Saturday, 27 April 2024
NEWS FEED

ดีอีเอส-ETDA เปิด Public Hearing ‘คู่มือการลงทะเบียนผู้ใช้งาน’ ภายใต้กฎหมาย DPS

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) ต่อ “(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยัน ตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ” พร้อมเปิดเวทีระดมความเห็นต่อแนวทางการออกเครื่องหมาย แสดงการรับรอง ภายใต้กฎหมาย Digital Platform Services เพื่อเป็นกลไกเสริมในการลด ความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ดูแลผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า หลังจากที่ พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ

พ.ศ. 2565 หรือ กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ก่อนที่กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 นี้ ดีอีเอส ผ่านการดำเนินงานของ ETDA ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับดังกล่าว จึงได้เดินหน้าศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้กฎหมาย DPS หลังจากนั้นจึงได้มี กระบวนการรับฟังความคิดเห็น รวมถึงการจัด Focus Group สำหรับร่างกฎหมายลำดับรอง จากหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ทั้งจากภาครัฐ เอกชน regulator ตลอดจน ผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ และประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนนำข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น ที่ได้มาจัดทำและปรับปรุงร่างกฎหมายลำดับรองให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้มี การนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ และคณะอนุกรรมการกฎหมาย ภายใต้คณะกรรมการ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ในการพิจารณาไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติ ภายใต้กฎหมาย DPS มีความชัดเจน โปร่งใส สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง ที่ผ่านมา ETDA จึงได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น หรือ Public Hearing ต่อร่างกฎหมายลำดับรองไปแล้ว 3 ครั้ง จำนวน 9 ฉบับ ผ่านระบบการประชุมทางออนไลน์ และผ่านระบบกลางทางกฎหมาย โดยวันนี้ (26 มิถุนายน 2566) จะเป็นกิจกรรม Public Hearing ครั้งที่ 4 เพื่อรับฟัง

ความคิดเห็นต่อ “(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ เพื่อเป็น แนวทางในการปฏิบัติ แก่ผู้ให้บริการ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ในการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการ ผ่านการลงทะเบียนการเข้าใช้งาน เพื่อให้ได้บัญชีผู้ใช้งานที่มีความน่าเชื่อถือ ระบุตัวตนได้ เพื่อเป็นประโยชย์ในการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ลดความเสี่ยงจาก การฉ้อโกงออนไลน์ โดยเนื้อหาของ (ร่าง) คู่มือฉบับนี้จะครอบคลุมทั้งการจัดประเภทผู้ใช้บริการที่ควร พิสูจน์และยืนยันตัวตน การกำหนดระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์และยืนยันตัวตน รายการของ ข้อมูลที่จะต้องเก็บรวบรวม แนวทางการตรวจสอบข้อมูล และการแสดงสัญลักษณ์หรือข้อความว่า ผู้ใช้บริการรายนั้นได้ดำเนินการพิสูจน์และยืนยันตัวตนแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมการ ระดมความเห็นต่อ “แนวทางในการออกเครื่องหมายแสดงการรับรอง” เพื่อนำไปเสริมเป็นแนวคิด ในการจัดทำประกาศ คธอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกเครื่องหมายแสดงการรับรอง พ.ศ. .... ภายใต้มาตรา 27 ของ กฎหมาย DPS เพื่อเป็นกลไกช่วยผู้ใช้บริการประกอบการตัดสินใจ เลือกใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้รับเครื่องหมายรับรองนี้ ทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ ประกอบธุรกิจ DPS เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้องกับกฎหมาย รวมถึงการได้รับความเชื่อมั่นจาก ผู้ใช้บริการมากขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นและการระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ จะถูก นำไปเป็นข้อเสนอแนะและข้อมูลสำคัญในการนำไปปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาของเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ให้มีความครบถ้วน ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถปฏิบัติตามได้จริง

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ประกอบการ คนทำงานบน แพลตฟอร์ม ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ พัฒนาคู่มือและแนวทางทั้งสองเรื่องให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถร่วมแสดงความ คิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อร่างคู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ และ แนวทางในการออกเครื่องหมายแสดงการรับรองได้ที่ระบบกลางทางกฎหมาย หรือ ที่ลิงก์ https://www.etda.or.th/th/regulator/Digitalplatform/Public-Hearing-DP.aspx ได้ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน – 26 กรกฎาคม 2566

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมทูตอินโดนีเซีย ร่วมส่งกลับผู้เสียหายค้ามนุษย์หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ NRM

