Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

เชียงใหม่-ภ. 5  แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี ของกลางยาบ้า10,600,000 เม็ด

(1 ก.ค. 68) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย  พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน  พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 พล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้ ผบก.ภ.จว.แพร่และ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงรายฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง รอง ผวจ.แพร่ และรองผวจ.เชียงราย สำนักงาน ปปส.ภาค 5 

ร่วมกันแถลงผลการจับกุมยาเสพติด  และสืบสวนขยายผลคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สภ.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง จับกุมผู้ต้องหา 1 คน รถยนต์บรรทุก 6  ล้อ 1 คัน ยาบ้า 50 กระสอบ รวมประมาณ 10 ล้านเม็ด ซุกซ่อนในลำโพงเครื่องเสียง และกรณีตรวจยึดยาเสพติด จำนวน 600,000 เม็ด บรรจุมาในกล่องพัสดุของขนส่งเอกชน ในพื้นที่ สภ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

คดีที่ 1 สถานที่จับกุม ด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่ (X-ray) หมู่ 4 ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผู้ต้องหา นายคำวัง หรือเอ็ม อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา อ.แกดำ จ.มหาสารคาม

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.68 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ ได้รับคำสั่ง จากผู้บังคับบัญชาให้ตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด ณ ด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 หมู่ที่ 2 ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ต่อมาได้รับแจ้งจากสายลับ แจ้งว่ามีกลุ่มลำเลียงยาเสพติดใช้รถยนต์บรรทุกหกล้อ ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หกล้อบรรทุกโดยมียาเสพติดซุกซ่อนในท้ายบรรทุกโดยทำช่องลับ จึงนำเรียนให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นและได้สั่งการให้ทำการคัดกรองรถยนต์บรรทุกหกล้อเข้าทำการ X-ray 

ต่อมาจนกระทั่งเวลาประมาณ 10.15 น. พบรถยนต์บรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 70-4183 มหาสารคาม
ขับขี่เข้าด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่(K-ray) ม.4 ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ เจ้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจได้ให้สัญญาณหยุดรถและได้เรียกเข้าอุโมงค์ X-ray โดยมีนายคำวังหรือเอ็ม (ทราบชื่อภายหลัง) เป็นผู้ขับขี่ จากการสอบถามในบันทึกยินยอมการเข้า X-ray รถ ได้สอบถามว่าสินค้าที่บรรทุกมาคือสินค้าชนิดใด นายคำวังหรือเอ็มฯ แจ้งว่าข้างหลังกระบะบรรทุกเป็นตู้ลำโพงเครื่องเสียง โดยได้คุมผ้าใบปิดบังมิดชิด ขับมาจากพื้นที่ จ.น่าน ไปส่งปลายทางที่ จ.ลพบุรี ผลการ X-ray พบวัตถุต้องสงสัย มีลักษณะคล้ายยาเสพติด วางอยู่เป็นชั้นซ้อนกันอยู่หลังรถบรรทุกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบตู้ลำโพงเครื่องเสียงจำนวน 50 ตู้ พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ในตู้ลำโพงจำนวน 50 กระสอบ รวมยาบ้าจำนวน 10,000,000 เม็ด และทำการตรวจปัสสาวะเบื้องต้นของนายคำวังๆ ผลการตรวจเบื้องต้นเป็นลบ จึงได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาให้นายคำวังหรือเอ็ม ทราบว่า "ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และโดยทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย" เจ้าหน้าที่ดำรวจ จึงได้จัดทำบันทึกการจับกุมแล้วควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมพร้อมของกลางยาเสพติดทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 สถานที่จับกุม ร้าน KEX express สาขาร่องขุ่น เลขที่ 81 หมู่ 1 ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
ผู้ต้องหา อยู่ระหว่างติดตามจับกุม

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.68 เวลาประมาณ 12.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากเจ้าของร้าน ๅKEX express สาขาร่องขุ่น เลขที่ 81 หมู่ 1 ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย จ .เชียงราย ว่าพบกล่องพัสดุภายในกล่องมียาเสพติด จำนวน 4 กล่อง จึงน้ำเรียนผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น 

