Tuesday, 13 May 2025
ECONBIZ

‘รมว.อุตฯ’ ดัน 5 วาระด่วน ชวน ‘อุตฯ ไทย’ รักษ์โลก เชื่อมการค้านานาชาติ หลังทุก ปท.มุ่งสู่อุตฯ สีเขียว

‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม’ เดินหน้านโยบายเร่งด่วนยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกขนาด ผ่านแนวคิด ‘อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ’ ที่ ‘เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน’ ปรับโหมดยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อลดโลกร้อนและสอดรับกับ BCG Model (บีซีจี โมเดล) เพื่อก้าวสู่บริบทการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เข้มมาตรฐานการผลิต ใช้เทคโนโลยี อำนวยความสะดวกเพิ่มการติดตาม ด้านสิ่งแวดล้อม เปิดทางให้ชุมชนมีส่วนร่วม มุ่งขับเคลื่อนภาคการผลิต เติบโตแบบยั่งยืน

(2 ต.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายเร่งด่วนให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมพัฒนาผู้ประกอบการทุกขนาดยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืนโดยนำแนวคิด ‘อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ’ ที่ ‘เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน’ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่ไทยวางเป้าหมายสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ปีค.ศ. 2065 และสอดคล้องกับนโยบาย BCG Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการเกิดของเสียโดยจัดการใช้ทรัพยากรภายในสถานประกอบการให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

“กระทรวงอุตสาหกรรมต้องมีบทบาทเป็นหน่วยงานส่งเสริมแทนการกำกับดูแลที่เน้นให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดให้มากขึ้นด้วย เพื่อให้โรงงานมีความคล่องตัวในการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีความทันสมัย มีต้นทุนแข่งขันได้ ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยยึดหลัก อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นไปแบบยั่งยืนที่แท้จริง” รมว.อุตสาหกรรมกล่าว

ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทำให้ประเทศพัฒนาแล้วกำหนดมาตรการต่างๆ ในการลดภาวะโลกร้อนที่ทำให้มีระเบียบ ข้อบังคับสำหรับการนำเข้าสินค้าที่เป็นลักษณะกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งยกระดับผู้ประกอบการผ่านกลไกต่างๆ ที่จะทำให้การดูแลสิ่งแวดล้อมไม่เป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด 

ดังนั้นวาระเร่งด่วนจึงให้ความสำคัญดังนี้…

1. มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่รองรับบริบทการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การใช้พลังงานสะอาดและการลดการใช้ฟอสซิล อุตสาหกรรม Soft power ฯลฯ

2. การผลักดันให้หน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็นภาครัฐดิจิทัล (Digital Government) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นกลไกในการให้บริการ การขออนุมัติ/อนุญาต และบูรณาการการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบ One Stop Service เพื่อเป็นกลไกในการกำกับดูแลโรงงาน เหมืองแร่ และมาตรฐานอย่างจริงจัง

3. เร่งแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ อากาศ และกากของเสีย โดยกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษในพื้นที่อุตสาหกรรมหนาแน่นให้เข้มงวดขึ้น การรวมพลังของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับผู้ประกอบการในการกำกับดูแลแม่น้ำลำคลอง การทิ้งกากอุตสาหกรรม และมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบการต่างๆ

4. กำหนดมาตรการแก้ไขฝุ่นมลพิษ PM 2.5 โดยการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การยกระดับการบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษไปสู่มาตรฐาน EURO 6 ในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป การกำกับการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศจากโรงงานอย่างเข้มงวด การส่งเสริมมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ดูแลพื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ไม่มีการลักลอบเผา ตลอดทั้งการช่วยเหลือโรงงานน้ำตาลที่ไม่รับอ้อยลักลอบเผา

5. ขยายการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยใช้แนวทางของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ EEC ในภูมิภาคต่างๆ โดยเน้นการใช้พลังงานสะอาด และมาตรการลดราคาที่ดินและบริการเพื่อเป็นกลไกดึงดูดการลงทุนรายใหม่ 

ปตท. มอบใบประกาศฯ หลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน รุ่น 9 เพื่อเตรียมพร้อมชุมชนเข้าสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรผู้สำเร็จหลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน (พพช.) รุ่นที่ 9 พร้อมมอบรางวัลโครงงานเชิงปฏิบัติการดีเด่น และบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘พลังงานชุมชนกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ร่วมแสดงความยินดีและมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สำเร็จหลักสูตรฯ จำนวน 58 คน ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ 

ปตท. จัดทำหลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน เพื่อสร้างการพึ่งพาตนเองทางด้านพลังงานทดแทนให้แก่ชุมชน ตั้งแต่ปี 2558 โดยในปีนี้ได้เพิ่มเนื้อหาด้านนวัตกรรมพลังงานที่สามารถนำไปพัฒนาและใช้งานได้จริง เพิ่มเนื้อหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมุ่งเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อเตรียมพร้อมชุมชนเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมจนจบหลักสูตรทั้งสิ้น ประมาณ 505 คน

‘กรมประมง’ ชวนเจ้าของเรือโหลดแอปพลิเคชัน ‘Fisheries Touch’ ชี้ สามารถติดตามเรือได้ทุกที่ทุกเวลา ล่าสุดเข้าระบบแล้ว 3,000 ลำ

(2 ต.ค. 66) นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาชื่อว่า Fisheries Touch ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่กรมประมงทำขึ้นเพื่อให้ชาวประมงใช้สำหรับติดตามแสดงตำแหน่ง ทิศทาง ความเร็ว และสถานะของเรือได้อย่าง Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง บนแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ทางทะเลก่อนเข้าเขตห้ามทำการประมงต่าง ๆ