วันนี้ (26 มิ.ย.66) เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) พร้อมด้วยคุณซุกโม ยูโวโน อัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ได้เดินทางมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อมาส่งผู้เสียหายชาวอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จำนวน 9 ราย หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการของกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งดำเนินการที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อเดินทางกลับไปยังประเทศอินโดนีเซียอย่างปลอดภัย

หลังจากที่เมื่อประมาณเดือน พ.ค. 66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รับการประสานจากสถานทูตอินโดนีเซีย กรณีมีผู้เสียหายสัญชาติอินโดนีเซียจำนวนหลายราย ถูกหลอกเดินทางไปทำงานที่ประเทศเมียนมา โดยถูกบังคับให้ทำงานหลอกผู้อื่นลงทุนเงินคริปโต ทนไม่ไหวจึงได้พยายามหลบหนีข้ามฝั่งมายังประเทศไทย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร., ภ.6 และ สตม. ประสานให้การช่วยเหลือผู้เสียหายชาวอินโดนีเซียให้สามารถข้ามฝั่งมายังประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย โดยเมื่อเดือน พ.ค.66 สามารถช่วยเหลือข้ามมาได้จำนวน 25 ราย และในเดือน มิ.ย.66 อีกจำนวน 22 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือและนำเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) และก่อนหน้านี้ ได้ส่งผู้เสียหายกลับไปแล้วจำนวน 25 ราย เมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะส่งกลับเพิ่มอีกจำนวน 9 คน ในวันนี้ ยังเหลือผู้เสียหายชาวอินโดนีเซียที่ยังอยู่ในกระบวนการอีกจำนวน 13 ราย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศ หลังจากที่ได้รับการประสานข้อมูลจากสถานทูตอินโดนีเซีย ได้สั่งการให้ ภ.6 สตม. และชุด ศพดส.ตร. ประสานช่วยเหลือเหยื่อขาวอินโดนีเซียซึ่งถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศเมียนมา และนำมาเข้ากลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองดูแลและช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จริงแต่ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายที่ประเทศไทย จึงได้ประสานกับสถานทูตอินโดนีเซียเพื่อช่วยเหลือส่งกลับผู้เสียหายทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ส่งกลับไปแล้วจำนวน 25 ราย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 อีกจำนวน 9 ราย ขณะนี้ยังเหลือผู้เสียหายสัญชาติอินโดนีเซียที่ยังอยู่ในกระบวนการอีก 13 ราย ซึ่งจะได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้น และส่งกลับตามความต้องการของผู้เสียหายต่อไป นับเป็นอีกครั้งที่ความร่วมมือระหว่างประเทศของไทยและอินโดนีเซียในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยดี

ผบ.ตร.พร้อม สมาคมแม่บ้านตำรวจ เร่งช่วยเหลือ สารวัตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขาดแคลนเงินส่งลูกเรียน ม.ดัง พร้อมนำเข้าโครงการแก้ไขหนี้สินการออม บริหารใช้เงิน กำชับผู้บังคับบัญชาทั่วประเทศดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ลูกน้องทุกมิติ

วันนี้ (26 มิ.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า จากกรณีมีกระแสข่าวขอให้ช่วยเหลือสารวัตรที่มีปัญหาด้านการเงิน มีความลำบากในการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโชเชียลนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ตำรวจนายดังกล่าวคือ พ.ต.ท.วิริยะ เจิมจำนงค์ สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีปัญหาทางการเงินจริง จากการค้ำประกันเงินกู้ตำรวจที่ถูกออกจากราชการและเสียชีวิต จนเป็นหนี้สิน สถานะครอบครัว ภรรยามีอาชีพค้าขาย มีบุตรสาว 1 คน  กำลังจะเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคณะวิศวกรรมศาสตร์(ไฟฟ้า)  ซึ่งบุตรสาวนายตำรวจผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารกล่อง และในช่วงปิดเทอมยังทำถั่วเคลือบแก้ว ส่งตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ในครอบครัวมาตลอด

