Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

โจรใต้ ลอบวางระเบิด!! งานมหกรรมตาดีกา รือเสาะ ก่อน ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ มาถึงเป็นประธานเปิดงาน

(4 พ.ค. 68) เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ที่บริเวณชายป่าสวนผลไม้ของชาวบ้าน ห่างจากด้านหลังเต็นท์จำหน่ายสินค้า ประมาณ 40 เมตร ในกิจกกรรมงานมหกรรมตาดีกาสัมพันธ์เทศบาลตำบลรือเสาะ ซึ่งจัดขึ้นที่มัสยิดอัลฮีดายะห์ บ้านบือแนยามู ม.2 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ส่งผลทำให้ชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้า ที่เดินทางมาร่วมงานและจำหน่ายสินค้า ต่างพากันวิ่งหนีกันอย่างชุนละมุน พร้อมเสียงหวีดร้องเป็นระยะๆ 

ซึ่งภายในงานจะมี น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานและมีผู้ใหญ่ระดับสูงของจังหวัด อาทิ นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รอง ผวจ.นราธิวาส ดร.ซาการียา สะอิ สส.นราธิวาส เขต 4 พรรคภูมิใจไทย นายอมีร ซาริคาน นายกเทศบาลตำบลรือเสาะ นายนิติพงษ์ ทาหา นายอำเภอรือเสาะ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร มายืนคอยให้การต้อนรับ 

หลังเกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ได้นำแผงเหล็กที่ใช้สำหรับปิดกั้นการจราจร มาวางไว้ที่บริเวณจุดเกิดเหตุระเบิด เพื่อรอให้ น.ส.ซาบีดา เป็นประธานเปิดงานและร่วมกิจกรรมแล้วเสร็จ ถึงจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ ซึ่งการเปิดงานในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

มีรายงานว่า น.ส.ซาบีดา เมื่อเปิดงานและร่วมกิจกรรมแล้วเสร็จ ได้เดินทางกลับโดยที่ไม่ได้รับรู้ว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้น 

ต่อมา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดอโณทัยและจากชุด EOD กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เข้าทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยการใช้เครื่องตรวจจับวัตถุโลหะและพบว่า มีระเบิดแสวงเครื่องอีก 1 ลูก ซุกซ่อนอยู่ละแวกเดียวกันห่างจากจุดระเบิดประมาณ 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้กันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกห่าง ก่อนที่จะใช้เครื่องแรงดันน้ำพลังสูงในการยิงทำลาย 

เมื่อตรวจสอบระเบิดทั้ง 2 ลูก พบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุอยู่ในท่อเหล็กทรงกลม หนัก 1 ถึง 2 ก.ก. จุดชนวนด้วยระบบแบบเหยียบ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน 

จากการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือการกระทำของสมาชิกแนวร่วมผู้ก่อเหตุรุนแรง แอบลักลอบนำระเบิดแสวงเครื่องแบบเท้าเหยียบไปซุกซ่อนไว้ เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่กำลังพลที่ถูกส่งตัวมาให้การรักษาความปลอดภัยแก่คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กลุ่มคนร้ายเดาใจเจ้าหน้าที่ว่า จะมายืนให้การรักษาความปลอดภัยที่บริเวณจุดดังกล่าว แต่โชคดีระเบิดลูกแรกเกิดขัดข้องได้ระเบิดขึ้นเสียก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่กันพื้นที่ให้EODเข้าตรวจสอบ จึงพบระเบิดลูกที่ 2 จึงได้ยิงทำลายไปในที่สุด

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะวิธีวางแผนเดินทางวันหยุดยาว ลดปัญหารถติดสะสม

(4 พ.ค. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา และหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ มีวันหยุดยาว ได้แก่ วันที่ 3-5 พฤษภาคม และ 9-12 พฤษภาคม ซึ่งคาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนเดินทางไปทำบุญ กลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อการจราจร ทำให้ติดขัดหนาแน่นในบางเส้นทางได้ ทั้งในช่วงขาไปและขากลับ เช่นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา รับรายงานว่ามีการจราจรติดขัด โดยเฉพาะในถนนเส้นทางสายหลัก อาทิ มอเตอร์เวย์ สาย 7 ซึ่งมักมีจุดพักรถขนาดใหญ่ มีปริมาณรถเข้าใช้บริการจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการจราจรชะลอตัวบริเวณทางเบี่ยงเข้าจุดพักรถ มีท้ายแถวสะสมทำให้รถชะลอตัวและเกิดปัญหาการจราจรติดขัดหลายกิโลเมตร หรือบริเวณหน้าด่านเก็บเงินที่มีปริมาณรถหนาแน่น ทำให้การจราจรชะลอตัวเป็นระยะทางยาว