เช่น เขตทะเลชายฝั่ง เขตปิดอ่าว เขตอุทยานแห่งชาติ และเขตน่านน้ำประชิดประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ระบบจะแสดงแนวกันชน (Buffer Zone) หรือแนวแจ้งเตือนในระยะ 0.5 ไมล์ทะเลด้านนอกของเขตที่ห้ามทำการประมงดังที่กล่าวมา

โดยชาวประมงสามารถเรียกดูเส้นทางการเดินเรือของตัวเองในตลอดเวลาย้อนหลังได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ หากชาวประมงที่มีเรือในกรรมสิทธิ์อยู่หลายลำ และมีการติดตั้งระบบติดตามเรือประมงกับบริษัทผู้ให้บริการต่างบริษัทกัน ก็สามารถดูเรือทุกลำภายในบัญชีผู้ใช้งานเดียวกันได้ ช่วยให้ชาวประมงสามารถติดตามเรือของตนเองผ่านทางออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา

และสามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ควบคุมเรือเพื่อแก้ไขปัญหาความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดการทำประมงผิดกฎหมายได้อีกด้วย ถือเป็นการลดการกระทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อย่างมากซึ่งสอดรับกับนโยบายรัฐบาล

ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ที่พยายามผลักดันการฟื้นฟูชีวิตอุตสาหกรรมประมงให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ ด้วยการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคในการทำการประมง

สำหรับปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2566) มีเรือประมงที่ได้เข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Fisheries Touch จำนวน 3,323 ลำ จากเรือประมงที่ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือทั้งหมด 5,082 ลำ และมีเรือที่ยังไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวนี้อีกมากถึงจำนวน 1,759 ลำ ประกอบกับในห้วงที่ผ่านมา กรมประมงพบว่ามีการรายงานข้อมูลที่มีชาวประมงมีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าไปทำการประมงในเขตห้ามทำการประมงต่าง ๆ

ดังนั้น กรมประมงจึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เรือประมงที่ยังไม่ได้เข้าใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวให้ดาวน์โหลดและลงทะเบียนเข้าใช้งาน เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน Fisheries Touch สามารถใช้งานบน Smart Phone ทั้งระบบ IOS ของ iPhone และ iPad ที่ใช้ Version IOS ขั้นต่ำ 5.0 และระบบ Android ของ Smart Phone และ Tablet ใช้ Version ขั้นต่ำ 4.0.3 ซึ่งใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว โดยชาวประมงสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ App Store หรือ Play Store และติดต่อขอรหัสใช้งานได้ที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ VMS โทร. 0-2561-3132, 0-2561-2296, 0-2561-2297 หรือทาง Line ID : @114velss

‘พาณิชย์’ ดึงเอกชน จัดมหกรรมลดราคาสินค้า 1.5 แสนรายการ หวังช่วยลดค่าครองชีพ ปชช. - กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมขยายตัว

(2 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า พาณิชย์ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกโมเดิร์นเทรดทั้งในส่วนกลางและผู้ประกอบการห้างท้องถิ่นผู้จัดจำหน่ายสินค้า 288 ราย เตรียมจัดมหกรรมลดราคาสินค้า 151,676 รายการ สูงสุด 87% เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์มองว่าการลดราคาสินค้าครั้งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมขยายตัวได้ถึง 5%

สำหรับสินค้าที่จะนำมาร่วมลดราคา ประกอบด้วยสินค้า 3 กลุ่ม คือสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ อาหารและเครื่องดื่ม 3,058 รายการ ลดราคาสูงสุด 87% สินค้าของใช้ประจำวัน 8,290 รายการ ลดราคาสูงสุด 80% สินค้าวัสดุทางการเกษตร 198 รายการ ราคาสูงสุด 40% กลุ่มบริการ ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวกับยานยนต์ 123 รายการ ราคาสูงสุด 50% บริการทางการแพทย์ 140,000 รายการ ลดราคาสูงสุด 20% บริการเกี่ยวกับผ้าขนส่ง 7 รายการ ลดราคาสูงสุด 9%

และกลุ่มสินค้าแพลตฟอร์มออนไลน์แบ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ด้านอาหารหรือ food delivery ลดสูงสุด 60% และแพลตฟอร์มออนไลน์อีคอมเมิร์ซลดสูงสุด 80% และแต่ละแพลตฟอร์มแจกโค้ดส่วนลดใช้สั่งอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์ รวม 1,012,000 รายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“จากการหารือกับผู้ประกอบการกระทรวงพาณิชย์จะมีนโยบายใช้มาตรการในการสร้างสมดุลในการดูแลราคาสินค้า ทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ก็คือจะหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย หากผู้ประกอบการรายใดที่เข้ามาช่วยลดราคาแล้วประสบปัญหาเรื่องกฎระเบียบที่ค้างคาหรือมีอะไรติดขัดก็ให้อธิบดีกรมการค้าภายในนัดหารือ”

สำหรับต้นทุนการผลิตสินค้าโดยเฉพาะการปรับลดราคาพลังงานทั้งน้ำมันและไฟฟ้ามีผลกับต้นทุนการผลิตสินค้าลดลงไม่มาก มันปรับลดราคาครั้งนี้จะมีส่วนเสริมช่วยให้ห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้นเศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายและในที่สุดทุกคนก็จะดีขึ้น

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การลดราคาเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายในส่วนของผู้บริโภค ประชาชนได้รับอานิสงส์ยังไม่เห็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญ

ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อในไตรมาส 4 จะมีการประเมินหลังจากนี้เพราะจำนวนสินค้าที่นำมาลดราคาครั้งนี้ในคิดเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ของรายการสินค้าทั้งหมด น่าจะมีผลตั้งแต่เดือนถัดไป