พ.ต.ท.วิริยะฯ รับอัตราขั้นเงินเดือน ส.2  เงินเดือน 45,750 บาท จะต้องถูกหักสหกรณ์ตำรวจ 30,000 กว่า บาท รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในครอบครัว ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาชั้นต้น และเพื่อนร่วมงานก็ได้ช่วยเหลือด้านการเงินมาโดยตลอด   แต่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับบุตรสาวกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้เงินอีกพอสมควร เกิดความเครียด จึงมีการไปขอความเห็นใจจากที่ต่างๆจนเป็นข่าว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องแล้ว ได้ประสานคุณสุมนา กิติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าช่วยเหลือด่วนในส่วนของการให้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางสมาคมฯ ดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้น จะสามารถมอบทุนแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในระดับอุดมศึกษา ปีละ 40,000 บาท จำนวน 4 ปี หรือ 6 ปี ตามสาขาที่เรียน ซึ่งในรายนี้ จะได้เข้าไปพูดคุยรายละเอียด เพื่อช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.จะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก หากไม่เพียงพอ

ส่วน พ.ต.ท.วิริยะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำเข้าโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ เพื่อช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้  และทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะลงไปช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการออม การบริหาร การใช้เงิน ตามโครงการ Money Management & Investment พร้อมกับช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำให้เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  โดยจะมีการเชิญ พ.ต.ท.วิริยะ ครอบครัวและบุตรสาว มาพูดคุยช่วยเหลือเยียวยาในวันนี้ช่วงบ่าย

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “การดูแลช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวตำรวจเป็นนโยบายที่ดำเนินการมาต่อเนื่องของ ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือ มอบทุนมาตลอด  ส่วนตำรวจที่มีปัญหาหนี้สินจะนำเข้าสู่โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ โครงการ Money Management & Investment ซึ่งสามารถช่วยเหลือ ปรับหนี้ได้หลายราย 

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ให้สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ ช่วยเหลือในทุกมิติ หากรายใดมีปัญหาสามารถร้องขอมาที่ ตร.ร่วมกันหาทางออก เพื่อช่วยกันดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้นไป สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล”

‘เอเอฟซี’ เตรียมแบน งดให้ไทยเป็นเจ้าภาพระดับนานาชาติ ทุกรายการแข่งขัน จากเหตุ ‘อุลตร้าส์ ไทยแลนด์’ จุดพลุแฟลร์ ป่วนสนาม

ควันหลงเกมชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ ไทย พ่าย เกาหลีใต้ 1-4 กระเด็นตกรอบ และชวดตั๋วไปลุยศึกชิงแชมป์โลก ที่อินโดนีเซียในช่วงปลายปีนี้ 

ปรากฎว่าหลังจบเกมที่ปทุมธานี สเตเดียม แฟนบอลกลุ่ม "อุลตร้าส์ ไทยแลนด์" เจ้าเดิม จุดพลุแฟลร์ พร้อมกับขว้างปาลงมาในสนาม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือเอเอฟซี 

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเพิ่งจะโดนคาดโทษ และถูกปรับเงินจาก "เอเอฟซี" หลังมีการจุดพลุแฟลร์ในสนามหลายทัวร์นาเมนต์ แน่นอนว่าครั้งนี้จะถือเป็นความผิดซ้ำซาก และเตรียมรับบทลงโทษที่สูงกว่าการปรับเงิน 

จากการกระทำของแฟนบอลกลุ่มดังกล่าว อาจจะทำให้ประเทศไทยชวดเป็นเจ้าภาพในรายการระดับนานาชาติทุกรายการต่อจากนี้ 

ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่นักฟุตบอล และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช เดินไปขอบคุณแฟนบอล และเมื่อมีการจุดพลุแฟลร์นักฟุตบอล พร้อมทีมงาน เดินกลับไปยังห้องแต่งตัวทันที สร้างความไม่พอใจกับแฟนบอลกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีการตะโกนต่อว่าน้องๆ นักเตะอีกด้วย

ผบ.ตร.พร้อม สมาคมแม่บ้านตำรวจ เร่งช่วยเหลือ สารวัตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขาดแคลนเงินส่งลูกเรียน ม.ดัง พร้อมนำเข้าโครงการแก้ไขหนี้สินการออม บริหารใช้เงิน กำชับผู้บังคับบัญชาทั่วประเทศดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ลูกน้องทุกมิติ

วันนี้ (26 มิ.ย. 66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า จากกรณีมีกระแสข่าวขอให้ช่วยเหลือสารวัตรที่มีปัญหาด้านการเงิน มีความลำบากในการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโชเชียลนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ตำรวจนายดังกล่าวคือ พ.ต.ท.วิริยะ  เจิมจำนงค์ สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีปัญหาทางการเงินจริง จากการค้ำประกันเงินกู้ตำรวจที่ถูกออกจากราชการและเสียชีวิต จนเป็นหนี้สิน สถานะครอบครัว ภรรยามีอาชีพค้าขาย มีบุตรสาว 1 คน  กำลังจะเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคณะวิศวกรรมศาสตร์(ไฟฟ้า)  ซึ่งบุตรสาวนายตำรวจผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารกล่อง และในช่วงปิดเทอมยังทำถั่วเคลือบแก้ว ส่งตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ในครอบครัวมาตลอด

