Monday, 12 May 2025
ECONBIZ

‘ทายาทเจ้าสัวเจริญ’ ทุ่ม 3 หมื่นล้าน พลิกที่ดิน 100 ไร่ ผุด ‘ลานนาทีค’ เชียงใหม่ ปั้นแลนด์มาร์กแห่งเมืองเหนือ

(21 ก.ย.66) นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการ ‘ลานนาทีค’ (LANNATIQUE) บนพื้นที่รวมกว่า 100 ไร่ มูลค่าการลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ และเป็นการสร้างเดสติเนชันให้กับเมืองเชียงใหม่ ให้เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำระดับโลก 

การพัฒนาโครงการลานนาทีค จะครอบคลุมเชื่อมโยงหลายพื้นที่เข้าด้วยกัน ตั้งแต่ถนนช้างคลาน ไนท์บาซ่า ตลาดอนุสาร ไปจนถึงริมน้ำปิง เพื่อสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว รวมถึงเอกลักษณ์ของเชียงใหม่ตามมาสเตอร์แพลนการลงทุนโครงการ ‘ลานนาทีค’ ของ AWC ในจังหวัดเชียงใหม่ คือการเชื่อมโยงการพัฒนาการลงทุนรวมกว่า 10 โครงการ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ คาดว่าจะใช้เวลา 3 ปีในการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ เชื่อมโยงพื้นที่ทั้ง 100 ไร่ของ AWC ได้สำเร็จ

โครงการ ‘ลานนาทีค’ จะประกอบไปด้วยการลงทุนโรงแรม 4 แห่งที่มีทั้งที่เปิดบริการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาได้แก่ โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ ที่เปิดให้บริการแล้ว เน้นลูกค้าที่มองหาโรงแรมสไตล์โมเดิร์น ไลฟ์สไตล์ ,โรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ซึ่งซื้อมาจากกลุ่มดุสิตธานี ที่เราจะเน้นกลุ่ม young generation Traveller

ส่วนโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ที่ปรับปรุงใหม่จากเดิมที่เป็นโรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง ซึ่งโรงแรมแห่งแรกของพอร์ตโฟลิโอโรงแรมในกลุ่มทีซีซี ที่เพิ่งเปิดให้บริการแล้วในเฟสแรกสำหรับห้องพักและห้องสวีท 240 ห้อง ส่วนเฟส 2 จะเป็นห้องพักแบบพูลวิลล่า, คลับอินเตอร์คอนติเนนตัล คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอีก 2 ปี ภายใต้การลงทุนรวมทั้ง 2 เฟสกว่า 5 พันล้านบาท กลุ่มลูกค้าจะเป็นลักชัวรี ไฮเอนท์

โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง จะเป็นโรงแรมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งแรกของประเทศไทย เน้นศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีของล้านนามาประยุกต์ตกแต่ง และนำเทคโนโลยี AR มา เป็นนวัตกรรมแบบอินเตอร์แอคทีฟ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ เข้าใจถึงศิลปะล้านนา ที่นำมาใช้ในการออกแบบและตกแต่งโรงแรม รวมถึงโรงแรมแมริออท เชียงใหม่ (รีแบรนด์จากเดิมที่เป็นโรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่) จะเปิดให้บริการวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ กลุ่มลูกค้าจะเน้นคอร์ปอเรตและไมซ์

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง คือ ‘พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่’ ใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อยกระดับพันธุ์ทิพย์ให้ทันสมัยมากขึ้นภายใต้ชื่อโครงการ เดอะพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ พื้นที่รวม 13,000 ตารางเมตร ที่จะเปิดในเดือนธ.ค.นี้ จะมี 3 ไฮไลต์หลัก ได้แก่…

•  ATTRATIONS แลนด์มาร์กสำหรับกิจกรรมความสนุกหลากหลายเสมือนห้องนั่งเล่น
•  FOOD LOUNGE แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดภาคเหนือ
•  LIFESTYLE MARKET แหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนพร้อมต้อนรับทุกการพบปะสังสรรค์

รวมไปถึงทยอยการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่ต่อกับโรงแรมแมริออท เชียงใหม่ ที่จะทำไลฟ์สไตล์มาร์เก็ต และพื้นที่สำหรับค้าปลีก ในพื้นที่ไนต์บาซาร์ และพื้นที่ตรงกาแล ซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลก เข้ามาร่วมพัฒนาให้เป็น Attraction ด้านการท่องเที่ยวระดับโลก