พล.ต.ท.นิธิธรฯ แนะนำให้ประชาชนวางแผนก่อนการเดินทาง โดยเลือกใช้จุดพักรถหรือสถานที่ใกล้เคียงแทน จะได้ลดความแออัดและรักษาความต่อเนื่องในการเดินทาง สำหรับผู้ที่ใช้เส้นทางที่มีจุดเก็บค่าผ่านทาง แนะนำทางเลือกในการใช้บริการ M-Flow โดยลงทะเบียนใช้บริการล่วงหน้า เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดการจอดรอชำระค่าผ่านทาง ลดปัญหาการจราจรติดขัดได้ และในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ขอเน้นย้ำให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าวางแผนการชาร์จพลังงานให้ดี โดยศึกษาจุดชาร์จไฟฟ้าบนเส้นทางล่วงหน้า เลือกช่วงเวลาและสถานที่ที่ไม่แออัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจราจรสะสมหรือแถวรอชาร์จที่ยาวนาน และการเสียเวลาเดินทางโดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้มีฝนฟ้าคะนองในหลายพื้นที่ ส่งผลให้อาจเกิดน้ำท่วมขังในบางเส้นทาง ทำให้กระทบกับการใช้รถใช้ถนน เกิดการชะลอตัว ตัดขัด จึงขอฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ ตรวจสอบสภาพรถและสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด มีน้ำใจบนท้องถนน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อช่วยกันลดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางช่วงวันหยุดยาวนี้

หากต้องการสอบถามข้อมูลเส้นทาง พบเหตุร้าย หรือต้องการความช่วยเหลือกรณีเกิดอุบัติเหตุ รถเสียบนท้องถนน สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบช.ภ.2 กำชับ  117 โรงพักเช็กยอดพนักงานสอบสวน จัดกำลังสอดคล้องงาน ดูแลคน ตระเวนตรวจเยี่ยม รับไม่ได้หากโรงพักซกมก ห้องขังเหม็นคลุ้ง จี้จัดระเบียบ

เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2  (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า ตั้งแต่รับหน้าที่ ผบช.ภ.2 ให้ความสำคัญกับสถานีตำรวจ หรือโรงพัก ซึ่งถือเป็นจุดแรกที่สัมผัสประชาชน เป็น “หัวใจของงานตำรวจ” ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความยุติธรรม และ ให้บริการประชาชนโดยเฉพาะพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศและของโลกต้องให้ความสำคัญกับการให้บริการประชาชนควบคู่กับการดูแลบริการนักท่องเที่ยว โดยได้ตระเวนตรวจเยี่ยมดูความพร้อมของสถานีตำรวจในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องกำลังพล การสอบสวนสืบสวน สายตรวจจราจร  ดูความสะอาดโรงพัก ความพร้อมในการให้บริการประชาชน

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ได้กำชับให้ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดและหัวหน้าสถานี สำรวจความพร้อมของพนักงานสอบสวน ตรวจสอบจำนวนของพนักงานสอบสวนในโรงพักว่าเพียงพอสอดคล้องกับปริมาณงานหรือไม่ รวมถึงสุขภาพ ภาวะเครียดของพนักงานสอบสวน โดยให้พิจารณาปรับเกลี่ยให้เหมาะสม กำชับดูแลขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้งานด้านอำนวยความยุติธรรมของโรงพักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวด้วยว่าหลังจากนี้จะตระเวนตรวจเยี่ยมอย่างต่อเนื่องเพื่อดูความพร้อมของโรงพักในทุก ๆ ด้าน จากการตรวจเยี่ยมที่ผ่านมาพบว่าโรงพักหลายแห่งยังไม่สะอาด ไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร โดยเฉพาะห้องควบคุมผู้ต้องหา ห้องน้ำ บางแห่งสภาพทรุดโทรม เหม็นคลุ้ง จึงได้กำชับให้ทุกโรงพัก 117 แห่ง ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 ไปตรวจดูโรงพักของตัวเองจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งในจุดที่บริการประชาชนรวมถึงห้องขังห้องควบคุมผู้ต้องหา 