พ.ต.ท.วิริยะฯ รับอัตราขั้นเงินเดือน ส.2  เงินเดือน 45,750 บาท จะต้องถูกหักสหกรณ์ตำรวจ 30,000 กว่า บาท  รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในครอบครัว ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาชั้นต้น และเพื่อนร่วมงานก็ได้ช่วยเหลือด้านการเงินมาโดยตลอด   แต่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับบุตรสาวกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้เงินอีกพอสมควร เกิดความเครียด  จึงมีการไปขอความเห็นใจจากที่ต่างๆจนเป็นข่าว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องแล้ว ได้ประสานคุณสุมนา กิติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าช่วยเหลือด่วนในส่วนของการให้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางสมาคมฯ ดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้น จะสามารถมอบทุนแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในระดับอุดมศึกษา ปีละ 40,000 บาท จำนวน 4 ปี หรือ 6 ปี ตามสาขาที่เรียน  ซึ่งในรายนี้ จะได้เข้าไปพูดคุยรายละเอียด เพื่อช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.จะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก หากไม่เพียงพอ

ส่วน พ.ต.ท.วิริยะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำเข้าโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ เพื่อช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้  และทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะลงไปช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการออม การบริหาร การใช้เงิน ตามโครงการ Money Management & Investment พร้อมกับช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำให้เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  โดยจะมีการเชิญ พ.ต.ท.วิริยะ ครอบครัวและบุตรสาว มาพูดคุยช่วยเหลือเยียวยาในวันนี้ช่วงบ่าย

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “การดูแลช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวตำรวจเป็นนโยบายที่ดำเนินการมาต่อเนื่องของ ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือ มอบทุนมาตลอด  ส่วนตำรวจที่มีปัญหาหนี้สินจะนำเข้าสู่โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ โครงการ Money Management & Investment ซึ่งสามารถช่วยเหลือ ปรับหนี้ได้หลายราย 

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ให้สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ ช่วยเหลือในทุกมิติ หากรายใดมีปัญหาสามารถร้องขอมาที่ ตร.ร่วมกันหาทางออก เพื่อช่วยกันดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้นไป สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล”

เปิดมุมมอง ‘นักธุรกิจจีน’ ยึดปรัชญา ซื่อสัตย์-ร่วมมือ มอง เทคโนโลยีเอไอ-หุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพล เปลี่ยนชีวิตและธุรกิจ

เปิดมุมมอง “นักธุรกิจจีน” ผู้บริหารจากหลากหลายบริษัทชั้นนำร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ภูมิปัญญา แนวความคิดการทำธุรกิจ ในหัวข้อเสวนา “แนวความคิดและภูมิปัญญาการดำเนินธุรกิจของนักธุรกิจชาวจีน” ภายในงาน ประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention - WCEC) ครั้งที่ 16 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
คว้าโอกาสทอง ‘อาเซียน’

เกา เฉวียน ชิ่ง ประธานหอการค้าสิงคโปร์-จีน กล่าวว่า แนวการทำธุรกิจที่ดีต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความสำคัญกับคุณค่าของคน ภายใต้แนวคิดที่สอดคล้องไปกับปรัชญา ตำราพิชัยสงครามของจีน ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กล้าคิด มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ตอบแทนสังคม เพื่อทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุข

เช่นที่สิงคโปร์ที่วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากความซื่อสัตย์ การสร้างความไว้วางใจต่อลูกค้า คู่ค้า การตอบแทนสังคม รวมถึงความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ โดยแนวคิดดังกล่าวจะมีการสืบทอดและส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลังต่อๆ ไป
“หากเรามีการสืบสานแนวคิดและยึดถือหลักการเช่นนี้ต่อไปจะสามารถเติบโตและคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ในอีกทางหนึ่งไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เป็นรากฐานของการสร้างชาติและทำให้งานต่างๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ เชื่อว่าภูมิปัญญาที่ถูกต้องจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

ในยุคทองของการเติบโต ภูมิภาคอาเซียน ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ไว้วางใจ จับมือไปด้วยกันเพื่อเสริมจุดแข็ง แบ่งปันและคว้าโอกาสทองของการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค

นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ส่งเสริมให้ทุกกลุ่มทุกประเทศมีการพัฒนาที่สอดคล้องกันไป ลดความเหลื่อมล้ำ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างความเสมอภาค สร้างความปรองดอง ส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนทั่วโลกร่วมมือกัน
สุดท้าย เสริมสร้างจิตวิญญาณในการสร้างนวัตกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงาน เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายที่มีความชัดเจนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรมผลักดัน ‘แพทย์แผนจีน’ สู่สากล
หลี ฉู่ หยวน ประธานกรรมการ บริษัท กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จีนและไทยเป็นสองประเทศที่มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกันมาอย่างยาวนาน

สำหรับจีน ไทยนับเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลเองให้ความสำคัญอย่างมากกับตลาดไทย และขณะนี้มีหลายผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาทำตลาด
อย่างไรก็ดี จากไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ต่างต้องรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ทุกฝ่ายมีการร่วมมือกัน นอกจากด้านการแพทย์ให้ความสำคัญกับปรัชญาการใช้ชีวิต เรื่องการมีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพ และมีความสุข

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเผยแพร่การแพทย์แผนจีน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมแพทย์แผนปัจจุบัน โดยพยายามส่งเสริมให้เป็นสากลมากขึ้น ผ่านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมากกว่า 100 คน

มากกว่านั้น มีการสร้างการรับรู้ให้ตลาด โดยการสร้างศูนย์การเผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศ ทั้งมีการผลักดันโมเดลการรักษาสุขภาพรูปแบบใหม่ๆ เพื่อทำให้แพทย์แผนจีนกลายเป็นเทรนด์ระดับสากล

‘หัวเว่ย’ มุ่งสร้างคุณค่า ‘ธุรกิจ-สังคม’
เจย์ เฉิน ซีอีโอ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น คือความถูกต้องและความชอบธรรม เพื่อรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

ด้วยหลักการนี้ ควรสะท้อนไปในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การวิจัย ค้นคว้า การผลิต การขาย บริการหลังการขาย เช่นที่หัวเว่ย ทุกธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ต้องเคารพกฎหมายของประเทศจีนและกฎหมายในประเทศที่ทำธุรกิจนั้น ๆ

นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับค่านิยมร่วม เพื่อตอบแทนสังคม การสร้างคุณค่าทั้งเชิงธุรกิจและสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ไม่ใช่แค่การทำรายได้ แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมโดยภาพรวมด้วยเทคโนโลยีไอซีที

หัวเว่ยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ที่ผ่านมามีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในหลากหลายมิติ ใช้เทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสร้างโอกาส การจ้างงาน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยมีมุมมองว่า ไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ แนวทางการทำงานให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่มีความถูกต้อง ชอบธรรม เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันเห็นถึงความสำคัญกับการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาบุคคลากร สตาร์ตอัป ผลักดันการพัฒนาเชิงดิจิทัล
ก้าวสู่ยุคใหม่ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’

ฟัง อวิ่นโจว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด กล่าวว่า การเดินหน้าสู่ยุคแห่งรถยนต์พลังงานใหม่ ต้องมีการผสมผสานของพลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อเครือข่าย และความอัจฉริยะ

โดยขณะนี้ นับว่ามีการเติบโตที่มากขึ้นและต่อเนื่อง โดยต่อไปจะไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ผสมผสานอินเทอร์เน็ต ภายใต้การผสมผสานของเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา
“การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลและความอัจฉริยะ คือการผสมผสานและรวบรวมของทั้งพลังงาน พลังงานใหม่ การเดินทาง และเทคโนโลยี คาดว่าช่วงปี 2035-2045 จะเป็นการพัฒนาในช่วงหลัง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นว่ามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบนิเวศรวมถึงโมเดลธุรกิจที่สมบูรณ์มากขึ้น”

เขากล่าวว่า เส้นทางนี้มีความกว้างอย่างมากและมีเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ลูกค้า นักลงทุน เป็นการยกระดับครั้งสำคัญที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ประมวลผล มีการใช้เอไอมาควบคุม การเชื่อมต่อ ยกระดับความปลอดภัย การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ส่วนของบริษัทเองเบื้องต้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในไทยได้ประมาณ 1.5 หมื่นคัน

