Saturday, 26 April 2025
NEWS FEED

“เฉลิมชัย” เปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ชูแนวคิด "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" กรมอุทยานฯ ปลุกกระแสอนุรักษ์ พร้อมภาคีอนุสัญญา CITES ทั่วโลก

(3 มี.ค.68) - ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ประจำปี 2568 กล่าวว่า ปีนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ประเทศไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสวยงามของธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยได้จัดงานนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยงานในปีนี้มีแนวคิดหลัก คือ "Wildlife Conservation Finance: Investing in People and Planet" หรือ "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างด้านงบประมาณและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยและของโลก ด้วยการบอกเล่าถึงความสำคัญของทรัพยากรเหล่านี้ไปยังคนรอบข้าง ร่วมกิจกรรมการอนุรักษ์ หรือสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สู่คนรุ่นหลังต่อไป

ทั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของไทยสู่เวทีโลกจัดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด "Wildlife Conservation Finance: Investing in People and Planet" หรือ "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" มุ่งแก้วิกฤตขาดแคลนงบประมาณด้านการอนุรักษ์ พร้อมดึงภาคเอกชนร่วมลงทุน หวังสร้างระบบนิเวศการเงินที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของทรัพยากรธรรมชาติ  

โดย นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลกเกิดขึ้นจากข้อเสนอของประเทศไทยในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ครั้งที่ 16 เมื่อปี 2556 ณ กรุงเทพมหานคร โดยเสนอให้วันที่ 3 มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันลงนามรับรองอนุสัญญาไซเตส เป็น "วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก"  การจัดงานในปีนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมด้านวิชาการ การเสวนาและนิทรรศการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จากหน่วยงานพันธมิตรและผู้สนับสนุนกว่า 20 แห่ง กิจกรรมด้านการมีส่วนร่วมของสาธารณชน อาทิ การประกวดงูบอลไพธอนสวยงาม ซึ่งนำมาจัดแสดงหลากหลายลวดลาย และการแสดงผลงานจากการประกวดภาพวาดสัตว์ป่าและพืชป่าในบัญชีไซเตส ที่มีเยาวชนส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 190 ชิ้น สะท้อนพลังและความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ต่อการอนุรักษ์ นอกจากนี้ กรมอุทยานฯ ยังได้จัดกิจกรรมมอบรางวัลประกวดภาพวาด มอบเข็มพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ กิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัล และกิจกรรมสำรวจสัตว์ป่า เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กับผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน 

รู้จัก ‘ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล’ ช่างภาพ Pictorial Art ระดับโลก ผู้รังสรรค์ศิลปะผ่านเลนส์กับนิยาม ‘แสงสะท้อนชีวิต และเงาที่ซ่อนเรื่องราว’

(3 มี.ค. 68) “แสงและเงา” คือหัวใจของการถ่ายภาพ ศิลปินที่แท้จริงต้องความสามารถใช้แสงกับเงาเพื่อสร้างความลึกซึ้งให้กับเรื่องราว และถ้ามีใครสักคนที่สามารถดึงอารมณ์ออกมาผ่านแสงและเงาได้อย่างทรงพลัง ‘ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล’ ก็คือหนึ่งในนั้น

70 ปีบนเส้นทางศิลปะภาพถ่าย ชัยโรจน์ได้สร้างผลงานที่สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก และจิตวิญญาณของผู้คน ทว่าชื่อของเขาในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่ากลับเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากกว่าประเทศบ้านเกิด วันนี้ถึงเวลาที่แสงของเขาจะต้องส่องมาถึงที่นี่ เพื่อให้วงการศิลปะไทยตระหนักถึงคุณค่าของชายผู้นี้ ในฐานะศิลปินผู้ควรค่าแก่การยกย่อง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายเกียรติยศสายที่ 2
จากเด็กชายผู้หลงใหลในเงาสู่ศิลปินแห่งแสง ชัยโรจน์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2480 ในครอบครัวนักธุรกิจที่บุกเบิกวงการนาฬิกาไทย แต่แทนที่จะเติบโตมาพร้อมตัวเลขและกำไรเท่านั้น เขายังหลงใหลในภาพถ่าย ความอยากรู้อยากเห็นว่ากล้องจะสามารถ “หยุดเวลา” ได้จริงหรือไม่ ทำให้เขาหยิบกล้องฟิล์มตัวแรกขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

