Thursday, 2 May 2024
NEWS FEED

พ่อแม่ดิ้นรนเพื่อตนอย่างสุดใจ แล้วทำไม ลูกๆ จะปันสุขส่วนหนึ่งเพื่อท่านมิได้

(5 ก.ค. 66) 'ป้าจูรี นุ่มแก้ว' หรือ 'แม็กซ์ ตรัย นุ่มแก้ว' ดาว TikTok ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ในช่อง 'แหลงเล่า' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ปัจจุบันมีแนวคิดหนึ่งของเด็กยุคใหม่ว่า ลูกไม่จำเป็นต้องส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่กะได้ การส่งเบี้ยให้พ่อแม่ ไม่เท่ากับ ความกตัญญู

...ฉันเคารพในความคิดของทุกคน เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ แต่ละคนอาจจะรู้สึกเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้

...แต่สำหรับฉัน ภาพที่ฉันจำตั้งแต่เอียดคือ พ่อแม่แกปล้ำดิ้นรนเพื่อฉัน หาให้ฉันกิน ส่งให้ฉันเรียน ปอกลูกม่วงให้ฉันกินเนื้อ แกยอมดูดเม็ดมัน พอฉันใหญ่ขึ้น พอรู้สา ฉันกะใช้ภาพในหัวให้พ่อแม่อยู่ในแรงจูงใจของชีวิตว่า ชีวิตต้องดีขึ้น เพื่อให้พ่อแม่สลับมาได้กินเนื้อลูกม่วงมั้ง เพราะชีวิตฉันถ้าไม่มีพ่อแม่เป็นแรงขับ กะอาจจะเสียคน ติดหรางหรือไม่รู้ไปถึงไหน

...ฉะนั้น เมื่อฉันเลี้ยงตัวได้แล้ว มันอิแปลกไอไหร ถ้าเราอิแบ่งส่วนหนึ่งที่หามาได้ไปเลี้ยงแรงขับที่พาชีวิตเรามากัน เมื่อฉันรู้สึกว่าจิตวิญญาณพ่อแม่อยู่ในตัวฉัน รู้สึกว่าฉันกับพ่อแม่เราคือคนเดียวกัน ถ้าฉันได้กิน พ่อแม่ฉันก็ต้องได้กิน ชีวิตฉันมีความสุข พ่อแม่ก็ต้องได้สุขตาม หรือแม้แต่ตายจากกันแล้ว ทุกบุญที่ฉันทำ พ่อแม่ฉันจะได้รับการนึกถึงตลอดไปจนสุดลมหายใจฉัน

48 สาขา และตัวแทนอีสาน ออกแถลงการณ์หนุนอภิสิทธิ์ฯ เป็นหัวหน้า ปชป. ร่วมสร้างเอกภาพจากบุคลากรทุกรุ่น หวังเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน

วันนี้ (4 ก.ค. 66) ที่จังหวัดขอนแก่น ภายหลังการประชุมหารือร่วมกันของสาขาและตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) ทั้ง 48 แห่งได้แสดงจุดยืนเพื่อสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นหัวหน้าฯ 

ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ จะมีการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้า และคณะกรรมการบริหาร พรรคชุดใหม่ ในวันที่ 9 ก.ค. 2566 แทนชุดเดิม ซึ่งได้หมดวาระลงนั้น

พวกเราในฐานะสาขาและตัวแทนพรรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)ได้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดและประมวลความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากสมาชิกในระดับต่างๆซึ่งมี ข้อสรุปที่สอดคล้องกันว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทอย่างสําคัญ ต่อการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ประชาชนจะสามารถยึดเหนี่ยวได้ ดังนั้นการเลือกกรรมการบริหารพรรค โดยเฉพาะตําแหน่งหัวหน้าพรรค ที่ต้องทําหน้าที่นำพาองค์กรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งประเทศ จึงมีความสําคัญ และจําเป็นที่จะต้องได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และ มีหลักคิดที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ และประชาชนได้ 

พวกเราจึงมีมติร่วมกันเพื่อนําเสนอต่อพรรคและเพื่อนสมาชิกทั่วประเทศดังนี้ 
1. พวกเราขอสนับสนุน นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรีให้ทําหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อนําพาองค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันทางการเมืองแหง่นี้ ให้เกิดศรัทธา และความเชื่อมั่นที่ประชาชนสามารถยึดเหนี่ยวเพื่อรักษาระบอบการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อไป

