Tuesday, 13 May 2025
ECONBIZ

‘ครม.’ เคาะสั่งลุยมาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เริ่ม 1 ตุลาคมนี้

(26 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นระยะเวลา 3 ปี และ 1 ปี ตามลำดับ โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นฝ่ายเลขานุการ และพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล จำนวนทั้งสิ้น 11,096 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรและบุคคลตามข้อบังคับ ธ.ก.ส. (ฉบับที่ 44 และ 45) ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีต้นเงินเป็นหนี้คงเหลือทุกสัญญารวมกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท และมีสถานะเป็นหนี้ปกติ และ/หรือเป็นหนี้คงค้างชำระ จำนวน 2.698 ล้านราย รวมต้นเงินคงเป็นหนี้ทั้งหมด 283,327.99 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2566) ระยะเวลา ระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567 (1 ปี)

ส่วนวิธีดำเนินโครงการ เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ต้องการรับสิทธิพักชำระหนี้สามารถแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวได้ตามความสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 31 มกราคม 2567 งบประมาณ รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่เข้าร่วมมาตรการในอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี

นายชัยกล่าวว่า ที่ประชุมยังพิจารณาเห็นชอบการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ของ ธ.ก.ส. งบประมาณ 1,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายคือเกษตรกรลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ และสมัครใจเข้ารับการพัฒนาศักยภาพ โดยการจัดอบรมเพื่อส่งเสริมฟื้นฟูการประกอบอาชีพแก่ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ

‘ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย’ ติดส่งออกอันดับที่ 25 ของโลก ‘ไม้-หวาย-ยางพารา’ จุดแข็งด้านวัตถุดิบของประเทศ

(26 ก.ย.66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่น่าจับตามอง ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 พบว่า หนึ่งในธุรกิจที่มีความโดดเด่น ผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของรายได้และผลกำไร แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมทั้ง การเข้ามาของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

‘ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์’ เป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นแซงหน้าหลายธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งจากภาคการบริการและท่องเที่ยว

โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ความต้องการที่พักอาศัยและบ้านหลังที่ 2 เพื่อรองรับการทำงานแบบ hybrid workplace สำหรับชาวไทยรายได้สูงและชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในไทย

นโยบายภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงธุรกิจที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาคที่มียอดขายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เช่น จังหวัดชลบุรีและระยองที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งเข้ามาขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและการจ้างงาน จังหวัดภูเก็ตเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาซื้ออาคารเพื่อลงทุน เป็นต้น โดยภาพรวมหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2565 ปรับขึ้น 14.3% อยู่ที่ 392,858 หน่วย รวมถึง การสร้างและขยายธุรกิจโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น

>> 3 ปี ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ รายได้พุ่ง

พิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า

ปี 2563 ธุรกิจมีรายได้รวม 151,533.16 ล้านบาท ผลกำไร 3,203.34 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 164,844.29 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13,311.13 ล้านบาท หรือ 8.79%) กำไร 2,928.07 ล้านบาท (ลดลง 275.27 ล้านบาท หรือ 8.60%)
ปี 2565 รายได้ 166,576.23 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,731.94 ล้านบาท หรือ 1.05%) กำไร 4,563.82 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,635.75 ล้านบาท หรือ 55.87%)

จะเห็นได้ว่า ภาพรวมผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ในปี 2563 -2565 รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 160,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแต่นับว่ามูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง หากพิจารณาผลประกอบการด้านกำไรในปี 2563-2565 มีความผันผวนบ้าง โดยในปี 2564 มีมูลค่าลดลงเล็กน้อย

ภาพรวมการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับที่ 25 ของโลก โดยไทยมีจุดแข็งด้านวัตถุดิบในประเทศ เช่น ไม้ หวาย และยางพารา เป็นต้น แรงงานที่มีความประณีตและเชี่ยวชาญ

จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยโดยรวมยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2565 มียอดส่งออกรวม 81,179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 5%

ตลาดหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นในประเทศแถบเอเชียและในกลุ่มอาเซียน เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยหากรวมมูลค่าส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของทั้งโลกแล้ว ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.7% ซึ่งยังมีช่องว่างให้ขยายตลาดส่งออกได้อีกมาก

>> ต่างชาติสนใจธุรกิจ

ในส่วนของการเติบโตในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ พบว่า

ปี 2563 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 399 ราย ทุนจดทะเบียน 1,225.11 ล้านบาท
ปี 2564 จดทะเบียน 382 ราย (ลดลง 17 ราย หรือ 4.26%) ทุน 1,052.56 ล้านบาท (ลดลง 172.55 ล้านบาท หรือ 14.09%)
ปี 2565 จดทะเบียน 368 ราย (ลดลง 14 ราย หรือ 3.67%) ทุน 1,362.47 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 309.91 ล้านบาท หรือ 29.45%)

ทั้งนี้ สำหรับปี 2566 (มกราคม – สิงหาคม) มีการจดทะเบียน 315 ราย (เพิ่มขึ้น 42 ราย หรือร้อยละ 15.39% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม – สิงหาคม) ที่มีการจดทะเบียน 273 ราย) ทุน 759.42 ล้านบาท (ลดลง 319.60 ล้านบาท หรือ 29.62% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม – สิงหาคม) ที่มีทุน 1,079.02 ล้านบาท)

ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 48,017.18 ล้านบาท คิดเป็น 98.00% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า 5,606.99 ล้านบาท (0.89%) รองลงมา คือ สิงคโปร์ มูลค่า 2,238.51 ล้านบาท (0.32%) ญี่ปุ่น มูลค่า 479.56 ล้านบาท (0.31%) และอื่นๆ มูลค่า 4,628.19 ล้านบาท (0.48%)

ปัจจุบัน ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีจำนวน 6,292 ราย คิดเป็น 0.71% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 60,970.43 ล้านบาท คิดเป็น 0.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย

ธุรกิจตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,377 ราย (37.77%) รองลงมา คือ ภาคกลาง 1,971 ราย (31.32%) ภาคเหนือ 532 ราย (8.46%) ภาคตะวันออก 478 ราย (7.60%) ภาคใต้ 415 ราย (6.60%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 381 ราย (6.06%) และ ภาคตะวันตก 138 ราย (2.19%)

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ควรมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มความต้องการเฟอร์นิเจอร์รูปแบบต่างๆ ของตลาดโลก โดยเฉพาะปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทำให้เกิดกระแส ‘เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลก หรือ Green Furniture’ และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ถือเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ทั้งนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องระยะยาว” อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย 

‘สทร.’ กางแผนลงทุนระบบราง 10 ปี ทุ่ม 1.8 ล้านล้านบาท ระดมสร้าง 4,746 กม. ดันไทยมีเส้นทางรถไฟทั่วประเทศ

