Friday, 4 July 2025
NEWS

เพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ โพสต์ข้อความกรณี ‘nailname’ รับพูดเท็จ ‘สนธิ’ ออกมาไล่ ‘ทักษิณ’ เพราะไม่ให้ยืมเงิน

(17 พ.ค. 68) เพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ยูทูบเบอร์ nailname ขอโทษ 'สนธิ' รับพูดเท็จ สนธิ ออกมา 'ไล่ทักษิณ' เพราะไม่ให้ยืมเงิน

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ถูกขบวนการเฟคนิวส์ ตัดต่อภาพ ทำคลิปโฆษณาอาหารเสริมแก้เบาหวาน

(17 พ.ค. 68) นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สูตินรีแพทย์ชื่อดัง ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเฟคนิวส์ หลังจากมีการนำภาพของท่านไปตัดต่อเป็นวิดีโอเพื่อโฆษณาขายอาหารเสริมแก้เบาหวาน สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน

ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการนำภาพของนายแพทย์ตุลย์ขณะพูดในงานหนึ่ง มาตัดต่อใส่ข้อความและเสียงที่กล่าวอ้างถึงสรรพคุณของอาหารเสริมแก้เบาหวาน สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของท่านและทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวาน

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ชี้แจงว่า ท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และขอให้ประชาชนระมัดระวังข่าวปลอมที่ใช้ชื่อและภาพของท่านเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า ทั้งนี้ ท่านยังเน้นย้ำว่า การรักษาโรคเบาหวานควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ ไม่ใช่อาหารเสริมที่ไม่มีการรับรองทางการแพทย์

ประชาชนที่พบเห็นวิดีโอนี้ โปรดอย่าหลงเชื่อ หากเป็นเบาหวาน ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานต่อไป

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ เตือน!! ระวังภัยซ่อนเร้นจากโต๊ะเจรจาการค้า ชี้!! เกษตรกรไทย อาจถูกตีซ้ำสอง ทั้งจากจีน และสหรัฐอเมริกา

(17 พ.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง 'กระดูกสันหลังหักแน่' ระบุว่า …

น่ากลัว การเจรจาเรื่องภาษีที่ไทยกำลังเจรจากับสหรัฐ อย่ายอมเปิดตลาดไทยให้สินค้าเกษตรอเมริกันแบบอ้าซ่า โดยไม่มีเงื่อนไขเด็ดขาด

สินค้าเกษตรอเมริกันอาจมีปัญหาจีเอ็มโอ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม อาจเป็นผลร้ายต่อผู้บริโภคชาวไทยแต่ประการสำคัญ สินค้าเกษตรจากอเมริกาจะดั๊มตลาดไทย จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและรัฐบาลก็ไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ เกษตรกรจะเจอสึกสองด้นทั้งจีนและอเมริกา

สินค้าอีกตัวที่เข้ามาได้คือเนื้อหมูที่อเมริกาอยากให้เราเปิดตลาดมานานแล้ว ปัจจุบันก็มีการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูชำแหละเข้าประเทศอยู่แล้ว คนเลี้ยงหมูตายแน่คราวนี้

เกษตรกรที่ถูกเชิดชูเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม คงมีอยู่แต่ในเนื้อเพลง แต่เกษตรกรตัวจริงหลังหักไปแล้ว

สบส. จัดประชุมยกระดับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ในสถานพยาบาลรัฐ และเอกชน 241 แห่งทั่วไทย

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมยกระดับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สถานพยาบาล 241 แห่งทั่วไทย พร้อมเดินหน้าพัฒนาร่างกฎหมายอุ้มบุญ ฉบับ 2 พัฒนาแนวทางการขอรับบริการเพื่อให้รองรับกลุ่มสมรสเท่าเทียม

เมื่อวันที่ (14 พ.ค.68) ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์จากข้อกําหนดของกฎหมายสู่การปฏิบัติ (IVF/IUI) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” โดยมีบุคลากรของสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 241 แห่งทั่วประเทศ เข้าร่วมทั้งออนไซต์ และออนไลน์