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบกล่อง ผลการตรวจสอบภายในกล่องพบเป็นยาเสพติด(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องจำนวนกล่องละประมาณ 150,000 เม็ด รวมจำนวน 600,000 เม็ด จากนั้นจึงทำการตรวจยึดนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และทำการขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - 30 มิ.ย.68  จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 17,183 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 178 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 169 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 10,300 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 150 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 1,740 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 79 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 638 ล้านบาทเศษ

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองสำนักงานป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

'เท้ง' เจอขบวนรถทัวร์แห่คอมเมนต์สวนฉ่ำ หลังเพจ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ โพสต์คลิปค้านนิติสงคราม

เมื่อวันที่ (2 ก.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก "เรื่องเล่าเช้านี้" ได้โพสต์คลิปวิดีโอ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พร้อมแคปชันระบุว่า “ "เท้ง" ไม่เห็นด้วยกับนิติสงคราม กำจัดผู้เห็นต่างออกจากประชาธิปไตย เรียกร้องคืนอำนาจให้ประชาชน ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ยันพรรคประชาชนจะใช้ทุกกลไกในสภาฯ เพื่อให้ได้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่" 

โดยโพสต์ดังกล่าวมีแฟนเพจ และชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์เป็นจำนวนกว่า 3,200 คอมเมนต์ โดยส่วนใหญ่เป็นคอมเมนต์ที่พิมพ์ด้วยพยัญชนะไทย "ค" เพียงตัวเดียว สะท้อนให้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ได้ดูคลิปดังกล่าว ไม่เห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้าพรรคประชาชนอย่างชัดเจน

สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ก้าวสู่ปีที่ 93 แห่งความยุติธรรมและความเชื่อมั่น

(1 ก.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร., พล.ต.ท.อาทิชา เปาอินทร์  ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.), ผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ.ตร. และ อดีตผู้บังคับบัญชาของ สพฐ.ตร. ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจครบรอบ 93 ปี ณ ลานสรัลนุช สพฐ.ตร.

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.ต.ท.อาทิชา เปาอินทร์ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) ได้อ่านสารส่งความปรารถนาดีถึงข้าราชการตำรวจ สพฐ.ตร. และครอบครัว พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานดีเด่น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ห้องประชุม ศปก.สพฐ.ตร.

พล.ต.ท.อาทิชา เปาอินทร์ ผบช.สพฐ.ตร. ได้กล่าวแสดงความปรารถนาดีและขอบคุณข้าราชการตำรวจสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจทุกนาย ที่ได้ร่วมกันทุ่มเท เสียสละ และอุทิศตนเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเน้นย้ำถึงบทบาทอันสำคัญยิ่งของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ในฐานะหน่วยงานหลักที่สนับสนุนงานสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ และการให้บริการประชาชนในส่วนการตรวจสอบประวัติบุคคล ซึ่งการพิสูจน์หลักฐานทางคดีด้วยหลักนิติวิทยาศาตร์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสืบสวนสอบสวนและเป็นรากฐานของการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการตำรวจในสังกัด สพฐ.ตร.ทุกนาย ได้ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาหน่วยงานอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในด้านบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เครื่องมือที่ทันสมัย ระบบงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ และเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน รวมถึงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจที่ว่า “สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว อย่างมืออาชีพ ตามมาตรฐานสากล เพื่อสนับสนุนกระบวนการยุติธรรม ที่ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา”

ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.อาทิชา เปาอินทร์ ยังได้มอบโล่รางวัล และกล่าวแสดงความยินดีและ ชื่นชมข้าราชการตำรวจผู้ได้รับรางวัลในโครงการ “Forensic Police Star of The Year” และ “โครงการผู้พัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ดีเด่น” ประจำปี พ.ศ.2568 ซึ่งเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจอันสำคัญยิ่งแก่ผู้ปฏิบัติงานที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างดียิ่ง  โดยในตอนท้าย พล.ต.ท.อาทิชา เปาอินทร์ ได้อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ดลบันดาลพระราชทานพรให้ข้าราชการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจทุกนายและครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง มีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์สุจริต และยึดมั่นในหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดการฝึก “NASMEX’25” เสริมความมั่นคงทางทะเล 