(26 ก.ย. 66) เปิดแผนลงทุนระบบรางของไทย ช่วง 10 ปี สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) แจ้งข้อมูลมีเงินลงทุนอย่างน้อย 1.8 ล้านล้าน ดันประเทศไทยมีเส้นทางรถไฟทั่วประเทศอีก 4,746 กม. เช็ครายละเอียดแผนทั้งหมดที่นี่

‘การพัฒนาระบบราง’ ของประเทศไทย กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากรัฐบาลให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการพัฒนาระบบราง โดยผลักดันโครงการต่าง ๆ ครอบคลุมทั้ง รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รถไฟทางคู่ รถไฟสายใหม่ และระบบรถไฟความเร็วสูง

พร้อมตั้งเป้าหมายในระยะเวลาอีก 10 ปี โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่ปี 2566 กระทรวงคมนาคม ได้จัดทำยุทธศาสตร์การใช้ระบบรางผลักดันการพัฒนาประเทศ โดยประเมินว่า จะมีการลงทุนในระบบรางเป็นจำนวนเงินอย่างน้อย 1.8 ล้านล้านบาท

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กระทรวงคมนาคม มีแนวทางที่จะใช้ระบบรางเป็นเครื่องมือในการร่วมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว กับกระแสโลกที่แข่งขันกันพัฒนาระบบราง เพราะเมื่อเทียบกับการคมนาคมในแบบต่าง ๆ แล้ว ระบบรางขนส่งผู้โดยสารได้มากกว่า ขนสินค้าได้มากกว่า ต้นทุนน้อยกว่าและผลิตคาร์บอนต่ำกว่า และช่วยตอบความต้องการของประเทศและประชาชนได้เป็นอย่างดี

สำหรับการพัฒนาระบบรางในอนาคต แยกเป็นระบบต่าง ๆ นั่นคือ

‘ระบบรางในเมือง’ ซึ่งปัจจุบันให้บริการรวมระยะทาง 241 กิโลเมตร แต่เมื่อถึงปี 2572 จะมีการบริการ 554 กิโลเมตร เป็นรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินรวม 17 สาย เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรได้เป็นอย่างดี

‘ระบบรถไฟทางคู่’ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งทางรางไปทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันดำเนินการอยู่รวมระยะทาง 993 กิโลเมตร แต่เมื่อถึงปี 2571 จะมีเพิ่มขึ้นอีก 1,483 กิโลเมตร

‘ระบบรถไฟความเร็วสูง’ ปัจจุบันดำเนินการในระยะทาง 250 กิโลเมตร จากแผนพัฒนาเต็มที่มีระยะทางรวม 2,249 กิโลเมตร และยังมีรถไฟเชื่อมสามสนามบินอีก 220 กิโลเมตรด้วย

แผน 10 ปี ลงทุน 1.8 ล้านล้านบาท มีอะไรบ้าง?
สำหรับแผนการลงทุนในระบบรางอย่างน้อย 1.8 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปี รวมทั้งสิ้น 649 สถานี รวม 39 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 4,746 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย

‘รถไฟในเมือง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 168 สถานี รวม 12 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 212 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 606,991 ล้านบาท

‘รถไฟชานเมือง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 39 สถานี รวม 5 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 92.24 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 124,433 ล้านบาท

รถไฟทางไกล/รถไฟขนส่งสินค้า
ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 416 สถานี รวม 19 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 3,614 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 549,959 ล้านบาท

‘รถไฟความเร็วสูง’ ตามแผนกำหนดแนวทางการพัฒนา จำนวน 26 สถานี รวม 3 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวมทั้งหมด 828 กิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุน 549,231 ล้านบาท

‘เพิ่มงานวิจัยพัฒนาระบบราง’ นายโชติชัย เจริญงาม ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ระบุว่า ที่ผ่านมา สทร. ได้ร่วมทำงานกับกรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ทำให้เกิดการช่วยคิดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่สามารถต่อยอดจากการลงทุนด้านรางอีกเป็นจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ สทร. ยังทำงานโดยการสร้างระบบความร่วมมือกับบริษัทต่างประเทศ สถาบันการศึกษาในประเทศ และเอกชนในประเทศ โดยในระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมาได้รับความสนใจเข้ามาร่วมทั้งจากเยอรมัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เช่น

กรณี Alstom ที่แสดงความสนใจด้านการร่วมพัฒนาชิ้นส่วน มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีรับเป็นแม่งานด้านการกำหนดมาตรฐาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะช่วยดูเรื่องผลกระทบเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และมหาวิทยาลัยขอนแก่นจะเป็นแห่งแรกที่เริ่มทำการศึกษาเศรษฐกิจจากระบบราง (Rail economy) สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน

นายโชติชัย ระบุด้วยว่า สทร. ยังร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  หรือ กสทช. ดำเนินงานเรื่องคลื่นความถี่สำหรับระบบรางที่จะช่วยให้การบริการทั้งคมนาคมและสื่อสารมีมาตรฐานเทียบเท่ากับในยุโรป โดยบริษัทเอกชนไทยเริ่มสนใจพัฒนาให้รถไฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงของไทย

เช่นเดียวกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ช่วยชักชวนผู้เชี่ยวชาญชาวไทยเข้ามาช่วยคิด ช่วยทดสอบ ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราซื้อระบบจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีน ก่อนจะผลิตชิ้นส่วน หรืออะไหล่ ต้องมีมาตรฐานอ้างอิงขึ้นมาก่อน ซึ่งบริษัทต่างประเทศหลายแห่งก็ให้การสนับสนุนด้วย

ข่าวดีส่งออก!! สิงหาฯ พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน รับอานิสงส์ 'เกษตร-อุตฯ' หนุน ส่วนนำเข้าลดลง 12.8%

(26 ก.ย. 66) นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในเดือนส.ค.66 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,279 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.6% จากตลาดคาด -3.5 ถึง -5.0% ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน

จากผลของกลุ่มสินค้าเกษตร ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

ขณะที่การนำเข้าเดือนส.ค.มีมูลค่า 23,919 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12.8% ส่งผลให้ในเดือนส.ค.66 ไทยเกินดุลการค้า 360 ล้านดอลลาร์

ส่วนการส่งออกของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่ารวม 187,593 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.5% การนำเข้า มีมูลค่า 195,518 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.7% ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยยังขาดดุลการค้า 7,925 ล้านดอลลาร์

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อเข้ามามากตามวัฎจักร ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 ปี 65 ฐานต่ำ