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดฯว่า ปัจจุบัน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2559 ได้มีผลบังคับใช้มากว่า 9 ปี โดยสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ กว่า 7,500 ล้านบาท มีอัตราความสำเร็จในการให้บริการตั้งครรภ์ เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 52 มีการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กว่า 20,000 รอบการรักษา และมีการผสมเทียม (IUI) กว่า 12,000 รอบการรักษา ซึ่งถือเป็นหลักฐานของความก้าวหน้า และความสำเร็จของการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของไทยที่ไม่เป็นรองชาติใดๆ ดังนั้น เพื่อการยกระดับบริการ เพิ่มศักยภาพในการให้บริการทั้งคนไทยเละต่างชาติ การคุ้มครองผู้บริโภค จวบจนดึงดูดผู้รับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ จากต่างชาติเข้าสู่ประเทศ จึงเป็นที่มาของการจัดการประชุมในครั้งนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้สถานพยาบาลที่ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ทั้งในกลุ่มสถานพยาบาลรายเดิมและกลุ่มสถานพยาบาลที่ให้บริการ IUI รายใหม่ทั่วประเทศ มีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการให้บริการตามที่กฎหมายกำหนด และสามารถดำเนินการตามระบบฐานข้อมูลในรูปโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ICMART) ซึ่งจะนำไปสู่การได้มาของข้อมูลภาพรวมของประเทศและนำไปวิเคราะห์ข้อมูล กำหนดนโยบายการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ของประเทศ 

ทันตแพทย์อาคมฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า และนอกจากการพัฒนาบุคลากรแล้ว การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ โดย กรม สบส. จึงได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนากฎหมาย (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ....โดยมีประเด็นในการปรับแก้กฎหมายแม่บท อาทิ การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติฯ การกำหนดให้มีพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการเฉพาะ การขอรับบริการเพื่อให้รองรับกลุ่มสมรสเท่าเทียม การเพิ่มกลุ่มผู้รับบริการตั้งครรภ์แทนในกลุ่มชาวต่างชาติ และการส่งออกซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อนของผู้เป็นเจ้าของเซลล์สืบพันธุ์ เป็นต้น โดยอยู่ในระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการต่อไป 

'รมว.สุดาวรรณ' เผยไทยปลื้มหนัง 'ผีใช้ได้ค่ะ' (A Useful Ghost) ได้รับคัดเลือกเข้าประกวดในสาย Critics’ Week (Semaine de la Critique) ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

'รมว.สุดาวรรณ' เผยไทยปลื้มหนัง 'ผีใช้ได้ค่ะ' (A Useful Ghost) ได้รับคัดเลือกเข้าประกวดในสาย Critics’ Week (Semaine de la Critique) ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เผยหนังเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอน Post-production กรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมร่วมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงศักยภาพ และขยายความร่วมมือด้านภาพยนตร์อย่างรอบด้าน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.68) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency : THACCA) เดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่เวทีระดับนานาชาติ โดยเข้าร่วม เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 78 (Cannes Film Festival 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 24 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีกิจกรรมไฮไลต์ ได้แก่ “A Sit-down Lunch Talk” การพบปะแบบกึ่งทางการระหว่างตัวแทนจากคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กับผู้ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก เช่น ผู้บริหารเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ผู้อำนวยการองค์กรส่งเสริมภาพยนตร์ และผู้กำหนดนโยบายด้านวัฒนธรรมจากหลากหลายประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับนานาชาติ อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญคือ “Thai Pitching” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยนำเสนอแนวคิดและโครงการภาพยนตร์ต่อกลุ่มนักลงทุน ผู้ร่วมผลิต และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จากต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ Thailand Pavilion No.112 โดยมีการคัดเลือก 3 โปรเจกต์เด่น ได้แก่ “ผีเงือก” ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์บันเทิงคดี และ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” กับ “ทางของแสง” ที่ได้รับทุนพัฒนาบทภาพยนตร์

