Tuesday, 13 May 2025
NEWS FEED

ใช้จุดแข็งโดยรอบสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน แบบไม่ต้องรอรัฐ ปรับพื้นที่เป็น 'ตลาดน้ำ-ตลาดบก' ดึงค้าขายทางเรือเข้ามาร่วม

(16 มิ.ย.67) จากเพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ได้เวลาคืนชีพให้คลองโอ่งอ่าง ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อยู่ได้ด้วยตลาดน้ำของดีประเทศไทย' ระบุว่า...

หลายวันก่อน แอดไปธุระแถวเยาวราช ก็เลยเดินเลยไปแถวคลองโอ่งอ่าง ซึ่งหวังว่าจะมี อะไรที่คึกคักให้เดิน 

แต่พอไปถึง กลับกลายเป็นว่ามีแต่ความเงียบ และซบเซา อาจจะเป็นเพราะการที่ไม่ได้รับการสนับสนุน กิจกรรมต่างๆ จากทางพื้นที่ ซึ่งก็ลองถามชาวบ้านแถวนั้น ผมก็บอกว่าช่วงที่มีกิจกรรม นี้มีงาน แถวนี้ก็จะคึกคักเป็นครั้งๆ อยากจะให้มีการจัดกิจกรรมบ่อยๆ

แอดจึงมานั่งคิดว่าแทนที่จะมานั่งรอภาครัฐ ชุมชนควรแห่งนี้มีจุดเด่นหลายประการ ทั้งการคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินจากรถไฟฟ้าสามยอดมาได้โดยง่าย การเดินทางทางรถก็แสนจะสะดวกสบาย และที่สำคัญพื้นที่นี้ยังเชื่อมต่อกับ เยาวราช สำเพ็ง พาหุรัด แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะสร้างความแข็งแกร่งของสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา 

โดยกลยุทธ์หลักคือการปรับพื้นที่ให้เป็นตลาดน้ำ- ตลาดบก ให้มีการค้าขายทางเรือเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งตลาดน้ำนี้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นการยากที่เราจะโปรโมทให้นักท่องเที่ยวสนใจที่จะเดินทางมาเที่ยว และที่สำคัญ ก็มีหนังต่างประเทศหลายๆ เรื่องได้เข้ามาถ่ายทำในพื้นที่ย่อมทำให้คนรู้จักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แอดมั่นใจครับว่า ถ้าชุมชนเข้มแข็งเราสามารถสร้างคลองโอ่งอ่างขึ้นมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครได้แน่นอน

‘แฟนพันธุ์แท้วัดไทย’ พาเที่ยว ‘วัดโพธิ์’ ชี้!! นี่คือ ‘เรเนซองส์ของสยาม’

(15 มิ.ย.67) ที่บริเวณมิวเซียมใต้ดิน รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง พร้อมด้วยพันธมิตร จัดกิจกรรม ‘Happy Journey with BEM มรดกสยาม 3 สมัย’ ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนนี้

โดยหนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์ของงาน ได้แก่ ‘History Trip ชมวัดโพธิ์โสภาสถาพร’ เลียบเจ้าพระยาชมวัด-วัง ซึ่งเส้นทางทริปเดินทางเยี่ยมชมสถานที่สำคัญจาก รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีสนามไชยมายังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร นำชมโดย ดร.ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล หรือ ต้า แฟนพันธุ์แท้วัดไทย

เวลา 08.45 น. บรรยากาศของกิจกรรมเริ่มต้นในช่วงเช้า มีประชาชนเดินทางหลั่งไหลมาจุดลงทะเบียนบริเวณมิวเซียมใต้ดิน ทั้งผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมมาล่วงหน้า และผู้เดินทางมาร่วมกิจกรรมแบบวอล์กอินจำนวนมาก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จัดคิวตามลำดับ

เวลา 09.30 น. ผู้เข้ากิจกรรมเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีสนามไชย มุ่งหน้าไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เพื่อเยี่ยมชมสถานที่สำคัญและรับฟังเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์

ในตอนหนึ่ง ดร.ธนภัทร์กล่าวว่า วัดโพธิ์เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ยุคปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในรัชกาลที่ 1 โดยได้รับการซ่อมของเดิมเพื่อให้ใช้งานได้ และสร้างของใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา รวมถึงการบูรณะครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 3