 ‘เอไอ’ เปลี่ยนโฉมธุรกิจ-ชีวิต
หยวน ฮุย ประธานกรรมการ เสี่ยว อ้าย คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า วันนี้เทคโนโลยีเอไอรวมถึงหุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากกับการทำงานและการใช้ชีวิตของมนุษย์
ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสของธุรกิจในแทบทุกอุตสาหกรรมที่จะนำมาปรับใช้ เพื่อพัฒนายกระดับการบริการ โดยที่ได้เห็นแล้วมีทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ เฮลธ์แคร์ การดูแลสุขภาพ การนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การออกแบบ สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนาประสบการณ์ผู้บริโภค รวมถึงการผสมผสานเมตาเวิร์สกับโลกความเป็นจริง

จากประสบการณ์ วันนี้ได้เห็นว่าธุรกิจต่างต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค อีกทางหนึ่งเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่ต่างต้องเผชิญ
ในภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลงและความท้าทายจำนวนมากดังกล่าว แนวคิดที่สำคัญของนักธุรกิจชาวจีนคือ การสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับทั้งตนเอง ครอบครัว สังคม เพื่อผลักดันให้เกิดอนาคตที่สดใสร่วมกัน

รวบสาวประเภทสอง รีดทรัพย์เหยื่อผ่านแอพหาคู่ เจ้าตัวอ้างเป็นแค่บัญชีม้า  ด้าน ”ผู้การจ๋อ” เตือนภัยกำลังแพร่ระบาดในโลกโซเชี่ยล 

วันที่ 26 มิถุนายน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงผลงาน นำทีมโดย พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3ฯ  พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดปฏิบัติการที่ 3/4 ร่วมกันจับกุม นายณัฐณิชา พุกเวชกิจ อายุ 27 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 100 ซอยบ้านบาตร ถนนบำรุงเมือง แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร  ข้อหารีดเอาทรัพย์ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1966/2566 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2566

พฤติการณ์ ผู้เสียหายได้พูดคุยกับคนร้ายผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จักแล้วได้เปลี่ยนช่องทางการติดต่อ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้มีการถ่ายรูปตนเองติดอวัยวะเพศส่งไปให้คนร้าย หลังจากนั้น คนร้ายได้ข่มขู่ผู้เสียหายให้โอนเงินให้ ไม่เช่นนั้นจะทำการเปิดเผยภาพดังกล่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยความกลัวผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้ 4,000 บาท หลังจากนั้น คนร้ายได้มีการข่มขู่และขอให้โอนเงินเพิ่มให้อีกหลายครั้ง ผู้เสียหายจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน 
         
จากการซักถามผู้ต้องหาในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าได้ให้เพื่อนยืมบัญชีธนาคารของตนไปโดยตนไม่ทราบว่าเพื่อนนำบัญชีธนาคารไปก่อเหตุดังกล่าว
จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า ช่วงนี้มีคดีลักษณะดังกล่าวเป็นภัยร้ายสำหรับผู้ชายกำลังระบาดอย่างหนักในโลกโซเชี่ยลจนน่าตกใจ  สร้างความเดือดร้อนทางใจและต้องทนทุกข์จนเหยื่อหลายคนหาทางออกไม่ได้ ปัจจุบันมีผู้เสียหายหลายรายมาให้ข้อมูลผ่านทางเพจสืบนครบาล เราจะรักษาความลับ และเร่งดำเนินการปราบปราม สืบนครบาลขอให้กำลังใจท่านมีความกล้ามาให้ข้อมูล จงอย่ากลัว เพราะท่านจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนร้ายไปตลอด

ตำรวจไซเบอร์รวบเจ้าพ่อบัญชีม้า หลอกปั่นยอดไลก์แลกเงิน อึ้ง! พบเปิดกว่า 600 บัญชี

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สืบเนื่องจากคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยเชิญชวนให้ทำธุรกิจโปรโมทสินค้าและโฆษณาเพื่อหารายได้พิเศษ ด้วยการกดไลก์/กดแชร์ เพิ่มยอดเข้าชม(ปั่นยอดวิว)และคอมเม้นสินค้าเพื่อรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ตามภารกิจที่คนร้ายแจกจ่ายมาให้ โดยมีเงื่อนไขการทำงานจะต้องจ่ายเงินแรกเข้า และการจ่ายงานให้จะมากน้อยตามเงินลงทุน เมื่อเปิดบัญชีแล้ว คนร้ายจะจ่ายงานให้ โดยต้องเข้าไปชมยูทูป กดไลก์ กดแชร์ และส่งมอบงานเข้ามาในระบบ จึงจะได้รับผลตอบแทน