(1 ก.ค. 68) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผบ.ทรภ.1 เป็นประธานเปิดการฝึกปฏิบัติการร่วม “NASMEX’25” (Naval Security Port and Ship Map Taphut Exercise 2025) ณ พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ซึ่งจะดำเนินไปถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568

จุดประสงค์ของการฝึกเพื่อซักซ้อมแผนยุทธ์และการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ทรภ.1 การปรับแผนรักษาความปลอดภัยท่าเรือและเรือตาม ISPS Code เพื่อเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น และทดสอบแผนเผชิญเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย

กิจกรรมการฝึกเป็นการบูรณาการร่วมกับบริษัทในพื้นที่เขตท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยจัดประชุมเตรียมการร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การฝึกเป็นไปอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และไม่กระทบต่อภารกิจหลักของหน่วยงานต่าง ๆ

สมนึก เชื้อสนุก/รายงาน

‘พินิจ จารุสมบัติ’ อดีตรองนายกฯ ย้อนความทรงจำ 50 ปี สัมพันธ์จีน-ไทย จากอับเฉาเรือสู่อาร์ตทอย

(1 ก.ค. 68) พินิจ จารุสมบัติ วัย 70 ปีกว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ยังคงจดจำได้ว่าตอนเด็กๆ บ้านของเขามีโอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่เยอะมาก ครั้นถามคุณย่าว่าโอ่งเหล่านี้มาจากไหน คุณย่าก็บอกว่ามาจากประเทศจีน

ครอบครัวของพินิจนั้นเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างจีนกับไทยมายาวนาน ตั้งแต่ส่งออกข้าวสารสู่ฮ่องกงจนถึงนำเข้าสินค้าอื่นๆ จากจีนสู่ไทย โดยพินิจบอกว่าครอบครัวของเขาทำการค้ากับจีนเยอะมาก โอ่งน้ำเหล่านี้ขนส่งตรงมาจากจีน หินที่ใช้ก่อสร้างบ้านบางส่วนก็มาจากจีนเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันบ้านของพินิจยังคงมีโอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แม้โอ่งเหล่านี้ดูธรรมดาแต่สมัยนั้นถือเป็นของหายากในไทย โดยโอ่งน้ำที่บรรพบุรุษนำมาจากจีนยังคงถูกใช้งานจากคนรุ่นสู่รุ่น บางครั้งใช้เก็บน้ำในหน้าแล้ง ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้จากครอบครัวของพินิจเป็นดั่งภาพสะท้อนของการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างจีนกับไทย

บันทึกประวัติศาสตร์จีนระบุว่าจีนและไทยติดต่อสื่อสารกันมานานตั้งแต่ก่อนเกิดการก่อตั้งประเทศไทย โดยเมื่อครั้งเจิ้งเหอออกเดินเรือในยุคราชวงศ์หมิง เขาได้ล่องเรือตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเหนือสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน และช่วยเหลือราชวงศ์ในอาณาจักรอยุธยาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง

ช่วงก่อนพวกล่าอาณานิคมจากตะวันตกจะเข้ามา ยุคสมัยนั้นไทยทำการค้ากับจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยจีนนำเข้าข้าวสาร เครื่องเทศ แร่ดีบุก และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากไทย ส่วนไทยนำเข้าเครื่องเคลือบ ผ้าไหม ใบชา และเครื่องเหล็กจากจีน ซึ่งผู้ค้าจะใช้วัตถุหนักๆ อย่างรูปปั้นหินเป็นอับเฉาถ่วงน้ำหนักเรือระหว่างขากลับ

ไทยได้ขุดพบรูปปั้นหินและช้างหินจำนวนมากระหว่างการซ่อมแซมถนนภายในพระบรมมหาราชวังเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ซึ่งบางส่วนเป็นรูปปั้นบุคคลที่มีใบหน้าและการแต่งกายจากหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงสัตว์ในตำนาน โดยผลการตรวจสอบพบรูปปั้นหินบางส่วนสลักคำว่า "ผลิตในกว่างตง" อยู่ด้วย