นางสาวสุดาวรรณฯ กล่าวต่อว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลก กระทรวงวัฒนธรรมยังสนับสนุนการเข้าร่วม “Producers Network – Spotlight Session” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้โปรดิวเซอร์ไทยจำนวน 5 ราย ที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม Thai Pitch และผู้ได้รับทุนผลิต เข้าร่วมสร้างเครือข่ายกับโปรดิวเซอร์นานาชาติ โดยกิจกรรมนี้เป็นเวทีสำคัญในการเจรจาความร่วมมือ และขยายตลาดภาพยนตร์ไทยไปยังระดับสากล อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการสนับสนุน ผู้ได้รับทุนผลิตสื่อคุณภาพ ทั้งในหมวดภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน รวม 8 โปรเจกต์ (โปรเจกต์ละ 2 คน) ให้เข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เพื่อเปิดโลกทัศน์ของผู้สร้างสรรค์ไทย และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก และยังมีการจัดสัมมนา THACCA Launch in Cannes ณ เวที Panel ในตลาด Marché เพื่อเผยแพร่บทบาทของ THACCA ในการผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์นโยบายด้าน Soft Power ของประเทศต่อผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมระดับนานาชาติ อันเป็นเวทีที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะแหล่งผลิตคอนเทนต์คุณภาพ ในช่วงท้ายของเทศกาลยังมีการจัด Thailand Reception ณ Thailand Pavilion เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้พบปะ พูดคุย และแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงธุรกิจกับผู้ร่วมงานจากนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้ร่วมผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้แทนองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญในการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในอนาคต 

“ในครั้งนี้นับเป็นข่าวดีของวงการภาพยนตร์ไทยที่สร้างความภาคภูมิใจ คือ ภาพยนตร์เรื่อง “ผีใช้ได้ค่ะ” (A Useful Ghost) กำกับโดย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค หรือ “อุ้ย” ได้รับคัดเลือกเข้าประกวดในสาย Critics’ Week (Semaine de la Critique) ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในรอบ 10 ปี ที่ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมสายการประกวดนี้ โดยผลงานจากบริษัท 185 ฟิล์มส์ จำกัด เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอน Post-production จากกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในการขยายตลาดสู่ระดับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นบทพิสูจน์ถึงพลังของ Soft Power ไทยที่สามารถสร้างโอกาส สร้างชื่อเสียง และสร้างความภาคภูมิใจบนเวทีโลก” นางสาวสุดาวรรณ กล่าว 

ทั้งนี้  “A Useful Ghost” (ผีใช้ได้ค่ะ) เป็นภาพยนตร์ไทยแนวเสียดสีสังคมที่กำกับโดย รัชภูมิ บุณยฤทธิ์โชค ได้รับการสนับสนุนในขั้นตอนการพัฒนาบทภาพยนตร์จาก สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และได้รับการสนับสนุน ในขั้นตอนหลังการผลิต (Post-production) จาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชันไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ 

A Useful Ghost ได้รับเลือกให้ประกวดในสาย Critics' Week (Semaine de la Critique) ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2025 (ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้เข้าฉายในสาย Critics' Week ซึ่งมุ่งเน้นผลงานของผู้กำกับหน้าใหม่) ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมผลิตระหว่างประเทศไทย, สิงคโปร์, ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กร รวมทั้งได้รับทุนจาก Infocom Media Development Authority (IMDA) ของสิงคโปร์ และรางวัล Open Doors Award จากเทศกาลภาพยนตร์โลการ์โน A Useful Ghost ได้รับรางวัล Runner-up จากการประกวด SEAPITCH 2020 (Bangkok ASEAN Film Festival 2020 จัดโดยกองภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

สวทท. ร่วมกิจกรรมในหลักสูตร The Media 6 พัฒนาศักยภาพการใช้สื่อสำหรับผู้บริหารระดับสูง เชื่อมโยงการสื่อสารไร้ขีดจำกัด 

นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  พร้อมด้วยนายสมชาย จรรยา อุปนายกฝ่ายโทรทัศน์และสื่อดิจิทัล และนางพรทิพย์ เอ็งสุวรรณ์ กรรมการฝ่ายประชาสัมัพันธ์ สวทท. ร่วมกิจกรรมในหลักสูตร The Media 6 พัฒนาศักยภาพการใช้สื่อสำหรับผู้บริหารระดับสูง เชื่อมโยงการสื่อสารไร้ขีดจำกัด สู่อนาคตที่ไม่สิ้นสุด โดยมี ดร.ธีรพล มั่นพิริยะกุล ผู้อำนวยการหลักสูตร ฯ วิทยากรพิเศษ และผู้เข้าสัมมนาจากหลากหลายอาชีพ ร่วมกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานและมีสาระ ณ Gaysorn Urbon Resort ชั้น 19 วานนี้ (13 พ.ค.68)

