Saturday, 12 October 2024
NEWS FEED

รมว.กต.เผยนายกฯ เตรียมกล่าวถ้อยแถลงเวทีผู้นำ ACD ครั้งที่ 3 พร้อมหารือทวิภาคีร่วมอิหร่าน-คูเวต-กาตาร์และทาจิกิสถาน - ย้ำยังห่วงคนไทยในตะวันออกกลาง กำชับคอยติดตามข่าวสารทางการ-สอท.

(3 ต.ค. 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งร่วมคณะเดินทางกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชุม Asia Cooperation Dialogue หรือ ACD ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เปิดเผยกำหนดการสำคัญของนายกรัฐมนตรี ในการร่วมประชุมในวันนี้ (3 ต.ค.) ว่า นายกรัฐมนตรี มีกำหนดหารือทวิภาคี หรือ Bilateral ร่วมกับผู้นำอิหร่าน ในฐานะที่เป็นประธาน ACD ปีนี้ รวมถึง ผู้นำคูเวต, กาตาร์ และประเทศทาจิกิสถาน

นอกจากนั้น ในเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาประเทศไทย นายกรัฐมนตรี จะขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2559 มาก่อน และในฐานะประธาน ACD ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ต้องการผลักดันให้ ACD เป็นเวทีการหารือระดับนโยบาย เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย ส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้วยความเข้าใจและไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาความท้าทายของโลก รวมทั้งความท้าทายจากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจร่วมกัน 

นายมาริษ ชี้แจงด้วยว่า ACD ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 โดยการริเริ่มของไทย ปัจจุบันมีสมาชิก 35 ประเทศ ซึ่งวัตถุประสงค์ และความสำคัญของ ACD นั้น เป็นเวทีหารือระดับนโยบายและความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปเอเชียที่ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ของโลก ส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นเวทีเดียวในเอเชียที่เชื่อมโยงประเทศในทุกพื้นที่ของทวีปเอเชีย
(Pan-Asian Forum) และกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ BRICS, ASEAN และ CICA เป็นต้น

นายมาริษ ยังย้ำอีกว่า นายกรัฐมนตรี ยังคงติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เนื่องจาก มีความห่วงกังวลต่อพลเมือง และสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม โดยได้ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด และยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย และยังแสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงในตะวันออกกลาง จึงกำชับให้คนไทยในพื้นที่ทุกคนติดตาม และปฎิบัติตามคำแนะนำของทางการท้องถิ่น และสถานเอกอัครราชทูตไทยอย่างเคร่งครัด

พี่แจ๊คคะ สาวเล่าอุทาหรณ์ถูกหมอผีในคราบหมอดู ตุ๋นทำพิธีย้ายดวง สุดช้ำหลอกทำพิธี-เช่าบูชาเครื่องราง เสียหายรวมหลักล้าน

(3 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า The Ghost Radio รายการเล่าเรื่องผีและสิ่งลี้ลับชื่อดัง ได้มีการเล่าในชื่อเรื่องว่า “ทำไมดูเป็นคนดีจัง” เล่าโดยคุณปอย ซึ่งปัจจุบันมียอดวิวรวมถึง 3 ล้านวิวเป็นที่เรียบร้อย 

โดยในเรื่องคุณปอยเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ได้ดูดวงกับหมอดูคนหนึ่งซึ่งสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ ก่อนอ้างว่าถูกชะตาและให้ถือว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเพื่อสร้างความสนิทสนมและความเชื่อใจ เมื่อเกิดความเชื่อใจและมีการไปมาหาสู่แล้วหมอดูคนดังกล่าวได้อ้างว่าจะมอบมรดกของตนเองให้แก่คุณปอยเนื่องจากถูกชะตา 

ต่อมาหมอดูคนดังกล่าวอ้างว่าคุณปอยถูกทำคุณไสยต้องมีการทำพิธีแก้ไข และให้เช่าบูชาเครื่องรางหลายครั้ง ซึ่งทั้งการทำพิธีและการเช่าบูชาเครื่องรางในแต่ละครั้งต้องจ่ายเงินไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นบาทต่อครั้ง 

ก่อนต่อมาเพื่อนของคุณปอยได้พาคุณปอยไปทำพิธีทำบุญคุณปอยจึงได้รู้สึกตัวว่าถูกแล้ว คุณปอยยังกล่าวต่ออีกว่า ต่อมาทราบในภายหลังว่าพิธีที่ได้ทำลงไปนั้นเรียกว่า “พิธีย้ายดวง” คือย้ายดวงคุณปอยที่ดีไปที่หมอดูคนนั้น และเครื่องรางที่มีการเช่าบูชาส่วนใหญ่มาจากร้านค้าบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าชื่อดัง 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากคอมเมนต์ในวิดีโอดังกล่าวระบุว่าในสัปดาห์หน้าจะมีผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับหมอดูคนดังกล่าวมาร่วมเล่าประสบการณ์อีกด้วย 

ทั้งนี้ในคอมเมนต์ของวิดีโอดังกล่าวต่างมีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เช่น 

