Saturday, 26 April 2025
NEWS FEED

‘พีระพันธุ์’ ควง ‘เสธหิ’ มอบบ้านพร้อมทุนการศึกษา เยาวชนชาวกรุงเก่า ‘นางสาวสรัญญา’ เรียนดีแต่ฐานะยากจน

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ มอบบ้านและเกียรติบัตรแสดงความยินดี ให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

เมื่อวันที่ (2 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายฝันเด่น จรรยาธนากร โครงการใจถึงใจ พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบบ้าน ชุดเครื่องมือช่างซ่อมรถยนต์และเกียรติบัตรแสดงความยินดีพร้อมทั้งทุนการศึกษาให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด ซึ่งเป็น “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

พร้อมกันนี้ “มูลนิธิพระราหู” ยังได้สนับสนุนสร้างบ้านและอุปกรณ์ซ่อมรถยนต์ ตามโครงการ  “ใจถึงใจ” ให้กับ นายสรสัณฑ์ เรืองสวัสดิ์ นางสาวเรียม มาลาพัด นางสาวสรัญญา มาลาพัด เด็กหญิงสุนิสา เรืองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.เตชิต เขื่อนหมั่น นายโอภาส ศรีเจริญ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ 

การสนับสนุนในครั้งนี้คือกำลังใจสำคัญที่ให้นางสาวสรัญญา มาลาพัดและครอบครัวมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในการศึกษา และใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขต่อไป

ยืนยันผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ไม่ได้เขียนจดหมาย กระดาษและตราประทับไม่ใช่ของเรือนจำ

(3 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงเรื่องผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ เขียนจดหมายมีตราประทับจากเรือนจำกลางคลองเปรม 

ก่อนหน้านี้ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ภาพจดหมาย 3 ฉบับจากผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก ซึ่งเรียกร้องให้ทางการไทยอย่าส่งตัวผู้อพยพชาวอุยกูร์ที่เหลือให้กับจีน โดยพบว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มชาวอุยกูร์ 43 คน เขียนเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งขอให้นายกฯ เข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของชาวอุยกูร์

ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ออกหนังสือระบุว่า ได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว โดยผู้ต้องขังชาวอุยกู ให้การยืนยันไม่เคยเขียนจดหมายฉบับดังกล่าวตามที่ปรากฏในสื่อ และลายมือ ที่ปรากฏมิใช่ลายมือของพวกตน โดยในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยส่งจดหมายออกภายนอกเรือนจำแต่อย่างใด

เบื้องต้นเรือนจำฯ ได้เปรียบเทียบลายมือแล้วพบว่า แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งตราประทับที่ปรากฏบนจดหมายฉบับนั้น ก็มิใช่ตราประทับของเรือนจำกลางคลองเปรมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ก่อนส่งจดหมายถึงภายนอกเรือนจำฯ ต้องตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีจดหมายฉบับดังกล่าว และโดยเฉพาะจดหมายผู้ต้องขังจากเรือนจำจะไม่มีตราประทับของเรือนจำแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องขังดังกล่าวไม่มีญาติหรือทนายความมาเยี่ยม

นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง ‘อุยกูร์’ กลับจีน หวั่น!! ถูกตีความเลือกข้าง ทั้งเรื่อง ‘สิทธิมนุษยชน-นโยบายต่างประเทศ’

(2 มี.ค. 68) รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงกรณีที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ กว่า 40 คนกลับจีน ว่า อาจจะเกิดผลกระทบระยะสั้นจากประสบการณ์ที่ไทยเคยส่งกลับ สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หลังจากนั้นเกิดความรุนแรงเกิดเหตุระเบิดที่กรุงเทพฯมีคนเสียชีวิตและเกิดเหตุประท้วงที่อิสตันบูลจรคนไทยได้รับผลกระทบ ดังนั้นในระยะสั้นสิ่งที่ต้องพึงระวัง เรื่องความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นหรือการตอบโต้ นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศหรือสหประชาชาติได้ออกมาประณามรัฐบาล ทำให้เรื่องของความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ และการไม่กระทำนโยบายต่างประเทศที่ส่งบุคคลที่นำไปสู่ความเสี่ยงแก่ชีวิต เรื่องนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ลดน้อยถอยลง และความเชื่อถือด้านสิทธิมนุษยชนต่อวงการนานาชาติ จะถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนในระยะยาวเรื่องที่น่ากังวล รศ.เอกรินทร์ ระบุคือเรื่องสิทธิมนุษยชนและนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ต้องพึงระวังว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันของมหาอำนาจคือจีนและสหรัฐอเมริกา ถ้าการที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนถูกคนตีความว่าเราเลือกข้าง จะทำให้เราไม่สามารถสร้างความสมดุล ในการเมืองระหว่างประเทศได้