โดยครั้งแรก ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ลองสมัครและโอนเงินไป 2,000 บาท จากนั้นระบบได้แจ้งให้เข้าไปกดไลก์กดติดตามสินค้าออนไลน์ เมื่อทำตามปรากฏว่าได้ค่าตอบแทนจริง จึงหลงเชื่อทำภารกิจต่อไปอีกหลายครั้ง และโอนเงินเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงภารกิจที่ 7 ปรากฏว่าไม่ได้เงินคืนโดยมิจฉาชีพอ้างว่าทำผิดกติกาและขอให้โอนเงินเพิ่มเพื่อถอนเงิน และต่อมายังถูกหลอกให้โอนเงินโดยอ้างเงื่อนไขต่างๆอีกหลายครั้ง จนผู้เสียหายโอไปทั้งสิ้น จำนวน 12 ครั้ง สูญเงินกว่า 3,171,249 บาท และจากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน พบว่าเกี่ยวข้องกับนายพลากร (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดสงขลา

กระทั่งเจ้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ และได้สืบสวนทราบว่า นายพลากรฯ ถูกควบคุมตัวในคดีอื่นอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา จึงได้ทำหนังสือขออายัดตัวไว้ และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดสงขลา จึงเข้าทำการจับกุมตัว ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” และส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบถามผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่าตนได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวนมากเพื่อใช้สมัครเล่นพนันออนไลน์ และเพื่อขายให้ผู้อื่น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ต้องหาเคยเปิดบัญชีธนาคารแบบออนไลน์แล้วแล้วยกเลิกหลายครั้ง โดยปัจจุบัน มีบัญชีธนาคารที่ยังใช้งานได้และปิดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นถึง 600 บัญชี

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พ.ต.อ.ปกรณ์กิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 ,พ.ต.ท.เอนก ยอดหมวก รอง ผกก.3 บก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 3 นําโดย พ.ต.ท.ศราวุธ ตะดวงดี สว.กก.3 บก.สอท.2  พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เศรษฐีใจบุญ!! ครอบครัว “อริยะ” ถวายข้าวสาร กว่า 1,000 ถุง น้ำดื่ม เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด

ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสมชาย เลิศอริยานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักรถขุด KOBELCO และรถบด SAKAI พร้อมศูนย์อะไหล่และศูนย์บริการครบวงจร 30 สาขา ทั่วประเทศไทย 

เดินทางพาครอบครัวเลิศอริยานันท์ เข้ากราบขอพรจากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมทั้งยังได้มอบข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง อีกทั้ง ยังได้มอบน้ำดื่ม จำนวน 1,100 แพค ตลอดจนทางครอบครัวเลิศอริยานันท์ยังได้มอบเงินทำบุญ อีกจำนวนกว่า 1 แสนบาท มอบให้กับท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้่ายวันเกิด 

ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่าน  พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ชัยมงคลคาถา พร้อมทั้งประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวเลิศอริยานันท์อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

เครือข่ายผู้ป่วยยื่นหนังสือ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้บกพร่องทางจิต

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสื่อ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทอง 30 บาท ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บกพร้องทางจิต ด้านเลขาธิการ สปสช. เผย เตรียมทำหนังสือประสาน คกก.พัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เหตุเป็นกลุ่มยาที่ยังไม่ขึ้นบัญชียาหลักฯ พร้อมหนุนสร้างเครือข่ายเชิงรุก ค้นหาผู้บกพร่องทางจิตในชุมชน และขยายเครือข่ายผู้ป่วย “เพื่อนช่วยเพื่อน”   

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) - เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. และ ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. ได้รับยื่นหนังสือร้องเรียน “กรณีการเข้าไม่ถึงยาของผู้ป่วยจิตเวช” ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จาก นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนและผู้ปกครองของผู้ป่วยประมาณ 20 คน 

