานใหม่ โดยเฉพาะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยได้

แต่ระหว่างที่กำลังรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ อยู่นั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือประหารชีวิต นางเรณูจึงยื่นฎีกาคดีด้วยหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบเพิ่มเติม และในอีก 3 เดือนต่อมา ศาลฎีกาก็พิพากษายกฟ้องให้นายอนุสรณ์เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่ต้องถูกจำคุกเพื่อรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นเวลาถึง 4 ปี 9 เดือน

“กรณีที่สุราษฎร์ก็คือ ลูกชายถูกกล่าวหาว่าไปฆ่าคน แต่แม่เชื่อว่าลูกตัวเองบริสุทธิ์ เขาก็ต้องดิ้นรน แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน เมื่อเรื่องมาถึงผม ผมก็ตรวจสอบ เราก็พยายามเอาหน่วยงานของเราเข้าไปหาพยานหลักฐาน หาอะไรต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเขา การที่คนคนหนึ่งจะต้องถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำความผิด มันไม่ได้เป็นแค่ความทุกข์ใจของเขาเท่านั้น แต่มันเป็นความทุกข์ใจของครอบครัว มันอาจจะสร้างความเจ็บแค้น ความอาฆาตพยาบาท นำไปสู่การล้างแค้นกัน นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ อีกหลายอย่าง การที่เราจะช่วยใครสักคนคนหนึ่งนั้น มันไม่ได้เพียงแค่ช่วยใครหนึ่งคน แต่ผลที่ตามมามันจะเป็นการช่วยสังคม ช่วยชุมชนให้เกิดความสามัคคีปรองดอง เกิดความเข้าใจและรู้สึกถึงความเป็นธรรมในสังคมที่เขาอยู่กันได้ ผมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นธรรมในสังคม ความเหลื่อมล้ำ และการที่ไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของสิทธิต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการที่ช่วยให้คนออกจากความทุกข์ที่เขาไม่ได้ทำ” 

นี่คือ วิสัยทัศน์ของ ‘พีระพันธุ์’ ในการให้ความช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนด้วยความเชื่อมั่นว่า การช่วยคนหนึ่งคนก็จะเป็นการช่วยสังคมด้วยเช่นกัน

นราธิวาส-รองนายกฯ ควง ทักษิณ ทปษ.ประธานอาเซียน ลงพื้นที่ปลายด้ามขวาน ย้ำพัฒนา แก้ปัญหา ในมิติคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษา เพื่อความมั่นคงพื้นที่ในพื้นที่ และขอชาวไทยมุสลิม สู่รอมฎอนสร้างสันติ

(23 ก.พ. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี / ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายมิติ ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านศาสนา และด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รวมถึงประชาชนมารอต้อนรับ ณ สนามบินนราธิวาส

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะฯ ได้เปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคประชาชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลและผลักดันแนวทางการแก้ไขในระดับพื้นที่และระดับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาพื้นที่      รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ 

รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ (เวลา 10.00 น.) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ากราบนมัสการพระธรรมวัชรจริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา/ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 ณ วัดประชุมชลธารา (วัดสุไหงปาดี) ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยมีประชาชนในพื้นที่เดินทางมาต้อนรับ กว่า 2 พัน คน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระภิกษุสงฆ์และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส โดยก่อนการพบปะพูดคุยกับประชาชน คณะฯ ได้ร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ การแสดงรำหมอลำจากกลุ่มสตรีในพื้นที่ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ภายหลังการเยี่ยมเยียนและพบปะประชาชน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้กล่าวถึงแนวทางในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นภัยต่อสังคม โดยระบุว่า "ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ผมเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ ซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาคือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุย และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างสันติ การสื่อสารและความร่วมมือคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ"

จากนั้น คณะฯ มีกำหนดการเดินทางไปยังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง

รองนายกรัฐมนตรีนำคณะเยี่ยมโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่

ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง โดยมี ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูอาจารย์ ตลอดจนนักเรียน และบัณฑิตอาสา ร่วมให้การต้อนรับ
โอกาสนี้คณะฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนักเรียนและกิจกรรมแต่ละระดับชั้นที่ให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้พร้อมต่อยอดในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น จากนั้นคณะได้เข้ารับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคจากผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้นำศาสนา ข้าราชการ เพื่อเดินหน้าแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในพื้นที่พร้อมกันนี้ผู้แทนสถานศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มค่าตอบแทนครู บุคลากรทางศึกษา ซึ่งครูถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียน

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งว่า จังหวัดนราธิวาสมีหลายอย่าง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  และกลุ่มประเทศอาเซียน  เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง “เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาวขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของผู้ใหญ่อยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาของพื้นที่ส่วนเรื่องการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาในปัจจุบัน  การสร้างแรงจูงใจให้เด็กคือสิ่งที่เราต้องทำผมอยากเห็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน”