โดยจะเป็นเหมือนหมู่บ้านศิลปะและวัฒนธรรมเราจะปั้นให้เชียงใหม่เป็นไลฟ์สไตล์ฮับ แหล่งรวมศิลปะวัฒนธรรม งานอาร์ตแอนด์ คราฟต์ในภาคเหนือ สร้างให้เป็นเดสติเนชั่นท่องเที่ยวระดับโลก ที่จะว๊าวกว่าเกียวโต เพื่อทำให้ย่านช้างคลานกลายเป็นศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศไทย (อาร์ตวิลเลจ)ที่จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลกให้เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น

>> 10 โปรเจกต์ในโครงการลานนาทีค ได้แก่...
•  สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์
•  SIEM PAKDEE (ดีไซน์ โฮเทล)
•  พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ (ปรับโฉมเป็น เดอะพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ)
•  โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง (ปรับโฉมจากโรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิงเดิม)
•  โรงแรมแมริออท เชียงใหม่
•  บ้านโบราณ เชียงใหม่ (พัฒนาเป็น ลักซัวรี่ บูทีค โฮเทล)
•  BAAN K SIRIN (พัฒนาเป็นเวลเนส โฮเทล)
•  โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
•  การพัฒนาในโซนไนท์บาซาร์ และกาแลที่จะสร้างโครงการ ลานนาทีค บาซาร์ (ไนท์บาซาร์) Traditional Luxury Souvenirs , โครงการลานนาทีคกาแล เน้นความเป็นไลฟ์สไตล์มาร์เก็ต มีบิวตี้ คลีนิค และโรงแรมในระดับอัพสเกล
•  โครงการลานนาทีค มาร์เก็ต (ตลาดอนุสาร)พัฒนาเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ต

ด้าน เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริษัทบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวในงานเปิดตัวโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ว่า “โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เป็นโรงแรมที่ผมซื้อมากว่า 30 ปีก่อน ถูกขอให้ช่วยก็เลยช่วยไป ผมใช้คติธรรมของบรรพบุรุษซึ่งก็ไม่ใช่คนมีเงินอะไรเพียงแต่สอนให้เราทำยังไงให้คนเห็นดีเราถึงจะดีได้ และคนโบราณจีนสอนให้ ยิ่งให้ยิ่งดี เราถูกขอร้องก็เลยซื้อ

“ตอนมาซื้ออีกโรงแรมที่ปัจจุบันเป็นโรงแรมมีเลียเชียงใหม่ เราถูกขอร้องก็เลยซื้อ ซื้อมาก็คิดว่า ถ้าลูกจะไปทำต่อที่ดินไม่ติดกันจะทำอย่างไร ก็เลยจำเป็นต้องเก็บนิดผสมน้อยไปเพื่อให้เป็นรูปธรรมวันหน้าทำอะไรจะได้สวย ซึ่งก็ใช้เวลากว่า 30 ปี เราถูกขอให้ช่วยก็ช่วยไป เราทำให้ดีให้ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนใคร ก็เก็บมาอย่างยากลำบากให้ลูกได้รู้คุณค่า

“เมื่อลูกสาว (วัลลภา ไตรโสรัส) มาทำ AWC ก็พัฒนาต่อทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ให้พื้นที่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ ทำให้เกิดความทรงคุณค่าและไม่เสียหาย เพื่อทำให้เชียงใหม่กลับมาเจริญรุ่งเรืองดึงดูดนักท่องเที่ยวจากการทำโครงการต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบ”

ย้อนคำพูด ‘พีระพันธุ์’ ชื่นชม ‘ยิ้ม สุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ ชายผู้ปิดทองหลังพระ อาสาช่วยสู้คดีค่าโง่โฮปเวลล์

เมื่อหลายวันก่อน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประกาศข่าวดีแก่คนไทยทั้งประเทศว่า ประเทศไทยชนะคดีค่าโง่โฮปเวลล์ คดีที่ยืดเยื้อมากว่า 30 ปี ส่งผลให้รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท 

วันนี้ THE STATES TIMES ขอพาย้อนอดีต ยกคำบอกเล่าและชื่นชมจากนายพีระพันธุ์ ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (รัฐบาลพลเอกประยุทธ์) ที่ได้กล่าวชื่นชมนาย ‘สุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ หรือ ‘ยิ้ม’ พนักงานการรถไฟ ผู้มีส่วนช่วยรวบรวมข้อมูล เอกสาร และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะคดีค่าโง่โฮปเวลล์