นายกองเอก เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่าในส่วนของสินค้าปุ๋ยมีการปรับลดราคา 8% ซึ่งภาคเอกชนมองว่าการลดราคาจะช่วยให้ภาพรวมของเศรษฐกิจดีขึ้น ช่วยดูแลในเรื่องของปัญหาอุปสรรคของภาคเอกชนด้วยนับว่าเป็นรัฐบาลแรกจากที่ผมอยู่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตมามากซองละ 7 บาทประกอบไปด้วยต้นทุนหลายอย่างทั้งแป้งสาลีน้ำมันปาล์มค่าเดินทางค่าไฟค่าคนค่าห้างสรรพสินค้า แต่ทางมาม่าก็พร้อมที่จะลดราคาเพราะหากทุกฝ่ายช่วยกันลดก็ทำให้ต้นทุนโดยเฉลี่ยลดลงได้

กำลังซื้อในช่วงหลังเลือกตั้งชะลอตัวแต่คาดว่า 3 เดือนหลังจากนี้เมื่อมีการออกมาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆก็จะช่วยให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ส่วนการขึ้นค่าแรงมองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่จะส่งผลดีกับแรงงานที่จะมีรายได้มากขึ้น และจะทำให้มีการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตข้าวถุงไทย เผยว่ากลุ่มผู้ประกอบการเข้าถุงมีการปรับลดราคาประมาณ 20-30% ในส่วนของข้าวหอมมะลิซึ่งมองว่าผลผลิตในปีนี้น่าจะได้รับผลดีจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมาก ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่ชอบน้ำแต่ในส่วนของข้าวขาวก็ยังต้องรอดูประเมินสถานการณ์อีกระยะหนึ่งเพราะว่ามีการสั่งซื้อเข้ามามาก อย่างไรก็ตาม มองว่าเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ 8 ล้านตันสามารถทำได้

สำหรับผู้ประกอบการ 288 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิตสินค้า ของกินของใช้จำเป็น รวม 88 ราย ผู้จำหน่าย ทั้งห้างโมเดิร์นเทรด ห้างท้องถิ่น และห้างขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง รวม 83 ราย ผู้ให้บริการ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์บริการรถยนต์ และบริษัทขนส่งสินค้า/พัสดุ รวม 110 ราย แพลตฟอร์ม 7 ราย

‘เมเจอร์’ รุกตลาดขนมขบเคี้ยว เสิร์ฟแบรนด์ ‘POPCORN’ ส่งขาย 7-11 พร้อมดึง ‘Three Man Down’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

(2 ต.ค.66) นายวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของธุรกิจป๊อปคอร์น ในแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ โดยวางจำหน่ายใน Modern Trade ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากถึง 14,000 สาขา

โดยการวางจำหน่ายป๊อปคอร์นผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งได้พัฒนาจากป๊อปคอร์นโรงหนังซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ความอร่อยไม่เหมือนใคร ในรูปแบบซองสูญญากาศที่เก็บรสชาติความหอม กรอบ อร่อยได้ทุกที่ทุกเวลา มีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ รสชีส, รสคลาสสิก และรสข้าวโพดปิ้ง ซึ่งมาในรูปแบบซองสีสันสดใสขนาด 35 กรัม จำหน่ายราคาซองละ 28 บาท โดยได้เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘POPCORN MAJOR’ ในร้านสะดวกซื้อครั้งนี้ ถือเป็นการรุกตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ค) อย่างเต็มตัว โดยเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์วงป๊อปร็อกรุ่นใหม่ ‘Three Man Down’ ตัวแทนที่จะมาถ่ายทอดความอร่อยโพด ๆ ของ ‘POPCORN MAJOR’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z อายุ 10-25 ปี มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มีแผนที่จะขยายช่องทางการขาย ‘POPCORN MAJOR’ ไปยังช่องทางอื่น ๆ ให้เลือกซื้อได้ที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่ โมเดิร์น เทรด อาทิ โลตัส, บิ๊กซี, วิลล่า มาร์เก็ท, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, โฮม เฟรช มาร์ท, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์ มาร์เก็ต เป็นต้น

“ซึ่งการนำป๊อปคอร์นโรงหนังเข้าสู่ตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ค) จะช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ชอบกินป๊อปคอร์น เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจป๊อปคอร์น และยังเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้นอกจากแตกไลน์สินค้าสู่สแน็ค บริษัทมีแผนที่จะเดินหน้าเปิดคีออสเพิ่มอีกกว่า 40 สาขา และดีลิเวอรี่ยังคงเดินลุยขายต่อเนื่อง” นายวิศรุต กล่าว

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นทำเงินให้เมเจอร์ฯ ราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2566 ตั้งเป้าโตแตะ 2,400 ล้านบาท

‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ใช้ซื้อตั๋ว ‘นครชัยแอร์’ ได้ทุกเที่ยวทุกเส้น ใช้สิทธิ์ได้ตามวงเงิน เฉพาะหน้าเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเท่านั้น

(2 ต.ค.66) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อตั๋วโดยสารนครชัยแอร์ได้ทุกเส้นทาง ใช้สิทธิ์ได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วนครชัยแอร์ เท่านั้น  สามารถใช้ได้ตามวงเงินที่กรมบัญชีกลางกำหนดจำนวน 750 บาท ในแต่ละเดือน

ไทม์ไลน์เงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบัตรคนจนเดือนตุลาคม 2566

>> วันที่ 1 ตุลาคม 2566
วงเงินซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค ได้คนละ 300 บาทต่อเดือน
วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อเดือนประกอบด้วย บขส. รถไฟ ขสมก. รถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) และนครชัยแอร์
วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อ 3 เดือน

>> วันที่ 20 ตุลาคม 2566
เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาท โดยจะต้องเป็นผู้พิการที่อายุ 18 ปีขึ้นไป มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และได้รับสิทธิสวัสดิการรอบใหม่ โดยต้องยืนยันตัวตนกับธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรก่อน จึงจะได้รับสิทธิ แบ่งจ่าย ดังนี้
เงินผู้พิการ 800 บาท : โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเหมือนเดิม ทุกวันที่ 10 ของเดือน.