"คาดว่าการส่งออก ต.ค.-ธ.ค. น่าจะได้เห็นอะไรดีๆ เพราะมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะ ซึ่งเป็นไปตาม circle...ส่งออกภาพรวมทั้งปี 1- ถึง 0% น่าจะมีโอกาส ปีนี้เราข้อสอบยาก ถ้าเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน ทุกคนคะแนนไม่ดี (ส่งออกติดลบ) แต่เรายังสามารถยืนอยู่แถวหน้าได้" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุ

‘ปตท.’ รับรางวัลสูงสุด ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน’ ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน สะท้อนองค์กรยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล-สร้างความเท่าเทียม-ยกระดับคุณภาพชีวิต

เมื่อเร็ว ๆ นี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี มอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 (Human Rights Awards 2023)” จัดโดย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ระดับดีเด่น ประเภทองค์กรรัฐวิสาหกิจ ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดยมีนายวรพงษ์ นาคฉัตรีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืน ปตท. เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล นับเป็นรางวัลระดับสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ที่ยึดมั่นพันธกิจดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาล และเคารพซึ่งหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรในระยะยาว และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคมไทยให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

‘Klook’ ประกาศยุติขายบัตรท่องเที่ยวที่ ‘ทารุณสัตว์’ ในไทย จนกว่าผู้ประกอบการจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบดำเนินงาน

(26 ก.ย. 66) Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวระดับโลก ประกาศการตัดสินใจในการยุติการขายบัตรท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการขายโปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวหรือประสบการณ์ที่แสวงประโยชน์จากสัตว์ในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก นับเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ Klook ในการกำหนดนโยบายใหม่ด้านสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เลิกขายการแสดงโชว์ที่เกี่ยวข้องกับ ช้าง โลมา และเสือ จนกว่าผู้ประกอบการจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงาน นโยบายนี้จะมีกำหนดบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566

นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์ม Klook จะไม่สามารถพบตัวเลือกในการซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหล่านี้ในประเทศไทยอีกต่อไป โดยตอบสนองกระแสการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม ไม่สนับสนุนการใช้สัตว์เพื่อสร้างความบันเทิงโดยได้ยุติการขายบัตรโชว์การแสดงที่ทำกำไรจากการทรมานสัตว์ อีกกว่า 130 แห่งทั่วโลก

ซูซาน มิลธอร์ป หัวหน้าฝ่ายรณรงค์สัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า “เรายินดีกับความก้าวหน้าของ Klook และจัดว่าเป็นก้าวแรกในการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ เราหวังอย่างยิ่งที่จะเห็น Klook มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หยุดขายแหล่งท่องเที่ยวที่ใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่า สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบที่แท้จริง เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเมื่อจองกิจกรรมการท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์ม เราสนับสนุนให้ Klook เดินหน้ายกเลิกกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับช้างต่อไป เช่น การอาบน้ำและการให้อาหารช้าง และจะกลายมาเป็นบริษัทท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสัตว์ป่าอย่างแท้จริง”

“การยกเลิกกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากสัตว์ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดของนักท่องเที่ยวที่ไปในทิศทางเดียวกัน กับกระแสการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงปกป้องสวัสดิภาพสัตว์ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในประเทศไทยจากข้อมูลผลสำรวจสวนดุสิตโพลในปี พ.ศ. 2565 พบว่า 76 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าการแสดงโชว์ช้างเป็นการทารุณกรรมสัตว์” หทัย ลิ้มประยูรยงค์ ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์สัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเสริม

การจัดการนโยบายด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่เอาจริงเอาจังของบริษัทท่องเที่ยวอย่าง Klook และแพลตฟอร์มออนไลน์ท่องเที่ยวอื่นๆ จะช่วยตัดเม็ดเงินที่จะไปสนับสนุนต่อยอดการทำธุรกิจที่ใช้สัตว์ป่าเพื่อสร้างความบันเทิง ซึ่งเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับการนำสัตว์มาฝึกด้วยวิธีการโหดร้ายทารุณเพื่อให้แสดงพฤติกรรมที่ผิดไปจากธรรมชาติ นอกจากนี้ บริษัทท่องเที่ยวจะต้องให้ความรู้ และส่งเสริมให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่า ผ่านการเพิ่มตัวเลือกของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่าแทน

‘การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ’ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งหมายถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจสถานบริการ บริษัทท่องเที่ยว แพลตฟอร์มออนไลน์และนักท่องเที่ยว จะต้องมีความรับผิดชอบต่อกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวของตัวเองความโปร่งใสระหว่างบริษัทฯ และลูกค้าจะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น การแสดงจุดยืนในการต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ ผ่านการแสวงหาผลประโยชน์จากสัตว์ป่า ในทางหนึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ มีสถานะทางการตลาดที่มั่นคงและช่วยสร้างแบรนด์ของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ

OR ผนึก ‘สปสช.-คลินิก’ ดูแลคนท้องในปั๊มปตท. เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขผู้ป่วยบัตรทอง

OR ต่อเกมธุรกิจ Health & Wellness จับมือสปสช. - คลินิก เปิดโครงการ ‘โอบอ้อมคลินิก’ คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ในพีทีที สเตชั่น ตอบโจทย์แนวคิดให้บริการด้านสาธารณสุขรูปแบบใหม่ นำบริการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine)มาใช้ยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานในประเทศ นำร่องแห่งแรกในพื้นที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาหนองแขม

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า “OR ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยใช้จุดแข็งของเครือข่าย พีทีที สเตชั่น ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในการยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR ในการขยายขอบเขตกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Health & Wellness

OR - สปสช. - คลินิก (Clicknic) จึงได้ร่วมกันเปิดให้บริการ ‘โอบอ้อมคลินิก’ คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ สาขาแรก ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นการให้บริการผู้ป่วยกลุ่มบัตรทองซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ให้สามารถรับบริการสาธารณสุขปฐมภูมิเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้น อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงโดยให้บริการในรูปแบบ Omni-channel ผสมผสานรูปแบบ Offline และ Online อย่างครบวงจร โดยได้รับความร่วมมือจาก สปสช. ในการดูแลสิทธิในการเบิกจ่ายและเชื่อมต่อข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และ Clicknic ซึ่งเป็นผู้นำด้านธุรกิจการให้บริการด้านการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) พร้อมทีมแพทย์คุณภาพที่พร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี”

‘โอบอ้อมคลินิก’ เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8:00 - 17:00 น. โดยให้บริการทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยบัตรทองโดยพยาบาลวิชาชีพเพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน ให้สามารถรับบริการ การพยาบาลพื้นฐาน และบริการสร้างเสริมสุขภาพ (PP) เช่น บริการทำแผล บริการฝากครรภ์ การตรวจครรภ์ รับยาคุมกำเนิด รับถุงยางอนามัย รวมถึงคัดกรองและประเมินความเสี่ยงสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต และการตรวจรักษาโรคเบื้องต้น 