“งานช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 มีความเป็นจีนสูง เนื่องจากเราเคยค้าขายกับจีนมาก่อน เห็นได้จากตุ๊กตาจีนที่เรามักจะเรียกว่า ‘อับเฉา’ ด้วยความเข้าใจว่าสิ่งนี้คือสิ่งถ่วงเรือ แต่จากการตรวจสอบหลักฐานปัจจุบันพบว่า ของเหล่านี้เป็นของตั้งใจไปซื้อมาเพื่อประดับวัด เพราะซื้อมาง่ายกว่าการสร้างใหม่ ง่ายกว่าการมาแกะสลักใหม่ ซึ่งก็สวยงามเหมือนกัน” ดร.ธนภัทร์กล่าว

ดร.ธนภัทร์กล่าวว่า หลายคนจะเรียกว่าวัดโพธิ์ ว่าคือ ‘มหาวิทยาลัยแห่งแรก’ แต่ส่วนตัวแล้วตนจะเรียกว่า ‘หอสมุดแห่งแรก’ มากกว่า เพราะว่าสมัยก่อนไม่ใช่ว่าทุกคนจะอ่านหนังสือออก เราไม่ได้มีโรงเรียนสอนหนังสือกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะแบบในปัจจุบัน คนไทยสมัยก่อนแค่พออ่านออกเขียนได้

“ถ้าใครเคยอ่านเอกสารโบราณ หรือ จารึก จะเห็นว่าคำเดียวกันมีการสะกดไม่เหมือนกัน เช่น คำว่า ‘ศาสนา’ แต่ในบางจารึกเขียนว่า ‘สาสนา’ ขอแค่เสียงตรงกันบางทีเขาไม่ได้สนใจพยัญชนะด้วยซ้ำ ดังนั้น จารึกวัดโพธิ์ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอ่านออก ซึ่งวัดโพธิ์มีการจัดจารึกหลายเรื่องมาก ไม่ใช่ว่าจะเอาจารึกมาจัดวางตรงไหนก็ได้ รวมถึงจารึกในวิหารต่างๆ โคลงกลอน ตำรายา รวมถึงการเขียนถึงเมืองในประเทศราชด้วย” ดร.ธนภัทร์กล่าว

ดร.ธนภัทร์กล่าวว่า ‘วัดโพธิ์’ เป็นเหมือนการรวมความรู้ทุกอย่างที่คนในสมัยรัชกาลที่ 3 รู้ ถูกจารึกไว้ที่นี่ทั้งหมด มันเหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก แต่อันนี้เป็นการสังคายนาความรู้ อารมณ์เหมือนเป็นเรเนซองส์ของสยาม

“ส่วนตัวผมถ้าเราจะเรียกว่ายุคไหนว่าเป็นเรเนซองส์ของกรุงเทพ หรือ ไทย ผมจะเรียกยุคนี้ เพราะความรู้ทั้งหมดที่รู้มาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา จนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ถูกสังคายนาใหม่และทำให้ถาวร เพราะเอกสารสมัยก่อนเราทำด้วยกระดาษ แน่นอน พอผ่านกาลเวลาไปดูแลไม่ดี ไฟไหม้ น้ำท่วม มีความชื้น กระดาษพวกนั้นจะหายไปก่อน พวกนี้ไม่ พวกนี้ทนกว่าเยอะ เพราะฉะนั้นจารึกจึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าในสมัย ร.3 เรารู้เรื่องเหล่านี้” ดร.ธนภัทร์ระบุ

จากนั้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเข้ากราบสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และพระพุทธไสยาสน์ หรือ พระนอน รวมถึงเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ (วังหน้าพระลาน), อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตึกถาวรวัตถุ) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็นต้น

ทั้งนี้ งานมรดกสยาม 3 สมัย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00-20.00 น. ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า MRT สถานีสนามไชย ทางออกที่ 1 จากนั้นขึ้นรถอีวี มาต่อ บริการฟรี ตั้งแต่เวลา 11.00 – 20.30 น. ระหว่าง MRT สถานีสนามไชย – พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไม่เสียค่าใช้จ่าย