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ตำแหน่งในขณะนั้น) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ปิดทองหลังพระ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจและยินดีกับผลงานคดี ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ที่คาราคาซังมายาวนานกว่าสามสิบปี

กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ง่ายเลย ตนใช้เวลาเกือบทั้งหมดตั้งแต่กลางปี 62 เหนื่อยไปกับการสะสาง ตรวจสอบ ตรวจทาน และเรียบเรียงเอกสารต่าง ๆ ที่หมักหมมมานานกว่าสามสิบปี เปลี่ยนมาหลายรัฐบาล จนขึ้นใจทุกขั้นตอน  

เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดอีกหลายคน แม้บางคนบางรายการอาจจะขาดอายุความในการเอาผิดแต่ก็สมควรที่จะต้องกระชากหน้ากากให้รู้ว่าตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาใครเป็นใคร ใครทำอะไรไว้บ้าง เราถึงต้องมาตามแก้เป็นลิงแก้แหในวันนี้ แม้วันนี้ คดีก็ยังไม่จบ ยังต้องทำอีกหลายเรื่อง

นายพีระพันธุ์ ระบุอีกว่า ขณะนี้เรากำลังฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคดีโฮปเวลล์เป็นโมฆะตามกฎหมาย เท่ากับว่าบริษัทนี้ไม่เคยมีตัวตนในโลกนี้ ผลคือการใด ๆ ที่ทำไปในนามบริษัทนี้เป็นโมฆะทั้งหมดไปด้วย

อย่างไรก็ตามตนต้องขอบคุณและชื่นชมคนคนหนึ่งบ้าง คนที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้จัก เป็นคนเล็ก ๆ ที่ทำงานเงียบ ๆ ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวหรือเป็นข่าว คนคนนี้เป็นคนที่ตนไม่คิดว่าจะมีในโลก ตนอยากได้คนแบบนี้มาช่วยงานนานมาแล้ว นานมาก คือตั้งแต่ตนเริ่มทำงานใหม่ ๆ เมื่อสี่สิบปีก่อน แต่ไม่เคยหาได้ ตนเลยต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างแสนเหน็ดเหนื่อยตามลำพังตลอดมา จนมาทำเรื่องโฮปเวลล์
ตนโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เจ้าหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยคนหนึ่งมาช่วยงาน คนคนนี้ชื่อ ‘สุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ ชื่อเล่นว่า ‘ยิ้ม’

‘ยิ้ม’ เป็นพนักงานการรถไฟตำแหน่งอาณาบาล เรียกง่าย ๆ ว่านิติกร ยิ้มเป็นคนเดียวที่ช่วยงานเรื่องนี้ตนมาตั้งแต่ต้น 

งานชิ้นนี้ถ้าไม่ได้ยิ้มก็อาจไม่มีวันนี้ เพราะตนอาจทำงานไม่เสร็จตามกำหนดเวลาตามกฎหมาย ผลคือ ‘ยื่นเรื่องไม่ทัน’ หรือไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องนอนสามสี่วันติดกันในแต่ละเรื่อง เพราะเอกสารและข้อมูลเยอะมาก กว่าจะเขียนแต่ละเรื่องเสร็จใช้เวลามากและต้องค้นเอกสารและข้อมูลแบบท่วมหัว ปรากฏว่ายิ้มจำได้หมดทุกเรื่อง 

ไม่ว่าตนจะติดขัดหรือสงสัยข้อมูลอะไรตรงไหน ถามยิ้มตอบได้ทันทีทุกเรื่องทุกขั้นตอน สามารถยกร่างเรื่องต่าง ๆ ได้โดยเว้นว่างข้อความหรือข้อมูลที่ยังนึกไม่ออกในเวลานั้นไว้ได้โดยไม่ต้องหยุดพักไปค้นข้อมูลก่อน เสร็จแล้วก็ส่งให้ยิ้มช่วยเติมความให้เต็มได้อย่างถูกต้อง

บางเรื่องตนบอกแนวทางบอกประเด็นให้ยิ้มยกร่างเบื้องต้นมาก่อนเพื่อที่ตนจะได้ไปทำงานอื่นได้แล้วค่อยกลับมาปรับนิดหน่อยก็เสร็จ ทำให้ตนสามารถเดินหน้าเตรียมการเรื่องอื่น ๆ ได้พร้อม ๆ กันมากขึ้น

