Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

'กองทุนดีอี' ไฟเขียวโครงการใหญ่ปี 68!! เดินหน้าขยายศูนย์ดิจิทัลชุมชน 125 จุดทั่วไทย พัฒนา ERP หนุนภาครัฐทันสมัยเพิ่มประสิทธิภาพบริการประชาชน

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.68) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธานงานแถลงข่าว “ประกาศผลการพิจารณาโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567” โดยมีผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุน จำนวน 24 โครงการ เข้าร่วมงาน ซึ่งจัดโดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี : DEF) สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ได้กล่าวถึงบริบทของโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการแข่งขันระดับโลก ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และการเตรียมทักษะแรงงานให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เอื้อต่อการเติบโต อย่างยั่งยืน ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ได้กำหนดนโยบาย The Growth Engine of Thailand : 3 เครื่องยนต์ใหม่ เพื่อสร้างแรงงานแห่งอนาคต ผ่านการส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะดิจิทัล ในทุกช่วงวัย 

โดยตั้งเป้าหมายว่าสัดส่วนมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล Digital GDP ของประเทศไทย จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ในปี 2570 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กองทุนดีอี ได้ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการภายใต้วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท โดยมีผู้เสนอเข้ามาทั้งสิ้น 509 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 32,168 ล้านบาท ก่อนผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์จนเหลือ 24 โครงการ ที่โดดเด่นทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ ความยั่งยืน และการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ซึ่งโครงการทั้ง 24 นี้ไม่เพียงแต่เป็นต้นแบบที่สามารถนำไปขยายผลได้ในวงกว้าง แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในภาคเกษตร ภาคสาธารณสุข การบริหารภาครัฐ หรือการพัฒนาทักษะแรงงานดิจิทัล 

ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้คือก้าวสำคัญของประเทศไทยในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง โดยวางกรอบนโยบายการให้ทุน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1) Digital Manpower : การพัฒนาทักษะดิจิทัลทุกช่วงวัย เพื่อยกระดับแรงงานไทยให้พร้อมแข่งขัน 2) Digital Agriculture : การนำเทคโนโลยีเข้าช่วยภาคการเกษตรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต 3) Digital Technology : การพัฒนานวัตกรรมและวิจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ และ 4) Digital Government : การปรับปรุงบริการรัฐให้ทันสมัย โปร่งใส และประชาชนเข้าถึงได้

“ความสำเร็จของโครงการเหล่านี้ อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน ทุกโครงการที่ได้รับทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทยในยุคดิจิทัล โดยมีความมุ่งหวังว่ากองทุนดีอี จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของประเทศไทยในการสนับสนุนโครงการด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มุ่งเป้าเพื่อสร้างประโยชน์แก่สาธารณะและเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในภาพรวม ซึ่งจะเป็นโครงการต้นแบบที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดการพัฒนาประเทศต่อไป” นายเวทางค์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านนางสาววรรณศิริ พัวศิริ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม BDE กล่าวว่า “กองทุนดีอี ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2561 และได้ให้การสนับสนุนไปแล้วทั้งสิ้น 291 โครงการ งบประมาณรวม 10,800 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการสนับสนุนภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ โครงการที่ผ่านการอนุมัติได้เข้าสู่กระบวนการลงนามในสัญญางบประมาณปี พ.ศ. 2567 ทั้ง 24 โครงการ กองทุนดีอี จะติดตามและประเมินผลการดำเนินงานบนหลักการความโปร่งใส และชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นอย่างคุ้มค่า ตรงตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ และการพัฒนาของประเทศอย่างแท้จริง” 

โดยกองทุนดีอี จะดำเนินการติดตามการดำเนินโครงการใน 2 รูปแบบ คือ 1) การรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานที่ผู้รับทุนจะต้องจัดส่ง ให้กองทุนฯ เป็นรายไตรมาส และ 2) การลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้า และประเมินผลโครงการ ทั้งนี้ ผู้รับทุนสามารถศึกษารายละเอียดขั้นตอนต่าง ๆ ได้จากคู่มือผู้รับทุน

โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทางเว็บไซต์ : https://defund.onde.go.th หรือ Facebook : กองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม

อยุธยา - ตำรวจนครบาล ร่วม ตร.ภาค 1 ตร.อยุธยา ทลายโกดังพักยาเสพในพื้นที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พบยาเสพติด จำนวนมาก

(7 พ.ค. 68) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย  ผบก.สส.บช.น พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา  เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.อ.พีรพัสส์ ชูช่วย ผกก.สืบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา  นายนิวัฒน์  รุ่งสาคร  ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม แบ็ค  หรือ นายชัยนรินทร์  (นามสมมุติ)  อายุ 32 ปี   ชาว ต.โพทะเล อ.โพทะเล จ.พิจิตร ภายในบ้านหลังหนึ่ง ใน ต.ราชคราม อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยหลังจากเมื่อวันที่ 21 มี.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันจับกุม รถบรรทุกเทรลเล่อร์ขนยาเสพติด ในพื้นที่ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก บเขก.สส.ก.1 ชุดขยายผลฯ ศอ.ปส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และ กก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ได้สืบสวนขยายผล จนกระทั่งทราบว่า กลุ่มลูกค้าที่เคยรับยาเสพติดจากรถบรรทุกเทรลเล่อร์คันดังกล่าว ได้นำยาเสพติดมาเก็บซุกซ่อนไว้ภายในบ้านหลังหลังหนึ่ง ต.ราชคราม อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมเรื่อยมาจนกระทั่ง ในวันที่ 7 พ.ค. 68  เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 23/7 ม.5 ต.ราชคราม อ.บางไทร จ.พระมาหรือยุธยา ผลการตรวจคัน พบ ยาบ้า 40 กระสอบ คิดเป็นจำนวนยาบ้าประมาณ 8.712 ล้านเม็ด และยาไอซ์ 18 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ  720 กิโลกรัม โดย แบ็ค หรือ นายชัยนรินทร์ ชมเชย อายุ 32 ปี รับว่าเป็นเจ้าของยาเสพติดทั้งหมด โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้ง ข้อกล่าวหา "จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า และ ยาไอซ์) การมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของปราชนทั่วไป" โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้ฟ้าการสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิดต่อไป

ทั้งนี้การกวาดล้างยาเสพติดครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  โดยทาง รัฐบาลได้กำหนดให้ปัญหายาเสพติด เป็น 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการ โดยมุ่งเน้นการปราบปราม การบำบัดเยียวยา ตลอดจนทำให้ผู้เสพกลับเข้าสู่สังคมได้ และพร้อมประกอบอาชีพหลังบำบัดหายแล้ว

สุจินดา อุ่นขาว รายงาน

GIP ในเครือ BlackRock เตรียมลงทุนในไทยสูงสุด 175,000 ล้านบาท รองรับการใช้ Cloud และ AI จากทั่วโลก ยกระดับสู่ศูนย์กลาง GigaData Hub

(7 พ.ค. 68) บริษัท Global Infrastructure Partners (GIP) ในเครือ BlackRock ซึ่งเป็นกองทุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เตรียมลงทุนในประเทศไทยมูลค่า 105,000 ถึง 175,000 ล้านบาท ผ่าน True IDC เพื่อสร้าง GigaData Hub ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบขยายได้ รองรับการใช้งาน Cloud และ AI จากทั้งในประเทศและทั่วโลก โดยสามารถเพิ่มกำลังไฟฟ้า และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในอนาคต

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (7 พ.ค. 68) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายอาเดบาโย โอกุนเลซี ประธานและซีอีโอ GIP ได้เข้าหารือนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับการลงทุนดังกล่าว พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศ โดยมีเป้าหมายผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน พร้อมส่งเสริมพลังงานสะอาด และเตรียมยกระดับบุคลากรดิจิทัลผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนระดับโลก

ด้าน GIP ย้ำความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยที่มีความพร้อมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ทรัพยากรมนุษย์ และนโยบายภาครัฐ พร้อมร่วมมือกับไทยในระยะยาว ทั้งด้านการลงทุน การพัฒนาคน และการสร้างระบบ AI & Cloud ที่แข็งแกร่งในภูมิภาค

นายศุภชัยระบุว่า การลงทุนครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในไทย ซึ่งรวมถึง Google, Microsoft และ ByteDance พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก

ปลัดเทศบาลอุดรฯ แจงปมเครื่องออกกำลังกายสแตนเลส 32 ล้าน ยันราคาตาม TOR ‘โปร่งใส-คุ้มค่า’ ใช้งานได้นานกว่า 10 ปี

(7 พ.ค. 68) นายไพทูรย์ เหลืองอิงคะสุต ปลัดเทศบาลนครอุดรธานี ชี้แจงกรณีดราม่าเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งสแตนเลสราคาเฉลี่ยชุดละล้าน หลังถูกวิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียล โดยระบุว่าโครงการใช้งบรวม 32 ล้านบาท ติดตั้งใน 30 ชุมชน แบ่งเป็นชุดเล็ก 8 ตัว ราคาชุดละกว่า 6 แสนบาท และชุดใหญ่ 16 ตัว ราคาชุดละกว่า 2 ล้านบาท ยืนยันอุปกรณ์มีความคงทน ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

การจัดซื้อผ่านการสำรวจความต้องการจากชาวบ้าน 105 ชุมชน เหลือพื้นที่เหมาะสมเพียง 30 ชุมชน จากนั้นเทศบาลจึงบรรจุโครงการเข้างบปี 68 ผ่านสภาเทศบาล ตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง เปิดสอบราคาจาก 7 ร้านค้า มีผู้เสนอราคา 3 ราย โดยบริษัท ส.สิงห์อยู่สปอร์ต จำกัด เป็นผู้ชนะ

ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งและยังไม่ตรวจรับเครื่องอย่างเป็นทางการ โดยในจุดที่เป็นข่าว เช่น ชุมชนพิชัยรักษ์ มีการติดตั้งจริงแต่ยังไม่เปิดให้ใช้งาน ชาวบ้านให้ความเห็นว่าเครื่องดูแข็งแรงแต่ควรเพิ่มไฟและหลังคาเพื่ออำนวยความสะดวก

ปลัดเทศบาลระบุว่า แม้ราคาอาจดูสูง แต่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและประชาพิจารณ์ ย้ำว่าไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย และเป็นอุปกรณ์ที่หลาย อปท. ก็ใช้งานอยู่ ทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน

สำหรับงบรวม 32.06 ล้านบาท แบ่งเป็นชุดเล็ก 26 ชุด รวม 17.5 ล้านบาท และชุดใหญ่ 7 ชุด รวม 14.5 ล้านบาท ซึ่งเทศบาลมั่นใจว่าเกิดความคุ้มค่าและโปร่งใสในการดำเนินการทุกขั้นตอน

นักท่องเที่ยวอิสราเอลลั่น ‘เงินฉันสร้างประเทศนี้’ หลังไม่ถอดรองเท้าเข้าร้านอาหาร จุดกระแสวิจารณ์ลามทั้งโซเชียล เจ้าตัวแจงคลิปถูกตัดต่อบิดเบือนความจริง

(7 พ.ค. 68) เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจ “Koh Phangan Conscious Community” เผยแพร่คลิปนักท่องเที่ยวหญิงชาวอิสราเอลรายหนึ่งกล่าวในลักษณะที่ถูกมองว่าเหยียดคนไทย โดยมีใจความว่า “เงินของนักท่องเที่ยวอย่างเธอใช้สร้างประเทศไทย” เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะมีการถกเถียงในร้านอาหารเล็ก ๆ บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีข้อกำหนดให้ถอดรองเท้าก่อนเข้าใช้บริการ

ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหญิงในคลิปแสดงความไม่พอใจเมื่อถูกขอให้ถอดรองเท้า และตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่ถูกตีความว่าไม่ให้เกียรติวัฒนธรรมไทย คลิปถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 และมีรายงานว่ามีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว

หลังคลิปกลายเป็นไวรัล ชาวเน็ตไทยจำนวนมากแสดงความไม่พอใจ มองว่าเป็นการไม่เคารพขนบธรรมเนียมท้องถิ่น และสะท้อนภาพจำด้านลบของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่มองประเทศไทยเป็นเพียง “ประเทศราคาถูก” ที่ต้องพึ่งพารายได้จากต่างชาติ

ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม นักท่องเที่ยวหญิงในคลิปได้โพสต์ขอโทษ โดยอ้างว่าคำพูดของตนถูกนำเสนอผิดบริบท พร้อมชี้แจงว่าตนเจ็บเท้าและได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงดังกล่าวกลับยิ่งจุดกระแสถกเถียงถึงความเข้าใจผิดระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นกับทัศนคติของนักท่องเที่ยว ที่อาจกำลังกลายเป็นปัญหาซ่อนเร้นบนเกาะพะงันที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ขอนแก่น - 'มทบ.23' จัดกิจกรรม วันกำลังสำรอง ประจำปี 2568 

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

เมื่อเวลา 09.00 น. (6 พ.ค.68) ที่ อาคารสโมสรนายทหารค่ายศรีพัชรินทร มณฑลทหารบกที่ 23 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พลตรีกิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเนื่องใน 'วันกำลังสำรอง' ประจำปี 2568 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย พิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ของประธานและส่วนราชการ, การอ่านสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกล่าวคำปฏิญาณตนเป็นกำลังสำรองที่ดี ทั้งนี้มีผู้แทนหน่วยงานองค์กรกำลังสำรองจำนวน 6 หน่วยงานและผู้แทนข้าราชการทหารเข้าร่วมพิธีและวางพานพุ่ม อาทิ สมาคมผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารและนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 23, ชมรมไทยอาสาป้องกันชาติ, ศูนย์ประสานงานเครือข่ายกำลังพลสำรอง มณฑลทหารบกที่ 23, กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 2, กองอาสารักษาดินแดนจังหวัดขอนแก่น และกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 23 ร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัดเครื่องบินเมียนมา หลังพบบินเข้าใกล้ชายแดนกาญจนบุรี ยันไม่มีการล้ำอธิปไตย

(6 พ.ค. 68) พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศตรวจพบเครื่องบินลักษณะคล้าย K-8 จากเมียนมา บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เวลาประมาณ 12.45 น. กองทัพอากาศจึงสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์ ขึ้นบินพิสูจน์ฝ่ายและแสดงท่าทีทางอากาศ

F-16 ทั้งสองลำได้ทำการบินลาดตระเวนรบในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่พบการล้ำอธิปไตยหรือท่าทีคุกคามเพิ่มเติมจากเครื่องบินดังกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันความพร้อมในการสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย โดยจะดำเนินการตามมาตรการอย่างมืออาชีพ เพื่อปกป้องน่านฟ้าไทยและอธิปไตยของประเทศตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

‘IO มากันไวมาก’ ฐปณีย์คอมเมนต์แซะกลางโซเชียล หลังโพสต์เรียกร้องเจรจาชายแดนใต้เจอกระแสตีกลับ-ครอบครัวเหยื่อระเบิดสวนเจ็บ ‘คุณไม่มีวันเข้าใจ’

(6 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวชื่อดัง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสะท้อนเสียงจากทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ต่างเรียกร้องให้หยุดความรุนแรง และเห็นว่าการเจรจาเป็นแนวทางสันติวิธีเพื่อยุติการสูญเสีย พร้อมย้ำว่า “อย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดการใช้อาวุธ กลับสู่โต๊ะเจรจา”

