Wednesday, 21 May 2025
NEWS FEED

‘สุรพิชญ์-วิชญาดา’ คว้าตั๋วดวลวงสวิงญี่ปุ่น หลังได้แชมป์ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025”

(14 พ.ค. 68) ดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานจัดการแข่งขัน “ช้าง-เจ็นซ์ กอล์ฟ ทัวร์” ให้เกียรติมอบรางวัลและมอบสิทธิ์ร่วมแข่งที่ประเทศญี่ปุ่น แก่นักกอล์ฟเยาวชนที่คว้าแชมป์ในรุ่น Super GENZ (ชายและหญิง) ในการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนรายการ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025” ที่สนามปัตตาเวีย เซ็นจูรี่ กอล์ฟ คลับ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

“บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ร่วมกับ “บริษัท เดอะ เจ็นซ์ จำกัด” ลุยคัดเยาวชนฝีมือดีต่อในรายการ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025” ทำการแข่งขัน 2 วัน (36 หลุม) ซึ่งการแข่งขันสนามนี้จะคัดเลือกนักกอล์ฟเยาวชนที่คว้าแชมป์ในรุ่น Super Genz ชาย 1 คน และหญิง 1 คน ร่วมเป็นตัวแทนเข้าแข่งขัน Yonex Junior Golf Championship 2025 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม นี้ 

หลังจบการแข่งขันรอบสุดท้าย ผลปรากฏว่า “สุรพิชญ์ พิชยเสาวภาคย์” คว้าแชมป์รุ่น Super Genz ชาย ได้สำเร็จ สกอร์รวมสองวันทำไป 3 อันเดอร์พาร์ 141 ฟาก Super Genz (หญิง) วิชญาดา แรมเมือง ก็ฟอร์มแรงไม่แพ้กัน เบียดคว้าแชมป์แรกในสนามนี้ไปครอง ด้วยสกอร์รวม 1 อันเดอร์พาร์ 143 ซึ่งทั้ง สุรพิชญ์ และวิชญาดา ยังคว้าตั๋วแข่งที่ญี่ปุ่นได้อีกด้วย 

นอกจากสิทธิ์แข่งญี่ปุ่นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรายการแข่งขันที่ เดอะ เจ็นซ์ จะพาน้องๆ ไปสร้างประสบการณ์พัฒนาฝีมือในระดับนานาชาติที่ประเทศสิงคโปร์ กับรายการ Singapore Junior Masters 2025 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งนักกอล์ฟที่ได้สิทธิ์แข่งขันในรายการนี้ จำนวน 4 คน ได้แก่ รุ่น Super GENZ (ชาย) สุรพิชญ์ พิชยเสาวภาคย์ รุ่น Super GENZ (หญิง) งามพรรณ จันทนะ ส่วนรุ่น Junior Genz (ชาย) รัฐวิชญ์ รัฐชัยอนันต์ รุ่น Junior Genz (หญิง) บุณยนุช ศุภกิจบุญชู 

รายการต่อไปเป็นการแข่งขันเก็บคะแนนสะสมรายการที่ 4 “Ditto Classic 2025 Super 6 Match Play” แข่งขันระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2568 สนามเขาใหญ่ คันทรี คลับ จ.นครราชสีมา สำหรับผู้ปกครองและนักกอล์ฟที่สนใจเข้าร่วมแข่งขันสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Official Line : @genzgolf  หรือโทร. 065 696 2229

ตำรวจให้ประกันตัว ‘แมวหลงสวบเจ้าหน้าที่’ หลังจับพิมพ์ลายนิ้วทำประวัติ วอนผู้ปกครองนำไปอบรม

(14 พ.ค. 68) แมวพลัดหลงตาแบ๊วที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียล หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Da Parinda Pakeesuk' โพสต์ตามหาเจ้าของ พร้อมเผยว่าแมวตัวดังกล่าวถูกตั้งข้อหา “พยายามสวบเจ้าพนักงาน” หลังไปก่อกวนเจ้าหน้าที่ที่ สน.คลองตัน โดยระบุว่าแมวมีพฤติกรรมดื้อซนถึงขั้นทะเลาะกับตำรวจ จนต้องฝากขังหากไม่มีผู้รับตัว