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัด K-8 เมียนมา บิดเฉียดเขตไทย!!..ก่อนเปลี่ยนทิศออกจากชายแดน

(16 พ.ค.68) เวลา 12.31 น. หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศของไทยตรวจพบอากาศยานทหารเมียนมาแบบ K-8 จำนวน 1 ลำ บินเข้าใกล้แนวชายแดนบริเวณ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี กองทัพอากาศจึงดำเนินการตามระเบียบโดยการส่งสัญญาณแจ้งเตือนผ่านคลื่นฉุกเฉิน (On Guard) พร้อมสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำจากกองบิน 4 ตาคลี ขึ้นบินสกัดและแสดงศักยภาพเชิงป้องปรามทันที

ต่อมาเวลา 12.48 น. เครื่องบิน K-8 ดังกล่าวได้เปลี่ยนทิศออกจากเขตแดนไทย โดยไม่มีพฤติกรรมล้ำอธิปไตยหรือคุกคามความมั่นคงแต่อย่างใด พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อเวลา 13.30 น. ว่าการปฏิบัติครั้งนี้เป็นไปตามแผนการเฝ้าระวังน่านฟ้าอย่างเข้มงวด ซึ่งกองทัพอากาศย้ำว่าความมั่นคงทางอากาศเป็นภารกิจหลักที่ดำเนินการต่อเนื่อง

ทั้งนี้ K-8 หรือ 'คาราโครัม-8' เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นขั้นสูงและโจมตีเบา ผลิตร่วมโดยจีนและปากีสถาน ซึ่งกองทัพอากาศไทยยังคงจับตาพฤติกรรมของอากาศยานทุกประเภทที่เข้าใกล้ชายแดน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ประชาชน

เปิดรายชื่อ 17 ผู้ต้องหา คดีตึก สตง. ถล่ม ‘เปรมชัย’ พร้อมทีมวิศวกรเข้ามอบตัวแล้ว

(16 พ.ค. 68) จากกรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ล่าสุดตำรวจนครบาลออกหมายจับผู้ต้องหา 17 ราย ในคดีอาญาที่ 621/2568 สน.บางซื่อ ฐานเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเหมาะสม จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงชีวิต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238

รายชื่อผู้ต้องหา 17 คน ประกอบด้วย 1.นายสุชาติ อายุ 64 ปี  2.นายพิมล อายุ 85 ปี 3.นายธีระ อายุ 59 ปี 4.นายสุพล อายุ 51 ปี 5.นายชัยณรงค์ อายุ 43 ปี 6.นายอภิชาติ อายุ 38 ปี 7.นายปฏิวัติ อายุ 53 ปี 8.นายกฤตภัฏ อายุ 51 ปี 9.นายพลเดช อายุ 56 ปี 10.นางปราณีต อายุ 63 ปี 11.นายสมชาย อายุ 59 ปี 12.นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 71 ปี 13.นางนิจพร อายุ 73 ปี 14.นายชวนหลิง จาง อายุ 42 ปี (ชาวจีน) 15.นายเกรียงศักดิ์ อายุ 65 ปี 16.นายอนุวัฒ อายุ 54 ปี และ 17.นายธิปัตย์ อายุ 43 ปี

ล่าสุดเช้าวันนี้ (16 พ.ค.) นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมทนายความได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ตามด้วยผู้ต้องหารายอื่น เช่น นายเกรียงศักดิ์ และนายพิมล รวมกว่า 10 รายที่ทยอยเข้าพบตำรวจตามหมายจับ

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบสวนปากคำผู้ต้องหา และคาดว่าจะนำตัวทั้งหมดส่งฟ้องต่อศาลอาญาในช่วงบ่ายวันนี้ตามขั้นตอนกฎหมาย

อาคารเพิ่งสร้างเสร็จ 2 ปี ถล่ม! ที่นิคมอมตะซิตี้ เร่งพิสูจน์สาเหตุ…หลังมีคนเจ็บ 1 รถพังเสียหายอื้อ