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน จนคุณแยมต้องเข้ามาคอมเมนต์ว่า “IO มากันไวมาก” 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด มาจากภรรยาเจ้าหน้าที่ EOD ที่สูญเสียขาจากเหตุระเบิดในนราธิวาส ระบุว่า “ไม่ใช่ไอโอค่ะ...เจรจามากี่ครั้งแล้ว พอไม่พอใจก็ก่อเหตุอีก เค้าต้องการแบ่งแยก ไม่ได้ต้องการเจรจา...คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ” เป็นเสียงสะท้อนความเจ็บปวดจากผู้สูญเสียที่วิจารณ์กระบวนการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา

BRN แถลงเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานี ยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกอย่างสันติ ยึดหลักสิทธิมนุษยชน

(6 พ.ค. 68) แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ปาตานีดารุสซาลามที่ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต พร้อมยืนยันว่า BRN ไม่มีนโยบายมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือน และขอแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน

ในแถลงการณ์ BRN ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตนมีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ยืนยันการต่อสู้จะไม่ละเมิดหลักเกณฑ์เหล่านี้

นอกจากนี้ BRN เรียกร้องให้ทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธ หลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อพลเรือน พร้อมเสนอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความตึงเครียดในพื้นที่

แถลงการณ์ปิดท้ายด้วยข้อความว่า “การต่อสู้ของพวกเรามีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนปาตานี มิใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว” พร้อมเชิญชวนให้ทุกฝ่ายยืนหยัดร่วมกันด้วยสันติและปัญญาเพื่อทางออกที่ยั่งยืนของปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการแข่งขัน Cops Combat ประจำปี 2568 วางยศ ลดอัตตา ปรับใช้ในการทำงานของตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(6 พ.ค. 68) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้การต้อนรับ ณ สนามมวยราชดำเนิน ซึ่งการแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 6 พฤษภาคม 2568 โดยในวันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบรางวัลชนะเลิศกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้ทบทวนการต่อสู้ป้องกันตัว การต่อสู้ระยะประชิด รวมไปถึงเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของข้าราชการตำรวจไปในตัว โดยปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับคะแนนรวมทั้งประเภทชายและหญิง 12 รุ่นน้ำหนัก โดยคะแนนรวมมากที่สุดของการแข่งขัน เป็นของกลุ่ม 13 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 

ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ในปัจจุบันคนร้ายได้มีการต่อสู้กับตำรวจมากขึ้น ทำให้ตำรวจต้องมีความรู้ในการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน นักกีฬาทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บนสังเวียนแห่งนี้มีแต่มิตรภาพ เพราะเราคือพี่น้องที่หน้าที่เพื่อจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อประชาชน พร้อมขอบคุณนักกีฬาตำรวจทุกคน ที่ร่วมแข่งขันกันอย่างมีสปิริตบนเกมกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย วางยศ ลดอัตตา

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า Cops Combat เป็นกีฬาที่มีการผสมผสานระหว่างมวยไทยและทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวจากประเทศอื่น น้องๆ ตำรวจที่มาเป็นนักกีฬา สามารถนำไปปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้ป้องกันตัว ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อาจต้องใช้ความรู้จาก Cops Combat มาใช้ในการป้องกันตนเอง จากผู้คลุ้มคลั่ง หรือจากอาชญากร ที่อาจจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ถึงชีวิตได้ ดังนั้น กีฬาต่อสู้ป้องกันตัวที่จัดขึ้นโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีความจำเป็นกับทุกคน ซึ่งการจัดการแข่งขัน Cops Combat ปีนี้ พบว่ามีนักกีฬาจำนวน  14 กลุ่ม มากกว่า 14 กองบัญชาการ ที่ร่วมส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน และมีนักกีฬาเข้าร่วมจำนวนมากทั้งหญิงและชาย จึงอยากให้ข้าราชการตำรวจและนักกีฬาได้มีการพัฒนาตัวเอง พัฒนากำลังกายและทักษะเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพราะตำรวจเรามีความจำเป็นต้องใช้ในภารกิจตำรวจกับชีวิตประจำวัน ขอบคุณนักกีฬาทุกคนที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน และคาดหวังว่าในปีต่อๆ ไป จะมีการพัฒนาในการต่อสู่กับฝ่ายตรงข้ามอย่างมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top