'บาร์บีคิวพลาซ่า' ปรับเมนูภาษาเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ แง้ม!! ยอดขายยังตามเป้า มั่นทั้งปีขอ 3,800 ล้านบาท

(2 ต.ค.66) นายรัฐ ตระกูลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของร้านปิ้งย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดเผยว่า ในขณะนี้ การแข่งขันในธุรกิจปิ้งย่าง มีการแข่งขันสูง และ ลูกค้ามีทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น แต่ในส่วนของยอดขายของ บาบีคิว พลาซ่า เองก็ยังไม่ตกลง และตัวเลขยอดขายล่าสุดก็อยู่ที่ 1,700 - 1,800 ล้านบาท ซึ่งยังมั่นใจว่า ยอดขายที่วางไว้ทั้งปีที่ 3,800 ล้านบาท จะทำได้ตามเป้าหมาย แต่ยังมีในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี่ ที่มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หลังจากหมดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทก็มีการปรับตัวในการออกแบบสินค้าใหม่ ในหมวดอาหารพร้อมทานมากขึ้น เพราะตกกับความต้องการของลูกค้ามากกว่า

“ธุรกิจปิ้งย่างมีคู่แข่งใหม่เกิดขึ้นมามาก และก็เป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งเขาจะไปทดลอง แต่สำหรับแบรนด์เก่าแก่อย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า อย่างบาบีคิว พลาซ่า ถือว่า เป็น คอมฟอร์ดโซนของลูกค้า ซึ่งเขาก็จะกลับมาใช้บริการเราเสมอ และทางบริษัทก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการออกสินค้าใหม่ๆ ทั้งเรื่องของ หมาล่า หรือเมนูหมูกระทะ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีจากลูกค้า” นายรัฐ กล่าว

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการขายผ่านสาขา ทางบริษัทก็ยังให้ความสำคัญเหมือนเดิม และในปีนี้ ก็ยังมีการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยในปี 66 มีการขยายเพิ่มอีก 5 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้จะมีสาขาของ บาบีคิว พลาซ่า ถึง 146 สาขา

พร้อมกันนี้ในแง่ของการให้บริการ บริษัทก็คำนึงถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่สนใจอยากจะลิ้มลอง อาหารสไตล์ปิ้งย่างแบบไทยๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน หลังไทยเปิดฟรีวีซ่า โดยตอนนี้ทางบริษัทก็มีการปรับในส่วนของเมนูอาหาร ที่มีทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ในการเพิ่มการให้บริการ

“ตอนนี้สาขาตามแหล่งท่องเที่ยว ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาทานอาหารและใช้บริการพอสมควร ดังนั้นบริษัทจึงมีการปรับตัว รับกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น และส่วนตัวเห็นด้วยหากจะมีการสนับสนุน อาหารปิ้งย่าง หมูกระทะ เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของไทย เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว” นายรัฐ กล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมทุ่ม 5.6 แสนลบ. เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้น ศก.หมุนเวียนในชุมชน ย้ำ!! พร้อมใช้งานภายใน ก.พ. 67

(2 ต.ค. 66) ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า การฟื้นฟูรายได้ รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 ด้วยการอัดฉีดเงิน 560,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นระดับชุมชน กระตุ้นอุปสงค์ ก่อนขับเคลื่อนอุปทาน สิ่งที่รัฐได้กลับมา คือ ภาษี ในระยะเวลา 6 เดือน ให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

“ไม่ต้องห่วงครับใช้ได้แน่นอนภายในเดินก.พ.นี้” นายเศรษฐา กล่าวและว่า สำหรับค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นจะขยับค่าแรงไปถึง 400 บาทต่อวันให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งถือเป็นก้าวแรก

‘อนุทิน’ ปลื้ม!! ‘OTOP Midyear 2023’ โกยรายได้ทะลุ 400 ล้าน ชวนซื้อของไทย-ใช้ของไทย หนุนเงินทองหมุนเวียนในประเทศ

(1 ต.ค. 66) ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย คุณสุภานัน นิราษิท ภริยา เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP ในงาน OTOP Midyear 2023 โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุลชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศิธร จันทมฤก อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วยผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมให้การต้อนรับและนำชม

นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรับงาน ‘OTOP Midyear 2023’ โดยตลอด 8 วันที่ผ่านมา ได้รับความเมตตาและการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนร่วมจับจ่ายใช้สอยและเลือกซื้อเลือกหาอุดหนุนสินค้าชุมชนของผู้ประกอบการ จนมียอดจำหน่ายสูงถึง 375 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 300 ล้านบาท คาดว่าก่อนปิดงานในช่วง 21.00 น.วันนี้ จะมียอดจำหน่ายไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท

ซึ่งการจัดงาน ‘OTOP Midyear 2023’ ในครั้งนี้ เป็นการกระตุ้นให้คนไทยเชื่อมั่นในสินค้าที่เกิดจากภูมิปัญญาพี่น้องประชาชน ไม่มีอะไรดีหรือประเสริฐไปกว่าคนไทยเราช่วยกัน เงินทองก็ไม่รั่วไหลไปไหน หมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ

“ผมกล้าการันตีว่า สินค้า OTOP นี้ดีกว่าสินค้าแบรนด์เนมแน่นอน ดีกว่า ทนกว่า คุ้มค่ากว่า เกิดประโยชน์ เกิดคุณค่ามากกว่า และในด้านการส่งเสริม Soft Power เรามีกรมการพัฒนาชุมชน มีทีมไปเสริมทักษะ เสริมเรื่องคุณค่า คุณภาพ มูลค่าเพิ่มให้กับพี่น้องประชาชน เราช่วยยกระดับทำให้สินค้าของไทยที่ทำด้วยคนไทย ได้รับการเสริมสร้างความรู้ให้เขารู้ว่าตลาดในประเทศและต่างประเทศ ณ เวลานี้เป็นยังไง ดังสโลแกน ‘ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที’ ที่สอดคล้องกับทุกสถานการณ์ ณ วันนี้เรามีผ้าไทยลายแบบไหนที่คนชื่นชมชื่นชอบ ออกแบบยังไง ใช้ยังไง ใช้วัสดุอะไร ใช้เส้นด้ายยังไงที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศคนไทย ใส่แล้วไม่ร้อน ไม่อึดอัด ดูแลรักษาง่าย เรามีกรมการพัฒนาชุมชนไปช่วยในเรื่องของการ สร้างเสริมการเรียนรู้ให้กับชาวบ้าน เพื่อทำให้สินค้า OTOP เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ได้รับความนิยมชมชอบในระดับสากล” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมอุดหนุน ร่วมให้กำลังใจ ผู้ประกอบการ OTOP ในงาน ‘OTOP Midyear 2023’ ที่มีร้านค้ามากกว่า 2,000 ร้าน ทั้งของกิน ของใช้ และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจากทั่วฟ้าเมืองไทย 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ในวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายยังมีของดีๆ อีกจำนวนมาก มีร้านอาหารโซน OTOP ชวนชิม ซึ่งโซนนี้ขอการันตีว่าของกินเด็ดๆ ที่ไม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินหรือขับรถยนต์ไปกินทั่วประเทศ ได้มารวมที่อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และวันนี้เอง พี่น้อง OTOP จะได้จำหน่ายสินค้าในลักษณะ ลด แลก แจก แถม โปรโมชั่นมากมาย โดยสามารถเดินทางมาเลือกซื้อสินค้า OTOP กันได้ถึงเวลา 21.00 น.วันนี้

โดยตลอดการเยี่ยมชมงาน นายอนุทินฯ ได้สาธิตตีขิม และเป่าขลุ่ย บริเวณโซนศิลปิน OTOP และเดินพบปะให้กำลังใจผู้ประกอบการ เลือกซื้อสินค้า พร้อมทั้งทักทาย และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาเที่ยวชมงานด้วยความเป็นกันเอง

‘นางสาวไทยปี 66’ ชื่นชมโครงการ ‘หยุดเผาเรารับซื้อ’ หวังเป็นจุดเริ่มต้นคืนอากาศบริสุทธิ์เชียงใหม่อย่างยั่งยืน

ผลพวงจากไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ หลาย ๆ กิจกรรมต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะภาคการศึกษาที่ต้องหยุดการเรียนการสอน หลาย ๆ ภาคส่วนพยายามที่จะรณรงค์เพื่อให้หยุดการเผาทำลายป่า

แต่ทว่า ไฟป่าก็ยังคงเกิดขึ้นทุกปี ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของทางจังหวัดเชียงใหม่ 

นางสาวชนนิกานต์ สุพิทยาพร นางสาวไทยประจำปี 2566 ในฐานชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด ได้สะท้อนมุมมองต่อปัญหาดังกล่าวว่า ในฐานะคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มาทั้งชีวิต และต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันและฝุ่นพิษมาทุกปี ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก ทั้งในแง่สุขภาพ และการเรียน เพราะในบางวันที่สถานการณ์รุนแรง จะต้องหยุดเรียน รวมถึงหยุดกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมด  

แน่นอนว่า เรื่องของหมอกควันหรือฝุ่น PM2.5 เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมกันแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุที่ไม่ใช่แค่ปลายเหตุ และในฐานะของอดีตนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยากสะท้อนให้เห็นปัญหาหลัก คือเรื่องของการศึกษา การที่ต้องหยุดเรียนทําให้เหมือนถูกลิดรอนสิทธิในการที่จะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกับคนจังหวัดอื่นๆ ที่ยังได้เรียนอยู่ตามปกติ 

เพราะฉะนั้น ต้องกลับมาอีกคิดกันใหม่ การแก้ไขปัญหาบางทีอาจจะไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงฝุ่น แต่ควรจะมาเริ่มจากการแก้ไขที่ต้นเหตุ ว่าจะทํายังไงให้ประชาชนหรือเกษตรกรหยุดการเผา หรือแม้กระทั่งการปลูกฝังจิตสํานึกให้กับเด็กรุ่นใหม่ว่า การหันกลับมาช่วยเหลือบ้านเมือง เป็นเรื่องสําคัญมาก

อย่างไรก็ดี จากการที่ภาครัฐและเอกชนได้รวมตัวเป็นภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมขจัด PM2.5และลดโลกร้อน ร่วมผลักโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ ด้วยการรับซื้อเศษตอซังข้าวโพดจากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปลี่ยนเศษซากทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล เชื่อว่า โครงการนี้จะช่วยลดการเผาป่าและจะช่วยคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับชาวเชียงใหม่ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่สำคัญ ที่หวังว่าจะทำให้เกษตรหยุดการเผาได้อย่างยั่งยืน

‘ททท.’ เร่งเครื่องดันซอฟต์พาวเวอร์ ส่ง ‘ซีรีส์วาย’ บุกตลาดญี่ปุ่น  กระตุ้น ‘นทท.ต่างชาติ’ ต้องเดินทางมาเยือนไทยสักครั้งในชีวิต

(1 ต.ค. 66) ถึงแม้ ยุทธศักดิ์ สุภสร จะอำลาตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตามวาระแล้ว แต่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันในทุกวินาทีจนพ้นตำแหน่งตามวาระ

