Wednesday, 1 May 2024
NEWS FEED

เปิด 7 สัญญาณเตือน ที่ทำให้ลูกคุณเปลี่ยนไป หลัง ‘เพื่อน-โรงเรียนใหม่’ เปลี่ยนเขาเป็น ‘เหยื่อ’

(4 ก.ค. 66) หลังจากที่ทุกสถานศึกษาได้เปิดเรียนมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เด็กๆ หลายคนอาจจะกำลังปรับตัวการกับการเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ หรือเจอเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะมีการไม่เข้าใจ ทะเลาะ หรือกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่บางครั้งก็อาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีวิธีแนะนำสำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูกหลาน หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรสอบถามและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีความเป็นไปได้ว่าบุตรหลานของท่านจะถูกทำร้ายที่โรงเรียน

1.) บาดแผลตามร่างกาย
รอยแผลที่เกิดจากการถูกทำร้ายบางครั้งอาจจะเป็นรอยช้ำนิดหน่อย แต่เป็นรอยฟกช้ำที่ดูผิดปรกติ เช่น รอยถูกหยิก หรือหูที่บวมแดง รอบบวมตามแขน ขา เป็นต้น

2.) พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
อาจมีพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากเดิม ตกใจง่าย มีปัญหาการเข้ากับเพื่อน หรือไม่ยอมไปโรงเรียน หรือแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การนอนสะดุ้งจากฝันร้าย หรือกลับไปฉี่รดที่นอนอีกครั้ง

3.) ความเงียบไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
เด็กหลายคนที่ถูกทำร้ายเลือกที่จะเงียบมากกว่าโวยวาย เพราะเด็กกลัวว่าเขาจะถูกทำร้ายมากขึ้น หรือแม้แต่กลัวว่าจะเข้ากับสังคมที่โรงเรียนไม่ได้ เด็กบางคนเลือกที่จะเงียบ เมื่อลูกเกิดเงียบจนผิดปกติ คุยน้อยลงจนน่าแปลกใจ หรือถามคำตอบคำแทนที่จะร่าเริง ให้คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้

4.) อารมณ์รุนแรง
การถูกทำร้ายร่างกายนั้นส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ และยังอาจจะทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น เหม่อลอย ขี้ลืม สมาธิสั้น โกรธโมโหง่าย ฉุนเฉียวง่าย ที่อาจจะเกิดจากความคับข้องใจที่ต้องการระบาย บางคนแสดงออกด้วยความก้าวร้าว ต่อต้าน

5.) เริ่มมีการใช้ความรุนแรง
เห็นว่าการใช้ความรุนแรงอย่างการทำร้ายร่างกายทำให้เกิดผลดีได้ เช่น การที่เห็นเพื่อนโดนครูตีแล้วหยุดดื้อ หรือการที่เพื่อนโดนครูหยิกแล้วหยุดคุยกัน ทำให้เด็กแปรผลของพฤติกรรมทางลบนั้นเป็นเรื่องบวก ทำให้เกิดการเลียนแบบโดยใช้ความรุนแรง เพราะเขามองว่าความรุนแรงยุติปัญหาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ

6.) ขาดความมั่นใจ
ถ้าอยู่ ๆ ลูกเคยทำอะไรได้ แต่กลับไม่กล้าทำ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเอะใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนหรือไม่ อาจจะต้องใช้วิธีให้กำลังใจก่อนจะค่อย ๆ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับให้คำแนะนำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และให้แนวคิดที่ถูกต้อง

7.) การกินและการนอนที่เปลี่ยนไป
เด็กที่ถูกทำร้ายอาจจะส่งผลต่อพฤติกรรมหลายอย่าง เด็กอาจจะเศร้าจนกินได้ไม่มากเท่าเดิม หรือนอนฝันร้าย นอนสะดุ้ง ปัสสาวะรดที่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเอะใจว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีที่โรงเรียนอย่างแน่นอน

การตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในวัยเด็กนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนอาจคิดว่าโตขึ้นเด็กคงลืมได้ แต่แท้จริงแล้วความรุนแรงนั้นจะแฝงอยู่จนเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น พวกเขาจะเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหา เพราะเรียนรู้ในวัยเด็กว่า ความรุนแรงนั้นยุติปัญหาได้จริง ดังนั้นจึงขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูก ๆ หลาย ในเบื้องต้น เพื่อป้องกันเด็กถูกทำร้าย และป้องกันตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในโรงเรียน

‘4 หนุ่ม’ วงแตก!! แก๊สกระป๋องหม้อไฟชาบูระเบิด รู้สึกกลัว!! แต่ในมือยังถือ ‘ถ้วย-ตะเกียบ’ แน่น