โดยหากเกินศักยภาพของพยาบาลวิชาชีพยังสามารถเชื่อมต่อให้บริการพบแพทย์ทางไกลผ่านแอปพลิเคชั่น Clicknic สำหรับรักษาโรค 42 โรคหรืออาการพื้นฐาน เช่น ไข้ไม่ทราบสาเหตุ กล้ามเนื้ออักเสบ ตาแดงจากไวรัส วิงเวียน ท้องร่วง ลมพิษ และคออักเสบ เป็นต้น รวมถึงให้บริการกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ

ทั้งนี้ ‘โอบอ้อมคลินิก’ เน้นการให้บริการสาธารณสุขสำหรับบุคคลทั่วไปให้สามารถรับบริการสาธารณสุขปฐมภูมิเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้น อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง การให้บริการการพยาบาล และบริการการสร้างเสริมป้องกันสุขภาพ (PP) โดยหากเกินขอบเขตการให้การรักษาของคลินิกพยาบาลและการผดุงครรภ์จะเชื่อมต่อการให้บริการ Telemedicine ในสถานพยาบาล ร่วมกับการประยุกต์เทคโนโลยีการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine & Health Care Platform) โดยมี Clicknic เป็นผู้ให้บริการด้านเวชกรรมผ่านระบบ Telemedicine การดำเนินการในสถานพยาบาลและการส่งยา 

เพื่อช่วยยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพ เพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุขให้แก่ชุมชนบุคคลทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งสร้างคุณค่าและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้คน ชุมชน และสังคม อีกทั้งยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR คือ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ หรือ ‘เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน’ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเติบโตอย่างเข้มแข็งยั่งยืน

'รมว.พิพัฒน์' กระชับความร่วมมือ ILO ลั่น!! คุ้มครองทุกต่างด้าว ส่วน 'ปัญหาค้ามนุษย์-แรงงานประมงผิด กม.' ไม่นิ่งเฉย

(25 ก.ย.66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นางชิโฮะโกะ อาซาดะ มิยากาวะ (Ms.Chihoko Asada - Miyakawa) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานภายหลังเข้ารับตำแหน่ง และหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทยฉบับใหม่ (Decent Work Country Program : DWCP) ระยะที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570 โดยมี นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน, นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน, นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานขอขอบคุณ ILO (International Labour Organization: องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ที่มาเยี่ยมและแสดงความยินดีที่ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และขอบคุณการสนับสนุนจาก ILO เป็นอย่างดีผ่านโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ที่นำนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ในส่วนของแรงงานต่างด้าว ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด 

"วันนี้เรามีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งแรงงานที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องและลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ก็จะต้องทำให้ถูกต้องมากที่สุด ส่วนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมายในประเทศนั้น เราได้บูรณาการความร่วมมือกับหลายกระทรวงอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, มหาดไทย, เกษตรและสหกรณ์, การต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานพร้อมสนับสนุนความร่วมมือในการผลักดันกฎหมายแรงงาน เพื่อมุ่งคุ้มครองดูแลแรงงานทุกสัญชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ ILO ต่อไป" รมว.แรงงาน กล่าว

ด้าน นางชิโฮะโกะ อาซาดะ มิยากาวะ (Ms.Chihoko Asada - Miyakawa) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขอขอบคุณและแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ได้รับตำแหน่ง พร้อมยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับรัฐบาลและกระทรวงแรงงานในประเด็นการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและแรงงานกลุ่มต่างๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ รวมถึงความร่วมมือในการผลักดันโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าระหว่างสองหน่วยงานอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกด้วย

โอกาสทอง ‘อุตสาหกรรมบรรจุผลไม้ในน้ำเชื่อมไทย’ ผนึก ‘อาร์เจนฯ’ กระจายต่อ ‘ตะวันตก-ยุโรป’ คล่อง

(25 ก.ย. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘Trachoo Kanchanasatitya’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ฝรั่ง งง กันมากกว่า ลูกแพร์ในน้ำเชื่อมทำไมถึงปลูกที่อาร์เจนติน่า แต่ส่งข้ามโลกไปบรรจุที่ไทยแลนด์ แล้วส่งอ้อมโลกมาขายที่อเมริกาและยุโรป ให้มันเสียเวลาเสียต้นทุนไปทำไม ทำไมไม่บรรจุที่อาร์เจนตินาแล้วส่งไปขายเองเลย หรือ ทำไมอเมริกาไม่ปลูกเองบรรจุเองซะเลย

คำตอบ เป็นเรื่องความคิดทางโลจิสติกส์อย่างมาก

1. ลูกแพร์ของอเมริกาไม่อร่อยเท่าปลูกที่อาร์เจนฯ
2. ลูกแพร์ต้องเก็บก่อนสุก 2 สัปดาห์และเกษตรกรต้องเก็บในห้องเย็นตลอดเวลา ซึ่งเปลืองค่าพลังงานมาก หากส่งใส่เรือไปในคอนเทนเนอร์แบบตู้เย็น ต้นทุนค่าทำความเย็นบวกค่าส่ง ถูกกว่า เก็บห้องเย็นที่อาร์เจนฯ เสียอีก
3. การบรรจุผลไม้ในน้ำเชื่อม ไทยแลนด์เก่งมาก เพราะทำส่งขายย่าน South East Asia หลายประเทศ อาร์เจนตินาสู้ต้นทุนไทยไม่ได้
4. รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือ ปลูกที่อาร์เจนฯ แพ็กที่ไทย แล้วส่งไปยุโรป อเมริกา ถูกกว่า

โลจิสติกส์ล้วนๆ 

เรื่องบางเรื่อง เราไม่สามารถใช้ Common Senses ไปตัดสินความถูกต้องเหมาะสม เพราะโลกนี้มีวิธีคิดใหม่ ๆ ซับซ้อนมากกว่า Common Senses ของเรา มันคงมีเหตุผลของมัน แค่ เราไม่รู้เท่านั้น

'มวยไทย' บุก 'กว่างโจว' กระแสตอบรับล้นหลาม แถมจีนช่วยกระพือ สร้างซอฟต์พาวเวอร์สู่นานาชาติ

(25 ก.ย.66) การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF), สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว, คณะกรรมการกีฬามวย, สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย และสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายนที่ผ่านมา ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน

เพื่อเป็นการส่งเสริมกีฬามวยไทย ซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทยให้เผยแพร่ไปสู่ระดับนานาชาติ และกำหนดมาตรฐานมวยไทย One Standard Muaythai (OSM) โดยมี ดร.เช้า วาทโยธา และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ เมฆสวรรค์ 2 ครูมวยไทยนานาชาติชื่อดัง รวมถึง ปิ่นเพชร บัญชาเมฆ นักมวยไทยเชื้อสายปกาเกอะญอจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร่วมคณะเปิดคลินิกสอนทักษะมวยไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ซึ่งได้รับการตอบรับจากชมรม และสมาคมมวยไทยของประเทศจีน ในการส่งนักกีฬามวยไทยเข้ารับการอบรมอย่างล้นหลาม

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการกีฬา และนันทนาการบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมพัฒนากีฬา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬา การท่องเที่ยวเชิงกีฬาเพื่อสร้างคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ดังนั้นสมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรมกีฬามวยอาชีพในการส่งเสริม และเผยแพร่กีฬามวยไทยอาชีพให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมมวยไทย สร้างรายได้ให้บุคลากรมวยไทย จึงจัดโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีนขึ้นเพื่อนำกีฬามวยไทยไปเผยแพร่ และยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน แบ่งกิจกรรม เป็น 2 ส่วน 1.กิจกรรมเทรนนิ่ง ที่ Sport Hall จัด 2 วัน และ 2.กิจกรรมการแสดงศิลปะมวยไทยและศิลปวัฒนธรรม ที่ห้างสรรพสินค้า Wanda Mall เป็นการเผยแพร่มวยไทย การไหว้ครู มวยโบราณ แม่ไม้มวยไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค การสอนพื้นฐานมวยไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการกีฬามวยไทย ให้ชาวต่างชาติภายในงานได้มีการรับรู้ กิจกรรมฝึกสอนมวยไทยขั้นพื้นฐาน

ซึ่งถือเป็น One Standard มาตรฐานหนึ่งเดียวของมวยไทย ไปเผยแพร่องค์ความรู้สู่นานาชาติ บรรยากาศภายในงานมีชาวจีนทั่วไป รวมทั้งเยาวชนให้ความสนใจเรียนรู้หลักสูตร และศิลปะแม่ไม้มวยไทยกันอย่างเป็นจำนวนมาก โดยเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ชาวจีน และเยาวชนจาก South China Normal University ให้ความสนใจร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

โครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ยังเป็นการประชาสัมพันธ์กีฬามวยไทย ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม อันเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้นในประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทางการฑูตด้วยการเผยแพร่กีฬามวยไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยสู่ประเทศจีนอย่างครบวงจร และสามารถต่อยอดสินค้ามวยไทยได้อย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการด้านมวยไทยอย่างเป็นรูปธรรม เกิดความร่วมมือ และประสานงานกับองค์กรเครือข่ายกีฬามวยไทยทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย โดยกิจกรรมตลอด 3 วัน มีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อออนไลน์ซึ่งมีผู้ติดตามชมกว่า 7.5 ล้านคน รวมไปถึงมีรายการโทรทัศน์ ของมณฑลกวางตุ้ง มาถ่ายทำรายการเพื่อนำภาพศิลปะมวยไทยไปออกอากาศ จากการนำกิจกรรมครั้งนี้

นางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว เปิดเผยว่า สำหรับงานมวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ที่มาจัดที่นครกว่างโจว ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ทั้ง 3 วัน มีผู้ชมชาวจีนมาเข้าชม ทั้งร่วมในการฝึกทักษะมวยไทยกับเรา รวมถึงมาชมการแสดง และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะมวยไทย

กิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นและดึงดูดคนในเมืองกว่างโจว และเมืองใกล้เคียง มาร่วมชมและร่วมกิจกรรมกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ทำให้มวยไทยกลับมามีพื้นที่ด้านกีฬาอีกครั้งในเมืองกว่างโจวหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมวยไทยในนครกว่างโจวมีสถานที่ฝึกซ้อม มีโรงยิมเนเซียมมวยไทยมากมาย

"เราจะเห็นได้ว่า คนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับองค์ความรู้ที่แท้จริง และลึกซึ้งด้านกีฬามวยไทย ซึ่งกีฬามวยไทยเป็นตัวเชื่อมที่ดีที่ผู้คนชาวจีน และชาติต่างๆ จะฝึกฝน เรียนรู้ร่วมกันได้ ถือว่าประสบความสำเร็จน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง" กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าว

ดร.ปัญญา หาญลำยวง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศจีน ระหว่างวันที่ 22-24 กันยายน เรามีวัตถุประสงค์เพื่อให้มวยไทยได้เผยแพร่ทั่วทุกมุมโลกโดยให้มีขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดการทำให้มวยไทยสร้างรายได้เข้าประเทศ เรื่องของแม่ไม้มวยไทย ศิลปะมวยไทย พร้อมทั้งนำเอาศิลปะของการแสดงของประเทศไทยแต่ละภาคมาโชว์

"ขณะนี้ทั่วโลกโดยเฉพาะเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ให้ความสนใจกับกิจกรรมมวยไทย การแสดงพื้นบ้าน และสินค้าจากประเทศไทยอย่างมาก ต้องถือว่าเราประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำมวยไทยมาเผยแพร่ ที่นครกว่างโจว เชื่อว่าในอนาคตมวยไทยจะแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญคือเป็นเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์จะสร้างรายได้เข้าประเทศไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกันสถานกงศุล ณ นครกว่างโจว ได้ร่วมบันทึกวิดีโอนำไปเผยแพร่ทั่วประเทศจีน และส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อส่งต่อไปยังทุกๆ ชาติทั่วโลก ขอชื่นชมทุกฝ่าย ทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกันผลักดันมวยไทยไปทั่วโลก และหวังว่าจะได้เห็นมวยไทยมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก"

สำหรับครั้งต่อไปประเทศไทย จะเดินทางไปจัดโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566

‘นายกฯ’ นำทีมต้อนรับ ‘นทท.จีน’ ตามมาตราการ ‘วีซ่าฟรี’ พร้อมแจก ‘กางเกงช้าง-พวงมาลัย’ เป็นของที่ระลึกติดไม้ติดมือ

(25 ก.ย. 66) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเป็นประธานในพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ภายใต้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาวันแรก และนายกฯ เดินทางไปรับนั้นได้เดินทางมาโดยสายการบิน Thai Air Asia X เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบินนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 341 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 306 คน และนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นจำนวน 35 คน

ทั้งนี้ในทันทีที่นักท่องเที่ยว เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลาประมาณ 10.15 น. ที่บริเวณสะพานเทียบเครื่องบินที่ D4 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ พร้อมมอบของที่ระลึก ประกอบด้วย พวงมาลัยกล้วยไม้ และกางเกงช้าง กับนักท่องเที่ยวทุกคน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้ถ่ายรูปร่วมกับนายกฯ อย่างคึกคัก