ฟังเรื่องนี้จบเมื่อคืน แล้วอยากบอกปอยสองอย่าง
1. อยากขอบคุณน้องปอยที่เอาเรื่องนี้มาเล่า เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีสำหรับคนไทยในยุคหมอดูกับร่างทรงครองเมือง
2.เพื่อนคนนั้น คบเค้าไว้ รักเค้าให้มาก อภิมหามิตรเลยนะ ถือเป็นบุญของเราที่มีเพื่อนแบบนี้

เรื่องนี้เป็น The best of the ghost radio จริงๆ เป็นเรื่องที่สุดยอมมากกกกๆๆๆๆๆๆๆ คุณปอยโชคดีมากที่มีเพื่อนแบบนี้ ขอให้รักษาเพื่อนคนนี้ไว้นะครับ เป็นเพื่อนที่ช่วยชีวิตคุณปอยจริง ๆ

ประเทศไทยต้องมีกระทรวงเวทมนตร์ มีกฎหมายเอาผิดเรื่องไสย์เวทแบบจริงๆจังนะผมว่า เรื่องบางเรื่องมันเหนือความคาดหมาย การทำคุณไสย์ทำของใส่ผุ้อื่น ในทางกฎหมายต้องมีบทลงโทษหนัก ๆ

เรื่องแบบนี้มีจริงนะคะ ขอเตือนไว้อย่างนึงถ้าเขาไม่เลิกราวีระวังพวกสัตว์ไว้ สัตว์อะไรก็ตามที่ร้อยวันพันปีเราไม่เคยเจอแต่เจอ และตัวสัตว์จะมีรอยแผลสังเกตด้วยนะคะเผื่อเขาส่งมาตาม แอบห่วงถ้าคือเรื่องจริงแล้วเขาเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วตอนนี้เขาจะรู้ตัวว่าเรามาเล่ามาเปิดเรื่องเขา ดูแลตัวเองด้วยนะคะคุณปอย

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=cJxo2ayP0bo&t=3600s 

'บสย.' เยียวยาน้ำท่วม พักหนี้-พักค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 6 เดือน ค้ำใหม่ฟรี 3 ปี

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ประสบอุทกภัย โดยได้ออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอุทกภัยที่อยู่ในเขตพื้นที่ 37 จังหวัด ดังนี้

1. สำหรับลูกค้าเก่า พักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ และค่าจัดการค้ำประกันทันที นาน 6 เดือน
2. สำหรับลูกหนี้ พักชำระค่างวด 6 เดือน (ยื่นคำขอได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ต.ค. 2567)
3. สำหรับลูกค้าใหม่ ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปี โดยปีที่ 4-10 คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี วงเงินต่อราย 10,000 - 2 ล้านบาท (ยื่นคำขอได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568)

รรท.ผบช.ตชด.เรียกประชุมด่วน ตชด.ภาค 4 กำชับนโยบาย 'บิ๊กต่าย' ปลุกขวัญกำลังใจ

พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ เรียกประชุมด่วน ตชด.ภาค 4 กำชับนโยบาย รรท.ผบ.ตร. ห่วงตำรวจใต้ ย้ำยึดยุทธวิธี ไม่ประมาท เป็นที่พึ่งของประชาชน เยี่ยมบำรุงขวัญ 4 ตชด.41 โดนบึ้ม อัปเดตอาการ ส.ต.ท.สาหัส เริ่มฝึกหายใจเอง

(3 ต.ค.67) พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( รรท.ผบช.ตชด. ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 เวลา 19.00 น.ได้เดินทางไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ( บก.ตชด.ภาค 4 ) อ.เมือง จว.สงขลา เรียกประชุมด่วนกำชับการปฏิบัติงานในพื้นที่ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พ.ต.อ.นรินทร์ คำแก่น รักษาราชการแทน ผบก.ตชด.ภาค 4, รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 และตำรวจ ตชด.ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รรท.ผบ.ตร. ) ห่วงใยตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ตชด. หลังเกิดเหตุคนร้ายลอบโจมตีรถบัสของตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 41 ในพื้นที่ อ.สายบุรี จว.ปัตตานี เป็นเหตุให้ ตชด.ได้รับบาดเจ็บเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย รรท.ผบ.ตร. กำชับให้ตำรวจทุกนายการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เน้นความปลอดภัย ปฎิบัติตามยุทธวิธีเป็นหลัก พึงรักษาความไม่ประมาทไว้เสมอ เพื่อเป็นที่พึ่งดูแลความปลอดภัยสร้างความอุ่นใจให้ประชาชน โดยผู้บังคับบัญชาให้กำลังใจและพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติ    

จากนั้น พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ฯ เดินทางไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เยี่ยมติดตามอาการของ ตชด. 4 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. ใน พื้นที่ จว.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับที่ตั้งที่ จ.ชุมพร โดยปัจจุบัน ตชด. ทั้ง 4 นาย มีอาการปลอดภัย แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด  

“รายแรก ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ธนสาร ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 บาดเจ็บสาหัส มีแผลฉีกขาดจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้าข้างขวา หัวไหล่ขวา และมีขาหักทั้ง 2 ข้าง แพทย์ได้ผ่าตัดมัดกรามที่บริเวณแก้มขวา ใส่เหล็กดามไว้ที่แขนขวา และขาขวา ขาซ้ายดามเฝือกอ่อน สัญญาณชีพปกติ ใส่ท่อช่วยหายใจโดยแพทย์เริ่มให้ฝึกหายใจเอง