"ผมถามยิ้มว่าทำไมตอบผมได้หมด เขาบอกว่าเขาอ่านและเตรียมการล่วงหน้าไว้หมดนานมาแล้ว ผมหาแบบนี้มานานครับเพิ่งจะเจอ ยิ้มเขาบอกผมว่าทุกวันนี้เขาเป็นห่วงการรถไฟและบ้านเมืองกับปัญหาคดีนี้มาก ก่อนจะมารู้จักมาทำงานกับผมเขาได้ศึกษาค้นคว้าเตรียมข้อมูลตลอดมาแม้ไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือไม่ เขาบอกว่าเขาอยากทำด้วยใจจริงไม่ใช่เพราะตำแหน่งหน้าที่"

ทำงานกันมาหลายปีตนก็เห็นยิ้มอยู่ที่เดิมตำแหน่งเดิม ทั้ง ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาโฮปเวลล์ให้การรถไฟต้นสังกัดและช่วยตนแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้คนทั้งประเทศมานาน ตนถามยิ้มว่าที่ทำงานไม่มีตำแหน่งว่างที่จะโยกย้ายสูงขึ้นเลยหรือ เขาบอกว่ามี หัวหน้าเขาเพิ่งจะเกษียณพอดี 

ตนบอกว่าคิวคุณขึ้นตำแหน่งนี้ได้ไหม เขาบอกว่าได้แต่ขอให้อีกคนหนึ่งขึ้นจะดีกว่า เพราะหากต่อไปต้องสู้คดีโฮปเวลล์ในศาลแล้ว อีกคนหนึ่งจะทำงานได้ดีกว่าเขา ตนบอกว่าคุณลองไปคิดดูว่าคุณจะไปไหนได้บ้าง เขากลับมาบอกตนในเวลาต่อมาว่าคิดได้แล้วว่าจะขอไปอยู่แผนกพยาบาล 

"ผมงงมากว่าจะไปทำอะไรที่แผนกพยาบาล คำตอบคือ เขาคิดว่าที่แผนกพยาบาลไม่มีงานอะไรมากเขาจะได้ใช้เวลาเตรียมข้อมูลต่าง ๆ เรื่องโฮปเวลล์มาช่วยผมได้เต็มที่ ถ้ายังอยู่ที่เดิมก็ต้องทำงานอื่นด้วย ถ้าเขาทำเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ต้องกินแรงเพื่อนให้ทำเรื่องอื่นแทนเขา" 

ตนถามว่าไปอยู่แผนกพยาบาลแล้วต่อไปจะกลับไปแผนกอื่นได้อย่างไร เขาบอกว่าไม่เป็นไร ตนบอกว่าแล้วมันจะก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างไร เขาบอกว่าไม่เป็นไร 

ตนถามว่าคุณคิดอะไรของคุณ เขาบอกว่าเขาคิดเพียงว่าขอให้เขามีเวลาทำงานเรื่องโฮปเวลล์ให้สำเร็จแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว แม้เขาต้องหยุดชีวิตราชการไว้ที่แผนกพยาบาลเขาก็ยอม

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า เชื่อหรือไม่ว่าคนแบบนี้ยังมีในโลกจริง ๆ เวลายิ้มมารายงานเรื่องต่าง ๆ กับตน จะมีเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง แรก ๆ ก็คิดว่าเป็นทีมงานของเขา แต่สังเกตว่านายคนนี้ไม่ค่อยพูดจาอะไร ตนเลยถามว่าคนนี้เป็นใคร คำตอบคือเป็นเพื่อนที่ขับรถพาเขามาหาตน เพราะเขาขับรถไม่เป็น เวลาไปไหนมาไหนเขาใช้รถเมล์ แต่มาหาตนต้องรีบ กลัวตนรอนานเลยวานเพื่อนให้ขับรถมาให้ หลายครั้งที่ประมาณสี่โมงเย็นตนจะตามยิ้มไม่เจอ วันหนึ่งตนถามยิ้มว่าคุณหายไปไหนตอนเย็น ๆ เขาบอกว่าต้องขอโทษเพราะเขาต้องไปดูแลแม่ที่แถวรังสิต ตนถามว่าแล้วไปอย่างไร คำตอบคือนั่งรถไฟแล้วไปต่อรถเมล์

นี่คือ ‘ยิ้ม’ คนที่ทำงานทุ่มเทกับการต่อสู้คดีให้บ้านเมืองเป็นหมื่นล้าน แต่ยังไปไหนมาไหนด้วยรถเมล์ตลอดเวลา