ด้านเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สวมชุดไทยร่วมให้การต้อนรับ พร้อมป้ายต้อนรับขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ที่เขียนเป็นภาษาจีน ว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน อะเมซิ่งไทยแลนด์ ยินดีต้อนรับคนจีนตลอดไปเสมือนครอบครัว เที่ยวเมืองไทยยิ่งเที่ยวยิ่งสนุก ประเทศไทยยินดีต้อนรับคุณ

ขณะเดียวกัน ยังมีการแสดงหุ่นละครเล็ก และรำกลองยาว เพื่อสร้างคึกคักและความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

สำหรับท่าอากาศยานอีก 3 แห่ง ททท. ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ดังนี้ ท่าอากาศยานดอนเมือง จำนวน 3 เที่ยวบิน ได้แก่

เที่ยวบิน FD583 สายการบิน Thai Air Asia จากคุนหมิง 
เที่ยวบิน SL935 สายการบิน Thai Lion Air จากฉางซา 
เที่ยวบิน DD3111 สายการบิน Nok Air จากหนานหนิง 

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 2 เที่ยวบิน สายการบิน China Eastern Airlines ได้แก่ 

เที่ยวบิน MU 205 จากเซี่ยงไฮ้ 
เที่ยวบิน MU 2563 จากคุนหมิง

ท่าอากาศยานภูเก็ต ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐคาซัคสถาน 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบิน KC 563 สายการบิน Air Astana จากอัลมาตี้ และจากจีน จำนวน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ 

เที่ยวบิน CA 717 สายการบิน Air China จากหางโจว 
เที่ยวบิน 9C8667 สายการบิน Spring Airlines จากเซี่ยงไฮ้ 
เที่ยวบิน CA 821 สายการบิน Air China จากปักกิ่ง

ทั้งนี้ ททท. ประเมินว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีน มีนัยยะสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดเป้าหมายหลักและเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้และจำนวน

ปัจจุบันตลาดจีนยังคงเผชิญความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 17 กันยายน 2566 ประเทศไทยให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 19,000,988 คน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 2,341,080 คน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอยู่ที่ประมาณ 37% เมื่อเทียบกับปี 2562 สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เกือบเท่าตัว จากประมาณ 56,529 คนในปี 2562 เป็น 109,865 คนที่เดินทางเข้าประเทศไทยระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 17 กันยายน 2566 โดยเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ที่มีแนวโน้มและศักยภาพในการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

โดย ททท. คาดการณ์ว่า มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) จะสามารถกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ให้เดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 4.01 - 4.4 ล้านคนในปี 2566 และผลักดันรายได้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนสู่เป้าหมาย 257,500 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในช่วง 5 เดือนที่มีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศประมาณ 2,888,500 คน สร้างรายได้ 140,313 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการฟื้นตัวร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับปี 2562

ขณะที่คาดว่านักท่องเที่ยวคาซัคสถานจะเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 150,000 คนในปี 2566 และคาดว่าในช่วง 5 เดือนของการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีนักท่องเที่ยวคาซัคสถานจำนวนประมาณ 129,485 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ประมาณ 7,930 ล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากจะช่วยคลี่คลายข้อจำกัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน ทั้งเรื่องระยะเวลาและค่าใช้จ่ายส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว กลุ่มทัวร์ และกลุ่ม Incentive

ประกอบกับช่วงเวลาดำเนินมาตรการฯ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ครอบคลุมช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่จะยิ่งช่วยผลักดันสู่เป้าหมายภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตั้งไว้ของปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 - 30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตรา 80% ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้ารายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท

อินโนบิก นูทริชั่น เปิดตัว ‘กัมมี่กลิ่นรสตรีผลาและโคล่า’ แบรนด์ อินนอริช กับครั้งแรกที่มีรสสมุนไพร เคี้ยวสนุก ได้ประโยชน์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท อินโนบิก นูทริชั่น จำกัด ในกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโภชนาการ เพื่อสุขภาพ ตอบโจทย์ความต้องการด้านโภชนาการของคนไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘กัมมี่กลิ่นรสตรีผลาและโคล่า’ แบรนด์อินนอริช (Innourish) ครั้งแรกของกลิ่นรสสมุนไพรตรีผลาในรูปแบบกัมมี่ ที่เคี้ยวสนุกครบรส ดึงจุดแข็งสมุนไพรไทย ‘ตรีผลา’ ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ปรับสมดุล ผสานความหอมของกัมมี่กลิ่นรสโคล่า อร่อย ทานง่าย ได้ประโยชน์ เดินหน้าเตรียมกลยุทธ์ รุกตลาดคนรุ่นใหม่ และวัยทำงาน ด้วยพรีเซ็นเตอร์หนุ่มอารมณ์ดี ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ เจ้าของนิยาม ‘รสชาติมันโอ้’ 

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า อินโนบิก (เอเซีย) ได้จัดตั้งบริษัท อินโนบิก นูทริชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) และโภชนเภสัช (Nutraceutical) อย่างครบวงจร เพื่อต่อยอดงานวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์โภชนาการสุขภาพออกสู่ตลาด เพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภค และสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทย และด้วยการเป็นบริษัทของคนไทยที่เล็งเห็นศักยภาพของสมุนไพรไทย ประกอบกับปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรธรรมชาติ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เป็นอีกทางเลือกในการบริโภค เราจึงมีความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรดั้งเดิมของไทย เป็นขนมทานเล่นที่ได้คุณภาพมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการพัฒนานี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรไทย และเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับพันธมิตรแนวหน้าในการคิดค้น วิจัย และพัฒนาต่อยอดให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค

”หนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ได้ทดลองขนมรูปแบบใหม่ โดยใช้ข้อจำกัดของรสชาติสมุนไพรเป็นแรงบันดาลใจและความท้าทายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กัมมี่กลิ่นรสตรีผลาและโคล่า ภายใต้แบรนด์อินนอริช ให้อร่อย ทานง่าย และยังได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งความตั้งใจนี้ พิสูจน์ได้จากการได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง Superior Taste Award 2023 จาก International Taste Institute ที่เป็นเครื่องการันตีรสชาติความอร่อย”