“ผู้ต้องหา ไม่ใช่นักโทษ เขาคือผู้ที่ยังบริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ห้องควบคุมคือพื้นที่แห่งนิติธรรม ไม่ใช่ที่กักขังไร้มนุษยธรรม ภาพเหล่านี้สะท้อนทั้งคุณภาพของหน่วยงาน และภาวะผู้นำโดยตรง ถ้าแค่เรื่องการดูแลความสะอาดยังทำไม่ได้ เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดกันให้มากความ ผมขอสั่งการโดยตรงให้ผู้บังคับการ ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ สว. หัวหน้า สภ. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับเร่งตรวจสอบและแก้ไขให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดห้ามมีข้ออ้าง” ผบช.ภ.2 กล่าว

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ยืนยัน!! ไม่เคยทำเอกสารข่าว กล่าวหา!! ‘นายอนุทิน’ แอบอ้างสถาบัน

(3 พ.ค. 68) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และรองผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชน และสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ชี้แจงกรณีเอกสารรายงานข่าวที่เผยแพร่ในสื่อมวลชน ซึ่งมีการนำไปตีความหมายผิดพลาด จนอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และต่อองค์กร

พลตรี วินธัย กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า นายอนุทินเป็นบุคคลที่แอบอ้างสถาบัน แต่ในข้อเท็จจริง เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับนายอนุทินเป็นไปในเชิงบวก โดยรายงานได้กล่าวถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่ระบุว่านายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนพรรคการเมืองหรือบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567

ทั้งนี้ พลตรี วินธัย ยังได้เตือนผู้ที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน อย่าพยายามนำข้อมูลมาปะติดปะต่อเชื่อมโยงกันเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลและองค์กร

‘รัฐบาล’ จัดงาน!! สโมสรสันนิบาต เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พ.ค.นี้ เชิญชวนพสกนิกร ร่วมถวายพระพรชัยมงคล

(3 พ.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวัน ที่ 4 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรี จะถวายราชสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ณ ปราสาทพระเทพบิดร และถวายสักการะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการพระราชพิธีฉัตรมงคล ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง

จากนั้น ในช่วงค่ำวันเดียวกัน รัฐบาลได้จัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันฉัตรมงคล เวลา 19.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในงานสโมสรสันนิบาตฯ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย พร้อมเชิญชวนพสกนิกรร่วมถวายพระพรชัยมงคล

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เชิญคณะองคมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี องค์กรตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูต กงสุลกิตติมศักดิ์ต่างประเทศประจำประเทศไทย กงสุลอาชีพ องค์การระหว่างประเทศภายใต้องค์การสหประชาชาติ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย พร้อมคู่สมรส เข้าร่วมในงานสโมสรสันนิบาตฯ

สำหรับการจัดงานสโมสรสันนิบาตฯ จะมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 18.50 น. เป็นต้นไป รัฐบาล ขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้ร่วมกันเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พ.ค.2568 โดยพร้อมเพรียงกัน

‘ไทย’ ในห่วงโซ่ค้าวัวเถื่อนข้ามแดน ไร้การควบคุม เผาป่าสร้าง ‘หญ้าระบัด’ เป็นอาหาร เสี่ยง!! โรคระบาด จาก ‘วัวเถื่อน’ ที่ทะลักเข้าไทย ภัยเงียบต่อ ‘อุตสาหกรรมปศุสัตว์’

(3 พ.ค. 68) ท่ามกลางความต้องการบริโภคเนื้อวัวของจีนที่พุ่งสูงในปี 2566 ถึงเกือบ 11 ล้านตัน ในขณะที่จีนผลิตได้เพียง 7.5 ล้านตัน ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งทางตรงและทางเลี่ยงผ่านเครือข่ายลักลอบจากลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะผ่านมณฑลยูนนานและกว่างซีจ้วงที่ติดกับเมียนมา ลาว และเวียดนาม

วัวทะลักเข้าไทย: แรงดันจากความต้องการระดับภูมิภาค

การศึกษาหลายชิ้นระบุว่า จีนเคยลักลอบนำเข้าวัวจากเมียนมาผ่านไทยมากถึง 4,000 ตัวต่อวันในช่วงก่อนโควิด และยังมีข้อมูลระบุว่า ในปีเดียว (2561) วัวมากกว่า 150,000 ตัว ถูกขนผ่านเส้นทางเมียนมา–ไทย–ลาว เพื่อส่งต่อไปยังจีน