ล่าสุดเฟซบุ๊ก 'Da Parinda Pakeesuk' มีการอัปเดตว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีตามขั้นตอน พร้อมพิมพ์อุ้งเท้าทำประวัติ ตรวจสารเสพติด (หญ้าแมว) ผลออกมาเป็นลบ ก่อนอนุญาตให้ประกันตัว โดยมี 'ผู้ปกครอง' มารับกลับไปอบรมอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่แมวตัวอื่นในชุมชน

ทั้งนี้ เคสตามหาเจ้าของแมวดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ด้วยความน่ารักของ 'ผู้ต้องหาแมว' ที่แม้จะซนแต่ก็สร้างรอยยิ้มให้ชาวเน็ต และสะท้อนความห่วงใยของประชาชนที่ร่วมกันตามหาเจ้าของอย่างอบอุ่นใจในช่วงเวลาไม่นาน

สมุทรปราการ-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีเชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ถวายแด่เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง

(14 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ถวายแด่ พระสงฆ์ที่ได้รับการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระราชาคณะ จำนวน 1 รูป ดังนี้ พระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะให้พระสงฆ์ โดยทรงพระราชดำริว่าซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์สูงขึ้น  ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยทรงพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช แด่พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) ดร. เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นพระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) ท่านเจ้าคุณแจ้ ณ อุโบสถวัดบางพลีใหญ่กลาง 

โดยมี พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ คณะไวยาวัจกรวัดบางพลีใหญ่กลาง คณะครู คณะแพทย์ ทหาร ตำรวจ และศิษยานุศิษย์ ร่วมให้การต้อนรับ นอกจากนี้ยังมีคณะสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดต่างๆ ร่วมแสดงมุทิตาสักการะแด่ พระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ณ อุโบสถวัดบางพลีใหญ่กลาง 


 

‘ผู้นำชีอะห์ไทย’ ลากไส้ ‘NGO ต่างชาติ’ ปมชายแดนใต้ แฉช่วยล้างภาพ BRN เปิดทุกกลลวงแบ่ง ‘อธิปไตยไทย’

‘ผู้นำชีอะห์’ ลากไส้ ‘NGOต่างชาติ’ ต่อปัญหา ‘ชายแดนใต้’ แฉเบื้องหน้าอ้างสิทธิมนุษยชน เบื้องหลังคือเครื่องมือแทรกแซง เปลี่ยนภาพลักษณ์ ‘BRN’ จาก ‘กลุ่มติดอาวุธ’ เป็น ‘ขบวนการทางการเมือง’ ปลายทางคือแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย แนะรัฐบาลไทยตั้ง ‘NGO ฝ่ายความมั่นคง’ ตีโต้

(14 พ.ค. 68) นายซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความ เรื่อง “โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 3 ตอน มีเนื้อหาดังนี้...

โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย

ตอนที่ 1
เบื้องหน้า 'สิทธิมนุษยชน' – เบื้องหลัง 'เครื่องมือแทรกแซง' 'สิทธิมนุษยชน' และ 'สันติภาพ' อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่สวยงาม แต่ในบางเวที โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังขององค์กรนอกภาครัฐจากต่างประเทศ (NGO ต่างชาติ) ในการเข้ามากำหนดทิศทางความขัดแย้งอย่างแยบยล โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า: พวกเขาต้องการอะไรจริงๆ?"