รศ.ดร.นพ.ประวิทย์ อัครเสรีนนท์ หัวหน้าสถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยถึงสรรพคุณของสมุนไพรตรีผลา ว่า “ตรีผลาเป็นยาแผนโบราณที่มีส่วนผสมจากผลไม้ 3 ชนิด คือ มะขามป้อม ให้วิตามินซีสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ สมอไทย มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบขับถ่าย และสมอพิเภก ให้คุณสมบัติในการปรับสมดุลธาตุ ในอดีตตรีผลาเป็นยาแผนโบราณมักใช้ในรูปแบบยาต้ม แม้จะมีสรรพคุณหลายด้าน แต่จะถูกพูดถึงเรื่องของรสชาติที่ทานยาก ทำให้หลายคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เข้าไม่ถึงสมุนไพรชนิดนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่อินโนบิก นูทริชั่น ได้พัฒนาและดึงศักยภาพของ 'ตรีผลา' มาต่อยอดเป็นกัมมี่กลิ่นรสตรีผลาและโคล่าได้สำเร็จ ทำให้สมุนไพรไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ เชื่อว่ากัมมี่ตัวนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาแรงด้วยรสชาติ ความแปลกใหม่ และจุดแข็งที่สรรพคุณเฉพาะตัว”

ภก.กิตติณัฐ ศรภิญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโนบิก นูทริชั่น จำกัด กล่าวว่า “กัมมี่กลิ่นรสตรีผลาและโคล่า แบรนด์ อินนอริช (Innourish) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ อินโนบิก นูทริชั่น มุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นทางเลือกใหม่ของคนรุ่นใหม่ ในรูปแบบของกัมมี่กลิ่นรสสมุนไพร ทานสนุก เคี้ยวง่าย รสชาติอร่อย และด้วยเป้าหมายเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงได้ดึงนักแสดงหนุ่ม ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้วยบุคลิกขี้เล่น สนุกสนาน ของมาริโอ้ที่ตรงกับคาแรคเตอร์ของกัมมี่อย่างกลมกล่อมลงตัว จึงเหมาะที่จะเข้ามาเสริมความสนุกของแบรนด์และส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี”

สัมผัสความอร่อยสไตล์ใหม่ ในราคาซองละ 38 บาท ได้แล้ววันนี้ที่ Tops, Gourmet Market, Jiffy, Villa Market, Foodland, Fascino หรือ Innobic Official Store ใน Shopee Lazada และ TikTok Shop สามารถติดตามโปรโมชั่นและกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/Innourish
 

‘ชาวมาเลย์’ แห่ข้ามแดนซื้อ ‘ขนมไหว้พระจันทร์’ ร้านเก่าแก่ที่เบตง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ก่อนนำไปไหว้วันที่ 29 ก.ย.นี้

(25 ก.ย. 66) ที่ร้านบั่นฮวด ในเขตเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ร้านขายขนมไหว้พระจันทร์ดั้งเดิมของเมืองเบตง โดยบรรยากาศการซื้อของรับเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นไปอย่างคึกคัก ตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งในวันที่ 29 ก.ย.นี้ เป็นวันไหว้พระจันทร์ ทำให้ที่ร้านบั่นฮวด ก่อนถึงวันไหว้ ซึ่งเป็นร้านที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์ รวมถึงขนมช่วงเทศกาลต่างๆ โดยเปิดขายมานานกว่า 51 ปี โดยมีนางอุไรวรรณ แซ่เอี้ย หรือเจ๊ฟ้า อายุ 70 ปีเป็นเจ้าของร้าน

นางอุไรวรรณ บอกว่า ภายหลัง เงิน 1 ริงกิตมาเลเซียลดลง สามารถแลกเป็นเงินไทยได้เพียง 7.59 บาท ส่งผลกระทบต่อชาวมาเลเซีย ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เนื่องจากจะต้องแลกเงินริงกิตมาเลเซียเป็นเงินไทยเข้ามาใช้จ่ายและซื้อสิ่งของในประเทศไทย เพราะร้านค้าบางร้านไม่รับเงินริงกิตมาเลเซีย จะรับเป็นเงินไทยเท่านั้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการทำขนมมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเป็นออเดอร์สั่งจองจากขาประจำจากมาเลเซีย โดยที่ร้านจะขายขนมไหว้พระจันทร์ให่สดทุกวันโดยมีไส้อยู่ 5 อย่างเป็นหลัก และจะเลือกเฉพาะไส้ที่ได้รับความนิยม อย่างถั่วเหลือง ถั่วดำ โหงวยิ้ง และไส้ธัญพืชผสมฟักเชื่อม งาดำ บัวไข่ ทุเรียน บัวเจ

โดยลูกค้าประจำจะโทรจองขนมไว้ล่วงหน้าทำให้ลูกค้าขาจรที่ตั้งใจมาซื้อหน้าร้านคิดว่าจะได้ของสดใหม่ต้องผิดหวังกลับไปในบ้างครั้ง เพราะไม่มีขนมขายโดยขนมไหว้พระจันทร์จะขายหมดก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 29 กันยายน 2566 ชาวมาเลเซียจะเดินทางมาซื้อเป็นจำนวนมาก เพราะชอบมากในรสชาติ กรรมวิธีของชาวจีนเบตงดั้งเดิมและที่สำคัญในปีนี้ร้านบั่นฮวดยังปรับราคาขึ้นเพราะเนื่องจากค่าเงินมาเลเซียลดลง จึงยังขายราคาเดิมเหมือนปีที่แล้วทำให้ยอดขายเพิ่มครึ่งเท่าตัว เนื่องจากชาวมาเลเซียจะหันมาสั่งขนมไหว้พระจันทร์ททางฝั่งมาก เนื่องจากภายในประเทศขนมไหว้พระจันทร์มีราคาสูงขึ้น เพราะค่าเงินริงกิตลดลง

นางอุไรวรรณ บอกอีกว่า ปีนี้วัตถุดิบหลักอย่างแป้งปรับราคาปรับขึ้นหมด แต่ขนมบางอย่างทางร้านยังคงขายราคาเดิม แต่ที่ต้องปรับขึ้นมา 5-10 บาท มีขนมไหว้พระจันทร์ ขนาดกลาง จำหน่ายราคาลูกละ 90 บาท แพก 4 ลูก รวมแพกเกจ ราคา 400 บาท ส่วนขนมโก๋ขาว ลูกละ 40 บาท ขนมโก๋เหลือง 1 ห่อมี 4 แผ่นห่อละ 95 บาท ขนมเปี๊ยะเล็ก ลูกละ 170 บาท เปี๊ยะใหญ่ลูกละ 350 บาท แต่จากการสังเกตลูกค้าจะลดปริมาณการซื้อลงเพราะต้องการประหยัดรายจ่าย แต่ยังคงไหว้เพื่อรักษาประเพณีเอาไว้

เจ้าของร้านขนมบั่นฮวด ยังบอกอีกว่า ช่วงนี้ชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาเยอะทำให้การค้าขายดีขึ้น ก่อนหน้านี้ช่วงปิดประเทศทางร้านยังต้องส่งไปถึงมาเลเซีย พอเปิดประเทศเขาก็เดินทางมาเอง มาซื้อเอง และได้เข้ามาเที่ยวเมืองเบตงด้วย