นางนุชจารี กล่าวว่า สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตฯ เป็นองค์การของคนพิการระดับประเทศ และเป็น 1 ใน 7 ขององค์การคนพิการตามกฎหมาย จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การปรึกษาและช่วยเหลือผู้บกพร่องทางจิต และครอบครัวให้สามารถดำเนินชีวิตอิสระในสังคมได้ รวมทั้งพิทักษ์สิทธิในด้านต่างๆ ของผู้บกพร่องทางจิตและครอบครัว พร้อมประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการวิจัยเพื่อป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ ทางการศึกษา ทางสังคม และทางอาชีพแก่ผู้บกพร่องทางจิต ส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีให้กับสมาชิกและสังคม โดยสมาคมฯ มีชมรมเครือข่าย 154 ชมรม กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ได้ช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตให้สามารถกลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เป็นภาระของใคร อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จะได้มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการรักษาผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตแล้ว ทั้งในด้านของยาจิตเวชและการรักษาพยาบาล แต่ด้วยปัจจุบันมียาจิตเวชรายการใหม่ที่มีคุณภาพและมีผลข้างเคียงน้อย แต่ยังไม่ได้บรรจุในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงยา จึงได้มายื่นหนังสือต่อ สปสช. ในวันนี้ เพื่อขอให้ผลักดันยาเหล่านี้และบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท เป็นการดูแลให้ผู้ป่วยจิตเวชทั่วประเทศได้เข้าถึงยาที่มีคุณภาพและประสิทธิผล ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับรายการยาจิตเวช มี 7 รายการ ดังนี้ 

1.Escitalopram ใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีประสิทธิภาพ ลดภาวะการเกิดยาไม่เข้ากัน (Drug interactions) 2.Venlafaxine ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารุนแรง เป็นยาต้านเศร้ากลุ่มใหม่ ให้ผลการรักษาที่ดี 3.Aripiprazole สำหรับเด็กออทิสติก เพิ่มทางเลือกยารักษาที่ช่วยลดผลข้างเคียง 4.Paliperidone inj. ยาดูแลผู้ป่วยจิตเภท เป็นยาจิตเวชกลุ่มใหม่ ควบคุมอาการทางจิตได้ดี 5.Olanzanpine tablet. เพิ่มข้อบ่งชี้ใช้รักษาเรื่องจิตเวช 6.Long acting methylphenidate ดูแลกลุ่มเด็กสมาธิสั้น ออกฤทธิ์ระยะยาว ลดการกินยา และ 7.Long acting Aripiprazole inj. สำหรับผู้ป่วยจิตเภทและอารมณ์แปรปรวน ไม่มีผลข้างเคียงและมีความปลอดภัยสูง 

“ผู้ป่วยกลุ่มนี้ด้วยกลไกสาธารณสุขและสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้ให้การดูแลที่ดีอยู่แล้ว เพียงยังมียาบางตัวที่ผู้ป่วยได้รับแตกต่างกัน โดยผู้ป่วยที่มีฐานะยากจนยังเข้าไม่ถึงยาที่มีประสิทธิผลและผลข้างเคียงน้อย ด้วยราคาแพงจึงไม่มีสิทธิเข้าถึง ทั้งนี้ย้ำว่า การดำเนินการของสมาคมฯ เราไม่ได้ทำเพื่อผู้ป่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เราทำเพื่อผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตทั่วประเทศ” นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช. มีความยินดีในการรับเรื่องนี้ และพร้อมที่ผลักดันเพื่อให้ผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้รับการรักษาที่ดีอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน โดยที่ผ่านมา สปสช. ได้มีการดำเนินการบรรจุเพิ่มสิทธิประโยชน์รายการยาใหม่อย่างต่อเนื่อง และจากรายการยาทั้ง 7 รายการ ที่ทางสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยได้นำเสนอในวันนี้ ด้วยเป็นยาที่ยังไม่ได้ขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ ดังนั้น สปสช. จะต้องทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติก่อนว่า ได้มีการพิจารณายาเหล่านี้ไปแล้วหรือไม่ ซึ่งอาจอยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตามจากข้อมูล ด้วยสมาคมฯ มีเครือข่ายชมรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 154 ชมรม มองว่าสามารถเข้ามาร่วมทำงานเชิงรุก พัฒนามาเป็นหน่วยบริการในระบบในการค้นหาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตได้ โดยประสานกับทางกรมสุขภาพจิต เป็นการทำงานป้องกัน ส่วนกรณีผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตแล้ว สปสช. จะประสานกับสมาคมฯ ในการรุกสร้างกลไก “เพื่อนช่วยเพื่อน” ซึ่งเป็นหลักการของมิตรภาพบำบัดที่ สปสช.สนับสนุนเครือข่ายผู้ป่วยในการต่อยอดการดูแลเพื่อให้เกิดเครือข่ายที่เข้มแข็งต่อไป และสำหรับเครือข่ายผู้ป่วยการบกพร่องทางจิตนี้ สปสช. พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  
1.สายด่วน สปสช. 1330 
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
• ไลน์ Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top