ขณะการตรวจสอบกับเอกสารทางประวัติศาสตร์พบรูปปั้นหินเหล่านี้ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายเก่าของวัดพระแก้วในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเป็นไปได้สูงว่ารูปปั้นหินเหล่านี้อาจถูกนำเข้าสู่ไทยในฐานะอับเฉาถ่วงน้ำหนักเรือ โดยปัจจุบันรูปปั้นหินเหล่านี้ได้รับการบูรณะฟื้นฟูและตั้งประดับภายในพระบรมมหาราชวัง กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนมิตรภาพระหว่างจีนกับไทย

สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่ารูปปั้นหินอย่างที่ค้นพบในพระบรมมหาราชวังมักถูกใช้เป็นอับเฉาถ่วงน้ำหนักเรือสินค้าเพื่อป้องกันเรือพลิกคว่ำยามผจญพายุในทะเล แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสินค้าไว้ซื้อขาย ซึ่งสะท้อนการยอมรับวัฒนธรรมจีนในยุคสมัยนั้นของไทย โดยวัดหลายแห่งในช่วงรัชกาลที่ 1-3 มีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับสามก๊ก ผู้คนในยุคสมัยนั้นชื่นชอบวัฒนธรรมจีนอย่างมาก และมีการแปลตำรับตำราภาษาจีนด้วย

ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าจีนและไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสองประเทศได้ติดต่อค้าขายโดยเรือสำเภาและแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมอย่างรุ่งเรืองมานานหลายยุคหลายสมัย ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม อาหาร และประชาชน คำกล่าว "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญ แต่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความเป็นญาติสนิทที่ประชาชนสองประเทศมีต่อกัน

นอกจากนั้นอาหารจีนหลายเมนู เช่น ก๋วยเตี๋ยว ซาลาเปา และโจ๊ก ได้หยั่งรากลึกในสังคมไทย ชาวไทยจำนวนมากร่วมฉลองเทศกาลจีนดั้งเดิมอย่างตรุษจีน ขณะภาพยนตร์ไทยเรื่อง "หลานม่า" ทำรายได้และมีชื่อเสียงในจีน เนื่องจากมีองค์ประกอบและวัฒนธรรมจีนอย่างภาษาแต้จิ๋ว เพลงแต้จิ๋ว และประเพณีในเทศกาลชิงหมิง ซึ่งชาวจีนคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ด้านป๊อปมาร์ท (Pop Mart) แบรนด์อาร์ตทอยสุดฮิตจากจีน ได้เปิดตัวดีมู่ (Dimoo) รุ่นลิมิเต็ดที่ผสมผสานองค์ประกอบทางวัฒนธรรมจีนและไทย ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้การสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย

เฉินเสี่ยวอวิ๋น รองประธานป๊อปมาร์ท กล่าวว่าคนรุ่นใหม่เป็นพลังขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและอนาคตของการสืบสานมิตรภาพ จึงหวังว่านี่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ของจีนและไทย ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ทางวัฒนธรรมของกันและกัน

อนึ่ง วันที่ 1 ก.ค. ถือเป็นวันครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย

ตั้งแต่รูปปั้นหินที่เป็นอับเฉาถ่วงน้ำหนักเรือสินค้าเดินทะเลในอดีตกาลจนถึงอาร์ตทอยจีนสุดฮิตที่ห้อยแขวนบนกระเป๋าสะพายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน ชาวจีนและชาวไทยต่างทำความรู้จักและสนิทสนมกันผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

พินิจทิ้งท้ายว่ารากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายแสดงให้เห็นว่า "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและประชาชนจึงใกล้ชิดกัน โดยความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยจะใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นด้วยความพยายามร่วมสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

ทหารไทยเปิดด่านตี 3 รับผู้ป่วยกัมพูชา เส้นเลือดในสมองแตก!! เร่งส่งตัวรักษาในไทย

(1 ก.ค. 68) เมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธินจันทบุรี โดยกองร้อยที่ 524 (บ้านแหลม) เร่งเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยหญิงชาวกัมพูชา อายุ 36 ปี ที่มีอาการเส้นเลือดในสมองแตก บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หลังได้รับการประสานจากฝ่ายกัมพูชาให้ช่วยส่งตัวไปรักษาในประเทศไทย