2. จ.ส.ต.ขจรพล  เพชรกูล  ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณเข่าซ้าย ปัจจุบันผู้ป่วยรู้สึกตัวดี มีกระดูกหัวเข่าซ้ายแตก ดามเหล็กพยุงภายนอกไว้ อาการบวมที่ขาลดลง ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อย

3. จ.ส.ต.ดำเนินยุทธ สง่าปู ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแขนขวา ปัจจุบันสามารถลุกเดินช่วยเหลือตัวเองได้ ได้รับการผ่าตัดปิดเย็บแผลบริเวณแขนขวา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด  

4.ส.ต.ท.ศุภวิชญ์  ป้องแก้ว ผบ.หมู่ กก.ตชด.41 ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณศีรษะด้านขวา เย็บแผล 3 เข็ม บริเวณแผลแห้งดี รู้สึกตัวดี เดินช่วยเหลือตัวเองได้”         

รรท.ผบช.ตชด. ได้มอบเงินเพื่อบำรุงขวัญ พร้อมกระเช้าผลไม้ และให้กำลังใจแก่ตำรวจทั้ง 4 นาย และครอบครัว และได้แจ้งว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ฝากความห่วงใยและขอให้ผู้บาดเจ็บทุกนายแข็งแรงในเร็ววัน ทั้งนี้ ตชด.ทั้ง 4 นายมีขวัญกำลังใจดี และพร้อมกลับมาปฏิบัติหน้าที่เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บ

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถยนต์ ในพื้นที่ อ.ตากใบ

เมื่อวานนี้ (2 ต.ค. 67) เวลา 14.00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอตากใบ หมู่ที่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถยนต์ (คาร์บอม) ยี่ห้อ MG5 สีเทา หมายเลขทะเบียน 5ขญ 1830 กรุงเทพมหานคร ของ นางสาว มาเรียม  ดอเลาะ โดยผู้ก่อเหตุได้ปล้นรถยนต์คันดังกล่าว และได้ทำการซุกซ่อนระเบิดไว้ภายในรถยนต์ จากนั้นนำมาจอดไว้บริเวณหน้าบ้านพัก ว่าที่ร้อยตรี จิรัสย์  ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชนบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย คือ พลทหาร กันตยศ  บินหรีม อายุ 22 ปี และ พลทหาร อนุวัฒ เหมรา อายุ 22 ปี ทั้ง 2 เป็นกำลังพลสังกัด หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ 33 ซึ่งขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 นายรักษาตัวยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อยู่ในการดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด

ต่อมา แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะฯ ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ บริเวณถนนหน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ หมู่ที่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกำชับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีการประสานงานร่วมกัน โดยเฉพาะการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลพื้นที่ ร่วมกันสร้างความสงบสุขและความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อไป

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ประชุมทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบความคืบหน้าของเหตุการณ์ และเร่งติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมมอบแนวการปฏิบัติงานเพื่อนำไปปรับแผนการปฏิบัติงานการรักษาความปลอดภัย ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนต่อการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำและสั่งการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความระมัดระวัง เข้มงวดมาตรการ ในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วย เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘วินท์ สุธีรชัย’ ชี้!! ไฟไหม้รถบัสลามเร็วเหตุจากถังก๊าซอยู่ใต้รถ ยกเคสต่างประเทศส่วนใหญ่ติดตั้งไว้ด้านบนตัวรถ ช่วยให้ปลอดภัยกว่า

(2 ต.ค.67) นายวินท์ สุธีรชัย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า รถบัสมรณะ ต้องไม่เกิดขึ้นอีก!! พร้อมตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เหตุใด เปลวไฟถึงลามจากกลางรถ? 

ทำไม…ไฟถึงลามด้วยความรวดเร็ว? ทำไม…ไฟถึงเริ่มติดจากประตูกลางรถทำให้เด็กและครูหนีออกจากประตูกลางรถไม่ได้?

โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่า ก๊าซธรรมชาติ ที่เรียกกัน NGV หรือ CNG เป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศ ทำให้เวลาเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติจะลอยขึ้นบน ยิ่งเวลามีแรงดันอัดเข้าไปในถังแรงดันจะทำให้ก๊าซเผาไหม้ไฟจะพ่นออกมาเป็นแท่งไฟที่สูงเหมือนจากเครื่องบินเจ็ท

เนื่องจากรถที่เกิดเหตุติดถังก๊าซอยู่ใต้รถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟจึงเริ่มต้นลามจากใต้ห้องผู้โดยสารและลามไปสู่ข้างบนซึ่งเป็นห้องผู้โดยสารที่คุณครูและเด็กๆนั่งอยู่ ยิ่งถังติดใกล้ประตูทางออกยิ่งทำให้หนีออกจากรถไม่ได้

ในต่างประเทศ รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่จะติดถังเก็บก๊าซธรรมชาติไว้ด้านบนของตัวถังรถ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ไฟก็จะพุ่งไปบนฟ้าไม่ใช่พุ่งไปห้องโดยสาร

ดังนั้น รถบัสที่ติดก๊าซธรรมชาติควรจะพิจารณาได้แล้วว่า ควรเปลี่ยนการติดตั้งไปอยู่ด้านบนรถหรือไม่? หรือเราจะใช้ชีวิตเหมือนนั่งอยู่บนเตาแก๊สแบบเดิม?!?!

“ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้น หวังว่าทุกหน่วยงาน ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”

รรท.ผบ.ตร. แถลงสรุปกรณีรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนเกิดเพลิงไหม้

(2 ต.ค.67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) เป็นประธานแถลงความคืบหน้าคดีอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบัสรับส่งนักเรียนทัศนศึกษา ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ ตำรวจภูธรภาค 1 โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 รรท.ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี , พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. , พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผบก.นต.รพ.ตร. และ นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลง โดยก่อนการแถลงข่าว รรท.ผบ.ตร.ได้เรียนเชิญทุกท่านร่วมยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น 

สืบเนื่องจากเหตุผู้ขับขี่หลบหนี จากกรณีวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียน บนถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี จนมีผู้เสียชีวิตจำนวน 23 ราย และบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย นั้น 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้ง ศปก.ส่วนหน้า ที่บริเวณศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและความมั่นคง ในการบริหารเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควบคุม สั่งการ และประสานการปฏิบัติกับหน่วย เพื่อช่วยเหลือและดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้สั่งการให้ทุกส่วนร่วมบูรณาการอย่างใกล้ชิด

สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้ร่วมกับสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทั้ง 23 รายเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างออกรายงานรับรองการเสียชีวิต และใบมรณะบัตร โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อำนวยความสะดวกโดยจัดรถตำรวจทางหลวง และตำรวจท่องเที่ยวนำขบวนและอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง พร้อมส่งกลับภูมิลำเนาที่ จ.อุทัยธานี และจัดการดูแลอำนวยความสะดวกให้บริการ พร้อมดูแลสภาพจิตใจของครอบครัวและผู้ใกล้ชิดของผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่

สำหรับผู้ขับขี่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ ภ.จว.ปทุมธานี และ บก.สส.ภ.1 เร่งรัด กดดัน ติดตามจับกุมตัวผู้ขับขี่ จนเมื่อวานนี้ (1 ตุลาคม 2567) เวลา 19.30 น. จึงได้ร่วมจับกุมผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว แล้วนำตัวมาสอบสวนยัง สภ.คูคต และได้แจ้งข้อกล่าวหา “ขับรถโดยประมาทหรือ น่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรคสอง ในเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวไว้ ณ สภ.คูคต เตรียมที่จะนำตัวไปฝากขัง โดยทางคดีพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในทุกมิติ สอบพยานที่เกี่ยวข้องแล้วหลายปาก, วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ , ภาพบันทึกกล้องวงจรปิด โดยเฉพาะ ผลตรวจพิสูจน์สภาพรถคันเกิดเหตุทางนิติวิทยาศาสตร์ประกอบตามกฎหมายต่อไป

ทางรถบัสคันเกิดเหตุ สพฐ.ตร.ได้ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ตรวจสภาพและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ในเบื้องต้นพบว่ารถบัสคันดังกล่าวมีถังแก๊สเชื้อเพลิงจำนวน 11 ถัง พบเบื้องต้นจดทะเบียนถูกต้องเพียง 6 ถัง ส่วนที่เหลือ 5 ถัง ไม่อยู่ในรายการจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป หากพบว่ามีบุคคลหรือบริษัทใดเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนในการกระทำความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด

ท้ายนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และขอความกรุณางดเผยแพร่ภาพ แชร์ภาพ แชร์คลิป ผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว

‘สุริยะ’ นั่งหัวโต๊ะขีดเส้น 2 สัปดาห์หาสาเหตุอุบัติเหตุสลด หาแนวทางป้องกันอุบัติเหตุซ้ำในอนาคต เผยเบื้องต้นเยียวยากรณีเสียชีวิตขั้นต่ำ 1 ล้านบาท

(2 ต.ค. 67) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรถบัสทัศนศึกษาของคณะครูและเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เกิดเพลิงไหม้ บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ว่า 

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจอย่างมาก โดยน.ส.แพทองธารชินวัตร นายกรัฐมนตรี ห่วงใยและเศร้าสลดต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปกำชับการทำงาน ส่วนเดียวกับกระทรวงคมนาคมจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีกในอนาคตได้อย่างไร ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการตรวจสอบ 

โดยมีตัวแทนจาก กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และจะเชิญสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นกรรมการร่วม ตรวจสอบสาเหตุและโครงสร้างรถ การปรับปรุงสำหรับรองรับผู้โดยสารและตัวถังประกอบ 