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ผู้ใช้ติ๊กต็อกที่ใช้ชื่อว่า ‘a2tuinho100991’ โพสต์คลิปวิดีโอไว้เป็นอุทาหรณ์สายชาบูทั้งหลาย เผยว่า ขณะกำลังนั่งกินชาบูหม้อไฟพร้อมกับเพื่อนรวม 4 คน แต่ความอร่อยต้องมาสะดุด เมื่อที่บริเวณใส่ขวดแก๊สเปิดออก หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วินาที เตาระเบิดทันทีทำให้ 3 หนุ่มวิ่งหนี แต่อีก 1 หนุ่มยังอึ้งกับเหตุการณ์และที่มือยังถือถ้วยและตะเกียบไว้แน่น

โดยเจ้าของคลิป ยังระบุข้อความไว้ว่า “มองย้อนกลับไปตอนนี้ยังรู้สึกกลัวอยู่ ระวังกันด้วยนะทุกคน สบายดี”

สช.นราธิวาส จัดพิธีเปิดและส่งมอบนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เชื่อมสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ

นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานกล่าวเปิดงานและต้อนรับ คณะ นักศึกษาภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-อินโดนีเซีย ณ ห้องประชุมใยลานี  ชั้น 3 อาคาร 16 โรงเรียนดารุสสาลาม อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส นายสนั่น เปิดเผยว่าโครงการที่จัดขึ้นถือว่าเป็นโครงการที่ดีมากถือว่าเป็นครั้งแรกของสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส นอกจากจะเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างประเทศอินโดนีเซียที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้องของเราแล้วยังทำให้น้องน้องเยาวชนในพื้นที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี ที่แปลกใหม่ของอินโดนีเซีย และสามารถนำประสบการณ์สิ่งดีในพื้นที่จังหวัดชายเเดนภาคใต้ของเรา กลับไปเผยแพร่ให้กับพี่น้องในประเทศอินโดนีเซียได้รับรู้ต่อไป

ทางด้านนายภิญญา รัตนวรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า การจัดโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเซียมีวัตถุประสงค์ คือ เป็นการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีต่อกันโดยใช้กระบวนการจัดการศึกษาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การศึกษาซึ่งกันและกัน พัฒนาศักยภาพและทักษะทางภาษา และเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของทั้ง 2  ประเทศ และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ…

สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส เห็นความสำคัญของการสร้างมาตรฐานการจัดการศึกษา เพื่อยกระดับความสำเร็จในการจัดการศึกษากับต่างประเทศ จึงได้จัดโครงการภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส สถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนของสาธารณรัฐอินโดนีเชีย โดยได้ดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษาไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเชีย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ดังกล่าว ทางมหาวิทยาลัยในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จะดำเนินการส่งนักศึกษาเข้าแลกเปลี่ยนในโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส ซึ่งในครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จำนวน 75 คน มีระยะเวลาในการแลกเปลี่ยนจำนวน 3 เดือน ระหว่างวันที่กรกฎาคม 2566 ถึง 2 ตุลาคม 2566 มีโรงเรียนรับนักศึกษาแลกเปลี่ยน จำนวน 38 แห่ง โดยเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จำนวน 26 แห่งและสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส จำนวน 12 แห่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง มอบหมาย ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขับเคลื่อน วาง 9 มาตรการเข้ม แก้ไขปัญหาเด็กแว้นอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางของเด็กและเยาวชน (เด็กแว้น) อันเป็นปัญหาที่สร้างอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชนในชุมชนและสังคม จึงได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปข.ตร. และมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปข.ตร. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง โดยใช้นโยบายบังคับใช้กฎหมาย ใน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการก่อนเกิดเหตุ มาตรการขณะเกิดเหตุ มาตรการสอบสวนขยายผล และมาตรการเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อน ศปข.ตร. และกำหนดแนวทางมาตรการปฏิบัติในห้วงต่อไปในปี พ.ศ.2566 โดยมีผู้แทนหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจ 1,484 สถานีทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล รับฟังรายงานการบันทึกข้อมูลในระบบ CRIME และสถิติการดำเนินการ สถิติการร้องเรียนผ่านทางศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 และ 1599 พร้อมการวิเคราะห์จัดกลุ่มความเสี่ยงของพื้นที่ สน./สภ. และสรุปผลการป้องกันปราบปราม ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการแข่งรถในทางที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ และความคืบหน้าการจ่ายเงินรางวัลเบาะแส เป็นต้น