ส่วนไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศอย่างไร รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า การที่ไทยมีรัฐบาลพลเรือนหลังเลือกตั้งนานาประเทศคาดหวังว่า ไทยจะกลับสู่เวทีนานาชาติ อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่จะเป็นตัวผู้เล่นหลักหรือไว้เนื้อเชื่อใจได้ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ขณะที่บทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่ประเด็นเรื่องอุยกูร์ ส่งไปประเทศจีนทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือ และถูกตั้งคำถามเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก และจะเห็นชัดเจนว่าการตอบโต้ หรือการออกมาให้ข้อมูลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีลักษณะกลับไปกลับมา และสับสนเพียงชั่วข้ามวัน ที่ตอนแรกบอกไม่รับทราบเรื่องนี้ แต่อีกวันบอกรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการส่งตัวกลับ จึงคิดว่าการที่ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่ดำเนินนโยบายอย่างเปิดเผย ในการส่งคนช่วงกลางคืน ขาดความโปร่งใส วิธีการที่ไม่ให้องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าไปสังเกตการณ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง นโยบายของรัฐบาลที่ขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐบาลอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจ หนึ่ง ซึ่งเป็นอันตราย

รศ.เอกรินทร์ ยังกล่าวอีกว่าเป็นที่ชัดเจนว่าไทยอาจถูกกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามกับไทย ว่าจะจัดวางตัวเองอย่างไรให้บาลานซ์ในเวทีนานาชาติ และเราจะตอบคำถามเรื่องนี้อย่างไรในเวทีนานาชาติ จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นภาระหนักมากของรัฐบาล นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ออกแถลงการณ์ประณาม และยังจะเห็นจดหมายของคนอุยกูร์ ที่ระบุว่ารู้สึกกังวลและไม่อยากกลับ ขณะเดียวกันต้องติดตามอีก 8 คนที่อยู่ในไทย ว่าจะถูกส่งกลับหรือไม่ และที่ส่งกลับไปปลอดภัยหรือไม่

“กระบวนการทั้งหมดความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย และก่อให้เกิดความสับสน ในเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งที่จริงแล้วหากเราแก้ไข ด้วยวิธีการให้ประเทศที่ต้องการจะรับอย่างตุรกี เรื่องเหล่านี้ก็จะถูกคลี่คลาย ไม่น่าจะลำบากเหมือนปัจจุบัน” รศ.เอกรินทร์ กล่าว

ส่วนกรณีดังกล่าวเป็นความเพรี่ยงพร้ำของรัฐบาลไทยหรือมีการเมืองเข้ามาสอดแทรกหรือไม่ รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า น่าจะเป็นความตั้งใจและจงใจ ของรัฐบาลปัจจุบันสืบเนื่องมาจากการ ที่จีนส่งรัฐมนตรีมาไทยเรื่องคนจีนที่เข้าไปในเมียนมาทำเรื่อง Call Center และทำให้คนอ่านออกว่าเราทำตามนโยบายของประเทศจีน ถ้าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ

‘สถานทูตจีน’ ชี้แจง!! กรณีส่งตัวชาวจีน 40 คนกลับประเทศ ระบุ!! เป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติ และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

(2 มี.ค. 68) สถานทูตจีนชี้แจงกรณีส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ

• สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยส่งตัวชาวจีน 40 คนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติและสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

• สถานทูตจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการส่งตัวกลับประเทศครั้งนี้เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และการกระทำนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลไทย

• แถลงการณ์ยังตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังจากถูกส่งตัวกลับประเทศจีน โดยยืนยันว่าจีนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และมีกลไกการคุ้มครองสิทธิอย่างเข้มงวด

• สถานทูตจีนอธิบายถึงสถานการณ์ในซินเจียงว่ามีการก่อการร้ายและการแทรกแซงจากต่างประเทศในอดีต  แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น  และการกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

• รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเป็นสักขีพยานการเดินทางกลับประเทศจีนของชาวจีนกลุ่มนี้ และจีนยินดีที่จะเชิญเจ้าหน้าที่ไทยไปติดตามสถานการณ์ในอนาคตเพื่อยืนยันความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของพวกเขา

• สถานทูตจีนเชิญชวนให้บุคคลจากทั่วโลกที่ไม่มีอคติเดินทางไปเยือนซินเจียงเพื่อสัมผัสกับความเป็นจริงด้วยตนเอง  และปฏิเสธข้อกล่าวหาจากต่างประเทศที่กล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง

• ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย  ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลไทยและจีน  โดยมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและการเมืองระหว่างประเทศ

ย้อนอดีต!! ‘มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช’ นายกฯ ของไทย เดินทางไปเยือนประเทศจีน ลั่น!! เลื่อมใส ‘ประธานเหมา’ ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน

(2 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Nitipat Bhandhumachinda’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

๕๘ นาที ที่พลิกประวัติศาสตร์

จากเหตุการณ์ที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลกเมื่อวานนี้ ทำให้ผมระลึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเคยเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตายมากๆสำหรับผมในวัยเด็ก คือตอนนั้นประเทศเพื่อนบ้านเราฝั่งตะวันออกทั้งแถบเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ อีกทั้งสหรัฐฯซึ่งเคยเป็นกำลังหลักในการต่อต้านลัทธิดังกล่าวในภูมิภาคนี้ ก็เปลี่ยนนโยบายของตน โดยลดและถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ซึ่งก็ทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านและกองกำลังคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเองอย่างที่สุด

ซึ่งวิกฤติดังกล่าวก็ได้สร้างวีรบุรุษที่คนสมัยนี้อาจจำกันไม่ได้หรือไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

นั่นคือการหาญกล้าของนายกฯไทยที่ได้กัดฟันเดินทางไปสร้างสานสัมพันธ์กับเจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีอิทธิพลสูงสุดในย่านนี้ด้วยตนเอง หลังจากที่มีการประสานงานอย่างแข็งขันผ่านนโยบายทางการทูต ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พศ. ๒๕๑๘ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกฯของไทยสมัยนั้นและคณะ ก็เดินทางไปเยือนประเทศจีน ซึ่งเป็นการไปเยือนของผู้นำไทยเป็นครั้งแรกหลังจากที่จีนเปลี่ยนการปกครอง ในตอนนั้นท่านโจวเอินไหล นายกฯของจีนเองก็กำลังป่วยหนัก แต่ก็ฝืนความเจ็บป่วยมาต้อนรับและร่วมลงนามแถลงการณ์ร่วม สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทยอย่างเป็นทางการ

แต่ทุกๆคนก็ย่อมทราบดีว่าความสำคัญที่สุดก็ยังอยู่ที่ว่าท่านเหมา ประธานใหญ่จะมีท่าทีกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร และตอนคณะของไทยเดินทางไปนั้น ก็ไม่ได้มีกำหนดวันเวลาชัดเจนว่า จะได้พบกับท่านเหมาเมื่อไหร่
ซึ่งขณะที่ท่านคึกฤทธิ์และคณะกำลังพบปะชาวเผ่าต่างๆในวันที่ ๒ กรกฎาคมอยู่ดีๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งปรู๊ดเข้ามาแล้วบอกว่า ได้เวลาไปพบท่านประธานฯแล้ว

ท่านคึกฤทธิ์ซึ่งตอนนั้นแต่งตัวลำลองก็วิ่งหน้าตื่นกลับไปแต่งตัวใหม่ใส่สูทให้สุภาพ แล้วก็เดินทางอย่างรีบร้อนไปที่นัดพบอย่างรวดเร็ว เมือ่ไปถึงนั้น ท่านก็พบท่านประธานเหมาซึ่ง เป็นชายร่างใหญ่ยืนตะหง่านอยู่ และเมื่อท่านประธานเห็นท่านก็เปล่งเสียงดังคล้ายให้ท่านเดินเข้าไปหา ตอนนั้นล่ามก็ยังมาไม่ถึง ท่านนายกฯเราก็หันไปหาคุณชาติชาย ชุณหะวัณ รมว. ต่างประเทศ ว่าเอาไงดี คุณชาติชายก็บอกว่าเดินเข้าไปเลยครับ ท่านคึกฤทธิ์เล่าในภายหลังว่าเมื่อไปยืนใกล้ๆ ท่านประธานฯก็จับมือมาเขย่าแรงๆและพูดเสียงดังๆ ที่ท่านคึกฤทธิ์เล่าว่า คล้ายเสียงเสือคำราม เมื่อล่ามวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแล้ว ท่านคึกฤทธิ์ก็ได้รับเชิญให้ไปนั่งข้างๆท่านประธานฯ ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็เล่าว่าท่านก็นั่งที่ขอบเก้าอี้และประสานมืออย่างนอบน้อม ซึ่งท่านประธานเห็นก็แสดงสีหน้าชื่นชมพอใจ