NGO ต่างชาติใน จชต.: ผู้มาเยือนหรือผู้กำหนดยุทธศาสตร์?
ตั้งแต่ความรุนแรงรอบใหม่ใน จชต.ปะทุขึ้นในปี 2547 เป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของ NGO ระหว่างประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน องค์กรเหล่านี้มักอ้างเป้าหมายในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมทางกฎหมาย และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน — แต่การสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า หลายองค์กรมีบทบาทเชิงโครงสร้างในระดับที่ไม่ธรรมดา

องค์กรอย่าง Human Rights Watch, International Crisis Group (ICG), Amnesty International หรือแม้แต่ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ต่างมีโครงการ ฝึกอบรม รายงานวิจัย และเวทีพูดคุยที่ดำเนินมายาวนานใน จชต. โดยเฉพาะ HD ซึ่งเป็นองค์กรที่มีที่ตั้งในเจนีวาแต่สามารถเข้าถึงทั้งแกนนำ BRN และฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน — จนกระทั่งสามารถผลักดันให้เกิดโต๊ะเจรจาสันติสุขขึ้นจริง

วาทกรรมสิทธิมนุษยชน: พื้นที่ใหม่ของการต่อรอง
รายงานและถ้อยแถลงจาก NGO ต่างชาติ มีการตั้งคำถามต่อการใช้กฎหมายพิเศษของรัฐไทย เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ทั้งที่รายงานเหล่านี้มักขาดการอ้างอิงเหตุผลด้านความมั่นคง หรือความรุนแรงที่มาจากขบวนการ BRN

ในทางกลับกัน กลับมีแนวโน้มที่ NGO เหล่านี้จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงการวางระเบิด การลอบยิง หรือการเกณฑ์เยาวชนเข้าร่วมขบวนการด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยมักจัดให้เป็น "ผลพวงของโครงสร้างรัฐที่กดทับ" มากกว่าการกระทำผิดกฎหมายหรืออาชญากรรม

แนวโน้มนี้สร้างวาทกรรมใหม่ที่มองรัฐไทยเป็น 'ผู้กดขี่' และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเป็น "ผู้ถูกกดขี่ที่ต้องเข้าใจ" ซึ่งอาจดูสมดุลในแง่สิทธิมนุษยชน แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว คือการวาง 'โครงสร้างการตีความ' ที่ลดทอนอำนาจความชอบธรรมของรัฐไทยในเวทีสากล

ประโยชน์เชิงโครงสร้าง: NGO ได้อะไร?
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง NGO เหล่านี้ได้ประโยชน์ในหลายระดับ:

การต่ออายุองค์กร
พื้นที่ความขัดแย้งที่ยังไม่จบ ทำให้โครงการ NGO ไม่หมดอายุ — งบประมาณ ความชอบธรรม และความสนใจจากโลกภายนอกยังคงหลั่งไหล

การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็น
ยิ่งรัฐไทยกับ BRN ไม่ไว้ใจกันมากเท่าไร องค์กรอย่าง HD ยิ่งกลายเป็นผู้กำหนดโต๊ะ (agenda-setter) ได้มากเท่านั้น

เวทีแห่งอำนาจใหม่
การเข้ามาทำงานใน จชต. คือโอกาสสร้างเครือข่ายใหม่ของ NGO กับนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาสังคมมลายู — ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานต่อรองในอนาคต

Soft Power ฝังลึก
NGO เหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังฝังกรอบคิดแบบตะวันตกในเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ เขตปกครองตนเอง หรือความเป็นสากลของสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทไทยเสมอไป

คำถามปลายเปิดที่รัฐไทยยังไม่กล้าถาม
ทำไม NGO เหล่านี้ถึงสามารถเข้าถึงทั้ง BRN และฝ่ายความมั่นคงได้พร้อมกัน?
การฝึกอบรมให้แก่นักเจรจา ทั้งฝ่ายขบวนการและเจ้าหน้าที่รัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นกลางจริงหรือ?

โต๊ะเจรจาที่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขและเวทีของ NGO ต่างชาติ แท้จริงแล้วเป็นโต๊ะของใคร?

ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่จำเป็นต้องถาม เมื่อองค์กรต่างชาติในนามของ NGO เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้ง ความชัดเจนในเจตนาและวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ในตอนต่อไป จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า NGO ต่างชาติเหล่านี้ ได้ประโยชน์อย่างไรจากทั้ง BRN และรัฐไทย และอาจกำลังเป็นผู้ควบคุมกระดาน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

ตอนที่ 2
เกมลวงของ NGO: 'ผู้หวังดี' ที่ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในเวทีความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง BRN องค์กร NGO จากต่างประเทศมักปรากฏตัวในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เฝ้าระวัง หรือผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูเป็นกลางและหวังดีเหล่านี้ NGO บางกลุ่มได้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายในแบบที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง

NGO ในบทบาท 'กรรมการ' ที่ควบคุมเกม

หนึ่งในองค์กรที่โดดเด่นที่สุดคือ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ซึ่งเป็นองค์กรที่อ้างความเป็นกลางในการสร้างสันติภาพ และสามารถเข้าถึงทั้งฝ่าย BRN และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน

HD ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการจัดเวทีพูดคุยสันติสุขเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดอบรม ฝึกเจรจา และให้คำแนะนำในเชิงกระบวนการแก่ทั้งสองฝ่ายมานานนับสิบปี ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์ นี่ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวก — แต่คือการ ควบคุมโครงสร้างโต๊ะเจรจา

NGO กับการปั้น BRN

NGO บางกลุ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในการช่วย BRN เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก 'กลุ่มติดอาวุธ' มาเป็น 'ขบวนการทางการเมือง' โดยเฉพาะ HD และกลุ่มฝึกอบรมจากยุโรป ซึ่งสนับสนุนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ของ BRN ให้พูดภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจกลไกระหว่างประเทศ และสามารถสื่อสารผ่านสื่อสากลได้

NGO เหล่านี้ยังสนับสนุนเวทีระหว่างประเทศ เช่น การดึง OIC หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนให้ร่วมฟัง BRN นำเสนอข้อเรียกร้องในเชิงการเมือง มากกว่าจะพูดถึงเหตุการณ์ลอบโจมตีหรือการใช้อาวุธในพื้นที่

NGO กับรัฐไทย: ทำไมจึงยอมรับ?

แม้รัฐไทยจะระแวดระวัง NGO ต่างชาติ แต่สุดท้ายก็มักยอมให้เข้ามามีบทบาทเพราะ:

ต้องการเวทีพูดคุยที่ดูเป็นกลางในสายตาสากล

ขาดทักษะด้านการเจรจาและต้องพึ่งพาการฝึกอบรมจากภายนอก

เชื่อว่า NGO จะเป็น 'กันชน' ลดแรงกดดันจากประชาคมโลก

อย่างไรก็ตาม การยอมเปิดพื้นที่ให้ NGO เหล่านี้ ก็คือการยอมให้ ผู้อื่นกำหนดโครงสร้างเจรจาแทนตน โดยไม่รู้ตัว

ใครหลอกใคร: NGO ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในขณะที่รัฐไทยพยายามสร้างภาพว่ากำลังควบคุมสถานการณ์ และ BRN พยายามสร้างความชอบธรรม NGO บางกลุ่มกลับสามารถ:

ขยายโครงการ ต่อเนื่องจากสถานการณ์ไม่จบ

ปั้นผู้นำ ที่ตนเองสามารถเข้าถึงได้

ขยายทุนทางสังคม ในหมู่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเยาวชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง NGO บางกลุ่มสามารถทำให้ตนเองกลายเป็น "ผู้มีอำนาจเหนือความขัดแย้ง" โดยไม่มีต้นทุนทางความรับผิดชอบใดๆ

ตัวอย่างพฤติกรรมที่ควรจับตา

HD จัดเวิร์กช็อปให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและแกนนำเยาวชนในหัวข้อเดียวกัน แต่แยกพื้นที่ พบว่ามีการปลูกฝังชุดความคิดเรื่อง self-determination โดยใช้กรณีติมอร์ตะวันออกและโคโซโวเป็นต้นแบบ