2. พวกเราเห็นว่าบุคลากรทุกองค์ประกอบของพรรค ต่างมีคุณค่าตามสถานภาพและความรับผิดชอบจึงอยากเห็นความสามัคคีและความเป็นเอกภาพเพื่อร่วมกันพัฒนาองค์กร แห่งนี้ให้เป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้

3. พวกเราขอสนับสนุนท้ังอุดมการณ์ และประสบการณ์ของบุคลากรรุ่นเก่า และผสม ผสานกับบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาสืบทอดเจตนารมณ์ และอุดมการณ์ เพื่อความยั่งยืนของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือเป็นสถาบันทางการเมืองของประเทศต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อแสดงจุดยืนของ สาขาพรรค ตัวแทนพรรค และพี่น้องประชาชน ท้ังที่เป็น และไม่ไ่ด้เป็นสมาชิกพรรคจากพื้นที่ภาคตตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)และขอเชิญชวนพี่น้องชาวประชาธิปัตย์ทุกท่านทั่วประเทศร่วมสืบทอดเจตนารมณ์ร่วมกัน

ด้วยจิตคารวะ สาขา และ ตัวแทนจังหวัดภาคอีสาน ทั้ง 48 แห่ง ที่ประสานงานเบื้องต้น(ตามรายชื่อที่ปรากฏในแถลงการณ์) 

นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

กรมศุลกากร ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เปิดตู้ของกลางซากสัตว์และสุกรเถื่อน 161 ตู้

วันที่ 5 ก.ค.65 เวลา 09.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร มอบหมายให้นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ รองอธิบดีกรมศุลกากร และนายสุรเดช ตรงศิริวิบูลย์ ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง มอบหมายให้ นายวาริส วิสารทานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า นายฐิติพงศ์ คำผุย ผู้อำนวยการส่วนบริการศุลกากร 1 และนายศิริพงษ์ ศุภโกเศรษฐ์ ผู้อำนวยการส่วนบริการศุลกากร 2 สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมคณะ ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมปศุสัตว์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ตรวจสอบตู้ของตกค้างประเภทสุกรแช่แข็งที่ตกเป็นของแผ่นดิน จํานวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเทียบเรือ D1 ท่าเรือแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อํ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง กรมศุลกากร ได้ตรวจยึดซากสุกรแช่แข็งตกค้าง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จํานวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ จากการตรวจสอบ พบซากสัตว์ที่ยึดได้ทั้งหมดมีแหล่งกําเนิดจากต่างประเทศ และไม่มีแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ประกอบกับไม่มีเอกสารรับรองการฆ่าสัตว์หรือสุขศาสตร์ของสัตวแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดหรือพาหะของ โรคระบาดสัตว์ ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศได้ 

ต่อมากรมศุลกากร ได้มีหนังสือถึงกองบัญชาการ ตํารวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งในฐานะนิติบุคคลและในฐานะส่วนตัว ในความผิดฐานนําเข้าซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ที่ 59/2566 กรณี ขบวนการนําเข้าสินค้าประเภท ซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ กรมศุลกากร ได้มีหนังสือส่งมอบตู้สินค้าประเภทสุกรแช่แข็งตกค้าง ให้แก่ด่านกักกันสัตว์ชลบุรี กรมปศุสัตว์ เพื่อทําลายซึ่งภายหลังจากการตรวจสอบตู้สินค้าดังกล่าวเสร็จสิ้น ด่านกักกันสัตว์ชลบุรี กรมปศุสัตว์จะนําไปทําลาย ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ประกอบกับระเบียบ กรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการทําลายหรือจัดการ โดยวิธีอื่น ซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ที่นําเข้าหรือนําผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2563 ต่อไปเพื่อให้การดําเนินการเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่ถูกต้อง โปร่งใส สอดคล้องกับพันธกิจ ของกรมศุลกากรด้านการปกป้องสังคมและส่งเสริมเศรษฐกิจของ ประเทศ ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

“ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ” จัดอบรมดับเพลิงซ้อมแผนอพยพหนีไฟ ประจำปี 2566 

เมื่อเวลา 08.00 น. ของวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติมาเป็นประธาน กล่าวเปิดงาน อบรมดับเพลิงและซ้อมแผนอพยพหนีไฟ ประจำปี 2566 ของศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 

โดยมี นายจักรวาล อนุชิตพรชัย ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการสูญเสีย ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนอำเภอบางพลี อบต.ราชาเทวะ อบต.บางพลีใหญ่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1 ตัวแทนสำนักงาน ปภ.จังหวัดสมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ราชาเทวะ สาธารณสุขอำเภอบางพลี ตลอดจน เจ้าหน้าที่ดับเพลิง พนักงาน เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