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ได้กำหนดมาตรการปฏิบัติและกำชับให้หน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. นำไปขับเคลื่อนเพื่อป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ในห้วงต่อไปในปี พ.ศ.2566 โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างจับกุมและเพิ่มความเข้มในมาตรการป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทาง ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะเป็นการนำไปสู่การแข่งรถในทาง โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายใน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการก่อนเกิดเหตุ มาตรการขณะเกิดเหตุ มาตรการสอบสวนขยายผล และมาตรการเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

2. เร่งรัดกวดขันตรวจสอบการกระทำความผิดทุกช่องทาง และเพิ่มความเข้มในการระดมกวาดล้างจับกุม ทั้ง ONLINE เช่น คลิปการแข่งรถ, การขับรถที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, ร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ และ ON GROUND เพิ่มความเข้มออกตรวจตรา แหล่งมั่วสุม จุดนัดหมาย ร้านจำหน่ายอะไหล่ ร้านซ่อมดัดแปลงสภาพรถ ร้านแต่งซิ่ง โรงงานและร้านขายท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน ตลอดจนเส้นทาง ถนนที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ ฯลฯ ดำเนินการตามกฎหมายกับตัวการ และสอบสวนขยายผลไปยังผู้สนับสนุน เช่น ผู้ผลิต จำหน่าย ประกอบ ดัดแปลง ยุยงส่งเสริม Admin page และกองเชียร์ ตรวจยึดรถต้องสงสัย พร้อมจัดทำประวัติผู้กระทำผิดและมีพฤติกรรมเสี่ยง

3. กรณีมีการชักชวนรวมกลุ่มมั่วสุมแข่งรถในทาง หรือออกทริปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล วันหยุดราชการและวันหยุดต่อเนื่อง ในห้วงเดือน ก.ค. - ส.ค.66 ให้ดำเนินการตามมาตรการที่ ตร. กำหนด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่กลางทาง จนถึงพื้นที่ปลายทาง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อกวดขันวินัยจราจร ตรวจสอบและป้องปรามให้ครอบคลุม และให้หน่วยพื้นที่ต้นทางประชาสัมพันธ์กับ Admin Page ให้ระงับการดำเนินการดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และประชาชนที่พักอยู่ริมทางและลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ หากมีการรวมกลุ่มออกทริปท่องเที่ยวเกิดขึ้นแล้ว ให้ สน./สภ. บูรณาการกำลังทุกฝ่ายให้ยุติกิจกรรมพร้อมติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็ว หากเกี่ยวข้องในหลายพื้นที่ ให้บูรณาการข้อมูลและการปฏิบัติ ระหว่างพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 

4. ในช่วงเปิดภาคเรียน ให้ดำเนินโครงการ เปิดโรงเรียน เปิดโรงรถ พร้อมทั้งเครือข่ายเยาวชนก่อการดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้ ป้องปรามและปรับเปลี่ยนเยาวชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ให้กลับตัวเป็นคนดี มีจิตอาสา มุ่งสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

5. ให้ความสำคัญการรับแจ้งเหตุและร้องเรียนในทุกช่องทาง โดยให้ กก.สส.บก.น./ภ.จว. ร่วมกับงานสืบสวน ของ สน./สภ. เร่งรัดตรวจสอบและดำเนินการ เน้นการสืบสวนหลังเกิดเหตุให้ได้ตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีทุกราย เพื่อป้องปรามไม่ให้กลับมากระทำความผิดอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับแจ้งเหตุทางศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบทุกเหตุ แล้วรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบตามความเป็นจริง 

6. ในห้วงที่ผ่านมา พบว่าสถิติการรับแจ้งเหตุฯ ของบางหน่วย มีแนวโน้มสูงขึ้น ให้หน่วยทุกระดับนำข้อมูลการรับแจ้งเหตุและพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ของศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191, 1599 และข้อมูลในระบบ CRIMES มาวิเคราะห์ เพื่อวางแผนและกำหนดมาตรการในการป้องกันปราบปรามเหตุเพื่อป้องกันเหตุและลดอุบัติเหตุ ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และสืบสวนจับกุมให้ได้ทุกราย 

7. ให้ผู้บังคับบัญชาสุ่มตรวจและทดสอบการปฏิบัติ กรณีเมื่อได้รับแจ้งเหตุแข่งรถในทาง ผ่านศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 และช่องทางอื่นๆ เพื่อทดสอบการดำเนินการทั้งระบบ เช่น การรับแจ้งและประสานงาน การเดินทางไปที่เกิดเหตุ การเข้าระงับเหตุและดำเนินคดี การรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อกระตุ้น แก้ไขปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติ 

8. แสวงหาความร่วมมือ ข้อมูลและเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่และช่องทางอื่นๆ ทุกช่องทาง ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรับทราบ กรณีผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแสที่สามารถนำไปสู่การจับกุมความผิดแข่งรถในทาง จะได้รับค่าตอบแทน รายละ 3,000 บาท โดยสามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191, สายด่วน 1599 และ ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.