พพ. ปลื้ม 2 นวัตกรรมไทย ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน

Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage  มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ปลอดภัย อัคคีภัย ทัศนียภาพ และอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI) - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน นำโดย นางมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน, นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการกองกำกับและอนุรักษ์พลังงาน และนายอาวุธ  เครือเขื่อนเพชร พร้อมทีมงาน เยี่ยมชม Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon และสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมบรรยายหัวข้อ “ เรื่อง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response

นางมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน กล่าวถึง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon ถือเป็นนวัตกรรมของ คนไทยตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพราะปัจจุบันเรื่องพลังงานถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายให้คนไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ลดการนำเข้าพลังงาน หม้อแปลงดังกล่าวจึงเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการที่จะพลิกโฉมประเทศ สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า เน้นการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจ ยังช่วยลดการใช้พลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ลดคาร์บอน ลดเรือนกระจก และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด 

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว ได้รับเกียรติบรรยายเรื่อง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Demand Response และ Saving Energy” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าว ขอขอบพระคุณ ทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)  โดยหม้อแปลงดังกล่าว ตอบโจทย์การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ของภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอาคารสถานที่ ที่สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 9% และลดคาร์บอนมากกว่า 100 ล้านตันคาร์บอน คืนทุนภายใน 2-5 ปี เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน เพื่อผลัดดันการเปลี่ยนผ่านไป สู่พลังงานสะอาด ความยั่งยืนนี้จะส่งเสริมการเติบโตสีเขียวในภูมิภาค ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องประกาศนโยบายการลดคาร์บอน โดยประกาศเป้าหมายความเป็นกลางของแผนลดก๊าซคาร์บอนในปี 2575 จะเห็นภาพการใช้พลังงานทั้งด้านอุตสาหกรรมและภาคประชาชน ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ดังนั้น หม้อแปลงที่กล่าวข้างต้นจึงตอบโจทย์ทุกหน่วยงาน ภาครัฐ, เอกชน และภาคอุตสาหกรรม ด้านการประหยัดพลังงานและลดคาร์บอน

‘บริษัททัวร์สัตว์เลี้ยงจีน’ เช่าเหมาลำพา 41 นักท่องเที่ยว พร้อม ‘น้องหมา’ เที่ยวพัทยา ชี้!! เป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในกลุ่ม Dog Lover สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ

(15 มิ.ย.67) เว็บไซต์ ข่าวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยแพร่ภาพพร้อมข่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับบริษัท Pet Travel ‘Ai Chong You’ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในกลุ่ม Dog Lover ระหว่างวันที่ 6 – 13 มิถุนายน 2567

โดยการนำคณะนักท่องเที่ยวจีนพร้อมสุนัขตัวโปรดเดินทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทย ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) สายการบิน Juneyao Air โดยมีจำนวนผู้โดยสารประกอบด้วยนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 41 คน และสุนัขที่เดินทางมาพร้อมกับเจ้าของจำนวน 19 ตัว

เพื่อร่วมเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ-พัทยา อันนำไปสู่การเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง Pet-friendly destination ในอนาคต

โดย นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. กล่าวว่า กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก ในปัจจุบันคนจีนแต่งงาน และไม่นิยมมีบุตร แต่หันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทดแทน โดยเฉพาะกลุ่ม Dog Lover

อ้างอิงข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พบว่า ชาวจีนจำนวนร้อยละ 70 นิยมเลี้ยงสุนัขเมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงประเภทอื่น นอกจากนี้เจ้าของยังให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยง เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว มีการพาออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน

อีกทั้งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังการซื้อสูง ด้วยเหตุนี้ ททท. จึงร่วมมือกับ Pet Travel ‘Ai Chong You’ จัดกิจกรรมนำคณะนักท่องเที่ยวจีนพร้อมสุนัขตัวโปรดเดินทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทยด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) สายการบิน Juneyao Air

เพื่อเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ในกลุ่ม Dog Lover ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เนื่องจาก เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก ด้วยการเช่าเหมาลำของคณะนักท่องเที่ยวจีน พร้อมสัตว์เลี้ยง รวมถึงเป็นครั้งแรกในการเดินทางมายังประเทศไทยอีกด้วย

โดย ททท. นำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ–พัทยา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ออกเดินทางเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยว และพาสุนัขตัวโปรดทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวชมวัดปากน้ำภาษีเจริญ พักผ่อนในบรรยากาศสบาย ๆ ณ Pet-friendly Cafe คาเฟ่ที่พร้อมต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่น้องหมา