การช่วยเหลือดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยมีญาติผู้ป่วยร่วมเดินทางมาอีก 4 คน เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้อำนวยความสะดวก ณ จุดควบคุมพรมแดน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนในตัวเมืองจันทบุรีได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

(1 มิ.ย. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (สส1) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับการสูญเสียของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความเสียหายหลายพื้นที่ในราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างได้ถล่มลงมา ในขณะเกิดเหตุยังมีเจ้าหน้าที่ บุคคลากรที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายปฏิบัติงานอยู่ จึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้สูญหาย และผู้เสียชีวิตหลายราย หลังมีการรายงานเหตุอาคารถล่ม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ        ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เร่งรุดเข้าพื้นที่เกิดเหตุเพื่อปฏิบัติงานช่วยเหลือสนับสนุนในทันที พร้อมสั่งการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาขึ้น 

ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตั้งอยู่ที่สถาบันนิติเวชวิทยา ประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ     ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ , กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ , กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และกลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ มีภารกิจเป็นศูนย์อำนวยการและสั่งการในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การชันสูตรพลิกศพ การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การจัดการศพ การติดตามผู้สูญหายและการส่งกลับ รวมทั้งประสานการปฏิบัติกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถส่งกลับคืนศพให้กับญาติผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมกันนี้ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ ยังได้ร่วมบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายใต้สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานราชการอื่น อาทิ พนักงานสอบสวนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย , กรมการปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ถือสัญชาติไทย ,สำนักงานเขตจตุจักรและสำนักงานเขตปทุมวัน เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการออกใบมรณบัตร ณ ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ เป็นต้น

ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลตามมาตรฐานสากล สามารถกระทำได้หลัก ๆ 3 วิธี คือ การตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรม (DNA) , การตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ และการตรวจข้อมูลทันตกรรม ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ถูกนำมาใช้ร่วมกันในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ในศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ โดยการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ในการตรวจสารพันธุกรรมจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลสารพันธุกรรมจากศพหรือชิ้นส่วนศพ และข้อมูลสารพันธุกรรมจากญาติร่วมสายโลหิต เพื่อตรวจเปรียบเทียบกับศพหรือชิ้นส่วนศพ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนประสานความร่วมมือกับศูนย์พิสูจน์หลักฐานจังหวัดในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกแก่ญาติผู้เสียชีวิตในการเก็บสารพันธุกรรม และจัดส่งตัวอย่างสารพันธุกรรมมาตรวจเปรียบเทียบที่สถาบันนิติเวชวิทยา โดยที่ญาติไม่ต้องเดินทางมาที่สถาบันนิติเวชวิทยาด้วยตัวเอง อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ลดเวลาในการเดินทางของญาติ

จากระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 จนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลการปฏิบัติงาน มีดังนี้

1. รายงานศพและชิ้นส่วนศพที่รับเข้าระบบนิติเวชวิทยาเพื่อพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล แบ่งเป็น ศพ จำนวน 80 ราย และชิ้นส่วนศพ จำนวน 316 ชิ้น

2. DNA ที่เก็บจากญาติของผู้เสียชีวิต/ผู้สูญหายเพื่อตรวจเปรียบเทียบ จำนวน 95 ราย

3. ผลการยืนยันตัวบุคคลจากการตรวจเปรียบเทียบ DNA และลายนิ้วมือ สามารถยืนยันตัวบุคคลและส่งให้ญาติแล้ว จำนวน 93 ราย เหลือไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ จำนวน 2 ราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทุกนาย เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเท อุตสาหะ ในการดำเนินงานเพื่อประชาชน ขอขอบคุณหน่วยงานจากทุกภาคส่วนที่ร่วมกันบูรณาการเพื่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติผู้ได้รับความสูญเสีย พร้อมนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอปิดศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตั้งแต่บัดนี้