9. กรณีมีการจัดการแข่งขันรถ อันมีลักษณะเป็นเทศกาลประจำในพื้นที่ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร และป้องกันอุบัติเหตุอย่างใกล้ชิด
          
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังที่จะดำเนินการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ประชาชนได้รับความสะดวกในการการเดินทาง ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และความเดือดร้อนรำคาญของประชาชนในชุมชนและสังคม ตลอดจนสร้างความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีทั่วประเทศ ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชนและสังคม

ผู้ป่วยเป็นปลื้ม!! โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น โรงพยาบาลรัฐที่บริการดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย

(4 ก.ค. 66) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดาริกา โพธิรุกข์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกฎหมายบริหารพัสดุและทรัพย์สิน ม.มหาสารคาม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Darika Phothiruk’ ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า…

พาพ่อมาหาหมอ พี่ รปภ. จัดการจราจรดูแลดีมาก ทันทีที่จอดรถ เปิดประตู ถามคำแรก "คุณตาไหวไหม" (ลงเองได้ไหม) ปิดประตูให้ ดูรถให้ เป็น รพ. รัฐที่ไม่เหมือนรัฐ ดีเสมอตั้งแต่พ่อมาเป็นคนไข้แรกๆ จน
ปัจจุบัน เยี่ยมจริงๆ

รวมพลัง!! เทศบาลนครสมุทรปราการ ร่วมกับ ทสม.จังหวัดสมุทรปราการ จัดกิจกรรม Big Cleaning Day ทำความสะอาดวัดในเขตพื้นที่

นางประภาพร อัศวเหม นายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม ประธานเครือข่าย อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จังหวัดสมุทรปราการ (ทสม.จังหวัดสมุทรปราการ) นำคณะสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่เทศบาลนครสมุทรปราการ

ร่วมกันทำกิจกรรม Big Cleaning Day ในเขตพื้นที่เทศบาลนครสมุทรปราการ ตามแนวทางของโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข พัฒนาวัด ด้วยแนวทาง 5 ส โดยกำหนดจัดโครงการ รวม 5 วัดในเขตพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมวันแรกนั้น เป็นการทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบภายในบริเวณวัดชัยมงคล ประกอบด้วย การฉีดล้างทำความสะอาดพื้น และการทำความสะอาดห้องน้ำวัด

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการรักษาดูแลทำความสะอาดภายในศาสนสถาน จุดบริการห้องน้ำสาธารณะที่ประชาชนมาใช้บริการ รวมถึงบริเวณพื้นที่ต่างๆ ภายในวัด ซึ่งถือเป็นการทำนุบำรุงศาสนสถานให้พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติศาสนกิจด้วยความสะดวก และพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาทำบุญปฏิบัติธรรมหรือร่วมกิจกรรมประเพณีทางศาสนาในวัดได้อย่างสบายใจและสุขภาพอนามัยที่ดี ด้วยความห่วงใยจากคณะผู้บริหารเทศบาลนครสมุทรปราการ 

ทุกวินาทีคือชีวิต! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำส่งอวัยวะหัวใจ ครั้งที่ 71 “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง “สุภาพบุรุษจราจร”

วันนี้ (4 ก.ค.66) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่ง รพ.ศิริราช ได้ทันเวลา

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้รับการประสานงานจากศูนย์บริจาคอวัยวะ รพ.ภูมิพล ผ่านศูนย์วิทยุจราจรโครงการพระราชดำริ แจ้งว่าขอสนับสนุนนำอวัยวะหัวใจจาก รพ.ภูมิพล ส่งยัง รพ.ศิริราช หลังจากรับแจ้ง ตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้นำกำลังตำรวจไปรอรับที่ รพ.ภูมิพล เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยัง รพ.ศิริราช รวมถึงได้รับความร่วมมือจากตำรวจจราจร สน.ท้องที่ ในเส้นทางทุกพื้นที่ และผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้เปิดเส้นทางนำส่งอวัยวะหัวใจ ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น (อวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย)  จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา โดยกรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 71 แล้ว ที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่มากกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย เพราะการบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่ โทร.1197 กองบังคับการตำรวจจราจร