อาทิ Craft Cafe คาเฟ่หนึ่งเดียวในโรงแรม Kimpton Maa-lai, The Commons Thonglor เป็นคอมมูนิตี้สเปซสำหรับคนรักสัตว์, ตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยา, เกาะล้าน, สวนนงนุชพัทยา และแลนด์มาร์กแห่งใหม่บรรยากาศตลาดญี่ปุ่น Bangsaen Toshin (บางแสนโทชิน) เป็นต้น

นอกจากนี้ ททท. ยังได้ประสานความร่วมมือไปยังตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยาเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่คณะนักท่องเที่ยว ซึ่งภายหลังการจัดกิจกรรมได้รับเสียงตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากคณะผู้เข้าร่วมเดินทาง

ทั้งนี้ ททท. ยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านการเดินทางสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง Pet-friendly destination ในอนาคตต่อไป

'อลงกรณ์' ผนึกนักบริหารทุกภาคส่วนจัดตั้งสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy) ส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมใหม่ หวังอัปเกรดประเทศไทย สู่ประเทศรายได้สูง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิล์ดวิว ไครเมทและอดีตประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมเปิดเผยวันนี้ว่า สืบเนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่า2%ติดต่อกันหลายปีทำให้ติดกับประเทศรายได้ปานกลางขณะที่การส่งออกอ่อนแรงลงมากสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกลดลงและการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยมีเพียง 1.1 % ของจีดีพี.ประกอบกับประเทศไทยต้องเผชิญกับโอกาสและความท้าทายจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อน โรคระบาด ความมั่นคงทางอาหาร สังคมสูงวัย ดิจิตอลดิสรัปชั่น และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy) บนฐานความรู้และการวิจัย ตนจึงได้ผนึกความร่วมมือกับนักบริหารทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยจัดตั้งสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation) ในรูปของธุรกิจเพื่อสังคม100% (Social Enterprise) เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมนวัตกรรมและองค์ความรู้รวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ครอบคลุมงานวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (First S-curve)และอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve)โดยเฟสแรกจะเน้นการส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมทางด้านเกษตร อาหาร สิ่งแวดล้อม เอไอ.เทคโนโลยีและเทคโนโลยีดิจิตอลในกลุ่มเศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy) เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy) และ เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy)

ทั้งนี้จะมีการเปิดตัวFKII Thailand ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ เวลา 9.00-12.00 น.ที่สวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์ สำหรับนักบริหารและนักวิจัยภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการก่อตั้งสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์เช่น อดีตรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิล์ดวิว ไครเมทและอดีตประธานกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม นพ.บุญเทียม เขมาภิรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ ดร.สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ อดีตผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ที่ปรึกษาและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย 

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีนและอดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่ง นายชยดิฐ หุตานุวัตร ประธานสมาคมสถาบันทิวา นายกฤชฐาโภคาสถิตย์ อดีตประธานอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซ นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ นายกสมาคมนักประดิษฐ์และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย นายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมดิจิตอลเทรด ดร.สุทัศน์ ครองชนม์ นายกสมาคมไทย IoT นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ ประธานผลิตภัณฑ์ไม้ Asian อุปนายกสมาคมเครื่องเรือนไทย นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา อดีตกรรมการคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตร นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นายสานิตย์ จิตต์นุพงศ์ สำนักงานโครงการข้าวรักษ์โลก เป็นต้น

โดยได้เชิญองค์ปาฐกร่วมแสดงวิสัยทัศน์ อาทินายเกรียงไกร เธียรนุกุลประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสนั่น อังอุบลกุลประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานหอการค้าไทย ฯลฯ

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ขนน้ำจืด แจกจ่ายให้ปชช. เพื่อแก้วิกฤตภัยแล้ง ที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

(15 มิ.ย.67) ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 1 จัดเรือหลวงราวี ให้การสนับสนุนส่งน้ำจืด จำนวน 200,000 ลิตรให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้ง

เนื่องจากฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จนทำให้ประชาชนไม่มีน้ำใช้ และฝนที่ตกลงมา ก็ไม่ได้ไปตกในพื้นที่ เกาะล้าน 