จากสถิติด่านศุลกากรแม่สอดเพียงแห่งเดียว พบว่ามีวัวและกระบือมีชีวิตนำเข้าถูกกฎหมายจากเมียนมาถึง 97,324 ตัวในปี 2565 มูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะที่จำนวนวัวลักลอบซึ่งไม่อยู่ในระบบการควบคุมโรค อาจสูงกว่านี้หลายเท่าตัว โดยมีการประเมินว่า จุดลักลอบใน จ.ตาก เพียงจุดเดียว อาจมีวัวเล็ดลอดเข้าไทยไม่ต่ำกว่าหลายพันตัวต่อปี จากการสืบข่าว พบว่าระหว่างปี 2565 ถึงกลางปี 2566 มีรายงานการจับวัวลักลอบในไทยราว 23 ครั้ง รวมวัวของกลาง 1,182 ตัว — แต่จำนวนนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของวัวลักลอบจริงที่เข้าสู่ไทยในแต่ละปี

วัวเถื่อนเร่รอน: อาศัยในป่าอนุรักษ์จำนวนมากกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน 

วัวลักลอบจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกเลี้ยงกระจายอยู่ตามแนวชายแดน — โดยเฉพาะในเขตที่อยู่ติดป่าอนุรักษ์ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่เหล่านี้มักไม่ได้รับการควบคุมที่เข้มงวดจากการขาดทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และงบประมาณ และถูกใช้เลี้ยงวัวแบบเร่ร่อนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะในฤดูแล้งเมื่อหญ้าแห้งตาย

การเผาหญ้า: กลไกที่จุดไฟป่าแบบตั้งใจและซ้ำซาก

ก่อนฤดูฝนในแต่ละปี ผู้เลี้ยงวัวเหล่านี้มักจุดไฟเผาพื้นป่าเพื่อเร่งให้หญ้าแตกใบใหม่ หรือที่เรียกว่า 'หญ้าระบัด' ซึ่งเป็นอาหารวัวคุณภาพดีในช่วงต้นฤดูฝน แม้การเผาจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน แต่การกระทำในพื้นที่อนุรักษ์จำนวนมากและพร้อมกันทั่วแนวชายแดน ได้ก่อให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมได้กระจายไปทั่วป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตก

แม้การเผาหญ้าเพื่อเลี้ยงวัวจะดูเป็นวิธีดั้งเดิมและมีเป้าหมายจำกัด แต่เมื่อวัวหลายหมื่นตัวถูกปล่อยเลี้ยงในป่าอนุรักษ์ทั่วแนวชายแดน การจุดไฟพร้อมกันในพื้นที่เหล่านี้จึงกลายเป็น มรสุมไฟป่าเถื่อน ที่ไม่มีใครควบคุมได้

• พื้นที่ป่าถูกทำลายซ้ำ ๆ ทุกปีจนสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัว
• สัตว์ป่าถูกเผาตายหรือไร้ที่อยู่อาศัย
• ดินกลายเป็นดินเสื่อมสภาพและไม่ซึมน้ำ เกิดโคลนถล่มเมื่อฝนมา
• ควันพิษ PM2.5 จากการเผา ลอยเข้าสู่เมืองใหญ่ในภาคเหนือ สร้างวิกฤตสุขภาพเรื้อรังแก่ประชาชน

ฝากเลี้ยงในป่าแล้วแบ่งผลประโยชน์
ชาวบ้านที่รับเลี้ยงวัวในป่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นลูกวัวที่เกิดใหม่ในป่าครึ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นหากฝูงวัวที่ฝากเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีนั้นคลอดลูกใหม่ 30 ตัว ชาวบ้านก็จะได้รับลูกวัวฟรีๆ 15 ตัว และหากขุนลูกวัวเหล่านี้ในป่าไปจนโตก็จะขายได้เงินราวตัวละ 4,000 บาท ทั้งหมดคิดเป็นรายได้ระดับครึ่งแสน

เชื้อโรคข้ามพรมแดน: เมื่อระบบควบคุมโรคไม่ตามทัน

นอกจากไฟป่า ปัญหาวัวเถื่อนยังเชื่อมโยงกับโรคระบาดที่อาจทะลักเข้าประเทศ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และลัมปีสกิน (LSD) โดยวัวที่ไม่มีใบรับรองสุขภาพ ไม่เคยได้รับวัคซีน และไม่ได้ถูกกักตัว คือภัยเงียบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