‘ทีมแพทย์’ อัปเดตอาการ ‘พลายศักดิ์สุรินทร์’ พบ ‘ตาขวาเป็นต้อ-ขาหน้าซ้ายงอไม่ได้’ แต่กินได้ดี

(4 ก.ค. 66) หลังจากที่พลายศักดิ์สุรินทร์ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย และเข้ากักตัวที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง เรียบร้อยแล้วนั้น

ล่าสุด โรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อัปเดตสถานการณ์อาการของพลายศักดิ์สุรินทร์หลังจากที่ทีมแพทย์ได้เข้าไปตรวจสอบเบื้องต้น โดยเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลช้าง ระบุว่า

หลังจากเดินทางไกลกว่า 2,400 กิโลเมตร จากประเทศศรีลังกาสู่ประเทศไทย ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งสิ้นกว่า 16 ชั่วโมง พลายศักดิ์สุรินทร์ก็ถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ เมื่อมาถึงคุณหมอได้ทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นพบว่าช้างอ่อนเพลียจากการเดินทางเล็กน้อย กินน้ำและอาหารที่จัดเตรียมไว้ได้ดี การขับถ่ายปกติ สามารถล้มตัวลงนอนและลุกขึ้นเองได้ พบปัญหาสุขภาพเบื้องต้นคือขาหน้าซ้ายงอไม่ได้ ปัญหาเล็บและฝ่าเท้า พบแผลฝีที่สะโพกทั้งสองข้างและตาขวาเป็นต้อกระจก

หลังจากทำการตรวจสุขภาพแล้ว คุณหมอก็ได้เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจโรคติดต่อต่าง ๆ โดยถ้าหากพ้นระยะกักโรคตามกฎหมายแล้วจึงจะทำการย้ายช้างเข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

กิจวัตรประจำวันของสุดหล่อในช่วงกักตัวจะเป็นการทำความคุ้นเคยกับพี่ควาญ ฝึกเรียนรู้คำสั่งภาษาไทยและฝึกการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ โดยในช่วงแรกเพื่อความปลอดภัยของตัวช้างซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่และการป้องกันโรคติดต่อไปสู่ช้างเชือกอื่น จึงต้องมีการจำกัดบริเวณกันซักเล็กน้อย เมื่อเกิดความคุ้นเคยดีแล้วทางทีมงานก็จะได้ปรับกิจกรรมประจำวันให้เหมาะสมกับช้างต่อไปค่ะ

‘สภากรรมการฯ’ ปัดคำขอลาออกของ ‘สมยศ’ หวั่นถูก FIFA แบน ชี้!! ให้อยู่จนครบวาระ

(3 ก.ค. 66) สภากรรมการสมาคมฟุตบอลเเห่งประเทศไทยไม่อนุมัติคำขอลาออกของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกลูกหนังไทย

ก่อนหน้านี้ อดีตผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ประกาศผ่านเฟสบุ๊กพร้อมลาออกจากตำเเหน่งหลังถูก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย กดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบผลงานฟุตบอลชายในซีเกมส์ ที่ได้เเค่เหรียญเงินเเถมยังมีเรื่องชกต่อยกับคู่เเข่งในรอบชิงฯ

ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะเข้าข่ายสมาคมถูกการเมืองเเทรกเเซงหรือไม่ ถ้าเป็นเเบบนั้นจะเสี่ยงถูกฟีฟ่าเเบน

ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ เดินทางไปเข้าประชุมสภากรรมการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออกของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เเละให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระในวันที่ 11 ก.พ. 2567 โดยมีเหตุผลที่จะไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงกับการโดนฟีฟ่าลงดาบ

นักวอลเลย์บอลหญิงแคนาดา สุดซึ้ง!! หลังได้ยาดมจากแฟนลูกยางชาวไทย

(3 ก.ค.66) ควันหลงศึกวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2023 สัปดาห์ที่ 3 'วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติแคนาดา' จบการแข่งขันด้วยผลงาน แข่ง 12 นัด ชนะ 6 แพ้ 6 มี 18 แต้ม จบที่ 10

โดยในการแข่งขันสนาม 3 ไทยเป็นเจ้าภาพได้รับการต้อนรับจากแฟนลูกยางชาวไทยนำของไปมอบให้นักกีฬา และหนึ่งในนั้นมีแฟนคลับชาวไทยนำยาดมไปให้กับ 'คาโรลีน ลีฟวิงสตัน' ซึ่งปฏิกิริยาของเธอทันทีที่เห็นว่าเป็นยาดมถึงกับแสดงซึ้งออกมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top