สำหรับอยากโรงเรียนสัมพันธ์วิทยาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญ มีนักเรียนทั้ง 3 ระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถามศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 2,020 คน มีบุคลากรทั้งหมด 150 คน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อให้เยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกและเป็นการเรียนรู้ที่พร้อมปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอิสลามและมีความเจริญก้าวหน้าทันต่อยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีอนาคตที่ดี เพื่อไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติให้มีความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป

ทักษิณลงปัตตานีหารือผู้นำศาสนาหาแนวทางใหม่ดับไฟใต้  นิรโทษกรรม VS คืนศักดิ์ศรี หรือแก้มาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคง

วันเดียวกัน 13.30 น. ที่ร.ร.สายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาปธ.อาเซียน พร้อมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รมต.ว่าการกระทรวงกลาโหมและพัน ต.อ ทวี สอดส่อง รมต.ว่าการยุติธรรม พร้อมคณะ ในโอกาสเป็นตัวแทนรัฐบาลเดินหน้าหาแนวทางแก้ปัญหาและการพัฒนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผวจ.ปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการ นายนิเดร์ วาบา บริหารสถานศึกษา ผู้นำศาสนา  ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและประชาชน นักเรียนให้การต้อนรับ กว่า1,000 คน  บรรยากาศเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม เด็กๆ นักเรียนทั้งหญิงและชายต่างขอถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างคับคั่ง

โดยการลงมาเยือนชายแดนใต้ครั้งนี้ มีวาระประเด็นสำคัญว่า มีแนวคิดอ้างอิงจาก "โมเดล 66/2523" ซึ่งเคยใช้แนวทาง "นิรโทษกรรม" ต่ออดีตผู้ก่อความไม่สงบในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะกลับมาใช้อีกครั้ง หรือไม่ ซึ่งกำลังดำเนินการทำรายละเอียด ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ย้ำว่าแนวทางใหม่นี้จะไม่ใช่การนิรโทษกรรมโดยตรง แต่จะมีหลักเกณฑ์ชัดเจน และใช้แนวคิด "การเมืองนำการทหาร" ในการดำเนินการ

โดยล่าสุด นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาประธานเลขาธิการอาเซียน ซึ่งส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซียที่ติดกับจังหวัดชายแดนใต้ของไทย คือปัญหาความไม่สงบ นายอันวาร์ อิบริฮิม หวังใช้โอกาสนี้ขยายฐานเสียงในพื้นที่พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐที่ติดกับชายแดนไทยด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้ยังถูกจับตาว่า นายทักษิณ อดีตนายกฯ ต้องการรักษาฐานเสียงของพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ชายแดนใต้ด้วย ท่านได้พบปะหารือกัน มีการแลกเปลี่ยน พูดคุยก่อนรับฟังข้อเสนอ และได้กล่าวว่า

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า วันนี้ยินดีมากที่ได้กลับมา พบกับท่านนิเดร วาบา เพื่อนเก่า ผมเคยมาที่นี้ 20 กว่าปีที่แล้ว และออกไปอยู่ในตะวันออกกลางและในหลายประเทศ เข้าใจพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ผมได้โอกาสได้ฟังความคิดเห็นิหารือจากเพื่อนๆต่างประเทศมานานแล้วต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอื่นๆ ทั้งความรุนแรง ผมสมัยเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เคยทำงานอาจจะใจร้อน มีข้อผิดพลาดบ้าง ก็ขอกราบขอโทษทุกๆท่านมา ณที่นี้

ตอนนี้เหตุการณ์สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว เราคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทรัพยากร และมีศักยภาพพัฒนาไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้ การพูดคุยสันติสุข สมัยนายกปู นายกยิ่งลักษณ์   ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือและริเริ่ม เข้าลงไปช่วยอยู่บ้าง ซึ่งได้คุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ว่าทุกคนอยากกลับบ้านของตนเอง ตอนนี้ผมกลับบ้านได้แล้ว แต่อีกหลายๆคนยังไม่ได้กลับ ต้องถึงเวลสที่ผมมาช่วยให้ทุกคนได้กลับบ้านด้วยเช่นกัน และในโอกาสอีกไม่กี่วัน พี่น้องมุสลิมจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนแล้ว ขอให้ทุกคนได้ทำบุญ ทำกุศล เข้าทำความดีสู่เดือนรอมฎอนด้วยสันติ พระเจ้าทรงรับผลงามความดีของทุกๆท่าน ผมขอสันติสุขแก่พี่น่องมุสลิม ณที่นี่ และทั่วประเทศด้วยขอบคุณครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top