Saturday, 26 April 2025
NEWS FEED

‘หมอทศพร’ อวยยศโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ เจ็บป่วยเล็กน้อยรับยาใกล้บ้านไม่ต้องไปโรงพยาบาล

(1 มี.ค.68) นายแพทย์ ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า บัตรประชาชนแทนบัตรเครดิต ซื้อยาไม่ต้องจ่ายสตางค์ 

“ขออลั่มมิลค์ (ยาลดกรดในกระเพาะ) ขวดหนึ่งครับ”
เภสัชกรเดินไปหยิบยาให้ผม

ผม ล้วงกระเป๋า หยิบแบงค์ 100 ขึ้นมา 
แล้วผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่าง

“ที่นี่ มี 30 บาทรักษาทุกที่หรือเปล่าครับ”
” มีค่ะ “
น้องเภสัชกรตอบผม
“ถ้างั้นใช้เลยครับ”

ผมเก็บแบงก์ 100 ใส่กระเป๋า ควักบัตรประชาชนส่งไปแทน
น้องหยิบบัตรประชาชนผม ไปเสียบที่เครื่อง
“ปวดท้องยังไงคะ”
“น้ำหนักตัวเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่คะ”
“มีโรคประจำตัวอะไรบ้างมั้ยคะ”
“แพ้ยาอะไรบ้างมั้ยคะ”
“อันนี้ยาลดกรดในกระเพาะ”
“อันนี้ยาแก้ท้องอืด”

น้องส่งยาน้ำให้ผมขวด ยาเม็ดอีก 2 แผง

“ขอเบอร์โทรศัพท์ด้วยค่ะ โทรไปแล้วรับด้วยนะคะ จะโทรไปถามอาการ ถ้าไม่ดีขึ้น ต้องไปพบแพทย์นะคะ” (ผมแอบยิ้มในใจ จะไปพบแพทย์ที่ไหนดีนะ)

ผมยกขวดยาขึ้นดื่ม รู้สึกเย็นวาบเข้าไปในกระเพาะ วันนี้มีความสุข เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี ที่ได้ยาโดยไม่ต้องจ่ายสตางค์

30 บาทรักษาทุกที่ จงเจริญ รักนะครับ เจ็บป่วยเล็กน้อยไม่ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ ไปร้านขายยา ที่มีป้าย “ 30 บาทรักษาทุกที่ ” ครับ

‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ไฮโซชื่อดังได้เลื่อนขั้นเป็น รองผู้กำกับ พร้อมติดยศ ‘พันตำรวจโท’ ตามโผโยกย้ายข้าราชการตำรวจปี 67

(1 มี.ค.68) เว็บไซต์กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ระดับ 'รอง ผบก.-สว.' วาระประจำปี 2567 โดยมีผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น และโยกสลับระนาบเดียวกัน กว่า 4,000 ตำแหน่ง

โดยบัญชีแนบท้ายคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 124/2568 ลงวันที่ 28 ก.พ. 2568 ลำดับ 137 ปรากฏชื่อ พ.ต.ท.สงกรานต์ เตชะณรงค์ สว.(ปฏิบัติงาน กอ.รมน.) สกพ. ได้เลื่อนเป็น รอง ผกก.(ปฏิบัติงาน กอ.รมน.) สกพ.

สำหรับ สงกรานต์ ไฮโซชื่อดัง อดีตสามี แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ปัจจุบันเป็นแฟน มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ

เมื่อเดือนตุลาคม 2554 สงกรานต์ ได้โอนย้ายจากทหารเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจ ในตำแหน่งรองสารวัตรกองการเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อมาในปี 2556 ได้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ (รอง สว.ฝผ.บก.ป.) ที่ กองปราบปราม ก่อนจะย้ายไปเป็นรองสารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปรามกระทั่งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 สำนักงานกำลังพลมีคำสั่งให้ สงกรานต์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจ กองบังคับการฝึกอบรมตำรวจกลาง (บก.ฝรก.) ที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ในปี 2563 มีรายงานว่า สงกรานต์ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น สารวัตร หลังปรากฏชื่อ ว่าที่ พ.ต.ต.สงกรานต์ เตชะณรงค์ สว.(ปฏิบัติงาน กอ.รมน.) สกพ. เข้าอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (หลักสูตร กอส.) รุ่นที่ 45 แต่ไม่ได้เข้าเรียน