โดยนำทีมเจ้าหน้าที่ ททท. พร้อมสื่อมวลชน บินไปนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ร่วมงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ ณ ศูนย์การค้า Abeno Q’s Mall ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้น เพื่อเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ปลุกพลังการท่องเที่ยวด้วย ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ของไทย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวเรือหลักในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทย ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ต้องเป็น ‘ททท.’ หน่วยงานหลักในการทำตลาดท่องเที่ยว ทั้งการประชาสัมพันธ์ กำหนดเป้าหมาย และวางกลยุทธ์เพื่อเดินหน้าไปตามเป้าหมายที่วางไว้

โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ให้กลับมาเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป

ททท.จึงเฟ้นหาจุดขายในการโปรโมตภาคการท่องเที่ยวไทย ดึงซอฟต์พาวเวอร์ 5F ได้แก่ Food-อาหาร, Film-ภาพยนตร์, ซีรีส์ Fashion-เครื่องแต่งกายร่วมสมัย, Festival-คอนเสิร์ต เฟสติวัล และ fight-ศิลปะการต่อสู้ของไทย

โดยเน้นเป็น Film-ภาพยนตร์ ซีรีส์ เนื่องจากเป็นซอฟต์เพาเวอร์ ที่สามารถแทรกซึมเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ผ่านการชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ที่ถือเป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบกลับมาวนใหม่ได้เรื่อยๆ

ความพิเศษอยู่ที่ประเทศไทยในขณะนี้ ภาพยนตร์หรือ ‘ซีรีส์วาย’ (ความรักระหว่างผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ) กำลังได้รับความนิยมสูงมาก สะท้อนได้จากซีรีส์วาย ที่เป็นซีรีส์ความรักระหว่างเพศเดียวกัน ทั้งชาย-ชายและหญิง-หญิง สามารถเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วงโควิด-19 โดยซีรีส์วายสามารถทำเงินได้กว่า 1,000 ล้านบาทจากทั่วโลกในช่วงโควิด มีฐานคนดูที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นธุรกิจใหม่คือ ‘วายอีโคโนมี’ หรือธุรกิจวาย ซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซีรีส์วายมีการผลิตอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ อัตราการผลิตซีรีส์วายเติบโตขึ้นกว่า 270% ถือว่ารวดเร็วมาก สะท้อนให้เห็นถึงฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงจากข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตซีรีส์วายของเอเชีย เป็นฮับที่หลายประเทศจับตามองมากที่สุด โดยซีรีส์วายไปบุกตลาดต่างประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ที่ซีรีส์วายไทยได้ฉายบนแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีสมาชิกนับร้อยล้านคน

จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ เมื่อวันที่ 21-23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่อดีตผู้ว่า ททท.นำคณะไปโอซากา พาชมงานด้วยตัวเอง โดยการจัดงานครั้งนี้ของ ททท. เพื่อต้องการส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านสินค้าและบริการของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากการจัดงาน 2 ครั้งที่ผ่านมา ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และนครบาร์เซโลนา ราชอาณาจักรสเปน

โดย ททท.มุ่งเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมาย (Meaningful Travel) อย่างต่อเนื่อง ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ไทย ให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์จริงอย่างใกล้ชิดกับบรรยากาศและกิจกรรมที่สนุกสนาน สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน เนื่องจากเมื่อมีการจัดงานแบบนี้ ททท.จะขนกิจกรรมพิเศษไปให้ผู้ร่วมงานได้ลองประสบการณ์สุดพิเศษด้วยตัวเอง อาทิ การสาธิตทำอาหารไทย แสดงศิลปะมวยไทย รวมถึงการเปิดตัวศิลปินดาราซีรีส์วายที่กำลังได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ ททท.ตั้งเป้าหมายทั้งปี 2566 จะต้องมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนคน เพื่อผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของทั้งปีนี้ อยู่ที่ 25-30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตรา 80% ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้ารายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาทให้ได้ หากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ (ตุลาคม-ธันวาคม) ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) มีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 3 ล้านคนต่อเดือน ก็น่าจะเห็นภาพถึงแนวโน้มดังกล่าวว่าเป็นไปได้ และหวังกระแสการเดินทางดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ซึ่งตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 35 ล้านคน ปูทางสู่ภารกิจสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2570 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 80 ล้านคน

ซึ่งหากประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-25 กันยายน 2566 รวมอยู่ที่ 19,499,116 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 815,597 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าเหลืออีกประมาณ 8-10 ล้านคน ที่ต้องเร่งสปีดให้ได้ในอีก 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายท้าทายสูงสุดที่ 30 ล้านคน

การตีเหล็กจะต้องตีตอนร้อนๆ ททท.จึงไม่พลาดช่วงเวลาที่ดี โดยได้ร่วมกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ยกคอนเซ็ปต์ ‘Amazing 5F and More’ โดยเฉพาะ F-Food และ F-Film กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen X, Y และ Millennial และ SDGs ถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ 6 เรื่อง นำแสดงโดย 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่จะชวนทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์และอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่การท่องเที่ยวจริงด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการบุกตลาดซีรีส์วายทั้งในประเทศและต่างประเทศไทยไปพร้อมกัน แบบไม่มีการปล่อยให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องน้อยเนื้อต่ำใจ

ภาพตลาดซีรีส์วายที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสที่ใช้ต่อยอดในการสานต่อกิจกรรมเชิงการท่องเที่ยวอีกมากมาย อาทิ การตามรอยซีรีส์ ทั้งการเดินทางตามสถานที่ต่างๆ และเส้นทางอาหาร ลิ้มชิมรสเมนูที่เห็นผ่านหน้าจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการจัดงานที่นำศิลปินนักแสดงซีรีส์วายเข้าร่วมงาน ก็จะเห็นการพร้อมใจเข้าร่วมของแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น อย่างที่เห็นเป็นปรากฏการณ์ห้างสรรพสินค้าแตกกันมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตลาดวายในต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ก็มีเหมือนไทยเช่นกัน อาทิ มังงะ หรือการ์ตูน รวมถึงซีรีส์วายของต่างประเทศก็เข้ามาโด่งดังในไทยด้วย