โดยมีนายยรรยง เกษมวีรศานต์ ผู้จัดการทั่วไปสายบริหารศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ร่วมให้การต้อนรับ สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 8 ที่ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ได้จัดขึ้นตามกฎกระทรวงแรงงานกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวะอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2556 

ทั้งนี้ ทางศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ของบุคลากร พนักงาน เจ้าของร้านค้า และประชาชนผู้มาใช้บริการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด โดยในปีนี้ได้จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 5-6 กรกฎาคม 2566 การฝึกซ้อมดังกล่าว ได้มีการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง โดยให้พนักงานทำการซักซ้อม ข้อปฏิบัติหากเกินสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการอพยพบุคลากร พนักงาน เจ้าของร้านค้า และประชาชนผู้มาใช้บริการออกจากตัวอาคารสู่พื้นที่ปลอดภัย โดยศูนย์การค้าฯ มุ่งหวังเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีทักษะด้านการวางแผนการดับเพลิง วิธีการดับเพลิง การใช้อุปกรณ์ดับเพลิง การระงับเหตุอัคคีภัยในเบื้องต้น เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงทดสอบระบบการป้องกันอัคคีภัยภายในศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ อีกด้วย

โดยทางด้าน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้กล่าวชื่นชมศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ ที่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินของบุคลากร พนักงาน เจ้าของร้านค้า และประชาชนผู้มาใช้บริการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด ซึ่งการจัดงานนั้น ถือเป็นการเตรียมความพร้อมและซักซ้อมให้บุคลากรมีความเข้าใจในการปฎิบัติตน เมื่อเกิดสถานการณ์จริง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของศูนย์การค้าฯ ได้มีความพร้อมในการเข้าระงับเหตุ มีการทดสอบอุปกรณ์ดับเพลิงและเตรียมการด้านระบบสัญญาณแจ้งเหตุอัคคีภัย อีกทั้ง ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของภาครัฐเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ถือเป็นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เมื่อเกิดสถานการณ์จริงสามารถเข้าร่วมระงับเหตุได้ด้วยความปลอดภัยและ ถูกต้องตามขั้นตอน สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับบุคลากร พนักงาน เจ้าของร้านค้า และลูกค้าผู้มาใช้บริการ ภายในศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผบ.ตร.ผนึกกำลัง 20 กระทรวง พร้อมรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สื่อมวลชน กต.ตร.เปิดรณรงค์ “ร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” สร้างการรับรู้ร่วมกัน

วันที่  5 ก.ค.66 เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.   พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ  ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลเอก ธิติชัย  เทียนทอง   เสนาธิการทหาร พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้แทนกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย เครือข่ายภาคเอกชนทั้งบริษัทน้ำมัน  ห้างสรรพสินค้า และ สื่อมวลชน  และ กต.ตร. และสถานีตำรวจทั่วประเทศ ร่วมเปิดการรณรงค์ “ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

สืบเนื่องจาก คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ “คดีออนไลน์” เป็นอาชญากรรมที่ส่งผลสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ และความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างมาก  แม้ว่า ตร.จะพัฒนาระบบแจ้งความออนไลน์ หรือร่วมผลักดัน พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566  มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.66 แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน เพียงแค่ทำให้คดีลดน้อยลง

ผบ.ตร.เห็นว่า การที่จะป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้ดีที่สุดนั้น คือการสร้างความรู้    การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงของคนร้ายบนโลกออนไลน์  จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งคณะทำงานสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีกิจกรรมโครงการณรงค์ต่างๆ ซึ่งทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด รวมถึงโครงการรณรงค์ในวันนี้ 

“ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” มีส่วนราชการร่วมดำเนินการ หน่วยงานระดับกระทรวง จำนวน 20 กระทรวง  ประกอบด้วย   สำนักนายกรัฐมนตรี   กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงสาธารณสุข

หน่วยงานระดับกรม จำนวน 9 กรม  ประกอบด้วย กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการ
ขนส่งทางบก กรมศุลกากร กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมการค้าภายใน กรมธุรกิจพลังงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมสรรพากร

หน่วยงานอิสระ จำนวน 4 หน่วย  ประกอบด้วย สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสมาคมธนาคารไทย

กองทุนจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนสื่อสร้างสรรค์และปลอดภัย และ สำนักงาน
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ห้างสรรพสินค้า จำนวน 4 แห่ง  ประกอบด้วย ห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ห้างสรรพสินค้าแมคโคร ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส  และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ค้าน้ำมัน จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท เชลล์(แห่งประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสโซ่(แห่งประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 