กอ.รมน. เดินหน้าขับเคลื่อนงานมวลชนจับมือ ทรภ.1 ศรชล.ภาค 1 กปช.จต. และมวลชน เสริมแนวร่วมความมั่นคงชายฝั่งทะเลตะวันออก

กอ.รมน. โดย พลตรี ธนาธิป สว่างแสง รองผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กอ.รมน. พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ภาคตะวันออก และหารือแนวทางการขับเคลื่อนงานมวลชนร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงทางทะเล

การประชุมในครั้งนี้ มีหน่วยงานเข้าร่วม ได้แก่ ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1), ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค1 (ศรชล.ภาค1), กองบัญชาการกองพลนาวิกโยธิน, กองกำลังป้องกันชายแดน จังหวัดจันทบุรี -ตราด (กปช.จต), กอ.รมน. จังหวัดชลบุรี ,กอ.รมน. จังหวัดระยอง  และผู้แทนมวลชน โดยมุ่งเน้นการบูรณาการด้านความมั่นคง เสริมสร้างและขยายเครือข่ายมวลชนในพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่ประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่นในการดูแลผลประโยชน์ของชาติทั้งทางบกและทางทะเล

ในที่ประชุม ยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในพื้นที่โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ (พมพ.) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยการส่งเสริมเครือข่ายภาคประชาชนให้ร่วมมือกับภาครัฐในการแจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงและภัยคุกคาม

นอกจากนี้ ได้มีการรายงานผลการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ทรภ.1, ศรชล.ภาค 1 และมวลชน ทสปช. โดยเฉพาะการลักลอบขนยาเสพติด การขนถ่ายน้ำมันโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมเรือผิดกฎหมายได้หลายลำ พร้อมของกลางน้ำมันกว่า 2 ล้านลิตร และผู้ต้องหาหลายสิบรายในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ อาทิ ปากแม่น้ำประแสร์ จ.ระยอง, ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ, เกาะสีชัง จ.ชลบุรี และชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรี

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา จาก ทรภ.1, ศรชล.ภาค 1, และ กปช.จต. แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์และแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล ในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน ควบคุมและป้องกันการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ พร้อมทั้งรักษาอธิปไตยของชาติ โดยใช้กลไกสันติวิธีควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย ความสัมพันธ์อันดี และผลประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ชายแดน

จากความร่วมมือระหว่าง กอ.รมน., ทรภ.1, ศรชล.ภาค 1 , กปช.จต. และภาคประชาชนในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเสริมสร้างเครือข่ายมวลชน และการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อร่วมกันเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหาความมั่นคงในทุกมิติ อันจะนำไปสู่การธำรงไว้ซึ่งอธิปไตย ความสงบเรียบร้อย และผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

นายกฯ เปิดผลสอบ ตึกสตง.ถล่ม หลังครบ 90 วัน ชี้ผิดทั้งออกแบบ-วิธีก่อสร้าง เล็งชงดีเอสไอ-ตร.ฟันคนผิด

(30 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีเขียว ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคารที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพิศุทธ์ สุขุม วิศวกรใหญ่กรมโยธาและผังเมือง นายนิเวศน์ ล้ำเลิศลักษณชัย ผอ.สำนักวิศวกรรมโครงสร้างและงานระบบ นายธนิต ใจสอาด ผอ.สำนักควบคุมและตรวจสอบอาคาร ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย รศ.ดร.บุญไชย สถิตมั่นในธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรศ.อเนก ศิริพานิชกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย  เข้าร่วมประชุม

จากนั้นเวลา 12.15 น. นายกฯ แถลงว่า จากการประชุมเนื่องจากเหตุการณ์พังถล่มของอาคาร สตง. ที่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 เราได้รับความร่วมมือจากกรมโยธาธิการและผังเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเอกภาพ โดยจากทุกสถาบันมีข้อมูลที่สอดคล้องกันดังนี้ 1. พบว่ามีการบกพร่องในการออกแบบและวิธีการก่อสร้าง โดยเฉพาะเทคนิคในการก่อสร้าง ในส่วนของผนังช่องลิฟท์ ผนังบันไดหรือที่เรียกว่า ผนังรับแรงเฉือน เป็นสิ่งที่เกิดปัญหา