นายสุริยะ กล่าวว่า นอกจากนั้นจะให้มีการสาธิตแนะนำการใช้อุปกรณ์และประตูทางออกในกรณีฉุกเฉิน คล้ายกับการขึ้นเครื่องบิน และจะมีมาตราบังคับให้ผู้ประกอบการรถโดยสารอธิบายให้ผู้โดยสารรับทราบ และจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลืออย่างไร เพื่อลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุในอนาคต รวมถึงเรื่องของการติดตั้งก๊าซ กลับรถโดยสารสาธารณะให้เข้มข้นด้วยหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ตรวจสอบทั้งหมดทุกเรื่อง 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีมาตรการควบคุมการใช้รถบัส 2 ชั้น และรถขนาดสูงซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งอย่างไร นายสุริยะ กล่าวว่า เหตุไฟไหม้ครั้งนี้เป็นรถบัสชั้นเดียว ที่จะต้องไปหามาตรการให้เกิดความปลอดภัยกับผู้โดยสาร ส่วนรถ 2 ชั้น มีมาตรการกำกับดูแลอยู่แล้ว เช่นกำหนดให้วิ่งในเขตเมือง โดยจำกัด ไม่ให้วิ่งระหว่างเมือง โดยมาตรการที่จะออกมาบังคับใช้จะทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องตรวจสอบอายุของรถทั่วประเทศเนื่องจากมีรายงานว่ารถคันเกิดเหตุใช้งานมากกว่า 50 ปี และมีการดัดแปลงตัวถังและเครื่องยนต์ นายสุริยะ กล่าวว่า นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องตั้งกรรมการตรวจสอบ ทุกประเด็นทั้งสภาพรถ การบรรทุกผู้โดยสาร นอกจากนี้จะครอบคลุมถึงรถประเภทอื่นทั้งหมดรวมถึงรถตู้โดยสารด้วย

เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่ารถคันดังกล่าวได้ดัดแปลงติดตั้งก๊าซ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทประกันภัย ใช้เป็นข้ออ้างไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน นายสุริยะ กล่าวว่า กรมขนส่งทางบกรายงานว่าบริษัทประกันภัย ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายเงินในเบื้องต้นจะจ่ายให้ผู้เสียชีวิตทั้ง 23 ราย ขั้นต่ำรายละหนึ่งล้านบาท และเชื่อว่าบริษัทประกันภัยจะไม่อ้างสาเหตุมาเพื่อไม่จ่ายเงินเพราะเหตุการณ์นี้สะเทือนขวัญประชาชน

นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา ,รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์รายการ 'FOCUS ผู้นำ'

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 67) ที่ผ่านมา ณ ห้องรับรองชั้น 2 โซนกลางฝั่งริมถนนสามเสน อาคารรัฐสภา นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา ,รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาฯ ให้สัมภาษณ์รายการ เปิดฟ้า ช่วง 'FOCUS ผู้นำ' สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ถึงแนวทางการทำงานใจตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาฯ ก่อนอื่นต้องบอกว่า รู้สึกมีความยินดี และ ดีใจ ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่สนับสนุนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ช่วยลงคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งเลือกกันมาในระดับ อำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ รวมถึงได้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาฯด้วย ซึ่งผมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง

แนวทางในการทำงาน ในตำแหน่งวุฒิสภา ก็จะนำประสบการณ์จากการทำงาน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และในฐานะที่ เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาก่อน วันนี้มีโอกาสได้มาทำหน้าที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ก็จะทำหน้าที่ในการกลั่นกรองกฏหมาย เสนอแนะแนวทางจากรัฐบาล ในการทำงานที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องการ เป็นการสะท้อนภาพกับพี่น้องประชาชนในการทำงานในฐานะวุฒิสมาชิก

นายสรชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ท่านเป็นคณะกรรมาธิการพลังงาน มีทิศทางและการขับเคลื่อนพลังงานในประเทศไทยไปในทิศทางไหนนั้นในฐานะที่เป็นกรรมาธิการวุฒิสภา ซึ่งไม่สามารถที่จะไปกำหนดแนวนโยบายได้โดยตรง แต่จะเป็นการศึกษาเสนอแนะต่อรัฐบาล ซึ่งครั้งนี้ ผมเชื่อว่าวุฒิสมาชิกของเราในชุดนี้เป็นชุดที่สามารถศึกษาต่อชุดที่ผ่านมา เพราะชุดที่ผ่านมาสามารถทำหน้าที่การไปศึกษาแนวทางพลังงานทดแทน หรือพลังงานไฟฟ้า พลังงานขยะ ซึ่งวันนี้ได้มีการพูดคุยกันแล้วก็จะดำเนินการต่อในสิ่งที่ ต่อเติมในสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ เป็นการวิจัยทดสอบซ้ำกับคณะที่ผ่านมา เพื่อนำไปเสนอกับรัฐบาลให้กำหนดแนวทางและนโยบายในการไปแก้ไขปัญหา 

แน่นอนวุฒิสมาชิกของเรานั้นอาจจะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการกำหนดนโยบาย เราจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการศึกษา เหมือนกับการทำวิทยานิพนธ์ เล่มใหญ่ของการทดแทนพลังงาน แล้วไปเสนอให้กับรัฐบาลให้รัฐบาลทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเราไม่มีผลประโยชน์อะไรเหมือนทางอื่นในการทำวิจัย เราเป็นวุฒิสภาซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนชาวไทยที่เสนอแนะแนวทางให้กับรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา มีความน่าเชื่อถือ