นอกจากนี้ยังมี รัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 แห่ง สื่อมวลชน จำนวน 11 แห่ง คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจระดับ กองบัญชาการ กองบังคับการ และสถานีตำรวจ ทั่วประเทศ ร่วมรณรงค์โครงการโดยมีมาตรการสำคัญดังนี้ 

1) ร่วมกับทุกภาคส่วนและ กต.ตร.ในการสร้างการรับรู้ ต้านภัยออนไลน์ โดยใช้ข้อความที่เป็นสาระเดียวกันทุกหน่วยงานเป็น“ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” เพื่อสื่อสารข้อความดังกล่าวไปยังบุคคลากรในหน่วยงาน ประชาชนที่มาติดต่อราชการ หรือลูกค้าที่มาใช้บริการหรือซื้อสินค้า 

2) ร่วมกับภาคการศึกษา อบรมให้ความรู้ภัยโกงทางไซเบอร์ พัฒนาหลักสูตรการเตือนภัยไซเบอร์ให้เหมาะสมกลุ่มเป้าหมายและอายุ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนต้านภัยไซเบอร์สำหรับเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษาในสถานบันการศึกษา

3)ร่วมกับภาคสื่อมวลชน นำเสนอข่าวเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะรายละเอียดขั้นตอนการโกง เพื่อเป็นแนวทางการป้องกัน รวมทั้งสนับสนุนการเผยแพร่ข้อความ ข่าว รูป ป้ายประชาสัมพันธ์ เนื้อหาเกี่ยวกับเตือนภัยออนไลน์ระหว่างออกอากาศของช่องสื่อ

4) ร่วมกับภาครัฐ ผลิตแอพไซเบอร์วัคซีน 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  ยังสั่งการให้ทุกกองบัญชาการระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ทุกประเภท ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2566 โดยเฉพาะบัญชีม้า ซิมม้า ที่เป็นต้นตอสาเหตุ ฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อเปิดบัญชีม้า ซิมม้า หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดจะมีโทษ 
ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ใดเป็นธุระจัดหา โฆษณา ซื้อหรือขายบัญชีจะมีจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,0000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนมีข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดบัญชีม้า ซิมม้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที 

นอกจากนั้น  เพื่อให้การขับเคลื่อนและกำหนดแนวทางการบังคับใช้ พ.ร.ก. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  ซึ่ง ผบ.ตร. เป็นประธานอนุกรรมการ  ได้มีการประชุมหารือร่วมกับธนาคาร สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เพื่อร่วมกำหนดมาตรการที่สำคัญ ได้แก่   กำหนดเหตุอันควรสงสัยว่ามีหรืออาจจะมีการกระทำความผิด ของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการโทรศัพท์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อระงับการทำธุรกรรม และส่งต่อข้อมูลกันเป็นระบบ ช่องทางติดต่อประสานงาน ทั้ง 21 ธนาคาร ผู้ให้บริการโทรศัพท์ และ ตร.

พร้อมสั่งย้ำทุกภาคส่วน ให้ความสำคัญกับการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการเพิ่ม ครูไซเบอร์ ให้เข้าถึงส่วนราชการ ภาคเอกชน สถานประกอบการ ร้านค้า ชุมชนต่าง เพื่อเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด เพื่อให้ความรู้ประชาชน “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” พร้อมแนะนำให้ทำข้อสอบวัคซีน และบอกต่อคนอื่นๆ ให้ทำข้อสอบ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันต้านภัยโกง 

ผบ.ตร.กล่าวว่า  “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการรับแจ้งความออนไลน์ ผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com  หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 นับ

ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2566 พบว่ามีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์ จำนวน  287,122 คดี เฉลี่ยวันละกว่า 800 คดี รวมมูลค่าความเสียหายเกือบ 40,000 ล้านบาท  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ 5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ   3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4) หลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ 5) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (คอลเซ็นเตอร์) 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์  แถลงข่าวเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ  ในหลายวิธี  หลายช่องทาง  เพื่อให้ประชาชนได้มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์  แต่ปรากฏว่ายังมีประชาชนตกเป็นเหยื่อของคนร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก  จึงพิจารณาแล้วว่าภัยอาชญกรรมไซเบอร์เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดำเนินการ   จึงได้เชิญหน่วยงานต่างๆ  ทั้งภาครัฐ  เอกสาร สื่อมวลชน  และ คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ ทำพิธีเปิดการรณรงค์ “ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” โดยให้ทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์โดยใช้ข้อความที่เป็นสาระสำคัญ เดียวกันคือ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง”

และขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบ  วัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ   ซึ่งได้รวบรวมมาจากกลโกงของคนร้ายและสิ่งที่ประชาชนควรรู้  เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีความรู้ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์อีกทางหนึ่ง และขอให้บอกต่อเพื่อทำแบบทดสอบเพื่อให้มีความรู้เป็นภูมิคุ้มกันภัยกันทุกคน และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ เชื่อว่าไซเบอร์วัคซีนนี้  ถือเป็นวัคซีนที่ดี เมื่อได้รับภูมิแม้เพียงครั้งเดียว ก็จะสร้างภูมิคุ้มกันได้ต่อเนื่องตลอดไป  ถ้าคนไทยทุกคนได้รับวัคซีนนี้อย่างทั่วถึง  จะเป็นการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลมากที่สุด ทั้งนี้สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com  Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์  หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรสายด่วน 1441 “

ตำรวจไซเบอร์เผยกลโกงขบวนการซื้อขายบัญชีม้า-ซิมม้าในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เร่งตามจับกุมทั้งขบวนการ ล่าสุดจับกุมบัญชีม้าตัดวงจรหลอกลวงออนไลน์

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ทุกกองบังคับการ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายคดีอาชญากรรมออนไลน์ทุกประเภท  ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าคดีออนไลน์ต่าง ๆ มักมีการใช้บัญชีม้า ซิมม้า ในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน ดังนั้น จึงได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์เร่งกวาดล้างจับกุมบัญชีม้า ซิมม้า เพื่อตัดวงจรการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 สั่งการจับกุมผู้ต้องหาบัญชีม้าในพื้นที่ จ.ขอนแก่น หลังสืบทราบว่ามีขบวนการซื้อขายบัญชีธนาคารผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ โดยพบว่าขบวนการดังกล่าวจะมีมิจฉาชีพใช้บัญชีทวิตเตอร์ ชื่อ “ขายบัญชี” จำหน่ายบัญชีธนาคาร พร้อมซิมโทรศัพท์มือถือแบบลงทะเบียนแล้ว หากมีผู้สนใจมิจฉาชีพก็จะให้แอดไลน์ ชื่อ “timeout” เพื่อแชทพูดคุยขายบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรกดเงินสด (ATM) และซิมโทรศัพท์มือถือพร้อมใช้งาน ในราคา 5,000 บาท จากนั้นหากผู้สนใจตกลงซื้อ มิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็จะให้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการอีกคนใช้ชื่อว่า “นัท”ซึ่งเป็นคนประสานหาคนเปิดบัญชีม้า และซิมม้าพร้อมใช้ เพื่อนำมาจำหน่ายต่ออีกทอดเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.3 นำโดย พ.ต.ท.ประภาส ถ้ำเหม รอง ผกก.1 บก.สอท.3 และร.ต.อ.วิชัย จำปา รอง สว.กก.1 บก.สอท.3 สืบสวนและวางแผนจับกุม โดยติดต่อซื้อบัญชีธนาคาร บัตรกด เงินสด และซิมโทรศัพท์มือถือพร้อมใช้งาน จากแก๊งดังกล่าว และมีการนัดหมายส่งมอบที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่หมู่ 2 ต.ท่ากระเสริม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พบ น.ส.ศิริรัตน์ ฯ นำสินค้ามาให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวและจับกุม

จากการสอบสวนเบื้องต้น น.ส.ศิริรัตน์ ฯ ให้การว่า ได้รับค่าจ้างเปิดบัญชีครั้งละ 700 บาท ส่วนซิม โทรศัพท์มือถือได้ไปซื้อจากร้านสะดวกซื้อและลงทะเบียนเป็นชื่อตนพร้อมใช้งาน ซึ่งทำมาแล้ว 5 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด” ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ต.อ.อภิรักษ์ ฯ เปิดเผยว่า การจับกุมกวาดล้างซิมม้า บัญชีม้า ถือเป็นการตัดวงจรการหลอกลวงออนไลน์ เพราะเป็นฐานรากต้นตอของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์จะติดตามจับกุมทั้งขบวนการมาดำเนินคดีอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เตือนพี่น้องประชาชนหากบัญชีธนาคาร หรือซิมโทรศัพท์มือถือที่ท่านให้หรือขายให้บุคคลอื่น ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด ท่านอาจจะถูกดำเนินคดีในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และหากรับจ้างเปิดบัญชีม้า หรือซิมม้าจำนวนมาก จะต้องรับโทษเพิ่มขึ้นตามจำนวนบัญชีธนาคารและซิมโทรศัพท์มือถือที่ได้ให้บุคคลอื่นนำไปใช้ในการกระทำความผิด