กระทั่งในเดือนตุลาคม 2564 สงกรานต์ ได้เข้ารับการอบรม กอส.รุ่น 47 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และจบหลักสูตร เป็นนายตำรวจสัญญาบัตรอย่างสมบูรณ์

‘ดร.เอ้ สุชัชวีร์’ เผยภาพประทับใจ บัณฑิตแพทย์ก้มกราบเท้าแม่ สุดภาคภูมิใจได้ร่วมสร้างแพทย์รักษาคนไข้ แถมได้คนดีให้สังคมไทย

(1 มี.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "บัณฑิตหมอ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก้มกราบแม่ ในวันรับปริญญา เห็นแล้วน้ำตาซึม" 'พี่หมอน้อย' ศาสตราจารย์ นายแพทย์อนันต์ ศรีเกียรติขจร คณบดีผู้ก่อตั้ง คณะแพทยศาสตร์ พระจอมเกล้าลาดกระบัง ส่งรูปนี้ให้ผม พร้อมเล่าเรื่องของศิษย์รัก ด้วยความภูมิใจ

'คุณหมอเลขเก้า' หรือ นายแพทย์ภูธน ทรัพย์บรรจง ก้มลงกราบแม่แนบพื้น หลังเข้ารับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต (Doctor of Medicine) เกียรตินิยมอันดับ 1 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และยังเป็น 'หมอพระจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 1' เป็นภาพที่ทุกคนได้เห็น รวมทั้งผม 'น้ำตาซึม'

"การกราบพ่อแม่" และผู้มีพระคุณ คือ Soft Power คือ พลังอำนาจวิเศษ คือ วัฒนธรรมของชนชาติไทย เพราะเป็นการ 'กล่อมเกลา' ความดีงามของ 'มนุษย์' ซึ่งควรค่า เป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นในสังคมไทย

ผมมั่นใจว่าภาพนี้ จะส่งต่อถึง 'ลูกหลาน' ของคุณหมอเลขเก้า ให้มีความกตัญญูกตเวที ดังเช่นคุณหมอมีให้กับคุณพ่อคุณแม่ และยังเป็น 'ต้นแบบ' ให้คนไทยทุกรุ่น

ผมเชื่อว่า 'โลกยุค AI' ไม่น่ากลัว และเป็นโอกาส หาก 'คนรุ่นใหม่' มีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน และมี 'ภูมิคุ้มกัน' คือ ต้องมีจิตใจละเอียดอ่อน ซาบซึ้ง กตัญญู ซึ่ง 'ไม่ง่าย' ในโลกที่รุมเร้าไปด้วย 'สื่อความรุนแรง' และความขัดแย้ง

ผมมั่นใจว่า การสอน 'ลูก' ให้เก่งและดี อย่างเช่น 'คุณหมอเลขเก้า' #เราทำได้ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์ บ่มเพาะให้รู้จัก 'หน้าที่' และต้อง 'สำนึก' ว่าพ่อแม่ต้อง 'เสียสละ' มากแค่ไหนเพื่อลูก

ขณะที่ 'สังคมไทย' เราต้องช่วยกัน 'แชร์ภาพความประทับใจ' ให้เกิด 'ค่านิยม' ในความกตัญญู ให้ทุกคนยอมรับ และทำตาม

ผม "ภูมิใจที่สุด" ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคณะแพทยศาสตร์พระจอมเกล้าลาดกระบัง เราไม่ใช่เพียง "สร้างแพทย์" เพื่อดูแล รักษาคนไทย แต่เราได้ 'สร้างคนดี' ให้สังคมโลก ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน 'คุณหมอเลขเก้า' กำลังเป็นแพทย์ใช้ทุนสาขาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือ มศว. พี่เอ้เชื่อว่า เมื่อคุณหมอมีความรักให้คุณแม่ คุณหมอจะมี 'ความรัก' ให้คนไข้ทุกคน

สุดท้ายนี้ พี่เอ้ขอให้ผลจากความกตัญญูกตเวที ส่งให้คุณหมอประสบความสำเร็จในชีวิต ได้ช่วยเหลือ ดูแล รักษา 'คนไทยทุกคน' ดังความตั้งใจ

GOOD Doctor You are

จเรตำรวจแห่งชาติ นำทีม ตม. รับตัว 119 คนไทยร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากปอยเปต เตรียมคัดแยกเหยื่อและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทุกราย

(1 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว  พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ์ สุภาพร ผกก.ตม.จว.สระแก้ว เดินทางมารับตัวคนไทยที่เข้าร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีการประสานงานกับทางการกัมพูชา รับตัวคนไทยทั้งสิ้น 119 ราย พบมีหมายจับบัญชีม้า 7 ราย เตรียมส่งให้ ตำรวจไซเบอร์ และ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินคดี

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากการระดมกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เมืองปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมานั้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา แยกเฉพาะคนไทย จำนวน 119 ราย ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายของประเทศกัมพูชาก่อนจะส่งตัวกลับมาที่ประเทศไทยโดนผ่านทางจุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดกรองเบื้องต้นเพื่อหาข้อบ่งชี้จากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ตามกลไกส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism : NRM) ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ หากพบว่ารายใดเข้าข่ายตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือการบังคับแรงงานก็จะเข้าสู่ขบวนการเหยื่อต่อไป ส่วนรายที่สมัครใจไปเอง หรือ มีหมายจับ ก็จะเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป โดยจะส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ บช.ก. รับดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้อง 

ด้าน พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้มีมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองคนเข้า-ออก จุดผ่านแดนทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งชายแดนฝั่งกัมพูชา และเมียนมา และขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพชักชวนให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูง หากประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด สามารถแจ้งข้อมูลมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

📍 ที่อยู่: อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
📞 โทรศัพท์: ติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่
🌐 เว็บไซต์: www.immigration.go.th 

จับโป๊ะ UNHCR เคยปฏิเสธช่วยเหลือชาวอุยกูร์เมื่อปี 63 หวั่นส่งผลต่อ UNHCR ในจีน ที่อาจสูญเงินบริจาค 7.7 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ (28 ก.พ. 68) นายธีรภัทร เจริญสุข นักเขียนชื่อดัง และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านหนังสือ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Theerapat Charoensuk ระบุว่า เรื่องน่าสนใจมาก เมื่อไปเจอข่าวเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว (2024) ของ The New Humanitarian และมีลงใน Bangkok Post อีกต่อ

มีนักข่าวสืบสวน ไปค้นเจอเอกสารภายในว่า UNHCR สนง.ไทย ปฏิเสธคำร้องขออย่างไม่เป็นทางการของทางการไทย ว่าให้หาทางช่วยเหลือชาวอุยกูร์ ตั้งแต่ช่วงปี 2020 แต่ UNHCR สำนักงานกรุงเทพ ไม่ยอมทำอะไร แล้วมีข้อความว่า การช่วยอุยกูร์อาจจะเป็นผลเสียต่อการทำงานของ UNHCR ในจีน และทำให้ถูกลดเงินบริจาค ถูกลดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ 10 คน และอาจถูกตัดโครงการ 7.7 ล้าน $

รอง ผอ. Human Rights Watch สาขาเอเชียในตอนนั้น รีวิวเอกสาร แล้วบอกว่า น่าช็อกมากที่ได้รู้ว่าทางการไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ผ่าน UNHCR แล้ว แต่ฝ่าย UNHCR กลับปฏิเสธเอง โดยมองว่าไทยจะใช้ UNHCR ช่วยคุ้มครองจากความไม่พอใจของจีน (อ้าว แล้วจะมี UNHCR ไว้ทำหอกรึ) 

สำนักข่าวได้ติดต่อขอข้อมูลจาก UNHCR สาขาไทย แต่ได้คำตอบแบบทั่วไปๆ และปฏิเสธจะให้ความเห็นอื่นๆ

ความน่าเชื่อถือของข่าวนี้เป็นอย่างไร ก็คงต้องพิจารณากันดู

เพจ ‘ตี๋น้อย’ ชวนเรียนต่อในมหาลัยใน ‘มณฑลซินเจียง’ ค่าใช้จ่ายไม่สูง ได้รู้จักบ้านเกิด ‘ตี๋ลี่เร่อปา - กู่ลี่นาจา – ถงลี่หยา - อวี๋เมิ่งหลง’