(16 พ.ค. 68) เมื่อเวลา 12.00 น. เกิดเหตุอาคารภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี พังถล่ม ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย และรถยนต์เสียหายจำนวน 24 คัน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทอง พร้อมนายอำเภอและฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ทราบชื่อผู้บาดเจ็บคือ น.ส.กนกพรรณ (สงวนนามสกุล) เบื้องต้นพบว่าอาคารดังกล่าวเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จมานานกว่า 2 ปี พนักงานให้ข้อมูลว่าไม่ทราบสาเหตุของการถล่ม เพียงเห็นว่าเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินมูลค่าความเสียหาย และรอผลตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการถล่มในครั้งนี้ต่อไป

Chery ผนึก KGEN ปั้นแบรนด์รถยนต์ ‘EV สัญชาติไทย’ หนุนเทคโนโลยี-ชิ้นส่วนในประเทศ ดันไทยสู่ผู้นำยานยนต์อาเซียน

(16 พ.ค. 68) Chery และ Omoda & Jaecoo ภายใต้บริษัท Chery Automobile ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท คิง เจน จำกัด (มหาชน) หรือ KGEN ในการพัฒนาแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวง อว., สวทช. และกระทรวงพาณิชย์ มุ่งผลักดันเทคโนโลยี EV และการใช้ชิ้นส่วนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ สร้างโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก พร้อมชูจุดเด่นด้านคุณภาพ ราคาจับต้องได้ และข้อได้เปรียบทางภาษีจากสถานะ ‘รถยนต์สัญชาติไทย’

ภายในงาน 'Next Era Mobility: TECH DAY' Chery ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่ CHS และ SHS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5T GDI ประสิทธิภาพความร้อน 44.5% ระบบส่งกำลัง DHT และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการจัดการพลังงานล้ำสมัย ลดการใช้พลังงานลงสูงสุดถึง 15% และกู้คืนพลังงานจากเบรกได้ถึง 80%

ทั้งนี้ Chery และ Omoda & Jaecoo เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่หลายรุ่นในปีนี้ ทั้ง JAECOO 5 EV, 6T EV, OMODA C7 SHS และ C9 SHS พร้อมโปรโมชั่นราคาจับต้องได้และการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ 'Mr.J' เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่

สำหรับด้านการผลิต Chery ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท สร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในระยอง บนพื้นที่ 104 ไร่ พร้อมเดินสายการผลิตไตรมาส 3 ปี 2568 เริ่มที่ JAECOO 6 EV เป็นรุ่นแรก ตั้งเป้าผลิต 80,000 คันต่อปีภายในปี 2571 เพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกสู่ตลาดภูมิภาค

หลักฐานมัด ‘ทิดแย้ม’ พัวพันขบวนการฟอกเงินเว็บพนัน ใช้พระมหาโอนเงินเข้าบัญชีสีกา เงินหมุนเวียน 800 ล้าน!!

(16 พ.ค. 68) ‘ทิดแย้ม’ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พัวพันคดีฟอกเงินเว็บพนัน LAGALAXY911 ร่วมกับสีกาคนสนิท ‘น.ส.อรัญญาวรรณ’ โดยใช้พระมหารูปหนึ่งโอนเงินหลายสิบล้านเข้าสู่บัญชีของหญิงสาวผ่านตู้ฝากเงินอัตโนมัติ ตามคำสั่งของอดีตเจ้าอาวาส

เบื้องต้นพบเส้นทางการเงินโยงไปยัง 3 บริษัทนอมินี ใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินกว่า 800 ล้านบาท ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยมีการหมุนเงินผ่านบัญชีน.ส.อรัญญาวรรณมากกว่า 180 ล้านบาท ทั้งรับและโอนต่อหลายรอบ รวมถึงบัญชีอื่นที่เชื่อว่าใช้รับผลประโยชน์จากเว็บพนัน

จากการสอบสวนพบคลิปส่วนตัวของ น.ส.อรัญญาวรรณ กำลังอาบน้ำในมือถือของทิดแย้ม รวมถึงคำให้การว่าเคยขอยืมเงินตั้งแต่ปี 2564 โดยครั้งแรกยืมเงินเป็นจำนวนมหาศาลถึง 40 ล้านบาท อ้างว่าจะนำไปลงทุน และมีการปรึกษาผ่านทางวิดีโอคอลมาโดยตลอด ซึ่งมีพระลูกวัดเป็นผู้นำเงินไปฝากแทน