ทั้งนี้ หากประชาชนเคยหลงเชื่อขายซิมโทรศัพท์มือถือ หรือบัญชีธนาคาร ให้กับบุคคลอื่น ขอให้รีบไปติดต่อกับค่ายโทรศัพท์มือถือหรือธนาคารของตน เพื่อขอยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์หรือปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว และหากพบเห็นการประกาศรับซื้อซิมโทรศัพท์มือถือหรือบัญชีธนาคาร แจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์1144 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามเพิ่มเติม : พ.ต.ท.ประภาส ถ้ำเหม รอง ผกก.1 บก.สอท.3 โทร. 08 1699 1119
*********************************************
ขอบคุณที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

‘สทนช.’ คาด ‘เอลนีโญ’ ส่งผลกระทบทำไทยแล้งนาน 2 ปี ห่วงภาคกลางต้นทุนน้ำเหลืออยู่เพียงร้อยละ​ 17​ เท่านั้น

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค. 66) นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการรับมือกับภาวะภัยแล้ง-น้ำท่วม โดยวิเคราะห์ว่า ปีนี้ ไทยต้องเผชิญกับภัยแล้งและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ สิ่งที่เป็นกังงวลคือเรื่องของภัยแล้ง เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันปริมาณฝนตกทั่วประเทศเฉลี่ยต่ำกว่าค่าปกติ คือ ร้อยละ 25 โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างลงมาลุ่มเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่กลุ่มฝนจะไปตกทางภาคใต้และลุ่มแม่น้ำมูลของภาคอีสาน การบริหารจัดการน้ำจึงต้องประหยัดและทำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่มีอยู่ พร้อมจัดหาแหล่งน้ำสำรองให้ได้มากที่สุด

ปัจจุบันแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีน้ำอยู่ร้อยละ 29 หรือ 1 หมื่น 5 พันกว่าล้านลูกบาศก์เมตร จัดสรรปล่อยน้ำให้ประชาชนใช้ไปแล้วร้อยละ 10 หรือประมาณ 6 พันกว่าล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งสิ่งที่ศุนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ เป็นกังวล คือการทำเกษตร เพราะหากประชาชนยังเพาะปลูกต่อเนื่อง โอกาสภัยแล้งมีโอกาสจะกระทบไปถึงปีหน้า

นอกจากบริหารจัดการการใช้น้ำแล้ว ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ยังประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรธณี เพื่อวางแนวทางร่วมกัน คือ การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง ปรับแผนขุดเจาะน้ำบาดาลในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งพบว่าปัจจุบันมีแหล่งน้ำบาดาลสำรองสำหรับใช้อุปโภคบริโภค 200 แห่ง แหล่งน้ำบาดาลเพื่อทำเกษตรขนาดใหญ่ 200 แห่ง และยังมีแหล่งน้ำบาดาลที่ยังใช้งานไม่ได้จะต้องซ่อมแซมปรับปรุงอีก 1 พันกว่าแห่ง

ส่วนพื้นที่รับน้ำแก้มลิง มีทุ่งบางระกำและทุ่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ที่ปัจจุบันยังจัดสรรน้ำให้ประชาชนในการเพาะปลูกอยู่เพื่อพร่องน้ำไว้รับมือกับน้ำหลากน้ำท่วมหากฝนตก คาดว่าการทำเกษตรของประชาชนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม

ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติเน้นย้ำว่าผลกระทบจากเอลนีโญ่จะส่งผลให้เกิดภัยแล้งไปอีก 2 ปี ทุกหน่วยงานจึงต้องมีความพร้อมรับมือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน จะพยายามไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด หากพื้นที่ไหนเช่นนอกเขตชลประทาน น้ำอุปโภคบริโภคไม่เพียงพอก็จะจัดหาน้ำเข้่ไปช่วย ทั้งนี้มีความกังวลในพื้นที่ภาคกลางมากสุด โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ท้ายเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตติ์ แควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากมีการใช้น้ำอุปโภคบริโภคและทำการเกษตรในปริมาณมาก โดยปัจจุบันภาคกลางเหลือน้ำต้นทุนอยู่เพียงร้อยละ 17 เท่านั้น

‘พลายประตูผา’ ช้างไทยอีกเชือกในศรีลังกา สภาพผอม-อิดโรย หลังถูกพาตัวออกนอกวัด เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจอทีม จนท.ไทย