'รมว.อุตฯ' ปลื้ม!! ผู้ประกอบการไทยร่วมดันหลากซอฟต์พาวเวอร์ ช่วยหนุนมูลค่าเศรษฐกิจโต เพิ่มรายได้ให้ชุมชนยั่งยืน

กระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ความสำเร็จพัฒนา 3 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์อาหาร แฟชัน และงานแฟร์ ดันผ้าไหมไทยเข้าวงการแฟชั่นโลก ชู 22 เมนูอร่อยชุมชนดีพร้อม พร้อมจัดงานแฟร์เปิดพื้นที่โปรโมทสินค้า ดึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นชูผลิตภัณฑ์ เกิดผู้ประกอบการใหม่ ตอบโจทย์เทรนด์ตลาดโลก สร้างรายได้เข้าชุมชนต่อเนื่อง เผยเดินหน้าขยายผลพัฒนาต่อเนื่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

(25 ก.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันมุ่งสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของประเทศ เพื่อยกระดับและพัฒนาความสามารถด้านความรู้ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมีเป้าหมายส่งเสริมและพัฒนา 3 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ประกอบด้วย...

1. อาหาร (Food) 2.การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) และ 3. การจัดงานแสดงสินค้า (Fair) ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนประสบความสำเร็จและยังคงเดินหน้าขยายผลพัฒนาต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชนให้มากขึ้น

“ประเทศไทยมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนและมีชื่อเสียง ทั้งอาหาร วัฒนธรรม การแต่งกาย เครื่องดนตรี ฯลฯ จนกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวและทั่วโลกได้รู้จักสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นชุมชน ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญและช่วยกันพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน และให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ในส่วนของแฟชันไทยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เข้าไปยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอและผ้าพื้นเมือง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่ในรูปแบบใหม่ บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผสานเทคโนโลยี ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม จนสามารถผลิตผ้าไหมได้ถึง 24 ผลิตภัณฑ์ จาก 8 วิสาหกิจชุมชน สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้กว่า 7,000,000 บาท ทำให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้น 400,000 - 1,700,000 บาทต่อชุมชน 

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในงาน 'มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัย' ภายใต้โครงการพัฒนาผ้าไหมไทยร่วมสมัย (Premium Thai Silk) ประจำปี 2566 รวมทั้งยังมีการจัดส่งผ้าไหมไทย เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ อาทิ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, อิตาลี และยุโรป ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี

ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหาร ที่นับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญของไทย ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ดำเนินการจัดโครงการเมนูเด็ดชุมชนดีพร้อม 22 เมนู ปั้นเชฟชุมชนดีพร้อม 22 ชุมชน ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นด้วย Soft Power ด้านอาหารผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้สูงถึง 25,000,000 บาท และเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายผลและต่อยอดเป็นโมเดลต้นแบบต่อไป

ซอฟต์พาวเวอร์อีกส่วนที่สำคัญคือ การจัดงานแสดงสินค้าหรืองานแฟร์ (Fair) เพื่อให้เกิดกลไกทางการตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ ผ่านการจัดกิจกรรมจัดงานแฟร์ตลอดทั้งปีทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงฯ ได้มีช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้ใช้ของดีมีคุณภาพและมาตรฐาน และเป็นการกระตุ้นผู้ประกอบการเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง

โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดงาน 'อุตสาหกรรมแฟร์' กระจายตามพื้นที่ต่างๆ จำนวน 14 ครั้ง สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 700 ล้านบาท โดยปี 2567 มีแผนการจัดงานแฟร์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขยายขอบเขตบกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการปั้นผู้ประกอบการใหม่ที่สามารถพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สินค้าไทยสามารถเติบโตในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจชุมชนไทย

‘EA’ เอาใจนักลงทุนสายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ออกกรีนบอนด์ 3 รุ่น ชูดอกเบี้ย 3.20% - 4.10% ต่อปี

‘หุ้นกู้’ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนสำหรับคนที่อยากได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ รับความผันผวนได้น้อย และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร

แต่คงดีไม่น้อยหากว่า การลงทุนในหุ้นกู้แล้ว ได้ทั้งดอกเบี้ย และยังได้ดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน

ปัจจุบันมี ‘หุ้นกู้’ ที่เรียกว่า เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ กรีนบอนด์ (Green Bond) โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้นั้น บริษัทหรือองค์กรที่ออกหุ้นกู้ จะนำไปใช้ในการลงทุนที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการพลังงานสะอาด การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และการขนส่ง เป็นต้น

ล่าสุด บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด สิ่งแวดล้อม กำลังจะเสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้กรีนบอนด์ จำนวน 3 รุ่น 

1.รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทน 3.20% ต่อปี
2.รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.70% ต่อปี 
3.รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทน 4.10% ต่อปี

โดยหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน (ตลอดอายุหุ้นกู้)

ทั้งนี้ จากการประเมินความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ EA ปัจจุบันอยู่ในระดับ ‘A-’ ซึ่งหมายความว่า เมื่อดูระดับความเสี่ยงที่มี 8 ระดับ (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 และสูงสุดที่ระดับ 8) กรีนบอนด์ของ EA รุ่นอายุ 1 ปี มีความเสี่ยงเพียงระดับ 2 เท่านั้น ส่วนรุ่นอายุ 3 ปี และ 5 ปี มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 3 ในขณะที่ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ สูงกว่าผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่ว ๆ ไปอย่างชัดเจน

ไม่เพียงเท่านั้น EA ยังเป็น ‘ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด’ ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ และได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจใหม่ เป็น New S-Curve อย่าง รถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

สำหรับเงินที่ได้จากการออกกรีนบอน์ในครั้งนี้ ทาง EA เตรียมจะนำไปขยายธุรกิจ ที่กำลังเติบโต และเป็นธุรกิจแห่งอนาคตอย่างแท้จริง โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567

อีกทั้งมีโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ที่วิ่งให้บริการในหลากหลายเส้นทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค

แน่นอนว่าการที่ EA ออกหุ้นกู้ ‘กรีนบอนด์’ ในครั้งนี้นั้น มีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินเพื่อการลงทุนที่ชัดเจน และ ผู้ลงทุนจะได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากธุรกิจของ EA เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อโลกที่ยั่งยืน ไม่จะเป็นธุรกิจเดิมอย่าง ไบโอดีเซล โรงฟ้าพลังงานลม และพลังแสงอาทิตย์ หรือ ธุรกิจใหม่ด้าน EV

สำหรับหุ้นกู้กรีนบอนด์ ทั้ง 3 รุ่น จะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 นี้ โดยเสนอขายผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top