“ภาพถ่ายไม่ใช่แค่การบันทึกความจริง แต่มันเป็นศิลปะ เป็นวิธีที่เราสามารถเล่าเรื่องราวโดยไม่ต้องพูด”

เส้นทางของเขายิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ London University สาขาวิศวกรรมศาสตร์ พร้อมทั้งเรียนศิลปะการถ่ายภาพที่ Saint Martin’ s School of Art ที่อังกฤษ ที่นั่นเขาได้ฝึกฝนการใช้กล้อง ตั้งแต่วิวทิวทัศน์ใน Hyde Park ไปจนถึงภาพถ่ายบุคคลที่สะท้อนอารมณ์ลึกซึ้ง และถ่ายทอดมันด้วยหัวใจ และนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปิน
เส้นทางสู่ช่างภาพระดับโลก เมื่อเงาใหญ่กว่าชื่อเสียงในบ้านเกิด

หลังได้ศึกษาและฝึกฝนการถ่ายภาพอย่างจริงจัง กระทั่งรังสรรค์ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เรียกว่า Pictorial Art หรือ “ศิลปะเชิงภาพ” ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพที่ผสมผสานความคลาสสิกและความร่วมสมัย การใช้แสงและเงาสร้างมิติของภาพให้ดูเหมือนจิตรกรรม เทคนิคนี้ทำให้ภาพของเขามีความนุ่มนวล ทรงพลัง และสามารถเล่าเรื่องราวโดยไม่ต้องพึ่งพาคำบรรยาย กลายเป็นผลงานที่มีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศ โดยเฉพาะในระดับสากล

ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล ได้สร้างสรรค์ผลงานภาพถ่ายอันทรงคุณค่ามากมาย ทั้งภาพถ่ายบุคคล วิถีชีวิต ภาพทิวทัศน์ และวัฒนธรรม ผลงานของเขาได้รับการจัดแสดงในนิทรรศการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก อาทิ
รางวัลถ้วยพระราชทานชนะเลิศประเภทภาพถ่ายดิจิทัล จากการแข่งขันถ่ายภาพทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2543
.
รางวัลดาว 5 ดวง จากสมาคมถ่ายภาพแห่งอเมริกา (P.S.A.) ในปี พ.ศ. 2552
ติดอันดับ World Top Ten หลายครั้ง

โดยผลงานของเขาได้รับการยอมรับจากเวทีระดับโลกเป็นครั้งแรกเมื่อเขาส่งภาพเข้าประกวดใน PSA Gold Medal ซึ่งทำให้เขากลายเป็นศิลปินไทยที่วงการศิลปะภาพถ่ายทั่วโลกจับตามอง หลังจากนั้นรางวัลและเกียรติยศก็ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น FIAP Gold Medal (ฝรั่งเศส) , Tokyo International Photography Awards และ Grand Award จาก Asia Photo Awards

“เวลาผมไปต่างประเทศ นักวิจารณ์ศิลปะพูดถึงงานของผมในเชิงปรัชญา พวกเขาบอกว่าผมสามารถใช้แสงและเงาเล่าเรื่องราวได้ลึกซึ้ง แต่ในไทยกลับมีคนรู้จักผมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น”

Pictorial Art – ศิลปะผ่านเลนส์
แสงสะท้อนชีวิต และเงาที่ซ่อนเรื่องราว
ชัยโรจน์ ไม่ได้ถ่ายภาพเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เขาใช้มันเป็นเครื่องมือสื่อสารทางศิลปะ ผลงานของเขามักสะท้อนถึงชีวิต ความเป็นมนุษย์ และอารมณ์ที่ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ “ผมไม่ต้องการให้คนแค่ดูภาพของผม ผมต้องการให้พวกเขารู้สึกถึงมัน”

หนึ่งในผู้ที่ให้ความสำคัญกับงานของ ชัยโรจน์ มากที่สุด คือ เกรซ มหาดำรงค์กุล ลูกสาวของเขา ในปี 2565 เธอได้จัดนิทรรศการ “ย้อนเวลาผ่านเลนส์” เพื่อให้คนไทยได้รู้จักและเข้าใจในคุณค่าของศิลปะของบิดา ซึ่งไม่เพียงเป็นการแสดงภาพถ่าย แต่เป็นการส่งเสียงให้วงการศิลปะไทยตระหนักถึงคุณค่าของ ชัยโรจน์