เพจ ‘ตี๋น้อย’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความเชิญชวนศึกษาต่อที่ประเทศจีน ท่ามกลางกระแสข่าวส่งกลับชาวอุยกูร์กลับสู่มาตู่ภูมิ โดยระบุว่า โพสต์นี้เผื่อใครสนใจเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัย สือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนครับผม ตอนนี้เปิดรับสมัครคนไทยเพิ่มนะครับ สนใจรีบสมัครกันมานะ จะเปิดเทอมแล้วครับ

รายละเอียดค่าสมัครคือ
1. ค่าเรียนปีละ 13000 หยวน หรือ 6500 หยวน ต่อเทอม
2. ค่าหอปีละ 5000 หยวน ห้องคู่ (ห้องเดี่ยวก็มีนะครับ) หรือ 2500 หยวน ต่อเทอม หอเป็นหอในมหาวิทยาลัยนะครับ มีเฟอร์นิเจอร์ครบ 
3. ค่าวีซ่า 400 หยวนต่อปี

สิ่งที่จะได้รับคือ
1. เจอตี๋น้อยครับผม อยู่ที่นี่แหละ
2. มองจีนในมุมต่าง ที่นี่ทั้งสถาปัตยกรรม ผู้คน มีทั้งชาวฮั่น ชนเผ่าอุยกูร์ ชนเผ่าคาซัคฯ และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ 
3. คนไทยน้อย สามารถพัฒนาภาษาจีนของตัวเองได้เต็มที่
4. นอกจากได้ภาษาจีนแล้ว ยังได้ภาษาอังกฤษด้วย เนื่องจากชาวต่างชาติที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน
5.ได้เที่ยวซินเจียง ซินเจียงมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งเมือง คาชการ์ อุรุมชี ทุ่งหญ้านาลาถี ฯลฯ เยอะแยะ
6. ได้รู้จักบ้านเกิดของ ตี๋ลี่เร่อปา กู่ลี่นาจา ถงลี่หยา อวี๋เมิ่งหลง 
7.เรียนรู้วัฒนธรรมจีนเพิ่ม เพราะที่นี่มีให้เรียนพู่กันจีน ชงชาจีน ไทเก๊กฟรี ทุกวันศุกร์นะครับ
8. เวลามหาวิทยาลัยออกทริป ก็ได้เที่ยวฟรีด้วย ได้ความรู้เพิ่มด้วย
9. ที่นี่มหาวิทยาลัยมีจัดทัศนศึกษา เรียนรู้วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมซินเจียง 

“ตอนนี้ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว รีบสมัครกันนะครับ”

เชียงใหม่- กิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41

เมื่อวันที่ (26 ก.พ.68) กองบิน 41 จัดกิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41 โดยมี นาวาอากาศเอก ปกป้อง สุระกุล รองผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย ผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 ข้าราชการกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 และทหารกองประจำการ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41

กิจกรรมกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41 จัดขึ้นโดยมุ่งเน้นตามหลักยุทธศาสตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดกองทัพอากาศ ซึ่งภายในกิจกรรมจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับโทษ, พิษภัย และผลกระทบจากยาเสพติด ให้กับทหารกองประจำการกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 
     
ในโอกาสนี้ ได้เรียนเชิญ คุณทิพากร ชีวสกุลยอง หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมคณะฯ มาบรรยายให้ความรู้ในครั้งนี้

‘คณะผู้แทนไทย’ เผย ชาวอุยกูร์ ดีใจได้คืนสู่อ้อมกอดครอบครัว ชี้ ทุกคนปลอดภัย ขณะที่ทางการจีน ให้คำมั่นจะไม่ดำเนินคดี

(1 มี.ค.68) เป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลจีนส่งเครื่องบินมารับชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าเมืองและกลายเป็นผู้ต้องกักอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอไทยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เพราะไม่มีประเทศที่สามรับตัวไป อีกทั้งเดิมทีชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ยอมกลับไปบ้านเกิดด้วยเกรงการลงโทษจากรัฐบาลจีน การถูกกักตัวเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับ 10 ปี ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จึงทำให้ชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งกลับครั้งนี้จึงเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย

อีกทั้งในช่วงตรุษจีนของปีนี้เอง รัฐบาลจีนได้นำการแสดงของชาวอุยกูร์มาแสดงที่เยาวราช กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ได้เห็นถึงการยอมรับของสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีน โดยหลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ส่งคลิปต่าง ๆ ที่ถ่ายจากญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวอุยกูร์ในปัจจุบัน และครอบครัวของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นต่างก็เรียกร้องต้องการให้ญาติพี่น้องของตนได้เดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากห่างกันมานานกว่า 10 ปี และต่อมารัฐบาลจีนได้ทำการออกหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการว่า ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดี และยังจะได้รับการฝึกงานสร้างอาชีพให้มีรายได้ต่อไป โดยสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้เลยทันทีหลังจากเดินทางกลับและผ่านการตรวจร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะผู้แทนของประเทศไทยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนและตรวจสอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผบ.ตร. หนึ่งในคณะผู้แทนไทยได้เปิดเผยว่า คณะผู้แทนไทยได้พบอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นซึ่งปรากฏแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความปลอดภัยและความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการกลับมาของครอบครัวอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้น ดังนั้น UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งออกมาประท้วงและหรือประณามประเทศไทยถึงการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นกลับ คงต้องกลับไปหาข้อมูลและทบทวนใหม่ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทำไม UNHCR จึงไม่สามารถประสานจัดการส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่สามได้สำเร็จ (แต่กลับสามารถทำให้ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามมาตรา 112 หลบหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ได้) เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เองก็ทำการผลักดันผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองเพื่อส่งออกนอกประเทศกันเป็นการใหญ่ การที่จะกล่าวหาหรือประณามหยามเหยียดใครจนได้รับความเสียหายนั้น สมควรที่จะได้ทบทวนมองดูตัวเองให้ดีโดยถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะการกระทำกับคำพูดของทั้ง UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีความย้อนแย้งขัดกันมากเหลือเกิน และต้องรอดูกันต่อไปว่า ชาวปาเลสไตน์ที่เดินทางกลับบ้านที่ฉนวนกาซ่าจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเทียบเคียงได้กับการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนของรัฐบาลจีน เช่นนี้หรือไม่?

‘สารวัตรแจ๊ะ’ ตามหาผู้มีพระคุณจนเจอ ‘แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์’ ผู้ช่วยให้รอดตายจากโรคร้ายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อครั้งยังเป็นทารก

‘สารวัตรแจ๊ะ’ เผยเรื่องราวสุดซึ้งเรื่องเล่าจากกระดาษโน้ตของพ่อ เผยวัยเด็ก ‘เด็กชายแจ๊ะ’ ป่วยโรคโรต้าไวรัส เกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีได้แพทย์หญิงจากกรุงเทพฯ ชุบชีวิต รักษา 'ผ่านทางโทรศัพท์' จนหายดี โตขึ้นเป็น ‘สารวัตรแจ๊ะ’ และได้เผยภาพตามหาผู้มีพระคุณจนเจอ

เมื่อวันที่ (28 ก.พ. 68) เพจ 'จ๋อแจ๊ะจับโจร' โพสต์เล่าเรื่องราวของเทวดาบนพื้นดิน 'กุมารแพทย์หญิงวันดี' ผู้ชุบชีวิตทารกน้อยจากแดนไกล ผ่านเสียงโทรศัพท์ของพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของเด็กชายแจ๊ะ หรือ สารวัตรแจ๊ะ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น

'โรคประหลาด' ค.ศ.1993 ณ เมืองพิษณุโลก เด็กทารกชายคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก เมื่อย่างเข้าอายุได้เพียง 4 เดือน ร่างกายทารกน้อยเริ่มป่วยออดๆแอดๆ แม้ว่าจะเข้าโรงพยาบาลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่ก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น จนเมื่อย่างเข้าเดือนกันยายน ค.ศ.1993 อาการเด็กน้อยแย่ลงจนเข้าขั้นวิกฤติ เนื้อตัวลีบ ถ่ายไม่หยุด 2 กุมารแพทย์ที่เก่งที่สุดในเมืองพิษณุโลกในเวลานั้น ได้พยายามช่วยชีวิตทารกน้อยด้วยการให้น้ำเกลือ ทางขา ทางแขน แต่ก็ไม่สามารถส่งสารอาหารเข้าร่างกายทารกน้อยได้ เพราะเส้นเลือดในร่างกายได้ตีบหมดแล้ว จนต้องตัดสินใจ “เจาะหน้าผาก” ให้น้ำเกลือผ่านทางกะโหลกเป็นทางสุดท้าย กว่า 1 เดือนที่พยายามช่วยชีวิตทารกน้อยรายนี้แต่อาการก็กลับแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะโรคร้ายพิสดารที่ไม่มีใครไขคำตอบได้ในเวลานั้น