ยิ่งในปัจจุบัน ดารานักแสดงซีรีส์วายที่กำลังโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ได้มีจำนวนหลักหน่วยเท่านั้น แต่มีจำนวนหลักหลายสิบคนด้วย ยิ่งเป็นโอกาสในการทำตลาดที่มากขึ้นอีก ทำให้ในอนาคต คาดว่าจะมีการประชาสัมพันธ์และทำตลาดท่องเที่ยวไทยผ่านมิติในด้านภาพยนตร์ หรือซีรีส์วายมากขึ้น

สิ่งที่มองข้ามไม่ได้และควรใช้เป็นหัวใจหลักในการทำตลาดคือ การสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง มีพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์เชิงบวกกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีความสบายใจที่จะอยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เกิดความอยาก หรือต้องการเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ที่ดีในประเทศไทยด้วยตัวเอง

เป็นโจทย์ที่ภาคการท่องเที่ยวไทยตั้งไว้ จะต้องเดินหน้าทำให้นักท่องเที่ยวคิดว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องได้มาเที่ยวประเทศไทยสักครั้งให้ได้”

'อ.พงษ์ภาณุ' หวั่น!! 'ค่าเงินบาทอ่อน' สวน 'ดอกเบี้ยพุ่ง' ส่อสัญญาณขัดแย้ง 'นโยบายการคลัง-การเงิน' ไทย

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกกับความผันผวนหลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED (Federal Reserve Bank) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% และจะส่งผลต่อตลาดการเงินไทยหรือไม่อย่างไร เมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนหลังจาก Federal Reserve คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% แต่ออกการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังมีความร้อนแรงและอาจมีความจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นปี

ตลาดการเงินไทยก็ไม่พ้นจากความผันผวนนี้ แต่น่าจะรุนแรงกว่าความผันผวนในตลาดโลกด้วยซ้ำ เพราะค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเป็นประวัติการถึงระดับ 36.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กระโดดแรงขึ้นมาอยู่ที่กว่า 3% ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติที่ดอกเบี้ยขึ้น แต่ค่าเงินกลับอ่อนลง

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินไทยเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความขัดแย้งและ/หรือความแตกต่างของทิศทางนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 

แน่นอนทุกฝ่ายเห็นด้วยว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะธนาคารกลาง ต้องมีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง แต่ความอิสระก็ย่อมต้องมีขอบเขต 

ที่ผ่านมาต้องถือว่าแบงก์ชาติผิดพลาดในเรื่องจังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายล่าช้า ทำให้ปี 2565 เงินเฟ้อไทยทะยานสูงสุดในอาเซียนที่ 6.1% แม้ว่าจะโชคดีที่เงินเฟ้อทั่วโลกลดลงในช่วงที่ผ่านมาเพราะราคาพลังงานลดลง แต่ไม่ใช่เพราะการดำเนินนโยบายการเงินที่เก่งกาจแต่อย่างไร และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่กระโดดขึ้นฉับพลันก็แสดงให้เห็นว่าแบงก์ชาติไม่ยอมรับและไม่ตอบสนองต่อแนวทางของรัฐบาลใหม่ในการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) แต่อย่างใด

เรื่องยังไม่จบอยู่เท่านี้ เมื่อ 27 กันยายนที่ผ่านมา กนง. มีมติปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 2.50% โดยไร้เหตุผลทางเศรษฐกิจสนับสนุน และน่าจะถือว่าสวนทางกับนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด 

ความขัดแย้งทางนโยบายนี้ได้ทำลายความมั่นใจและสร้างความปั่นป่วนอย่างรุนแรงในตลาดการเงิน ทั้งตลาดหุ้น ตลาดหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งอาจทำให้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเกิดการสะดุดได้

เราเชื่อในความเป็นอิสระของธนาคารกลาง แต่ความอิสระนี้จะต้องควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Accountability) ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลย

‘ไทย-อิตาลี’ พร้อมร่วมมือผลักดัน Soft Power ทั้ง 2 ประเทศ ปักธง ‘อาหาร-ท่องเที่ยว’ หวังกระตุ้นศก.และพัฒนาชาติร่วมกัน

(30 ก.ย.66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ว่า ไทยและอิตาลีเห็นตรงกันในการผลักดันเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยใช้ Soft power ด้านอาหารเป็นจุดขายหลักในการส่งเสริมการพัฒนาระหว่างกัน 

ทั้งนี้เนื่องจากทั้งไทยและอิตาลีต่างมีอาหารประจำชาติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละฝ่ายรู้จักอาหารของอีกฝ่ายมากขึ้น ในประเทศไทยนั้นมีร้านอาหารอิตาเลียนมากกว่าคนอิตาเลียน และอาหารอิตาเลียนก็ถูกปากคนไทย 

เช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในอิตาลีก็เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวไทย ที่ผ่านมาเรามีนวนิยายเรื่อง ‘แก้วตาพี่’ ของโรสลาเรน ซึ่งมีฉากสำคัญเป็นเมืองต่าง ๆ ที่สวยงามในประเทศอิตาลี 

ดังนั้นการหารือครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยได้เชิญชวนและจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนอิตาเลียนมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เพราะจากข้อมูลสถิติพบว่านักท่องเที่ยวชาวอิตาเลียนเดินทางมายังประเทศไทยน้อยกว่าที่คนไทยไปอิตาลีถึง 10 เท่า

นางนลินี กล่าวด้วยว่า ในด้านการค้าการลงทุน อิตาลีเล็งเห็นว่าไทยเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีศักยภาพและน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งทางราง รถไฟความเร็วสูงเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดหายุทโธปกรณ์ 