“ผลงานของคุณพ่อไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่เป็นบันทึกของยุคสมัยเป็นศิลปะที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” เกรซกล่าวในวันเปิดนิทรรศการ

อย่าปล่อยให้เงากลืนกินชื่อ ชัยโรจน์
ส่องแสงมาเพื่อให้ “โลกจารึก”
ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล คือศิลปินที่ใช้แสงและเงาเป็นภาษาของเขา ส่งผ่านให้มันคงอยู่ตลอดกาลผ่านงานศิลปะ สร้างผลงานที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมากมาย แต่กลับไม่เป็นที่จดจำในประเทศไทยเท่าที่ควร กระทั่งมีความพยายามให้เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นนานแล้ว

70 ปีบนเส้นทางศิลปะ ผลงานของเขาได้รับการยกย่องมากมาย สร้างคุณูปการต่อวงการศิลปะภาพถ่ายมาอย่างยาวนาน การได้รับเสนอชื่อเป็นศิลปินแห่งชาติ จึงไม่ใช่เพียงแค่รางวัลสำหรับตัวเขา แต่เป็นรางวัลสำหรับวงการศิลปะไทย ที่ควรให้เกียรติผู้สร้างสรรค์งานระดับโลก
“ภาพถ่ายที่ดีไม่ได้หยุดเวลา แต่มันทำให้เราหวนคิดถึงความหมายของมันตลอดไป”

อย่าปล่อยให้เงากลืนกินชื่อของเขา แต่ควรส่องแสงมาเพื่อให้โลกจารึก “ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล” ไม่ใช่เพียงศิลปินแห่งภาพถ่าย แต่คือศิลปินแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ควรได้รับการจารึกชื่ออย่างสมเกียรติ

หลังเกิดเหตุ ‘กองทัพกะเหรี่ยง’ KNLA ทิ้งระเบิดใส่ฐานเมียนมา ห่างชายแดนไทย 1 กม.

(3 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร เปิดเผยภาพทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 กองกำลังนเรศวร ยังคงตรึงกำลังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างเข้มงวด จากเหตุการณ์กองกำลังกะเหรี่ยง KNLA โจมตีฐานทหารเมียนมา (ทมม.) ที่ฐานปูลูตู่วานนี้

โดยมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการของทมม. บริเวณเนิน 1248 อำเภอแลงปอย จังหวัดผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านตะละออกา ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ห่างจากแนวชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณเพิงพักของฐานและลุกลามไปยังพื้นที่โดยรอบ

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา (ผภสม.) ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย

‘พีระพันธุ์’ ควง ‘เสธหิ’ มอบบ้านพร้อมทุนการศึกษา เยาวชนชาวกรุงเก่า ‘นางสาวสรัญญา’ เรียนดีแต่ฐานะยากจน

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ มอบบ้านและเกียรติบัตรแสดงความยินดี ให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

เมื่อวันที่ (2 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายฝันเด่น จรรยาธนากร โครงการใจถึงใจ พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบบ้าน ชุดเครื่องมือช่างซ่อมรถยนต์และเกียรติบัตรแสดงความยินดีพร้อมทั้งทุนการศึกษาให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด ซึ่งเป็น “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

พร้อมกันนี้ “มูลนิธิพระราหู” ยังได้สนับสนุนสร้างบ้านและอุปกรณ์ซ่อมรถยนต์ ตามโครงการ  “ใจถึงใจ” ให้กับ นายสรสัณฑ์ เรืองสวัสดิ์ นางสาวเรียม มาลาพัด นางสาวสรัญญา มาลาพัด เด็กหญิงสุนิสา เรืองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.เตชิต เขื่อนหมั่น นายโอภาส ศรีเจริญ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ 

การสนับสนุนในครั้งนี้คือกำลังใจสำคัญที่ให้นางสาวสรัญญา มาลาพัดและครอบครัวมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในการศึกษา และใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขต่อไป

ยืนยันผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ไม่ได้เขียนจดหมาย กระดาษและตราประทับไม่ใช่ของเรือนจำ

(3 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงเรื่องผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ เขียนจดหมายมีตราประทับจากเรือนจำกลางคลองเปรม 

ก่อนหน้านี้ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ภาพจดหมาย 3 ฉบับจากผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก ซึ่งเรียกร้องให้ทางการไทยอย่าส่งตัวผู้อพยพชาวอุยกูร์ที่เหลือให้กับจีน โดยพบว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มชาวอุยกูร์ 43 คน เขียนเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งขอให้นายกฯ เข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของชาวอุยกูร์

ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ออกหนังสือระบุว่า ได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว โดยผู้ต้องขังชาวอุยกู ให้การยืนยันไม่เคยเขียนจดหมายฉบับดังกล่าวตามที่ปรากฏในสื่อ และลายมือ ที่ปรากฏมิใช่ลายมือของพวกตน โดยในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยส่งจดหมายออกภายนอกเรือนจำแต่อย่างใด

เบื้องต้นเรือนจำฯ ได้เปรียบเทียบลายมือแล้วพบว่า แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งตราประทับที่ปรากฏบนจดหมายฉบับนั้น ก็มิใช่ตราประทับของเรือนจำกลางคลองเปรมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ก่อนส่งจดหมายถึงภายนอกเรือนจำฯ ต้องตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีจดหมายฉบับดังกล่าว และโดยเฉพาะจดหมายผู้ต้องขังจากเรือนจำจะไม่มีตราประทับของเรือนจำแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องขังดังกล่าวไม่มีญาติหรือทนายความมาเยี่ยม

นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง ‘อุยกูร์’ กลับจีน หวั่น!! ถูกตีความเลือกข้าง ทั้งเรื่อง ‘สิทธิมนุษยชน-นโยบายต่างประเทศ’

(2 มี.ค. 68) รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงกรณีที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ กว่า 40 คนกลับจีน ว่า อาจจะเกิดผลกระทบระยะสั้นจากประสบการณ์ที่ไทยเคยส่งกลับ สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หลังจากนั้นเกิดความรุนแรงเกิดเหตุระเบิดที่กรุงเทพฯมีคนเสียชีวิตและเกิดเหตุประท้วงที่อิสตันบูลจรคนไทยได้รับผลกระทบ ดังนั้นในระยะสั้นสิ่งที่ต้องพึงระวัง เรื่องความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นหรือการตอบโต้ นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศหรือสหประชาชาติได้ออกมาประณามรัฐบาล ทำให้เรื่องของความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ และการไม่กระทำนโยบายต่างประเทศที่ส่งบุคคลที่นำไปสู่ความเสี่ยงแก่ชีวิต เรื่องนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ลดน้อยถอยลง และความเชื่อถือด้านสิทธิมนุษยชนต่อวงการนานาชาติ จะถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนในระยะยาวเรื่องที่น่ากังวล รศ.เอกรินทร์ ระบุคือเรื่องสิทธิมนุษยชนและนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ต้องพึงระวังว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันของมหาอำนาจคือจีนและสหรัฐอเมริกา ถ้าการที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนถูกคนตีความว่าเราเลือกข้าง จะทำให้เราไม่สามารถสร้างความสมดุล ในการเมืองระหว่างประเทศได้

ส่วนไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศอย่างไร รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า การที่ไทยมีรัฐบาลพลเรือนหลังเลือกตั้งนานาประเทศคาดหวังว่า ไทยจะกลับสู่เวทีนานาชาติ อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่จะเป็นตัวผู้เล่นหลักหรือไว้เนื้อเชื่อใจได้ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ขณะที่บทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่ประเด็นเรื่องอุยกูร์ ส่งไปประเทศจีนทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือ และถูกตั้งคำถามเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก และจะเห็นชัดเจนว่าการตอบโต้ หรือการออกมาให้ข้อมูลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีลักษณะกลับไปกลับมา และสับสนเพียงชั่วข้ามวัน ที่ตอนแรกบอกไม่รับทราบเรื่องนี้ แต่อีกวันบอกรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการส่งตัวกลับ จึงคิดว่าการที่ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่ดำเนินนโยบายอย่างเปิดเผย ในการส่งคนช่วงกลางคืน ขาดความโปร่งใส วิธีการที่ไม่ให้องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าไปสังเกตการณ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง นโยบายของรัฐบาลที่ขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐบาลอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจ หนึ่ง ซึ่งเป็นอันตราย

รศ.เอกรินทร์ ยังกล่าวอีกว่าเป็นที่ชัดเจนว่าไทยอาจถูกกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามกับไทย ว่าจะจัดวางตัวเองอย่างไรให้บาลานซ์ในเวทีนานาชาติ และเราจะตอบคำถามเรื่องนี้อย่างไรในเวทีนานาชาติ จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นภาระหนักมากของรัฐบาล นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ออกแถลงการณ์ประณาม และยังจะเห็นจดหมายของคนอุยกูร์ ที่ระบุว่ารู้สึกกังวลและไม่อยากกลับ ขณะเดียวกันต้องติดตามอีก 8 คนที่อยู่ในไทย ว่าจะถูกส่งกลับหรือไม่ และที่ส่งกลับไปปลอดภัยหรือไม่