“ครึ่งเป็นครึ่งตาย” ค่ำคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ค่ำคืนที่คล้ายจะเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตทารกน้อย กุมารแพทย์แห่งเมืองพิษณุโลกกล่าวกับพ่อของทารกอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เราก็สุดความสามารถแล้วคุณพ่อ” ประโยคสะท้านทรวงสุดจะบีบหัวใจพ่อ ก่อนจะมองไปที่ร่างทารกน้อย ตัวผอมลีบร่างกายไร้เรี่ยวแรง ใกล้จะไปโลกหน้า ความคิดกรีดร้องใครจะยอมให้ลูกตาย พ่อรีบวิ่งกลับไปถามหมออีกครั้งว่า “ยังมีทางไหนที่จะช่วยลูกผมได้บ้าง” จนได้คำตอบจากหมอว่า “มีหมอคนหนึ่ง ที่วิจัยเกี่ยวกับทารกอยู่ แต่ต้องไปขอร้องเขา เพราะเค้าเป็นหมออยู่ที่กรุงเทพ ชื่อวันดี กุมารเวช โรงพยาบาลรามามหิดล” 

หลังสิ้นคำตอบพ่อสั่งให้แม่เฝ้าทารกน้อย ก่อนที่ตัวเองจะคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขับตระเวนรอบเมืองพิษณุโลกเพื่อหา “สมุดหน้าเหลือง” ด้วยยุค 90’s สมัยที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สมุดหน้าเหลืองจึงเป็นหนทางเดียวในสมัยนั้นที่จะหาช่องทางติดต่อกับโรงพยาบาลในกรุงเทพได้ แต่เจ้ากรรมเมื่อเวลานั้นร้านค้าในตัวเมืองได้ปิดหมดแล้ว ต้องตระเวนเคาะเรียกทีละร้านจนกระทั่งโชคเข้าข้าง เมื่อมีอาแปะร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งยังไม่นอน ได้เปิดมาขายสมุดหน้าเหลืองให้ ก่อนจะรีบหาโบกรถรับจ้างเหมาไปยังที่ทำงาน แหล่งน้ำมันสิริกิติ์ จ.กำแพงเพชร เพื่อจะเข้าไปใช้โทรศัพท์ที่มีอยู่เครื่องเดียวในไซส์งาน กว่าจะถึงก็เป็นเวลาดึกสงัดเสียแล้ว ห้วงคืนนั้นพ่อของทารกน้อยต่อสายหาโรงพยาบาลรามามหิดลจากสมุดหน้าเหลือง ผ่านไปหลายสายหลายแผนกหลายต่อหลายทอด จนได้เบอร์โทรศัพท์ของออฟฟิศแพทย์หญิงวันดี ทารกน้อยจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พ่อก็ไม่ทราบทำได้เพียงกระหน่ำเฝ้าโทรศัพท์กดโทรไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณหมอวันดีจะมาทำงานที่ออฟฟิศ ช่างเป็นห้วงเวลาที่บีบคั้นหัวใจเหลือเกิน

“เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที

“ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล” พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน” แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

“ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จนต้องออกตระเวนถามหาบ้าน จนได้มาถึงหน้าบ้านเก่า ๆ สุดสมถะ บรรยากาศสุดเงียบสงบ “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก เงาหญิงชราเคลื่อนไหวรางๆเป็นเงาสะท้อนออกมาจากประตูบ้าน ก่อนเปิดออกมาด้วยใบหน้าอันสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงหญิงชราอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาอากับกริยาสุดแสนใจดีทำให้ทารกน้อยวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้นก้มลงกราบโดยอัตโนมัติก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้มั้ย ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปี ก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน้ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย” หมอวันดีหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของชั้นจริงๆด้วย....ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว” หมอวันดีคลีเสื้อดูก่อนบรรจงอ่านตัวอักษรบนเสื้อก่อนกล่าวว่า “ขอมอบให้ 9 ชีวิตเลยนะ ขอให้ปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นคนดีช่วยเหลือคนอื่นๆนะลูก ขอบใจนะที่คิดถึงกัน” หมอเทวดาในร่างหญิงชราค่อยหันหลังและเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมๆสายลมที่พัดเบาๆ พาใบเอาไม้ปลิวว่อน ภาพเบื้องหน้าความรู้สึกชวนให้ทารกน้อยวัยหนุ่มน้ำตาคลอ เสมือนเวลาได้ถูกหยุดลงที่หน้าบ้านของหมอวันดี