ขณะนี้ พระมหาผู้เกี่ยวข้องได้ลาสิกขาและหลบหนี หลังศาลอาญาออกหมายจับฐานร่วมจัดให้เล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว พร้อมขยายผลความเชื่อมโยงทั้งหมดในเครือข่ายฟอกเงินพนันออนไลน์ดังกล่าว

จเรตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 กำชับการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหารือกับทัพเรือภาคที่ 2 ในความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และน้ำมันเถื่อน

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม./ผอ.ศปนม.) ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 และ พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน รองผู้บังคับการกองการสอบ 

โดยวานนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ประชุมสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อสั่งการและกำชับการปฏิบัติในงานจเรตำรวจ , ศปอส. , ศตคม. และ ศปนม. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา โดยได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทาง 15 นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกระดับ ทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง สอบถามและตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม

จากนั้นเวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ และคณะ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมกับฝ่ายทหาร โดยมี พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล (รน.) ผบ.ทรภ.2/ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปรีชา รัตนสำเนียง รอง ผบ.ทรภ.2 , พล.ร.ต.โชคชัย เรืองแจ่ม ผบ.ฐท.สข.ทรภ.2 , พล.ร.ต.อิทธิพัทธ์ กวินเฟื่องฟูกุล รอง ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.มรุเดช บุญนิตย์ ผอ.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปนิธาน สิทธิโยธาคาร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน กองทัพเรือ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อหารือใน 3 ประเด็น ได้แก่

1. กรณีการค้ามนุษย์ : ประเทศไทยอยู่ในระดับ tier 2 ถ้ามีการโดนลดระดับจะมีผลในเรื่องการส่งออกของประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทัพเรือภาคที่ 2 นอกจากมีการตรวจเรือประมงแล้ว ให้พิจารณาตรวจเรือขนส่งในระยะใกล้ หรือเรือต่าง ๆ ป้องกันเหตุผิดกฎหมาย เหตุการณ์ที่นำเด็กไปล่วงละเมิดทางเพศบนเรือขนส่งในทะเล

2. กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยในส่วนของทัพเรือภาคที่ 2 ขอให้ประสานในเรื่องการตรวจบุคคลที่ลักลอบเข้าเมืองทางทะเล รวมไปถึงสิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไปสนับสนุนในการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

3. กรณีน้ำมันเถื่อน : ขอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกองทัพเรือในการประสานงานทุกมิติในการปฏิบัติงานเรื่องน้ำมันเถื่อน

จากนั้นเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ โดยมี พ.ต.อ.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา ผู้กำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ให้การต้อนรับ จเรตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด

ผบ.ตร. เปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(16 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้เข้าร่วมสัมมนาระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป หรือเทียบเท่า จากส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 10 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 , ส่วนสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 7 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และส่วนการศึกษา 2 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการศึกษา และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รวมจำนวน 185 นาย พร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

โครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกผู้สัมมนาให้เกิดความรัก ความหวงแหน พรัอมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของไทย อันได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีทัศนคติที่ดี รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถวายความปลอดภัยและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้สัมมนา พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างกลไกการปฏิบัติงานร่วมกัน ตลอดจนสามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปต่อยอด ขยายผล เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างถูกต้อง โดยมี นายกองเอก ธารณา คชเสนี วิทยากรประจำศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และนายหมวดไท น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ วิทยากรพิเศษ กอ.รมน.ภาค 2 ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับในวันนี้ เป็นเรื่องราวและข้อมูลความจริงที่สำคัญ ที่ทุกท่าน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้รับฟังเพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าในความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ข้าราชการไทย ที่มีความรักและหวงแหน จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นและถูกร้อยเรียงเรื่องราว ส่งผลมายังสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน การได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงของอดีตและปัจจุบัน จะช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสม ปกปักรักษาไว้เพื่อชนรุ่นหลังในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ขอให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย และนำไปขยายเผยแพร่กับผู้ใต้บังคับบัญชาและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องต่อไป