“กระบวนการทั้งหมดความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย และก่อให้เกิดความสับสน ในเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งที่จริงแล้วหากเราแก้ไข ด้วยวิธีการให้ประเทศที่ต้องการจะรับอย่างตุรกี เรื่องเหล่านี้ก็จะถูกคลี่คลาย ไม่น่าจะลำบากเหมือนปัจจุบัน” รศ.เอกรินทร์ กล่าว

ส่วนกรณีดังกล่าวเป็นความเพรี่ยงพร้ำของรัฐบาลไทยหรือมีการเมืองเข้ามาสอดแทรกหรือไม่ รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า น่าจะเป็นความตั้งใจและจงใจ ของรัฐบาลปัจจุบันสืบเนื่องมาจากการ ที่จีนส่งรัฐมนตรีมาไทยเรื่องคนจีนที่เข้าไปในเมียนมาทำเรื่อง Call Center และทำให้คนอ่านออกว่าเราทำตามนโยบายของประเทศจีน ถ้าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ

‘สถานทูตจีน’ ชี้แจง!! กรณีส่งตัวชาวจีน 40 คนกลับประเทศ ระบุ!! เป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติ และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

(2 มี.ค. 68) สถานทูตจีนชี้แจงกรณีส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ

• สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยส่งตัวชาวจีน 40 คนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติและสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

• สถานทูตจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการส่งตัวกลับประเทศครั้งนี้เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และการกระทำนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลไทย

• แถลงการณ์ยังตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังจากถูกส่งตัวกลับประเทศจีน โดยยืนยันว่าจีนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และมีกลไกการคุ้มครองสิทธิอย่างเข้มงวด

• สถานทูตจีนอธิบายถึงสถานการณ์ในซินเจียงว่ามีการก่อการร้ายและการแทรกแซงจากต่างประเทศในอดีต  แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น  และการกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

• รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเป็นสักขีพยานการเดินทางกลับประเทศจีนของชาวจีนกลุ่มนี้ และจีนยินดีที่จะเชิญเจ้าหน้าที่ไทยไปติดตามสถานการณ์ในอนาคตเพื่อยืนยันความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของพวกเขา

• สถานทูตจีนเชิญชวนให้บุคคลจากทั่วโลกที่ไม่มีอคติเดินทางไปเยือนซินเจียงเพื่อสัมผัสกับความเป็นจริงด้วยตนเอง  และปฏิเสธข้อกล่าวหาจากต่างประเทศที่กล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง

• ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย  ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลไทยและจีน  โดยมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและการเมืองระหว่างประเทศ

ย้อนอดีต!! ‘มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช’ นายกฯ ของไทย เดินทางไปเยือนประเทศจีน ลั่น!! เลื่อมใส ‘ประธานเหมา’ ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน

(2 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Nitipat Bhandhumachinda’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

๕๘ นาที ที่พลิกประวัติศาสตร์

จากเหตุการณ์ที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลกเมื่อวานนี้ ทำให้ผมระลึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเคยเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตายมากๆสำหรับผมในวัยเด็ก คือตอนนั้นประเทศเพื่อนบ้านเราฝั่งตะวันออกทั้งแถบเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ อีกทั้งสหรัฐฯซึ่งเคยเป็นกำลังหลักในการต่อต้านลัทธิดังกล่าวในภูมิภาคนี้ ก็เปลี่ยนนโยบายของตน โดยลดและถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ซึ่งก็ทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านและกองกำลังคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเองอย่างที่สุด

ซึ่งวิกฤติดังกล่าวก็ได้สร้างวีรบุรุษที่คนสมัยนี้อาจจำกันไม่ได้หรือไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