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 เหล่าคนรักช้างเป็นห่วง หลังมีข่าวพบ ‘พลายประตูผา’ 1 ใน 3 ช้างไทยในศรีลังกา ถูกพาตัวไปนอกพื้นที่วัด เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจอกับคณะทีมงานไทย ก่อนจะมีภาพพ่อพลายแพร่ออกมาว่อนเน็ต ว่าสภาพผอมอิดโรยชรามากแล้ว

‘พลายประตูผา’ เป็นช้างไทยมีอายุประมาณ 49 ปี ที่ทางการไทยส่งไปเป็นทูตสันถวไมตรี ตั้งแต่ พ.ศ.2522 จนถึงปัจจุบันนี้รวมเวลา 44 ปี ที่พลายประตูผาอยู่ที่ประเทศศรีลังกา

ซึ่งตามข้อมูลพลายประตูผา อยู่ที่วัด Sri Dalada Maligawa เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา แต่เมื่อมีข่าวว่าจะมีคณะของไทยเข้าเยี่ยม ทางวัดได้พาพลายประตูผาย้ายไปที่อื่น อ้างว่าช้างกำลังตกมัน ไม่ให้เข้าเยี่ยม

ด้าน ดร.ชญาน์นันท์ อัศวธรรมานนท์ อาจารย์ประจำสาขาพระพุทธศาสนา-วิทยาลัยสงฆ์ ชาวไทยที่อยู่ศรีลังกา ได้ออกตามหาพลายประตูผาจนพบ พร้อมวอนให้ช่วยพาพลายประตูผากลับไทยด้วย

โดย ดร.ชญาน์นันท์ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ข้อความส่วนหนึ่งว่า…

“ให้พลายประตูผาได้รับเพียงการเยี่ยมเยียนก็ยังดี เพื่อช่วยคลายโซ่ที่มัด 3 ขาจนเป็นแผล มีรอยแผลยับเยินและรีบใช้ยาดี รวมถึงทีมสัตวแพทย์ช่วยกันรักษานะคะ… กล้าหาญเพื่อพลายประตูผาอีก 1 เชือกที่กำลังรอคอยคนไทยนะคะ เอาใจช่วยพ่อพลายประตูผา ให้ได้รับการดูแลให้ดีกว่า หรือจะให้ดีที่สุด ให้พ่อพลายได้กลับไทยสู่บ้านเกิดด้วยนะคะ”

'ส.ว.สมชาย' เผยความในใจ หลังเพลงสรรเสริญพระบารมี กึกก้องรัฐสภา ลั่น!! ขอเป็นปรากฏการณ์ใหม่แด่คนไทยผู้จงรักกล้าลุกขึ้นยืนร้องเพลงนี้

ไม่นานมานี้ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#ความในใจ ส.ว.รวมใจ 
#เพลงสรรเสริญพระบารมี 
#แม้เหลือคนเดียวทั้งโรงเราก็จะยืน 

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2566 พวกเรา ส.ว. ทุกคนตกลงใจกัน โดยขอทำผิดธรรมเนียมเดิม จึงประสานเร่งด่วนยังผู้เกี่ยวข้อง เพื่อทราบว่า สมาชิกจะขอร้องเพลงสรรเสริญ ในงานพระราชพิธีเปิดสมัยประชุมรัฐสภาต่อหน้าพระองค์ท่าน เดิมตั้งใจและประสานงานว่า จะขอร้องเพลงในช่วงส่งเสด็จ แต่อย่างไรไม่ทราบ ผิดคิวนัดหมายตั้งแต่ต้น ทันทีที่ดนตรีบรรเลงขึ้นในช่วงรับเสด็จ ใครบางคนขึ้นต้นเสียงเริ่มร้องขึ้น ส.ว. ทุกคนก็เปล่งเสียงร้องตามกันดังขึ้นกึกก้องห้องประชุมต่อหน้าพระพักตร์โดยมิได้นัดหมาย 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คงทรงแปลกพระทัยเล็กน้อยกระมัง ขณะที่สมเด็จพระราชินีฯ ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยตลอดเวลา เมื่อทรงมีพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภาต่อสมาชิกรัฐสภาจบเรียบร้อยแล้ว จึงถึงคิวนัดหมายจริง ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีอีกครั้ง

สมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่างร่วมร้องเพลงนี้กันอย่างพร้อมเพรียงกึกก้องจากหัวใจ ยังความปลื้มปิติยิ่งแก่พวกเราเหล่าสมาชิกที่อยู่ให้พระราชพิธี และถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจโดยมีพี่น้องประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีได้ร่วมรับฟังและร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีไปพร้อมกัน