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของวัสดุไม่ว่าจะเหล็กหรือคอนกรีตเป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การนำมาใช้ในโครงการนี้และเกิดปัญหา เป็นเรื่องของคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐานและวิธีการสร้างของโครงการนี้ที่มีปัญหา ก็เป็นสิ่งที่หลายภาคส่วนมีความกังวล อาคารอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ได้รับรายงานมา มีการก่อสร้างหลายๆ จุดที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายทั้งการออกแบบและการก่อสร้าง ทั้งในการวิจัยออกมาและมีการทำจำลองตัวตึก ระบุว่าถ้าปฏิบัติตามกฎหมายจะสร้างความแข็งแรงให้ตึกเพิ่มมากขึ้นและจะสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่านี้แน่นอน โดยเราใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นในการดำเนินการ

นายกฯ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าโครงการอื่น ๆ ได้มีการตรวจสอบในด้านวัสดุก่อสร้าง อย่างเคร่งครัดไม่ได้มีปัญหาใด ๆ และอยากให้ประชาชนสบายใจในเรื่องนี้ ต่อจากนี้เราก็จะนำข้อมูลที่ได้ทำเป็นรูปเล่มให้เสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ และส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อ ทั้งนี้ขอตอบปัญหาประชาชนเบื้องต้นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากการออกแบบและการก่อสร้างของโครงการนี้ที่มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย

เมื่อถามว่า สรุปได้หรือยังว่าความเสียหายอาคาร สตง. ถล่มใครจะเป็นคนรับผิดชอบ นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการออกแบบและโครงสร้างการก่อสร้างที่มีปัญหา เรื่องที่ว่าใครผิดหรือไม่ ต้องให้ตำรวจทำงานร่วมกับดีเอสไอเป็นคน ซึ่งเราทราบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ใครที่ไม่เกี่ยวข้องหรือว่าอย่างไรก็ว่าไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการ

เมื่อมาถามว่า ตัวเหล็กไม่มีปัญหาแต่มีปัญหาที่คอนกรีตใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตัวเหล็กไม่มีปัญหาอะไร แต่มีปัญหาพวกวัสดุอื่น ๆ ซึ่งเอามาไม่ผิด แต่พอมาสร้างในโครงการนี้มีการเฉือนให้บางลงซึ่งไม่เป็นไปตามกฎ ตอนแรกตนก็กังวลใจในเรื่องของที่ไม่มีคุณภาพกับโครงการอื่น แต่เป็นการมาบิดในโครงการนี้

เมื่อถามว่า ถ้าปัญหาเป็นเรื่องของการออกแบบ ทาง สตง.ที่เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องให้ทางดีเอสไอกับตำรวจช่วยดูว่าอย่างไรบ้าง ใครต้องรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งเราได้ให้ทางผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี 90 วัน ในการหาสาเหตุของแผ่นดินไหว และยื่นข้อมูลให้ดีเอสไอกับตำรวจดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่า น้ำหนักที่จะเอาผิดอยู่ที่ผู้ออกแบบและผู้ที่ทำเรื่องของโครงสร้างใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่ข้อมูลที่ออกไปคนก็จะมองต่างมุมว่า แบบไหนผิดหรือถูก ฉะนั้นก็อยากให้เป็นไปตามกระบวนการที่เป็นกลางมากที่สุด ทำแบบนี้ใครผิด ซึ่งก็ไม่ได้มีหน้าที่ว่าใครชี้ว่าใครผิด แต่ตอนนี้ทราบว่าดำเนินการผิดกฎหมาย

เมื่อถามว่า กระบวนการการตรวจสอบ สตง. จะไม่เงียบ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เงียบแน่นอนเดี๋ยวอีก 2 สัปดาห์ก็จะมีรายงานที่เป็นรูปเล่ม และส่งให้ดีเอสไอกับตำรวจทำงานต่อ และเรารู้ว่าประชาชนไม่ได้ลืม และรออยู่ว่าตึกสตง. ถล่มเกิดขึ้นจากคืออะไร จริงวันนี้เราได้คำตอบแล้วและดีมาก ๆ หลังจากนั้นก็ให้ว่าไปตามกระบวนการ