วัวที่ลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด อาจเป็นพาหะของโรคติดต่อร้ายแรงที่แพร่กระจายได้รวดเร็วในฝูงสัตว์ หนึ่งในนั้นคือ โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease - FMD) ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมากในสัตว์กีบคู่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ โดยติดต่อผ่านน้ำลาย ลมหายใจ หรือพื้นดินและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เมื่อระบาดจะทำให้สัตว์มีแผลพุพองในปาก เท้า เดินไม่ได้ กินอาหารไม่ได้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอัตราการเติบโตลดลง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เพราะฟาร์มต้องกักตัวสัตว์ ปิดตลาด และอาจต้องฆ่าทำลายฝูงวัวทั้งคอกเพื่อควบคุมโรค ขณะที่โรค ลัมปีสกิน (Lumpy Skin Disease - LSD) ซึ่งระบาดในเมียนมาตั้งแต่ปี 2563 ก็กำลังเป็นปัญหาใหม่ในไทย เกิดจากไวรัสในตระกูล Poxvirus ทำให้วัวมีตุ่มบวมทั่วตัว มีไข้ น้ำนมลด และแท้งลูกได้ง่าย

แม้โรคเหล่านี้จะไม่ติดต่อสู่คนโดยตรง แต่ 'ฟาร์มปิด–ตลาดแตก–รายได้หาย–ต้นทุนพุ่ง' คือผลกระทบต่อเกษตรกรไทยในวงกว้าง นอกจากนี้ วัวเถื่อนอาจเป็นพาหะของแบคทีเรียหรือไวรัสในระบบทางเดินหายใจ เช่น Brucellosis หรือ Tuberculosis ซึ่งในบางกรณีสามารถ 'ข้ามสปีชีส์' สู่คนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น คนเลี้ยงวัว พนักงานโรงเชือด หรือคนที่บริโภคเนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก

โรคเหล่านี้อาจเริ่มจากฝูงสัตว์ที่ไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาด จะกลายเป็นโรคติดต่อสู่คนที่คุกคามทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารในระดับประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ภาวะโลกร้อนกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของเชื้อโรคให้รุนแรงและหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังการรัฐประหารในเมียนมา ระบบควบคุมโรคในฝั่งนั้นแทบล่มสลาย เพราะรัฐบาลทหารทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปกับสงครามภายใน แทบไม่เหลือกำลังดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงหรือส่งออก

แม้ไทยจะมีแนวคิดเปิดนำเข้าวัวจากเมียนมาอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลน แต่ยังคงเผชิญแรงต้านจากเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เพราะเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ความไม่โปร่งใส และอันตรายต่อระบบนิเวศและสุขภาพคนไทยในระยะยาว

จากชายแดนสู่ระบบนิเวศ: วิกฤตที่ต้องมองเป็นหนึ่งเดียว

การแก้ปัญหา 'ไฟป่าชายแดน' จึงต้องไม่มองเพียงว่าเป็นปัญหาป่าไม้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจลับของวัวเถื่อน การค้าไร้ใบอนุญาต และการบริหารชายแดนที่ยังไม่มีดุลยภาพระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้จะไม่มีวันแก้ได้ หากรัฐมองแยก 'การค้า' ออกจาก 'สิ่งแวดล้อม' และ 'สาธารณสุข'

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งเร่งตรวจสอบกรณีมีตำรวจพาผู้ต้องหาลักลอบนำข้อสอบฯ ออกจากโรงพักทั้งที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ย้ำใครผิดว่าไปตามผิด

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานกรณีเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีข้าราชการตำรวจนายหนึ่งเดินทางไปที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อเจรจากับ ดร.ขนิษฐาฯ หรือ ดร.นิด ผู้ต้องหาคดีลักลอบนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ ไปช่วยอดีตนายพลตำรวจ และพาตัวผู้ต้องหาออกจาก สน.ทุ่งสองห้อง โดยไม่ได้แจ้งพนักงานสอบสวนหรือนำทนายความติดตามไปด้วย ทำให้สอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว และรายงานให้ทราบโดยด่วน