วันนี้ปลื้มปิติและอิ่มเอมใจมากครับ ที่ภารกิจเร่งด่วนของพวกเราในฐานะสมาชิกวุฒิสภาและพสกนิกรผู้จงรักภักดี สำเร็จลุล่วงงดงามยิ่ง แม้จะดูผิดธรรมเนียมจากเดิมไปบ้าง เพราะเป็นการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมดนตรีบรรเลงในงานรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเท่าที่ผมเคยเข้าร่วมพิธีมาอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ในระยะเวลา 17 ปีที่ทำหน้าที่สมาชิกสภาแห่งนี้ แต่เชื่อมั่นว่า เสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เกิดขึ้นวันนี้จะจารึกในหัวใจพวกเราตลอดไป และจะเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่คนไทยผู้จงรักภักดีจะกล้าลุกขึ้นยืนร้องเพลงนี้ร่วมกันให้ดังกึกก้องตลอดไป เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า พวกเราจะทำหน้าที่ปกป้องชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และประชาชนตลอดไป

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
สมชาย แสวงการ
สมาชิกวุฒิสภา

ผบ.ตร.พร้อม พระธรรมวชิรเมธี ร่วมภาคีเครือข่าย เปิดศูนย์ 'มินิธัญญารักษ์' สถานฟื้นฟูฯ ผู้ติดยาเสพติด ผุดโครงการนำร่องตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูตามแนวทางแพทย์สมัยใหม่ คืนคนดีสู่สังคม ผู้ประกอบการรับไม้ต่อสร้างอาชีพเพื่อความยั่งยืน

วันนี้ (4 ก.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย  พระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร , พระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี  เจ้าอาวาสวัดโค้งสนามเป้า, นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายแพทย์ยงยศ  ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร  รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ,พล.ต.ท. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผบก.ภ.จว.จันทบุรี พร้อมส่วนราชการ ผู้นำชุมชน แขกผู้มีเกียรติร่วมพิธี และเปิดโครงการจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” ณ ศูนย์จันทารักษ์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 115 ต.โป่งน้ำร้อน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

การจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่กำหนดให้ปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข ซึ่งโครงการนี้สามารถสนับสนุนงานของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยในด้านการบำบัด ฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด ที่ผ่านการบำบัดจากสถานพยาบาลยาเสพติด เข้าสู่การฟื้นฟูสมรรถภาพและฟื้นฟูสภาพทางสังคม โดยใช้สถานที่และกำลังพลของ ตชด.และภาคีเครือข่ายร่วมกันในการขับเคลื่อนโครงการภายใต้การดูแลของจังหวัด ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ประกอบการ โรงงานจะเข้ามารับผู้เข้าร่วมโครงการฯ เข้าทำงานให้สามารถมีอาชีพเลี้ยงดูครอบครัวได้ต่อไป

ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับโครงการชุมชนยั่งยืน และโครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตและผู้ป่วยจิตเวช นำเข้าบำบัดรักษาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และ พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งดำเนินการทั่วประเทศประสบความสำเร็จ สามารถส่งคืนผู้เสพเป็นคนดีสู่สังคม ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ได้ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืน 15 หมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายประชากรที่ต้อง X-RAY 7,913 คน ดำเนินการครบ 100 เปอร์เซ็นต์ พบสารเสพติด 196 คน นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดในชุมชนตนเองฯ และค้นหาอีก 749 หมู่บ้าน/ชุมชน พบว่า มีผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุจากการใช้ยาเสพติด รวมกว่า 1,973 คน เพื่อเข้าโครงการฯ ต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า “ขอชื่นชมโครงการจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” จ.จันทบุรี ซึ่งเกิดขึ้นจากดำริของ พระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร นำคณะสงฆ์ในพื้นที่ ร่วมกับ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ผู้นำชุมชน ภาคีเครือข่ายร่วมกัน ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู  ตามกระบวนการทางการแพทย์แบบใหม่ โดยมุ่งเน้นที่จะฟื้นฟูผู้ป่วยแบบบูรณาการหลายมิติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข ดังนั้น การลงนามความร่วมมือและเปิด สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” ในครั้งนี้ จะเป็นการวางระบบการทำงานแบบบูรณาการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม ทำให้ผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟู ได้ปรับสภาพร่างกาย จิตใจ และมีทัศนคติที่ดี สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งจะได้นำโมเดลความสำเร็จนี้ ขยายไปใช้ในพื้นที่อื่นๆต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เกิดความยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top