สมาคมคนพิการภาคตะวันออก ผนึกกำลัง ขับเคลื่อน “โครงการฝึกงานมาตรา 35” ส่งเสริมอาชีพคนพิการอย่างยั่งยืน

(27 มิ.ย. 68) ณ ศูนย์การเรียนรู้เย็บผ้า จังหวัดบุรีรัมย์ ดร.ณรงค์ ไปวันเสาร์ นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ได้เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฝึกงานตามมาตรา 35 หลักสูตรช่างตัดเย็บเสื้อผ้าระดับต้น 600 ชั่วโมง” โดยมีผู้บริหารจากบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด บริษัทในเครือ ปตท. นำโดย นายจตุรงค์ วงษ์อุดมสิน เข้าร่วมในพิธี พร้อมด้วย นายอุทัย จิตสัตย์ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายจังหวัดบุรีรัมย์ ประธานชมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญา หน่วยงานราชการในพื้นที่ และกลุ่มผู้พิการที่เข้าร่วมโครงการให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรคนพิการในพื้นที่ ชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญา ตลอดจนหน่วยงานท้องถิ่น ที่ร่วมกันดำเนินงานตามแนวทางของสมาคมคนพิการภาคตะวันออก โดยมีบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด (ในเครือ ปตท.) เป็นผู้สนับสนุนหลัก ทั้งด้านงบประมาณและการผลักดันให้เกิดโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.ณรงค์ ได้กล่าวว่า โครงการฝึกงานมาตรา 35 ดังกล่าว เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องของสมาคมฯ ที่ดำเนินการร่วมกับองค์กรคนพิการใน 6 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ นครราชสีมา อ่างทอง หนองบัวลำภู ขอนแก่น และสกลนคร โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนหลายแห่ง อาทิ บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด (สถานีบริการน้ำมัน PT), บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด
ปัจจุบัน แม้คนพิการจำนวนมากจะได้รับโอกาสในการทำงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พ.ศ. 2550 (และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2556) โดยเฉพาะในมาตรา 33 แต่ยังมีคนพิการอีกเป็นจำนวนมากที่ยังว่างงาน ขาดโอกาสทางการศึกษา หรือไม่สามารถเดินทางไปทำงานนอกบ้านได้ ด้วยภาระหรือข้อจำกัดทางร่างกาย โครงการฝึกงานตามมาตรา 35 จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่จะช่วยให้คนพิการเหล่านี้ได้เข้าถึงทักษะอาชีพ มีรายได้ และสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง

หลักสูตรช่างตัดเย็บเสื้อผ้าระดับต้น 600 ชั่วโมง ที่จัดขึ้นนี้ มีระยะเวลาฝึกอบรม 6 เดือน โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 330 บาท พร้อมอาหารหลัก 3 มื้อ และอาหารว่าง 2 มื้อตลอดการฝึก เมื่อจบหลักสูตร ผู้ฝึกจะได้รับ “จักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมและชุดเครื่องมือ” เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพอิสระต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านซ่อมผ้า ปะ เปลี่ยนซิป หรือเย็บเสื้อผ้าในชุมชนของตนเอง โครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างทักษะอาชีพ แต่ยังสร้างความหวัง ความภูมิใจ และศักดิ์ศรีให้กับกลุ่มคนพิการ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ร่วมกับองค์กรคนพิการระดับจังหวัด ภาครัฐ และภาคธุรกิจ ที่ร่วมกันส่งเสริมและผลักดันให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
ในตอนท้าย ดร.ณรงค์ ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนโครงการ ทั้งในด้านทุนทรัพย์ อุปกรณ์ ตลอดจนการส่งเสริมตามมาตรา 33, 34 และ 35 ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชิญชวนบริษัทหรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมสนับสนุนโครงการในลักษณะนี้ ติดต่อได้ที่
สมาคมคนพิการภาคตะวันออก โทร. 08-1669-1111

เว็บไซต์: www.ead.or.th
อีเมล: [email protected]


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top