ตามรายงานของ ICG ปี 2022 BRN มีแนวโน้มปรับบทบาททางการเมืองผ่านการมีทีมเจรจาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งสะท้อนความพยายามเปลี่ยนผ่านจากขบวนการติดอาวุธสู่เวทีการเมือง”

เครือข่าย NGO ด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในยุโรปแนะนำให้ไทยยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยไม่พูดถึงความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป
NGO บางกลุ่มไม่เพียงแต่เข้ามามีบทบาทในเวทีเจรจา แต่ยังทำหน้าที่เสมือน ผู้ออกแบบกระดาน ที่ทั้ง BRN และรัฐไทยต้องเล่นตาม โดยไม่ได้ตระหนักว่าตนเองอาจกลายเป็นหมากในเกมที่ NGO เป็นผู้จัดวาง

ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
NGO กับวาระตะวันตก – ปลายทางคือการแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย?

ในสองตอนที่ผ่านมา เราเห็นภาพ NGO ต่างชาติที่มีบทบาทลึกซึ้งในความขัดแย้ง จชต. บทบาทนั้นไม่ได้จบที่การฝึกอบรมหรือไกล่เกลี่ย แต่เชื่อมโยงกับแนวโน้มของยุทธศาสตร์ตะวันตกที่ต้องการปรับโครงสร้างอำนาจรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้นทุกขณะ

ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: ทำไมตะวันตกจึงสนใจ จชต.?

จชต. ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ช่องแคบมะละกา จุดยุทธศาสตร์การค้าและการทหารของโลก ภูมิภาคนี้เป็นทางผ่านสำคัญของการขนส่งพลังงาน และเป็นพื้นที่แทรกซึมของอิทธิพลจีน — จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป จะจับตามองอย่างใกล้ชิด

ในบริบทเช่นนี้ NGO กลายเป็น 'แขนขาทางอ้อม' ของแนวคิด soft power ตะวันตก ที่พยายามแทรกซึมแนวคิดเรื่อง human rights, autonomy, self-determination ให้ฝังลึกลงในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะในจุดที่อำนาจรัฐไทยไม่อาจควบคุมได้อย่างเด็ดขาด

สมุทรปราการ-มูลนิธิอนันตชัย มอบถุงยังชีพช่วยเหลือคนจน กว่า 1,000 ชุด เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี อนันตชัย คุณานันทกุล

(14 พ.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายอนันตชัย  คุณานันทกุล ประธานมูลนิธิอนันตชัย เป็นประธานจัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี วันคล้ายวันเกิด 

โดยมี นางอุไร คุณานันทกุล พร้อมด้วย นายเอกสิทธิ์-นางกัลยา-นายคุณค่าและนางฐาปนีย์  คุณานันทกุล นายทวี กุลเลิศประเสริฐ พร้อมด้วยครอบครัวปวงชนไทย นำคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิคุณานันทกุลร่วมกันมอบถุงยังชีพ ประเภท ข้าวสาร อาหารแห้ง นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินสดให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมถึงพี่น้องประชาชนที่เดินทางมารับมอบถุงยังชีพอีกรายละ 500 บาท 

เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งมีประชาชนทั้งในเขตพื้นที่และนอกพื้นที่ต่างเดินทางเข้ารับมอบถุงยังชีพ กว่า  1,000 คน  นอกจากนี้ทางมูลนิธิอนันตชัยยังได้จัดเตรียมอาหารปรุงสุกนำมาแจกจ่ายให้กับผู้มารับถุงยังชีพในครั้งนี้อีกด้วย

ซึ่งการจัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” นั้น นายอนันตชัย พร้อมด้วยนางอุไร และครอบครัวคุณานันทกุล ได้ร่วมพิธีถวายสังฆทานและถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงฆ์จำนวน 9 รูป โดยได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดหนามแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 80 ปี นายอนันตชัย ที่อาคารสุขอนันต์ 