การสนทนานั้นก็มีความน่าสนใจหลายอย่าง เช่นท่านประธานก็ถามเปิดการสนทนากันตรงๆว่า "ท่านนายกฯ มาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ”

ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบได้อย่างชาญฉลาดว่า "“หามิได้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสท่านประธานเหมามานานแล้ว ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน" และท่านประธานเหมาก็เอ่ยขำๆว่าท่านเป็นผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งของโลกเชียวนะ และก็พูดสนทนากันไปเรื่อยๆ ท่านก็บ่นว่านี่ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ คงจะใกล้ตายเข้าไปทุกวันแล้ว

ท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบขำๆกลับไปว่า "ท่านยังตายไม่ได้นะครับ เพราะโลกยังต้องการผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งอยู่"

ซึ่งก็ทำให้ท่านประธานปล่อยก๊ากออกมา สร้างความเฮฮา และชื่นมื่นกันแบบถูกปากถูกคอเป็นที่สุด

ในประเด็นคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดนั้น ท่านประธานก็ให้ข้อคิดไว้ว่า จะปราบปรามลัทธิในประเทศไทย ก็ต้องทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขามีกินมีใช้ อย่าไปกลัวเล คอมมิวนิสต์ จริงๆก็มีไม่กี่คนหรอก ก็ดูซิ ท่านเป็นประธานคอมมิวนิสต์มาตั้งกี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นคอมมิวนิสต์ไทย คนไหนมาแสดงความเคารพท่านสักคนเลย ซึ่งท่านคึกฤทธิ์ก็ตอบกลับไปขำๆอีกว่า "ท่านประธานฯอยากพบเจอไหม ผมจะส่งมาให้พบท่านทีละสี่คนเลย" ปรกติท่านประธานเหมาจะใช้เวลาในการพบปะใครสั้นมากๆ แต่ท่านใช้เวลาสนทนาอย่างสนุกสนานอยู่กับท่านคึกฤทธิ์นานกว่าการเจรจากับใครๆ คือใช้เวลาคุยไปหัวเราะไปกันได้ตั้ง ๕๘ นาที

และการพบปะครั้งประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ เป็นการลดแรงกดดันมหาศาลจากการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของประเทศ

และยุติการเสียเลือดเนื้อจากการฆ่าฟันกันเองของคนไทยได้ในที่สุด

ก็อย่างที่บอกนะครับ ผมคงไม่วิจารณ์การพบปะกันของผู้นำประเทศไหนๆที่ใดทั้งนั้น แต่ก็อยากจะเล่าว่า ในประวัติศาสตร์ของชาติเรานั้น มีอัศจรรย์ที่จะมีวีรบุรุษโผล่ขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างพอเหมาะพอดีต่อทุกสถานการณ์ได้ทุกครั้ง

จริงๆนะครับ

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์เฟซ!! วอนอย่าคุกคามกัน ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ให้มาเมนต์ในเพจส่วนตัว

(2 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจากำนักข่าว ‘The Reporters’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ถ้าเห็นไม่ตรงกันเรื่องอุยกูร์จะส่วนตัวหรือ IO มาเมนต์ในเพจส่วนตัว เพจข่าวได้ค่ะ แต่อย่าคุกคามในเพจร้านอาหารเลยค่ะ อย่าคุกคามกันถึงชีวิต เราก็แค่นักข่าวที่จะกี่รัฐบาลก็เป็นแบบนี้

ข่าวเช้าอารมณ์ดี!! เติมพลังบวก พร้อมเสียงหัวเราะ ฟังได้ที่ FM 103.5 และ ทุกช่องทางออนไลน์ เริ่ม 3 มี.ค.นี้

ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมพลังบวก กับ THE STATES TIMES

สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เปิดตัวรายการข่าวเช้าอารมณ์ดี “เดอะสเต็ทส์ไทม์ ยามเช้า” ภายใต้แนวคิด ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน รายการข่าวเช้า ที่ไม่ใช่แค่นำเสนอข่าว แต่ยังช่วยเติมพลังบวก และเสียงหัวเราะให้ผู้ฟัง และผู้ชมได้ทุกวัน ซึ่งคัดสรรสาระข่าวสาร เรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงสาระน่ารู้ ซึ่งเกิดขึ้นรอบโลกที่เป็นประโยชน์ ไม่ตกเทรนด์ ผ่าน 3 ผู้ดำเนินรายการมากฝีมือ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ประกอบด้วย ไอยรา อัลราวีย์ บรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่จะเปลี่ยนทุกข่าวจริงจัง ให้กลายเป็นเรื่องเล่าสำหรับเพื่อน ๆ ได้ทุกเช้า ร่วมด้วย จิว จิวเวอรี่ ยศภาคย์ นักร้องหนุ่มอารมณ์ดี กับบทบาทใหม่ ในการเล่าข่าวให้ง่าย สนุกสนาน และน้อย ศตกมล วรกุล อดีตผู้ประกาศข่าว 'เส้นทางบันเทิง' มากประสบการณ์ ที่จะพาแขกรับเชิญสุดพิเศษ มาร่วมพูดคุยทุกสัปดาห์

โดย “THE STATES TIMES ยามเช้า” จะเริ่มออกอากาศวันแรก จันทร์ที่ 3 มีนาคม นี้ เต็มอิ่ม 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างเวลา 07.30-09.00 น.ในรูปแบบคู่ขนานทั้ง Online และ On Air ดังนี้ 

เวลา 07.30 น. เริ่มรับชม Live ผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook YouTube และ TiKToK สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES 

ส่วน On Air เริ่มเวลา 08.00 น. ผ่านสถานีวิทยุกองทัพบก FM 103.5 Mhz. (กรุงเทพฯและปริมณฑล)

THE STATES TIMES ยามเช้า ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ใช้เวลากับสิ่งดี ได้ทุกวัน ที่นี้ THE STATES TIMES สำนักข่าวออนไลน์ สำหรับคนรุ่นใหม่

'เปิ้ล ไอริณ'ไม่ทน!! เอาผิดอินฟลูฯ เล่าข่าว วิจารณ์เดือด เรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท นำเงินไปช่วยทหารผ่านศึก

(2 มี.ค. 68)  ‘เปิ้ล ไอริณ’ เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.คันนายาว พร้อมทนายอัครเดช หวังสุข และ ทนายนพฤทธิ์ จันทร์สุวรรณ เข้าแจ้งความหมิ่นประมาท กรณี ‘อินฟลูเล่าข่าว’ ได้โพสต์คลิปโดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ในแอพพลิเคชั่น TikTok ที่โพสต์ไว้เมื่อปี 2566 

เปิ้ล ไอริณ เผยว่า ปกติไม่เล่นติ๊กต็อก แต่วันนั้นเข้าไปเห็นคลิปที่อินฟลูฯสาวโพสต์ มีการกล่าวพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญในชีวิตของเปิ้ลก็คือคุณแม่ ทุกวันนี้ก็ยังห้อยกระดูกแม่ติดตัว โดยเปิ้ลได้สืบมาแล้วว่า เขาเป็นใคร ทำอะไร

รวมไปถึงคนที่เข้ามาคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ที่มีการด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงแม่ ตา ยาย ใครที่แตะถึงบรรพบุรุษ เปิ้ลเอาเรื่องทุกคน ให้เวลา 3 วันรีบลงทิ้ง หากไม่ลบจะให้ทางทนายจัดการทั้งหมด

เปิ้ล กล่าวว่า ที่ผ่านมาขอให้จัดการให้เรียบร้อย แต่ 1 เดือนผ่านไป ยังไม่มีการตอบกลับ หากจะมาขอโทษ ทุกคำด่ามีค่าใช้จ่าย ตนเองมาที่ สน.ก็ต้องมีการจ้างทนายความ ในทุกเดือนเปิ้ลจะนำเงินไปบริจาคให้กับทหารผ่านศึก เงินที่ได้จากการฟ้องก็จะนำไปมอบให้กับทหารผ่านศึกเช่นกัน โดยฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ก็เห็นคู่กรณีนั่ง first class อยู่ตลอดเวลา เงินจำนวนเท่านี้คงไม่ได้มาก แต่มันมากสำหรับการเอาไปช่วยทหารผ่านศึก