ส่วนในเรื่องของทิศทางและการขับเคลื่อนของประเทศไทย ทิศทางของพลังงานจะเป็นการใช้พลังงานทดแทน มาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิง จะต้องเป็นพลังงานไฟฟ้า คาดว่ารถที่ใช้น้ำมันน่าจะลดลง ใช้รถ EV มากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นสิ่งที่เราพัฒนาทดแทนกัน รวมไปถึงการผลิตไฟฟ้ามาเป็นพลังงมาเป็นพลังงานทดแทนสิ่งนี้มากยิ่งขึ้น

แน่นอนซึ่งปัจจุบันนี้ในส่วนราชการต่างๆยังมีระเบียบการจัดซื้อรถประจำตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบใช้รถน้ำมันอยู่ จะหาแนวทางในการปรับเปลี่ยนที่จะมาเป็นวิธีการจัดซื้อหรือเช่าซื้อรถ EV รถพลังงานไฟฟ้า มาใช้เป็นส่วนราชการ แน่นอนที่สุดว่าส่วนราชการ จะต้องเป็นผู้นำ เป็นตัวนำ ในการเดินหน้าในการดำเนินการใช้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่า รถใหม่ๆที่จะมาทดแทน น่าจะเป็นรถพลังงานไฟฟ้าซึ่งจะมาแทนรถใช้น้ำมันในปัจจุบัน

คิดว่าหลังจาก ท่านประธานรัฐสภา ประกาศรัฐสภาสีเขียว มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขระเบียบในการใช้ต่างๆให้เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันระเบียบยังเป็นการใช้รถน้ำมันแบบเดิมอยู่ ในเมื่อท่านประกาศเป็นผู้นำด้านนี้แล้ว ท่านก็จะมีแนวทางในการที่จะปรับปรุงแก้ไขระเบียบต่างๆเพื่อให้นำรถ EV เข้ามาใช้ในรัฐสภาได้ เมื่อรัฐสภาเป็นต้นแบบจะนำไปสู่หน่วยงานราชการอื่นๆ ซึ่งสามารถที่จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการไปปรับรถประจำตำแหน่งของผู้บริหาร ผู้นำต่างๆมาใช้รถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

ประโยชน์แน่นอนที่สุด เป็นการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน ทั้งผู้ผลิตรถยนต์รถพลังงานทดแทน พร้อมลดต้นทุน ของผู้บริโภค ซึ่งผู้ใช้รถพลังงานทดแทน จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการใช้รถน้ำมันพลังงานแบบเดิม กับการใช้รถพลังงานทดแทน หรือรถพลังงานไฟฟ้า จะเห็นความแตกต่างกัน ซึ่งหลายท่านได้ใช้รถไฟฟ้ามาแล้ว ทุกคนก็บอกต่อกันว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ บริษัทต่างๆก็จะปรับปรุงแข่งขันกันให้มีราคาต้นทุนที่ต่ำลงในการผลิตแบตเตอรี่ขึ้นมาทดแทนกัน

ในส่วนของภาคประชาชนอยากจะใช้รถไฟฟ้า ภาครัฐเองจะมีส่วนสนับสนุนในการใช้พลังงานสะอาดให้ประชาชน ในฐานะวุฒิสมาชิก ก็ได้ทำเฉพาะหน้าที่ในการแนะนำให้รัฐบาลสนับสนุน อาจจะเป็นอุดหนุนเงินช่วยเหลือในการให้ผู้ส่งออก นำเข้า ลดต้นทุนการผลิต ลดภาษีต่างๆให้กับรถไฟฟ้า ให้สามารถแข่งขันกันได้และลดต้นทุนให้มาแข่งขันกับรถมือสอง และรถอื่นๆที่มีอยู่ทั้งประเทศ เชื่อได้ว่าพลังงานไฟฟ้าจะเป็นที่นิยมของพี่น้องประชาชน

ดังนั้นสิ่งที่จะขับเคลื่อนและผลักดัน ก็คือการอนุรักษ์ทรัพยากรด้านพลังงานที่มีอยู่ให้คงอยู่และไม่สูญสิ้นไป โดยการส่งเสริมให้เกิดพลังงานทดแทน อาทิ การใช้รถไฟฟ้า ทดแทนรถน้ำมัน ซึ่งใน ปีที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี จึงจะสานต่อและผลักดันให้เกิดการใช้รถไฟฟ้า เพื่อลดมลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งพร้อมที่จะร่วมหารือและผลักดันโครงการต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด

ส่วนแนวทางในการรณรงค์ ให้หน่วยงานของรัฐหันมาใช้ยานพาหนะไฟฟ้า เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันมลพิษ รถไฟฟ้าถือว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมา และไม่สร้างมลพิษ จะต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนให้มีความเข้าใจว่า การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า นั้น มีข้อดีอย่างไร มีข้อจำกัดอย่างไร ตรงนี้ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความเข้าใจ และเกิดการเข้าถึงข้อมูลอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ เองต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง การศึกษาถึงข้อดีในการนำยานพาหนะมาใช้ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยในแง่มุมต่างๆ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ และสิ่งสำคัญที่ควรคำนึง คือเรื่องของมลพิษ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรที่เราต้องคงรักษาไว้ให้มากที่สุด จึงถือได้ว่า การนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ การนำพาหนะไฟฟ้ามาใช้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ควรเร่งดำเนินการ ในฐานะที่ผมดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการด้านพลังงาน กระผมจะส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน การนำรถไฟฟ้ามาใช้เป็นทางเลือก และใช้แทนรถยนต์ เพื่อให้เกิดการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดมลภาวะ ซึ่งพร้อมที่จะผลักดันอย่างเต็มที่

นายสรชาติ กล่าวต่อไปอีกว่า เศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เจริญเติบโต ทั้งนี้ในส่วนของแนวคิดด้านกรรมาธิการทางทหารและความมั่นคง จึงมีความเกี่ยวข้อง เพราะประเทศมั่นคง เศรษฐกิจต้องมั่งคั่งด้วย เพราะฉะนั้นประชาชนกินดี อยู่ดี มีความสุข จึงทำให้ประเทศมีความมั่นคง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาก็จะลดลงด้วย การจัดงานสัมมนาสัญจร หรือการจัดสัมมนาอะไรก็แล้วแต่ ก็จะสามารถนำเสนอสินค้าในพื้นที่ จากพี่น้องประชาชน กลุ่มวิสาหกิจต่างๆเข้ามาเปิดร้านค้า ร้านขายสินค้าของดี ของเด่นกันมากยิ่งขึ้น จะทำให้กลุ่มเหล่านี้ มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้กับพี่น้องประชาชนที่ เข้ามาร่วมงานอยู่แล้วในการสัญจรไปทุกครั้ง ซึ่งกรรมาธิการได้มีการประชุมไปแล้ว ตั้งเป้าไว้ว่าจะออกไปสัญจรหลายๆที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่จะต้องใช้พลังงานทดแทน จังหวัดที่มีโรงงานไฟฟ้าเกิดขึ้นใหม่ ๆ เชื่อได้ว่าประชาชนในพื้นที่ๆจัดงานจะสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพได้อย่างแน่นอน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับตนเองและครอบครัว จึงถือเป็นพันธกิจที่ต้องทำงาน ร่วมกันทุกภาคส่วน โดยกรรมาธิการด้านพลังงานเอง ก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้เกิดเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึง ต้องรวมเอาการรักษาสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก รักษ์พลังงาน เข้ามามีบทบาทต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

ก็ต้องขออนุญาตสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่า สว.ชุดนี้เป็น สว.ชุดที่เลือกกันมาตามกลุ่มสาขาอาชีพเข้ามา มีที่มาคนละรูปแบบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นหลักการที่ถูกต้องในการที่จะได้มาซึ่งวุฒิสภา ถ้าสมมุติว่าวุฒิสภา มีที่มาอย่างเช่นเดียวกับผู้แทนราษฎรนั้น ไม่ควรมี 2 สภา ดังนั้นเมื่อวุฒิสภา มีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่นั้น ที่มาก็จะต้องแตกต่างจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ณ วันนี้เองผมเห็นวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่นั้น มีการศึกษาในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี ต่ำกว่าปริญญาตรีเพียง 10% ของทั้งหมด ซึ่งถึงแม้ว่าจะคัดเลือกมาระบบนี้ ก็สามารถมีคนที่มีความรู้ความสามารถที่เพียงพอ ซึ่งการทำงานแค่ 2 เดือนเศษๆที่ผ่านมา ก็ได้เห็นศักยภาพของวุฒิสมาชิกหลายๆท่านได้แสดงบทบาทในการประชุมแต่ละครั้งๆออกมา สะท้อนภาพให้เห็นว่าวุฒิสมาชิกชุดนี้มีคุณภาพและการทำงานเข้าได้กับพี่น้องประชาชน เป็นที่พึ่งหวังในการกลั่นกรองกฎหมาย เป็นที่พึ่งหวังพี่น้องประชาชนในการเสนอแนะแนวทางนโยบายให้รัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้

ในส่วนของการทำงานทางด้าน สว.นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรกับท่านสส.ทั้งหลาย ผมเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สามารถจะทำหน้าที่ในการศึกษาและกำหนดแนวทาง การกำหนดนโยบายได้ แต่ในขณะวุฒิสมาชิก นั้นเป็นการศึกษาเพื่อการเสนอแนะต่อรัฐบาล เช่นเดียวกับการออกกฎหมายเช่นกัน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอกฎหมายวุฒิสภา เราจะให้สภาผู้แทนราษฎร นั้นเป็นผู้เสนอกฎหมายและกำหนดนโยบายขึ้นมา เราจะกลั่นกรองว่าอะไรดีไม่ดีอย่างไร นั่นเป็นหน้าที่ของวุฒิสมาชิก 