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำชับให้ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ในข้อหาใด ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งทางวินัย ปกครอง และอาญา และหากมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการตำรวจรายใดก็ให้ตรวจสอบทุกคน อย่างไรก็ตาม พร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ต้องดำเนินการทุกรายไม่มียกเว้น

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘ภูมิธรรม’ ถอนกำลังจาก ‘ตาเมือนธม’ ทำไทยเสี่ยงเสียดินแดนย้ำ!! เป็นของไทย 100 % ตามสนธิสัญญา ‘ไทย - ฝรั่งเศส’ พ.ศ.2447 - 2450

(3 พ.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็นว่า …

ผมเห็นข่าวคุณภูมิธรรมสั่งทหารไทยให้ถอยร่นออกจากปราสาทตาเมือนธม แล้วก็หวั่นใจว่าการกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการจงใจสละการครอบครองดินแดนซึ่งไทยมีอำนาจอธิปไตยอย่างชัดแจ้งตามสนธิสัญญา ไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงทำกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชาในช่วงปี พ.ศ. 2447-2450 ซึ่งกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน และชัดเจนว่า หากใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน ปราสาทตาเมือนธมก็อยู่ในเขตแดนอธิปไตยของไทย ส่วนเขตแดนตาม Google map นั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายระหว่างประเทศได้  

นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่งโดยการครอบครองต้องประกอบด้วยหลัก 2 ประการ คือ 

1. จะต้องมีการควบคุมดินแดนอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง  จะต้องควบคุมดินแดนนั้นอย่างเปิดเผยและมีความต่อเนื่องโดยมีเจตนาที่จะมีอำนาจอธิปไตย และมีการกระทำในลักษณะของการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น และ 

2. จะต้องมีเจตจำนงที่จะใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นด้วย กล่าวคือ การครอบครองดินแดนของรัฐจะต้องเป็นไปเพื่อมีอำนาจอธิปไตย และใช้อำนาจอธิปไตยนั้นหรือดินแดนที่ครอบครอง โดยอาจจะพิจารณาที่การแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนนั้นนั่นเอง

พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ยึดตามหลักสันปันน้ำแล้ว ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนใดแน่นอน แต่หากรัฐไทยไม่ได้ทำการควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าวโดยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างจริงจัง แล้วมีทหารหรือแม้แต่พลเรือนกัมพูชามาทำการแสดงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติกัมพูชา หรือถือธงกัมพูชาบ่อย ๆ พอวันเวลาผ่านไป นานวันเข้า กัมพูชาอาจได้ดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษ์ (Acquisitive Prescription) ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ  ต่อเนื่องกัน 2. จะต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น 3. จะต้องเป็นการครอบครองที่เปิดเผยต่อสาธารณะ 4. จะต้องเป็นการครอบครองที่คงทนในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรที่จะเห็นได้ว่ามีการครอบครองปรปักษ์มาอย่างต่อเนื่องคงทน

ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทำโดยด่วนคือส่งกองกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมทั้งหมด เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ และมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าวโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ฐานทำให้ไทยเสียดินแดนครับ ด้วยความปรารถนาดี

‘โรงแรมอมารี ดอนเมือง’ ส่งโปรแรงเอาใจผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง จัดดีลพิเศษลดสูงสุด 20%!! เพียงแสดงบัตรโดยสารเมื่อเข้าพัก…ถึง 31 ธ.ค. นี้

ผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เตรียมรับข้อเสนอสุดพิเศษ! เพียงแสดงบัตรโดยสารเมื่อเข้าพักที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง รับทันทีส่วนลดค่าห้องพัก 20% จากราคาหน้าเว็บไซต์ และรับส่วนลดค่าอาหาร 10% เมื่อใช้บริการที่ห้องอาหาร Zeppelin และ The Corner ภายในโรงแรม

โปรโมชั่นนี้สำหรับผู้โดยสารสายสีแดงเท่านั้น เพียงจองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน และเข้าพักระหว่างวันที่ 15 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2568 พร้อมแสดงบัตรโดยสารสายสีแดง ณ จุดเช็กอิน เพื่อใช้สิทธิ์ ส่วนลดนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่นหรือแลกเป็นเงินสดได้

สิทธิพิเศษที่มากกว่าการเดินทาง... เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า สัมผัสความสะดวกสบายของโรงแรมติดสนามบิน พร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดง ที่ช่วยให้ทุกการเดินทางกลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.amari.com/donmuang


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top