ที่ผ่านมาการรถไฟสาธารณรัฐอิตาลีได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่า 650,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกว่า 16,000 อัตรา 

นอกจากนี้ อิตาลียังได้ผลักดันการจัดตั้งสภาธุรกิจทางอิตาลีเมื่อปี 2558 เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อโดยตรงระหว่างภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทสำคัญของไทยและอิตาลีเป็นสมาชิกกว่า 40 บริษัท แต่ในภาพรวมนักลงทุนของอิตาลียังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศไทยมากนัก 

ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทั้งสองประเทศจะต้องส่งเสริมในเรื่องนี้ และไทยก็สามารถใช้อิตาลีเป็นประตูสู่ยุโรปได้เช่นกัน โดยอิตาลีพร้อมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น โลจิสติกส์ การส่งออก ความปลอดภัยด้านอาหาร เป็นต้น 

“ทูตอิตาลียังแสดงความสนใจเรื่องเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ - โรม ของสายการบินไทย ที่ช่วยให้การเดินทางของนักลงทุนและประชาชนของทั้งสองประเทศ เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีก" นางนลินี ระบุ

>> สถานการณ์การค้าไทย – อิตาลี
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าในช่วง 8 เดือนของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) การค้าระหว่างไทย-อิตาลี มีมูลค่า 3,531.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.21% แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% และการนําเข้ามูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.09%

โดยไทยขาดดุลการค้ากับอิตาลี คิดเป็นมูลค่า 638.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับติดลบ 11.24% เมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปี 2565

>> การส่งออกของไทยไปอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 การส่งออกของไทยไปอิตาลีมีมูลค่า1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,391.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

>> การนําเข้าของไทยจากอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 ไทยนําเข้าจากอิตาลีมีมูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.09% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,965.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

‘นายกฯ เศรษฐา’ ขอบคุณกระแสชาวจีนตอบรับนโยบายวีซ่าฟรี แถมจีนมียอดจองทัวร์ตปท.เพิ่ม 20 เท่า ‘ไทย’ คือจุดหมายยอดนิยม

(30 ก.ย.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอบคุณกระแสตอบรับวีซ่าฟรีชั่วคราว 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรีทวิตเตอร์กรณี รายงานของ CNN ล่าสุดเรื่องพี่น้องชาวจีนตอบรับนโยบายวีซ่าฟรีชั่วคราวของรัฐบาลไทย

นายกรัฐมนตรีรู้สึกดีใจแทนพี่ประชาชนและผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะชาวจีนตัดสินใจมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ให้บริการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของจีน (CTrip) รายงานว่า ช่วงสัปดาห์วันหยุดยาวของจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนได้จองทัวร์ไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมคือ ไทย และยอดจองโรงแรมในไทยมากขึ้นถึง 6,220% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่า ประเทศไทยยินดีมากที่ได้ต้อนรับพี่น้องชาวจีนทุกคนครับ ประเทศเรามีทะเลที่สวยงาม อาหารไทยที่หลายหลาก หวังว่าทุกท่านจะท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและประทับใจครับ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า นโยบายวีซ่าฟรีของรัฐบาล จะมีส่วนกระตุ้น เศรษฐกิจ เพิ่มความสามารถด้านการจัดการการท่องเที่ยวของไทยให้ดีขึ้น โดยความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต้องมาที่หนึ่ง เป็นการเพิ่มชื่อเสียงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีของไทย และส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เพื่อพี่น้องทุกคน

‘ธนกร’ ปลื้ม นทท.แห่มาไทยเพียบ เงินเข้าประเทศกว่า 8 แสนล้านบาท ชี้ เป็นผลพวง ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’ สอดคล้อง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เร่งเครื่องเต็มที่

(30 ก.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวแห่บินเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยเรา ตั้งแต่ 1 มกราคม จนถึง 24 กันยายน 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาจากต่างประเทศจำนวนมาก

เมื่อถามว่า การที่รัฐบาลออกนโยบายเร่งด่วน มาตรการวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกับคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวอย่างไร  นายธนกร กล่าวว่า จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น และมากที่สุดคือ  มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดียและรัสเซีย กลุ่มเหล่านี้ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่นิยมมาเที่ยวประเทศไทย อย่างที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลนี้ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่สำคัญถือเป็นผลพวงมาจากการที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด และรัฐบาลชุดนี้ก็เร่งเครื่องภาคธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย 

นายธนกร กล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการท่องเที่ยว แบบวีซ่าฟรี ให้กับจีนและคาซัคสถาน คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งปีรวมแล้ว เกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เดิมที่ 30 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากที่สุดคือ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมรายได้จากการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.15 แสนล้านบาท นักท่องเที่ยวไทย 5.12 แสนล้านบาท 

นายธนกร กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น เราก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มั่นใจว่า เมื่อมาเที่ยวประเทศไทย ต้องเที่ยวอย่างปลอดภัย ประทับใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ปีที่ผ่านมา เข้ามาเที่ยวประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 แต่ปีนี้ลดลงมารองจากมาเลเซีย เกิดจากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทยในเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับการฟื้นตัวของสายการบินที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

นายธนกร กล่าวว่า ในระยะสั้นและระยะต่อไป เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง มาพักอาศัยเป็นระยะเวลานาน รัฐบาลอาจส่งเสริมให้ไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่นักท่องเที่ยวจะได้รับความประทับใจในการให้บริการด้านสุขภาพ ด้านการพักผ่อน หรือแม้กระทั่งมาใช้ประเทศไทยในการพำนักหรือมาทำงานทางไกล รวมถึง สนับสนุนคนไทยเที่ยวในประเทศแทนการไปเที่ยวต่างประเทศก็จะช่วยรักษาเม็ดเงินหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวภายในประเทศไม่ไหลออกได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top