เปิ้ล ยังได้โพสต์ภาพคุณแม่และข้อความว่า เนื่องในวันที่ 28 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. เปิ้ลจะไปแจ้งความในคดีหมิ่นประมาทออนไลน์ ซึ่งตั้งแต่เปิ้ลอยู่ในวงการมาเกือบ 30 ปี ครั้งนี้ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทที่รุนแรงที่สุด โดยนักข่าวและพิธีกรคนดังได้กล่าวพาดพิงและสร้างความเกลียดชัง ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาด่าทอ ด้อยค่าเปิ้ล ถึงเรื่องที่เปิ้ลเคยแสดงออกในการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และบุคคลนี้ ได้กล่าวลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเปิ้ล ซึ่ง ณ ที่นี้ ทุกคนจะรู้ดีว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในชีวิตเปิ้ล ที่เปิ้ลระลึกและพูดถึงอยู่เสมอ ก็คือคุณแม่ของเปิ้ล แม้คุณแม่จะจากไป เป็นคนบนฟ้านับ 10 ปีแล้ว แต่ทุกๆปี เปิ้ลก็ยังคงระลึกถึงท่าน ทำบุญทุกวันครบรอบ นำกระดูกแม่มาห้อยคอติดตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดและยังสวดมนต์แผ่เมตตาให้ท่านทุกคืน ไม่เคยขาด!!

....การอยู่ในวงการนี้ จะด่าทำร้าย....การใช้พื้นที่ในโลกโซเชียล ถือเป็นสิ่งพึงระวัง หากพาดพิงถึงบุคคลอื่นที่เราไม่รู้จัก ด้วยความเกลียดชัง เพื่อสร้างยอดไลค์ สามารถสร้างความเสียหาย มีโทษอาญาถึงขั้นจำคุก และถ้าบุคคลนั้น ยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ที่มีอิทธิพลกับคนหมู่มาก ยิ่งพึงต้องระวัง โดยเฉพาะการใช้คำพูด ที่มีเจตนาในการสร้างความเกลียดชัง ในที่สาธารณะและสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่นทั้งทางด้านจิตใจและชื่อเสียง

สมุทรปราการ-ชัยรัชต์พงษ์ ขึ้นเวทีปราศรัยชูนโยบายพัฒนาบางแก้ว ประชาชน กว่า 1,000 คน ส่งเสียงเชียร์

นายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงพร้อมทั้งชูนโยบายแผนพัฒนาเมืองบางแก้วให้มีความเจริญก้าวหน้า

โดยนายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 นำคณะสมาชิกกลุ่มบางแก้วรวมพลัง ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงซึ่งเป็นเวทีแรกในการหาเสียง ภายในโรงเรียนวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ 

โดยมีพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่ จำนวนกว่า 1,000 คน เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยหาเสียงจากกลุ่มผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว โดยนายชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 กล่าวว่า ตนเองรู้สึกเป็นห่วงพี่น้องประชาชนชาวบางแก้วและกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่บางแก้ว

ตนเองมีความพร้อมที่จะเข้ามาบริหารและพัฒนาบางแก้ว พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงบางแก้วให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ ด้วย 11 นโยบาย การผลักดันเศรษฐกิจชุมชนฐานราก การให้ความรู้สร้างอาชีพเพื่อสร้างรายได้แก่พี่น้องประชาชนในชุมชน แผนพัฒนาซ่อมแซมบ้านเรือนผู้ยากไร้ การพัฒนาด้านการศึกษา การสร้างโรงพยาบาลบางแก้ว การปฎิบัติการเฝ้าระวังน้ำท่วม การจัดการด้านขยะ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงจากกลุ่มผู้สมัครบางแก้วรวมพลังในครั้งนี้ ทำให้พี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่บางแก้วที่เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยต่างชื่นชมกับนโยบาย 11 ข้อ พร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ให้การสนับสนุนทางผู้สมัครหมายเลข 3 อย่างเต็มที่

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

2 มีนาคม พ.ศ. 2477 รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ ในขณะประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

วันนี้เมื่อ 91 ปีก่อน ... 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 คืออีกหนึ่งวันสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่อยากให้คนไทยทุก ๆ คนจดจำ สำนึก และตระหนักซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย เพราะนี่คือวันที่รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ โดยขณะนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จากคณะราษฎรส่งผลให้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีไปประทับที่ประเทศอังกฤษ และแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 โดยในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ปรากฏข้อความที่ใช้อ้างอิงกันเสมอในเวลาต่อมา ดังนี้

"... ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร ... บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ..."

อนึ่ง พระองค์ทรงกลับไปใช้พระนามและพระราชอิสริยยศเดิม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา รวมระยะเวลาในการครองราชย์ได้ 9 ปี ขณะมีพระชนมายุได้ 41 พรรษา โดยไม่ทรงตั้งรัชทายาทเพื่อพระราชทานวโรกาสให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คัดเลือกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เอง คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้อัญเชิญเสด็จ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 9 พรรษา ซึ่งพระองค์เป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top