โดยมี นางสาวสิริกร มหามิตร หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเกาะล้าน เมืองพัทยา ข้าราชการ และประชาชน อำนวยความสะดวกในพื้นที่

‘มาริโอ บาโลเตลลี’ อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลี เดินทางมาฝึกซ้อมมวยไทย เจ้าของค่ายมวย ‘กมลา มวยไทย ยิม’ จ.ภูเก็ต ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

(15 มิ.ย.67) เพจของ Kamala Muay Thai Gym ได้โพสต์ต้อนรับการมาเยือนของ บาโลเตลลี ที่จะมาร่วมซ้อมมวยไทย เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเจ้าตัวได้มอบเสื้อแข่งของทีม ลิเวอร์พูล พร้อมลายเซ็นเป็นที่ระลึกให้กับทางค่ายมวยอีกด้วย

สำหรับ มาริโอ บาโลเตลลี วัย 33 ปี ถือว่าเป็นกองหน้าระดับตำนานของความเกรียนและอินดี้คนหนึ่งในโลกลูกหนัง เคยค้าแข้งกับสโมสรดังอย่าง อินเตอร์ มิลาน, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอซี มิลาน, ลิเวอร์พูล, นีซ รวมถึงอีกหลาย ๆ ทีมในยุโรป 

ปัจจุบัน บาโลเตลลี ค้าแข้งกับ อดานา เดมีร์สปอร์ ในฤดูกาลปัจจุบัน โดยทำไปได้ 7 ประตูกับ 1 แอสซิสต์จาก 16 เกมในลีก โดยอนาคตก้าวต่อไปของเจ้าตัวยังไม่แน่นอนกับต้นสังกัด

เครื่องบินพาณิชย์ ‘สายการบินดูไบ’ ลงจอดฉุกเฉิน สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง หลังพบปัญหาระบบล้อไม่กาง หอบังคับการเร่งประสาน ให้เจ้าหน้าที่สแตนด์บาย

เมื่อเวลา 23.00 น. คืนที่ผ่านมา (14 มิ.ย.) หอบังคับการบินสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา-พัทยา ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ได้รับการแจ้งจากกัปตันบนเครื่องบินพาณิชย์แอร์บัส รุ่น A319-115(cj) สายการบินดูไบ เพื่อขอลงจอดฉุกเฉินหลังพบปัญหาระบบล้อไม่กาง 

จนทำให้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินต้องประสานรถดับเพลิง และเจ้าหน้าที่กู้ชีพ รถกู้ภัยมูลนิธิสว่างพรกุศลระยอง รวมทั้งมูลนิธิสว่างบริบูรณ์พัทยากว่า 40 คัน สแตนด์บายพร้อมให้การช่วยเหลือ

กระทั่งในเวลา 00.00 น.วันนี้ (15 มิ.ย.) เครื่องบินลำดังกล่าวได้บินลดระดับต่ำลงเพื่อเตรียมลงจอด ซึ่งพบว่าล้อทั้งหมดถูกกางออก และกัปตันสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัยที่หลุมจอด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบระบบการทำงานของล้อ

สำหรับเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่บินตรงมาจากดูไบ โดยมีกัปตัน พร้อมผู้ช่วยกัปตัน และลูกเรือรวม 7 คน แต่ไม่มีผู้โดยสาร ซึ่งขณะกำลังบินเหนือน่านฟ้าสนามบินอู่ตะเภา พบว่าระบบล้อไม่กาง จึงแจ้งขอลงจอดฉุกเฉินดังกล่าว

‘อาชีวะฯ’ ยกระดับเชิงรุกมาตรการ ‘สถานศึกษาปลอดภัย’ ขอความร่วมมือทุกฝ่าย เฝ้าระวังป้องกันเหตุความรุนแรง

(14 มิ.ย.67) นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน สถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประชุมผู้บริหารสถานศึกษา ครูปกครอง เครือข่ายเฝ้าระวังป้องกันเหตุ ใช้มาตรการเชิงรุกป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงของนักเรียนนักศึกษาตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ณ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ และวิทยาลัยเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ

นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีความห่วงใยและมีนโยบายในการดูแลความปลอดภัยกำชับสถานศึกษาทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยสถานศึกษาให้แก่ผู้เรียน ครูและบุคลากร โดยมีการกำหนดมาตรการร่วมกับตำรวจ ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สถานศึกษาทำแผนเฝ้าระวังเหตุปฏิทินการดำเนินงานวิธีการป้องกันการใช้ความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา คัดกรองเฝ้าระวังติดตามดูแลพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง

“และให้สถานศึกษากวดขันนักเรียนนักศึกษาให้ตั้งใจเรียน อยู่ในระเบียบวินัยของสถานศึกษา และปฏิบัติตนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายขั้นสูงสุด และให้สถานศึกษา จัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาสร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงร่วมกันสอดส่องดูแลบุตรหลานโดยเฉพาะเวลาเดินทางไป - กลับ หากมีการก่อเหตุความรุนแรงทั้งภายในภายนอกสถานศึกษา ให้ผู้บริหารร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาพร้อมรายงานสถานศึกษาต้นสังกัดทราบทันที” นายทวีศักดิ์ กล่าว

เปิดรายได้ 6 ปี 'สุทธิชัย หยุ่น' โกย 318 ล้าน กำไรกว่า 151 ล้าน พบ 20 สัญญากว่า 20 ล้าน มาจาก 'ไทยพีบีเอส' จ้าง 'บ.กาแฟดำ'

(14 มิ.ย. 67) จากกรณีที่นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี กล่าวผ่านรายการประชาทอล์ค ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสำนักข่าวประชาไท ชี้แจงกรณีที่อดีตผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา เช่น นายธีรัตถ์ รัตนเสวี นางสาวลักขณา ปันวิชัย หรือคำ ผกา ไปผลิตรายการข่าวเช้าให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) กรมประชาสัมพันธ์ ในนามบริษัท คำดี จำกัด กล่าวว่า รายการดังกล่าวมีพิธีกร 3 คนดำเนินรายการ จ่ายค่าดำเนินรายการ 3 คน แล้วผู้ดำเนินรายการจ่ายค่าช่างแต่งหน้า และค่าโปรดิวเซอร์ที่มาช่วยทำข้อมูลให้ ต่างจากนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส และนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ จัดรายการให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสยังไง

"การเข้าข้างกัน เชียร์กัน มีสื่อเชียร์รัฐบาลไม่ใช่เรื่องผิด และการมีกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขาก็อยากจะอธิบายแทนรัฐบาล เพราะที่ผ่านมามีคนถล่มรัฐบาล กระทั่งรับปัญหามา ก็รู้สึกมีปมเรื่องนี้ว่าทำไมไม่พยายามอธิบายในสิ่งที่รัฐบาลทำบ้าง เมื่อสื่อส่วนใหญ่เข้าข้างฝ่ายค้าน ทำไมสื่อส่วนหนึ่งจะอธิบายสิ่งที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเหมือนกันไม่ได้" นายชูวัสกล่าว

ต่อมานายสุทธิชัยโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์ม X บัญชี @suthichai ว่า "ขอใช้สิทธิพาดพิงครับ ความแตกต่างที่ชัดที่สุดคือ รัฐบาลสั่ง NBT ได้ แต่สั่ง ThaiPBS ไม่ได้ครับ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลลุงตู่หรือรัฐบาลนี้)"

ล่าสุดเฟซบุ๊ก ‘ซึ่งต้องพิสูจน์’ โพสต์อินโฟกราฟิก หัวข้อ ‘เว็บฯ ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ (ภาษีไปไหน)’ ระบุ ตั้งแต่ปี 62 ถึงปี 67 TPBS จ้าง ‘บริษัท กาแฟดำ’ (ที่มี ‘สุทธิชัย หยุ่น’ เป็น 1 ในกรรมการ) 20 โครงการ มูลค่า 20.86 ล้านบาท’ โดยเรียงลำดับตามมูลค่าโครงการดังนี้

1. วันที่ลงนามในสัญญา 14 ส.ค. 62 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตและจัดหารายการ ฟังเสียงประเทศไทย คำตอบอยู่ในหมู่บ้าน ไตรมาส 3-4/2562 จำนวน 26 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 3.25 ล้านบาท

2. วันที่ลงนามในสัญญา 6 พ.ย. 62 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตรายการ ตั้งวงคุย กับสุทธิชัย หยุ่น โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 2.57 ล้านบาท