ณ วันนี้ในฐานะซึ่งอยู่ในสภาบน เราจะพยายามดูแนวทางทางการเมือง ซึ่งพี่น้องประชาชนต้องการอย่างไร กลั่นกรองกฎหมาย แทนพี่น้องประชาชนโดยจากสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นมาและทำหน้าที่ต่อ เช่นเดียวกับพลังงานสีเขียว เราก็จะต้องทำหน้าที่ในการศึกษาต่อเนื่อง บางครั้งอาจจะมีเรื่องที่สภาผู้แทนราษฎร เสนอ ศึกษามาแล้ว เราสามารถศึกษาทดสอบซ้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสภาล่างศึกษามาแล้ว สภาบนศึกษาต่อ แล้วมีแนวทางที่น่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นให้ประชาชนและผลักดันให้รัฐบาลไปนำไปสู่การปฏิบัติ ให้รัฐบาลนำไปสู่การกำหนดนโยบายและต่อไป 
 
นายสรชาติ กล่าวย้ำด้วยว่า ที่สำคัญในส่วนของการทำงาน และการบูรณาการทำงานของส่วนราชการต่างๆทั่วประเทศ อยากให้ทุกหน่วยงานได้มีการทำงานร่วมกัน การประสานงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชน ต้องเร่งสร้างความเข้าใจ ในด้านพลังงาน พลังงานทดแทน หรือการรักษา สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยความร่วมมือภาคประชาชน ภาครัฐ และรวมถึงกรรมาธิการ เองก็ต้องทำงานอย่างหนักเช่นกัน

ฝากถึงพี่น้องประชาชน ว่าให้มั่นใจ กรรมาธิการพลังงาน ในฐานะ
ที่ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาวุฒิสภา จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะผลักดัน ส่งเสริมด้านการใช้พลังงานและการรักษา สิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนมั่นใจ เชื่อมั่น และให้โอกาสกระผมและทุกท่าน ได้เข้ามาทำงาน และเป็นตัวแทนทุกท่านต่อไป และสุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่มีผลิตภัณฑ์ชุมชนและ ผู้ผลิตและจำหน่ายของกินของใช้ ต่าง ๆ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมงาน มหกรรม กรรมาธิการสัญจร โดยจะจัดขึ้นจามสถานที่ราชการต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะเปิดให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนต่าง ๆ ได้มาร่วมออกร้านเพื่อแสดงสินค้าฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเป็นการนำเสนอสินค้าต่างๆของจังหวัดนั้น ให้เป็นที่รู้จักชาวไทย และชาวต่างชาติ เป็นการสร้างความมั่นคั่ง มั่นคงต่อคุณภาพชีวิต ของชุมชนนั้น ๆ และในทุกครั้งที่มีการจัดงาน ก็จะมีการประกวด 10 ผลิตภัณฑ์สุดยอด โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือก จะได้รับประกาศนีบัตรจากท่านประธานกรรมาธิการฯ โดยจะใช้ชื่อการจัดงานทุกครั้งว่า มหกรรม 'กรรมาธิการสัญจรฯ'

'สืบนครบาล' รวบ 'ผู้ต้องหาคดีรับของโจร' ครอบครองแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกขโมยไป

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค.67) เจ้าหน้าที่ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. จับกุม นายเอกสิทธิ์ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ จ.355/2567 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2567

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน 'รับของโจร' และ หมายศาลจังหวัดพัทยา ที่ จ.374/2567 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน 'รับของโจร' สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้าน แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กทม.

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อประมาณเดือน มิ.ย.67 เกิดเหตุคนร้ายเข้าไปในรั้วของเสาโทรศัพท์สถานีฐานเนินพลับหวาน และลักเอา แบตเตอรี่ลิเที่ยม ยี่ห้อ SACRED SUN รุ่น SCIFP48100 จำนวน3 SET มูลค่าทัพย์สิน 113,250 บาท หายไปนั้น 

จากการสืบสวนสอบสวน สามารถจับกุมคนร้าย จำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นคนก่อเหตุลักเอาทรัพย์สินดังกล่าวไป และจากการขยายผลทราบว่า นายเอกสิทธิ์ ฯ ผู้ต้องหามีส่วนในการรับซื้อและเกี่ยวของในการก่อเหตุ พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดพัทยาออกมาหมายจับและศาลอนุมัติตามคำขอ ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายเอกสิทธิ์ฯ ได้มาพักอาศัยอยู่ย่านสะพานสูง กทม. จึงได้ทำการจับกุมนำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ 

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การภาคเสธโดยรับว่า ตนเป็นช่างซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และได้มีลูกค้าส่งมาให้ซ่อม ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำตรวจตรวจยึดสิ่งของที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด และ ถูกจับกุมในครั้งนี้ จากนั้นได้นำตัวส่ง สภ.หนองปรือ จว.ชลบุรี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวเตือนภัยรับซื้อของมือสอง ระวังเป็นแพะรับซื้อของโจร แนะให้สังเกตของมือสองก่อนตกเป็นเหยื่อ ดังนั้นควรตรวจสอบประวัติการซื้อขายของบุคคล หรือร้านค้าให้ดีก่อน เพราะหากสินค้าที่ท่านได้ซื้อมานั้นเป็นสินค้าที่ได้มาจากการกระทำความผิดแล้ว ท่านอาจตกเป็นผู้ต้องหาที่เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน 'รับของโจร' ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top