นั่นคือการหาญกล้าของนายกฯไทยที่ได้กัดฟันเดินทางไปสร้างสานสัมพันธ์กับเจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีอิทธิพลสูงสุดในย่านนี้ด้วยตนเอง หลังจากที่มีการประสานงานอย่างแข็งขันผ่านนโยบายทางการทูต ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พศ. ๒๕๑๘ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกฯของไทยสมัยนั้นและคณะ ก็เดินทางไปเยือนประเทศจีน ซึ่งเป็นการไปเยือนของผู้นำไทยเป็นครั้งแรกหลังจากที่จีนเปลี่ยนการปกครอง ในตอนนั้นท่านโจวเอินไหล นายกฯของจีนเองก็กำลังป่วยหนัก แต่ก็ฝืนความเจ็บป่วยมาต้อนรับและร่วมลงนามแถลงการณ์ร่วม สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทยอย่างเป็นทางการ

แต่ทุกๆคนก็ย่อมทราบดีว่าความสำคัญที่สุดก็ยังอยู่ที่ว่าท่านเหมา ประธานใหญ่จะมีท่าทีกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร และตอนคณะของไทยเดินทางไปนั้น ก็ไม่ได้มีกำหนดวันเวลาชัดเจนว่า จะได้พบกับท่านเหมาเมื่อไหร่
ซึ่งขณะที่ท่านคึกฤทธิ์และคณะกำลังพบปะชาวเผ่าต่างๆในวันที่ ๒ กรกฎาคมอยู่ดีๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งปรู๊ดเข้ามาแล้วบอกว่า ได้เวลาไปพบท่านประธานฯแล้ว

ท่านคึกฤทธิ์ซึ่งตอนนั้นแต่งตัวลำลองก็วิ่งหน้าตื่นกลับไปแต่งตัวใหม่ใส่สูทให้สุภาพ แล้วก็เดินทางอย่างรีบร้อนไปที่นัดพบอย่างรวดเร็ว เมือ่ไปถึงนั้น ท่านก็พบท่านประธานเหมาซึ่ง เป็นชายร่างใหญ่ยืนตะหง่านอยู่ และเมื่อท่านประธานเห็นท่านก็เปล่งเสียงดังคล้ายให้ท่านเดินเข้าไปหา ตอนนั้นล่ามก็ยังมาไม่ถึง ท่านนายกฯเราก็หันไปหาคุณชาติชาย ชุณหะวัณ รมว. ต่างประเทศ ว่าเอาไงดี คุณชาติชายก็บอกว่าเดินเข้าไปเลยครับ ท่านคึกฤทธิ์เล่าในภายหลังว่าเมื่อไปยืนใกล้ๆ ท่านประธานฯก็จับมือมาเขย่าแรงๆและพูดเสียงดังๆ ที่ท่านคึกฤทธิ์เล่าว่า คล้ายเสียงเสือคำราม เมื่อล่ามวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแล้ว ท่านคึกฤทธิ์ก็ได้รับเชิญให้ไปนั่งข้างๆท่านประธานฯ ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็เล่าว่าท่านก็นั่งที่ขอบเก้าอี้และประสานมืออย่างนอบน้อม ซึ่งท่านประธานเห็นก็แสดงสีหน้าชื่นชมพอใจ

การสนทนานั้นก็มีความน่าสนใจหลายอย่าง เช่นท่านประธานก็ถามเปิดการสนทนากันตรงๆว่า "ท่านนายกฯ มาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ”

ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบได้อย่างชาญฉลาดว่า "“หามิได้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสท่านประธานเหมามานานแล้ว ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน" และท่านประธานเหมาก็เอ่ยขำๆว่าท่านเป็นผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งของโลกเชียวนะ และก็พูดสนทนากันไปเรื่อยๆ ท่านก็บ่นว่านี่ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ คงจะใกล้ตายเข้าไปทุกวันแล้ว

ท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบขำๆกลับไปว่า "ท่านยังตายไม่ได้นะครับ เพราะโลกยังต้องการผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งอยู่"

ซึ่งก็ทำให้ท่านประธานปล่อยก๊ากออกมา สร้างความเฮฮา และชื่นมื่นกันแบบถูกปากถูกคอเป็นที่สุด

ในประเด็นคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดนั้น ท่านประธานก็ให้ข้อคิดไว้ว่า จะปราบปรามลัทธิในประเทศไทย ก็ต้องทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขามีกินมีใช้ อย่าไปกลัวเล คอมมิวนิสต์ จริงๆก็มีไม่กี่คนหรอก ก็ดูซิ ท่านเป็นประธานคอมมิวนิสต์มาตั้งกี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นคอมมิวนิสต์ไทย คนไหนมาแสดงความเคารพท่านสักคนเลย ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบกลับไปขำๆอีกว่า "ท่านประธานฯอยากพบเจอไหม ผมจะส่งมาให้พบท่านทีละสี่คนเลย" ปรกติท่านประธานเหมาจะใช้เวลาในการพบปะใครสั้นมากๆ แต่ท่านใช้เวลาสนทนาอย่างสนุกสนานอยู่กับท่านคึกฤทธิ์นานกว่าการเจรจากับใครๆ คือใช้เวลาคุยไปหัวเราะไปกันได้ตั้ง ๕๘ นาที