ด้านนายอนันตชัย กล่าวว่า ในปีนี้ทางมูลนิธิฯ และครอบครัวคุณานันทกุล พร้อมด้วยคณะครอบครัวปวงชนไทย นำโดย นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล มีความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชน จึงได้จัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” มอบสิ่งของเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพในพื้นที่ โดยตั้งใจจะจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เนื่องจากต้องการเห็นสังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีการแบ่งปันน้ำใจซึ่งกันและกัน ซึ่งทุกคนต่างมีความสุขทั้ง ผู้ให้และผู้รับ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่เทศกิจ ชุด อปพร.ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในครั้งนี้ด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

มูลนิธิพระราหู – จีจีไอ. กรุ๊ป เปิดรับผู้เข้าร่วมโครงการ อุปสมบทหมู่มุ่งสู่ดินแดนพุทธภูมิ - ลงทะเบียนได้ด้านล่าง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการ พรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู เปิดเผยว่า มูลนิธิพระราหู ร่วมกับ บริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ กรุ๊ป จำกัด ได้จัดโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาเพื่อไปศึกษาพระธรรม และที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วม โครงการบรรพชามาแล้วถึง 6 รุ่น ด้วยกัน โดยมูลนิธิพระราหูและบริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ. กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย รุ่นที่ 7 ปี 2568 ในห้วงเวลา ตั้งแต่ วันที่ 28 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 (จำนวน 18 วัน) 

ทั้งนี้ หากประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ไลน์กลุ่มบวชพระอินเดีย โดยทีมงานจะบันทึกลงโน้ตไว้ให้ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568  - 1 กรกฎาคม 2568 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568

สำหรับเงื่อนไขของการรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ดังนี้
1. ต้องมีความมุ่งมั่น และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
2. สามารถปฏิบัติตนตามกฎ และเงื่อนไขของโครงการที่กำหนดไว้ในโปรแกรมได้อย่างครบถ้วน
3. มีอายุระหว่าง 20 - 65 ปี และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอันตรายที่มีผลเสียงในการเดินทาง และปฏิบัติธรรมในห้วงกิจกรรม
4. หากโครงการฯ ดำเนินการออกตั๋วเครื่องบิน และขอวีซ่าแล้วท่านไม่สามารถเดินทางได้ ท่านจะต้องเป็นผู้ชดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในส่วนของท่านให้แก่ทางโครงการฯ โดยไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น

สบส. เผยเกณฑ์รับรองแหล่งฝึกงานภาคสนามให้สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร่วมผลิตบุคลากรคุณภาพป้อนตลาดสุขภาพไทย 

(14 พ.ค. 68) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เผยเกณฑ์การร่วมเป็นแหล่งฝึกภาคสนามให้กิจการสปา นวดเพื่อสุขภาพ หรือสถานดูแลผู้สูงอายุ ได้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงานจริงแก่ผู้ให้บริการรายใหม่ สร้างบุคลากรคุณภาพ ที่มีความรู้ ความสามารถ ป้อนตลาดอุตสาหกรรมสุขภาพไทย
 
ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. เผยว่า ธุรกิจสถานประกอบการเพื่อสุขภาพไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะสปา และการนวดไทย ซึ่งได้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ดึงดูดความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึง  นักลงทุนที่ต้องการขยายธุรกิจในตลาดสุขภาพ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพให้เติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาคปฏิบัติให้แก่ผู้ให้บริการรายใหม่ได้ทักษะตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมบริการสุขภาพ จึงถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และขยายตลาดของไทยไปสู่ระดับโลก กรม สบส. จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สำหรับสถาบันการศึกษา สถานประกอบการที่ต้องการเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติ สำหรับหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ อาทิ หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง หลักสูตรสปา และหลักสูตรนวดเพื่อสุขภาพ โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวแบ่งเป็น 6 ด้าน ดังนี้ 1.ด้านสถานที่ ต้องมีความเหมาะสมและเอื้อต่อการฝึกปฏิบัติ และต้องได้รับการอนุญาตจากกรม สบส.  2.ด้านอุปกรณ์ ต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัย และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน รองรับกิจกรรมฝึกฝนในทุกขั้นตอนตามมาตรฐานของหลักสูตร 3.ด้านกิจกรรมบริการ ต้องมีการให้บริการจริงที่นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหลักสูตร แบ่งออกเป็น 2 ด้าน อาทิด้านสปา และด้านนวดเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย การตรวจร่างกายเบื้องต้น การฝึกปฏิบัตินวดไทย การใช้สมุนไพรประกอบการนวด เป็นต้น ส่วนด้านการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ประกอบด้วย การดูแลอาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ การจัดกิจกรรมนันทนาการ การจัดสภาพแวดล้อม และการใช้ภูมิปัญญาไทยและการแพทย์ทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุ การคัดกรองเบื้องต้น การฟื้นฟูสมรรถภาพและกิจกรรมกายภาพบำบัด เป็นต้น 4.ด้านอาจารย์ผู้ควบคุม วิทยากร ต้องผ่านการรับรองและมีประสบการณ์ตรงในวิชาชีพที่กำหนด ได้แก่ แพทย์ แพทย์แผนไทย พยาบาล วิทยาศาสตร์บัณฑิต(สาขาที่เกี่ยวข้อง) ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย เป็นต้น เพื่อถ่ายทอดความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้อย่างมืออาชีพ 5.ด้านขอบเขตและข้อกำหนดในการฝึกปฏิบัติ สำหรับผู้เรียนจะต้องฝึกปฏิบัติตามจำนวนที่โครงสร้างแต่ละหลักสูตรกำหนด โดยมีอาจารย์ผู้ควบคุมหรือวิทยากรจะทำการประเมินทุกครั้ง มีการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน และมีนโยบายสนับสนุนด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินในการฝึกปฏิบัติของผู้เรียน เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยของผู้รับบริการ และ6. ด้านการประเมินผล ต้องมีระบบประเมินผลที่มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ครอบคลุมทั้งทักษะวิชาชีพ ทัศนคติ และจริยธรรมในการให้บริการ 

ทั้งนี้ กรม สบส. เชื่อว่ามาตรฐานดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพของโลก จึงขอเชิญชวนสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ทั้งกิจการสปา นวดเพื่อสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ร่วมเป็นแหล่งฝึกภาคสนามเพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาดสุขภาพไทย โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (https://hemd.hss.moph.go.th) หรือหมายเลขโทรศัพท์ 0 2193 7000 ต่อ 18411 ในวันและเวลาราชการ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

นักเรียนนายร้อย จปร. และทหารหญิงไทย สร้างชื่อในเวทีโลก หลังร่วมเวที แข่งขันทักษะทหารระดับนานาชาติ ‘Sandhurst Military Skills’ ที่สหรัฐฯ

(14 พ.ค. 68) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พร้อมทหารหญิงจากกองทัพบกไทย จำนวนรวม 11 นาย เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางทหาร “Sandhurst Military Skills Competition 2025” ณ โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยจบการแข่งขันในอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 48 ทีมจาก 16 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้กำลังพลไทยได้แสดงความสามารถในระดับสากล

การแข่งขันครั้งนี้ประกอบด้วยการทดสอบสมรรถภาพ ความชำนาญ และการทำงานร่วมกันของหน่วยทหารขนาดเล็ก ภายใต้สถานการณ์สมมติที่ท้าทาย ซึ่งนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 2-4 และทหารหญิงจากกรมทหารพรานและกรมพลาธิการทหารบก สามารถผ่านภารกิจได้อย่างภาคภูมิ ท่ามกลางความกดดันและสภาพแวดล้อมที่เข้มข้นตามมาตรฐานสากล

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรบในทุกมิติ โดยเน้นการเปิดโอกาสให้กำลังพลได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกองทัพพันธมิตร ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสามารถของกองทัพบกไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและภารกิจในอนาคต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเสวนารับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา พร้อมระดมความเห็นแนวทางการพัฒนางานสอบสวน

(14 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) 
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)” โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี), พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร.

การจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน เสนอยกร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างฉบับนี้ ได้เสนอแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานสอบสวน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ตร. ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นในเชิงวิชาการและความเห็นจากผู้ปฏิบัติ รวมทั้งภาคประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาร่างกฎหมาย โดยให้ คณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ รร.นรต. เป็นผู้รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) 
ควบคุมกำกับดูแล  

โดยการเสวนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับฟังความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนของตำรวจ โดยได้เชิญวิทยากรในกระบวนการยุติธรรมและผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ก.ร.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , นายสันติ  ผิวทองคำ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดวิเชียรบุรี , รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล , พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวน , พ.ต.อ.เอนก  เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.อุเทน  นุ้ยพิน  รอง ผบก.อก.ภ.6 และ พ.ต.อ.ภูมิรพี  ผลาภูมิ ผกก.สภ.ทัพทัน ร่วมขึ้นเวทีให้แลกเปลี่ยนความเห็นในการเสวนา โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช., ผบก.ภ.จว., รอง ผบก.ภ.จว. พร้อมด้วย พนักงานสอบสวน และข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวนทุกระดับตั้งแต่ ผกก.-รอง สว. ในสังกัด บช.น. ภ.1 และ ภ.7 และนิติกรในสังกัด กมค. พร้อมด้วยภาคประชาชนเข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

อนึ่ง สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญาของพรรคประชาชนนั้น มีการเสนอแก้ไขหลักการสอบสวนในหลายประเด็น ได้แก่ การให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน ตั้งแต่อำนาจการให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ อำนาจตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญ รวมทั้งเรื่องการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ บางฝ่ายเห็นว่าเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแต่บางฝ่ายก็มองว่าเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนการอาจทำให้กระบวนการสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น เพราะสำนวนการสอบสวนต้องถูกตรวจพยานหลักฐานโดยพนักงานอัยการตามกฎหมายอยู่แล้ว รวมถึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการดำเนินคดีอาญาของประเทศไทย
 
ปัจจุบัน ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบตามรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดทำข้อเสนอความเห็น พร้อมสรุปผลจากการเสวนาครั้งนี้เพื่อเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานสอบสวนในภาพรวมขององค์กร

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์รำลึกวันครบรอบ 14 พ.ค. ถึง ‘บุ้ง เนติพร’ เสียชีวิตหลังอดอาหารประท้วง

(14 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจาก ‘The Reporters’ โพสต์เฟซบุ๊กครบรอบ 1 ปี ‘บุ้ง เนติพร’ วันที่เธอหายไป พบกันพรุ่งนี้ค่ะ

‘บุ้ง’ เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมวัย 28 ปี เสียชีวิตหลังอดอาหารและน้ำเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อประท้วงในระหว่างถูกคุมขังตามมาตรา 112 จากกรณีทำโพลเกี่ยวกับขบวนเสด็จ โดยเธอถูกถอนประกันและถูกคุมขังตั้งแต่ 26 ม.ค. 2567 จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 14 พ.ค. 2567

โดยระหว่างการคุมขัง บุ้งเริ่มอดอาหารและน้ำตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และยุติการคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง เธออดอาหารร่วมกับ ‘ตะวัน’ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และถูกส่งไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก่อนถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งพบว่าไม่มีสัญญาณชีพแล้ว

ทั้งนี้ การเสียชีวิตของบุ้งยังมีข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องมาตรการช่วยเหลือทางการแพทย์ ครอบครัวยังคงเดินหน้าหาความยุติธรรม โดยศาลจังหวัดธัญบุรีจะไต่สวนการตายในวันที่ 20–21 ส.ค. 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top