3. วันที่ลงนามในสัญญา 30 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการฟังเสียงประเทศไทย จำนวน 19 วัน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.52 ล้านบาท

4. วันที่ลงนามในสัญญา 9 ก.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (จำนวน 17 วัน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.36 ล้านบาท

5. วันที่ลงนามในสัญญา 10 มี.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (ไตรมาสที่ 1-2/2563) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.12 ล้านบาท

6. วันที่ลงนามในสัญญา 30 มิ.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) ไตรมาสที่ 3-4/2565 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

7. วันที่ลงนามในสัญญา 28 ม.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ ไตรมาสที่ 1-2/2563 (จำนวน 26 ตอน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

8. วันที่ลงนามในสัญญา 16 ก.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (ไตรมาสที่ 3-4/2563) จำนวน 26 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

9. วันที่ลงนามในสัญญา 30 มิ.ย. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินการรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) ไตรมาสที่ 3-4/2566 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

10. วันที่ลงนามในสัญญา 27 ธ.ค. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) จำนวน 25 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.07 ล้านบาท

11. วันที่ลงนามในสัญญา 31 ม.ค. 67 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น (เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมิถุนายน 2567) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 941,600.00 บาท

12. วันที่ลงนามในสัญญา 30 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (จำนวน 21 ตอน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 898,800.00 บาท

13. วันที่ลงนามในสัญญา 16 ก.ย. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการคุยให้คิด โดยคุณสุทธิชัย หยุ่น จำนวน 15 ตอนความยาวตอนละ 50 นาที โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 600,000.00 บาท

14. วันที่ลงนามในสัญญา 26 ก.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างค่าผู้ดำเนินรายการ รายการ คุยให้คิด ไตรมาส 4/2565 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

15. วันที่ลงนามในสัญญา 2 มิ.ย. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างค่าผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด ไตรมาส 2-3/2564 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

16. วันที่ลงนามในสัญญา 2 ก.ค. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด (ไตรมาส 3/2566) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

17. วันที่ลงนามในสัญญา 2 ต.ค. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด ไตรมาส 4/2566 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

18. วันที่ลงนามในสัญญา 6 มิ.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 480,000.00 บาท

19. วันที่ลงนามในสัญญา 31 มี.ค. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตหนังสือ ฟังเสียงประเทศไทย จำนวน 1,000 เล่ม โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 270,000.00 บาท

20. วันที่ลงนามในสัญญา 3 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (จำนวน 3 วัน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 240,750.00 บาท

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท กาแฟดำ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2561 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ มีกรรมการบริษัท ประกอบด้วย นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายปราบดา หยุ่น นางนันทวัน แซ่หยุ่น และนายธวัช ยวงตระกูล เมื่อตรวจสอบงบการเงิน พบว่าผลประกอบการตลอด 6 ปีที่ผ่านมามีดังนี้

-ปี 2561 มีรายได้รวม 36,915,808.69 บาท กำไรสุทธิ 15,323,028.29 บาท
-ปี 2562 มีรายได้รวม 60,815,894.44 บาท กำไรสุทธิ 31,155,133.00 บาท
-ปี 2563 มีรายได้รวม 54,988,606.30 บาท กำไรสุทธิ 26,936,460.39 บาท
-ปี 2564 มีรายได้รวม 59,608,001.44 บาท กำไรสุทธิ 31,570,541.86 บาท
-ปี 2565 มีรายได้รวม 55,033,712.89 บาท กำไรสุทธิ 23,615,549.80 บาท
-ปี 2566 มีรายได้รวม 51,281,671.04 บาท กำไรสุทธิ 22,773,065.39 บาท

รวม 6 ปีมีรายได้รวม 318,643,694.80 บาท กำไรสุทธิรวม 151,373,778.83 บาท

สำหรับนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น ปัจจุบันอายุ 77 ปี เคยเป็นผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อเครือเนชั่น เจ้าของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก และสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ก่อนยุติบทบาทเมื่อเดือน มี.ค. 2561 หันมาเปิดบริษัทชื่อว่ากาแฟดำ จัดรายการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดยใช้นามปากกา ‘กาแฟดำ’ ภายหลังจึงได้มาจัดรายการโทรทัศน์ผ่านสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี สถานีโทรทัศน์เอ็มคอต เอชดี เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top