และการพบปะครั้งประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ เป็นการลดแรงกดดันมหาศาลจากการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของประเทศ

และยุติการเสียเลือดเนื้อจากการฆ่าฟันกันเองของคนไทยได้ในที่สุด

ก็อย่างที่บอกนะครับ ผมคงไม่วิจารณ์การพบปะกันของผู้นำประเทศไหนๆที่ใดทั้งนั้น แต่ก็อยากจะเล่าว่า ในประวัติศาสตร์ของชาติเรานั้น มีอัศจรรย์ที่จะมีวีรบุรุษโผล่ขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างพอเหมาะพอดีต่อทุกสถานการณ์ได้ทุกครั้ง

จริงๆนะครับ

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์เฟซ!! วอนอย่าคุกคามกัน ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ให้มาเมนต์ในเพจส่วนตัว

(2 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจากำนักข่าว ‘The Reporters’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ถ้าเห็นไม่ตรงกันเรื่องอุยกูร์จะส่วนตัวหรือ IO มาเมนต์ในเพจส่วนตัว เพจข่าวได้ค่ะ แต่อย่าคุกคามในเพจร้านอาหารเลยค่ะ อย่าคุกคามกันถึงชีวิต เราก็แค่นักข่าวที่จะกี่รัฐบาลก็เป็นแบบนี้

ข่าวเช้าอารมณ์ดี!! เติมพลังบวก พร้อมเสียงหัวเราะ ฟังได้ที่ FM 103.5 และ ทุกช่องทางออนไลน์ เริ่ม 3 มี.ค.นี้

ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมพลังบวก กับ THE STATES TIMES

สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เปิดตัวรายการข่าวเช้าอารมณ์ดี “เดอะสเต็ทส์ไทม์ ยามเช้า” ภายใต้แนวคิด ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน รายการข่าวเช้า ที่ไม่ใช่แค่นำเสนอข่าว แต่ยังช่วยเติมพลังบวก และเสียงหัวเราะให้ผู้ฟัง และผู้ชมได้ทุกวัน ซึ่งคัดสรรสาระข่าวสาร เรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงสาระน่ารู้ ซึ่งเกิดขึ้นรอบโลกที่เป็นประโยชน์ ไม่ตกเทรนด์ ผ่าน 3 ผู้ดำเนินรายการมากฝีมือ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ประกอบด้วย ไอยรา อัลราวีย์ บรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่จะเปลี่ยนทุกข่าวจริงจัง ให้กลายเป็นเรื่องเล่าสำหรับเพื่อน ๆ ได้ทุกเช้า ร่วมด้วย จิว จิวเวอรี่ ยศภาคย์ นักร้องหนุ่มอารมณ์ดี กับบทบาทใหม่ ในการเล่าข่าวให้ง่าย สนุกสนาน และน้อย ศตกมล วรกุล อดีตผู้ประกาศข่าว 'เส้นทางบันเทิง' มากประสบการณ์ ที่จะพาแขกรับเชิญสุดพิเศษ มาร่วมพูดคุยทุกสัปดาห์

โดย “THE STATES TIMES ยามเช้า” จะเริ่มออกอากาศวันแรก จันทร์ที่ 3 มีนาคม นี้ เต็มอิ่ม 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างเวลา 07.30-09.00 น.ในรูปแบบคู่ขนานทั้ง Online และ On Air ดังนี้ 

เวลา 07.30 น. เริ่มรับชม Live ผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook YouTube และ TiKToK สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES 

ส่วน On Air เริ่มเวลา 08.00 น. ผ่านสถานีวิทยุกองทัพบก FM 103.5 Mhz. (กรุงเทพฯและปริมณฑล)

THE STATES TIMES ยามเช้า ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ใช้เวลากับสิ่งดี ได้ทุกวัน ที่นี้ THE STATES TIMES สำนักข่าวออนไลน์ สำหรับคนรุ่นใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top