“ทารกน้อยจากแดนไกล” ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือสารวัตรแจ๊ะ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆแอดๆและแพทย์ในจังหวัดพิษณุโลกได้วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห่งใกล้เสียชีวิต เพราะแท้จริงเป็น โรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น แต่ได้รับการรักษาจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” ซึ่งได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทรายทำให้สารวัตรแจ๊ะจนรอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี ค.ศ.1993 ต่อมา แพทย์หญิงวันดีฯ ได้วิจัยพัฒนาจนกลายเป็น “ผงวันดี” หรือ “วันดีรามา ORS” หรือที่เรียกว่า ผงน้ำตาลเกลือแร่ สารช่วยทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ ใช้รักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลัน ซึ่งคิดค้นมาจากการสังเกตุว่าคนไข้โรคอุจจาระร่วงจำนวนมากมักชักและตายอย่างรวดเร็วเพราะการที่ได้สารน้ำที่เข้มข้นเกินไป ซึ่งการคิดค้นสูตรของ แพทย์หญิงวันดีฯ ผลออกมาเป็นที่ยอมรับและใช้ได้ผล มีการนำเสนอผลงานนี้ทางเวทีวิจัยระดับนานาชาติจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และที่สำคัญท่านได้ช่วยชีวิตคนมามากมาย “นับไม่ถ้วน”

ขอสดุดีจิตวิญญาณ “หมอเทวดา” แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์

ผบช.ภ.2 ตัวแทน ผบ.ตร.เยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บรถทัวร์ดูงานพลิกคว่ำ กำชับพนักงานสอบสวนทำคดีรอบคอบ สอบพยานแล้ว 15 ปาก วันจันทร์มีความคืบหน้า เชิญผู้เชี่ยวชาญขนส่งสอบ

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่เยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุรถทัวร์คณะเทศบาลตำบลพรเจริญ เสียหลักพลิกคว่ำ ในพื้นที่ สภ.วังขอนแดง จ.ปราจีนบุรี  ที่พักรักษาอาการบาดเจ็บ ที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี 5 ราย 

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ยิ่งยศฯ ได้ให้กำลังใจถึงข้างเตียง มอบแจกันดอกไม้ และพูดคุยให้กำลังใจ พร้อมฝากความห่วงใยจาก ผบ.ตร.ให้แก่ ผู้ได้รับบาดเจ็บและญาติ  

จากนั้น ผบช.ภ.2 ได้ประชุมเร่งรัดติดตามคดี ร่วมกับพนักงานสอบสวน ที่ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี โดย ผบช.ภ.2 กล่าวว่า กำชับพนักงานสอบสวนให้สอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุให้ครบถ้วน เบื้องต้นสอบปากคำพยานไปแล้วรวม 15 ปาก เป็นคนขับ ซึ่งเป็นผู้ต้องหา 1 ราย พยานที่ได้รับบาดเจ็บอีก 14 ราย  และในวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 สภ.วังขอนแดง จะจัดส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางกลับ จว.บึงกาฬ เพื่อใช้ประกอบสำนวนการสอบสวน นอกจากนี้ สภ.วังขอนแดง ได้ทำหนังสือถึง สำนักวิศวกรรมยานยนต์ สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก และกองตรวจการขนส่ง กรมการขนส่งทางบก เพื่อขอให้ตรวจสภาพรถทัวร์ที่เกิดเหตุ ขณะนี้การตรวจสอบได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการติดตามผลอย่างเร่งด่วน 

“เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรม ต้องสอบสวนอย่างละเอียด โดยใช้นิติวิทยาศาสตร์ ตรวจหาร่องรอยการเฉี่ยวชน ตำแหน่งการชน เพื่อนำมาเทียบเคียงกับร่องรอยบนถนนและร่องรอยจากแบริเออร์ ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ ประกอบกับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสำคัญ เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ ให้ครบถ้วนในทุกมิติ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top