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนผู้ใช้ป้ายทะเบียนรถผิดกฎหมาย ดัดแปลงป้าย เสี่ยงโทษหนัก

(16 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งมีการใช้รถที่ติดป้ายทะเบียนไม่ถูกต้อง ดังปรากฏในคลิปวิดิโอที่เผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ไม่สามารถมองเห็นชื่อจังหวัดได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ใช้มาตรการเชิงแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่ดำเนินคดี พร้อมให้ผู้ขับขี่แก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ลดความขัดแย้งบนท้องถนน และยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกต้อง เช่น ตัวอักษรจาง ตัวอักษรเลอะเลือนใช้กรอบป้ายทะเบียนที่บดบังข้อมูลสำคัญ หรือติดตั้งกันชนหน้า/หลัง แล้วปิดบังข้อความบนแผ่นป้ายทะเบียน เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ย้ำว่า การไม่ติดป้ายทะเบียนให้เห็นชัดเจน หรือปล่อยให้เลือนลางจนไม่สามารถอ่านได้ ถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากมีการใช้กรอบป้ายที่บดบังตัวอักษร เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 7 มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนให้สามารถมองเห็นได้โดยสะดวก และต้องไม่มีการปิดบังหรือทำให้แผ่นป้ายชำรุด

อีกกรณีที่น่าเป็นห่วงคือ การปลอมแปลง หรือดัดแปลงป้ายทะเบียน เช่น การใช้ตัวเลขหรืออักษรที่ผิดจากทะเบียนจริง การทำเลียนแบบ หรือการแก้ไขข้อมูล ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 60 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมแปลงหรือใช้แผ่นป้ายทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท และหากมีการใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว ยังอาจถูกดำเนินคดีเพิ่มตาม มาตรา 268 ฐานใช้เอกสารปลอมอีกด้วย

หากประชาชนพบว่าป้ายทะเบียนรถของตนมีสภาพชำรุด สูญหาย หรือซีดจางไม่ชัดเจน ขอให้รีบดำเนินการขอเปลี่ยนแผ่นป้ายใหม่โดยเร็ว โดยสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งพื้นที่ใกล้บ้าน พร้อมแนบเอกสาร ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ ,สำเนาทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ส่วนกรณีป้ายทะเบียนสูญหาย ต้องมีใบแจ้งความจากสถานีตำรวจแนบประกอบด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน และเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งลดความเสี่ยงหากมีผู้ไม่หวังดีนำป้ายทะเบียนไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีป้ายทะเบียนที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม หากรถเกิดอุบัติเหตุหรือหลบหนีการกระทำผิด การอ่านทะเบียนได้ชัดเจนถือเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือหรือจับกุมผู้กระทำผิด

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุผิดปกติ ต้องการสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผอ.ศปป.3 กอ.รมน. เป็นประธานพิธีปิดการอบรมเสริมแกร่งเครือข่ายต้านอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ขอนแก่น

ขอนแก่น- เมื่อวานนี้ (15 พ.ค.68) ที่โรงแรมแก่นนคร โฮเต็ล อำเภอเมืองขอนแก่น พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.3 กอ.รมน.) ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิดการอบรมพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13–15 พฤษภาคมที่ผ่านมา

การอบรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวน 90 คน ประกอบด้วยสมาชิกอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อผศ.) ผู้นำชุมชน และประชาชนจากพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดขอนแก่น โดยมีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการตระหนักถึงภัยคุกคามจากอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายภาคประชาชนที่สามารถร่วมมือกับภาครัฐในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พลโท ชนินทร์ กล่าวแสดงความชื่นชมต่อผู้เข้าร่วมทุกคนที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการร่วมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำว่า “เครือข่ายภาคประชาชนถือเป็นด่านหน้าในการรับรู้สถานการณ์และแจ้งเตือนภัยในชุมชน หากประชาชนเข้มแข็ง เจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

จากการอบรม พบว่าผู้เข้าร่วมมีความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สามารถประยุกต์ใช้ทักษะและองค์ความรู้ในการป้องกันและรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ของตนอย่างเหมาะสม ถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้าง 'ชุมชนปลอดภัย' ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top