"เมื่อวานพอฟังคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเสร็จผมบอกยิ้มว่าเห็นมีนักข่าวรออยู่ข้างล่างเดี๋ยวช่วยอธิบายเรื่องราวให้นักข่าวฟังด้วย ยิ้มขอโทษผมบอกว่าเขาเป็นแค่พนักงานการรถไฟและต้องรีบกลับไปทำงาน นี่แหละครับที่เรียกว่า ‘ปิดทองหลังพระ’ ตัวจริง"

วันนี้หลายคนชื่นชมและชมเชยผม แต่ผมขอชื่นชมและขอชมเชยยิ้ม ‘นายสุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย พนักงานตัวเล็ก ๆ ที่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ผู้ปิดทองหลังพระเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง

‘สุริยะ รมว.คมนาคม’ ยัน!! ไม่เคยสั่งยกเลิก ‘แลนด์บริดจ์’ อยู่ในขั้นตอนศึกษาแผนงานอย่าง ‘รอบด้าน-รอบคอบ’

(21 ก.ย.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวตนสั่งชะลอการดำเนินการโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (ชุมพร - ระนอง) หรือที่เรียกกันว่า ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ (Land Bridge) นั้น ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเท็จ โดยไม่เคยมีการสั่งการให้ยกเลิกการดำเนินงานโครงการตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด 

ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วนั้น กระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโครงการของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) หากเมื่อศึกษาแล้วเสร็จ จะเดินหน้าตามกระบวนการต่อไป 

ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมนั้น เป็นไปตามการมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา มอบหมายให้ดำเนินงานโครงการต่างๆ ภายใต้นโยบาย ‘คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน’ พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ดำเนินงานอย่างรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นลำดับแรก เพื่อยกระดับการเดินทางและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกันการพัฒนาโครงการต่างๆ ของกระทรวงฯ จะมีการจัดลำดับเป้าหมายในการขับเคลื่อนตามความสำคัญ ยึดหลักผลประโยชน์ประเทศและประชาชนจะได้รับเป็นที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ทุกโครงการ จะต้องมีการศึกษาและบูรณาการงานร่วมกันอย่างรอบคอบมากที่สุด โครงการไหนที่เป็นประโยชน์ พร้อมที่จะเดินหน้าผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

ด้านนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์นั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการยกเลิกโครงการฯ ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ และได้มอบหมายให้ สนข. ทำการศึกษาโครงการฯ ให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างรอบคอบ  และรัดกุม เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนสูง โดยในขณะนี้โครงการฯ อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาและลงทุนโครงการ โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตามแผนการดำเนินงานจะมีการจัดประชุมทดสอบความสนใจและรับฟังความเห็นของภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ และทุกภาคส่วนที่มีต่อโครงการฯ เพื่อนำมาประกอบการศึกษาความเป็นไปในการพัฒนาโครงการฯ ต่อไป

สำหรับโครงการนี้จะให้เอกชนลงทุน 100% โดยรัฐจะลงทุนเฉพาะค่าเวนคืนเท่านั้น เนื่องจากวงเงินลงทุนมีมูลค่าสูงประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจประมาณ 2 - 3 ราย แต่เงียบไป ดังนั้น เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนมีความสนใจในโครงการมากขึ้น กระทรวงฯ จะต้องไปทำ Roadshow เพื่อรับฟังความเห็นจากนักลงทุนต่างในประเทศ ทั้งในจีน ยุโรป อเมริกา และประเทศอื่น ๆ

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดและดำเนินโครงการของกระทรวงฯ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านคมนาคมขนส่งในทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเสมอภาค และให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและความอุดมสุขของพี่น้องประชาชน

‘Huawei’ ตอบรับลงทุน ด้าน AI & Cloud ในไทย ด้าน ‘ดีอีเอส’ เชื่อ สร้างรายได้กว่า 6 หมื่นล้าน ใน 5 ปี

(21 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.DE) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ บินไปเซี่ยงไฮ้ ร่วมงาน Huawei Connect 2023 เข้าร่วมประชุม ‘APAC National ICT Roundtable 2023’ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 20 กันยายน 2566 และได้หารือกับบริษัทสาย techของ จีน กว่า 20 บริษัท ชวนตั้ง Headquarters ในประเทศไทย

รัฐมนตรีประเสริฐ เผยว่า ในการไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก Huawei บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน ตอบรับ การทำศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud ปีละ 10,000 คน หรือ 50,000 คน ใน ระยะเวลา 5 ปี ประเมินว่า โครงการนี้ สร้างรายได้ ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud กลุ่มนี้ ถึง 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้าน AI และ Cloud และจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้าน AI & Cloud

นอกจากเรื่องบุคลากร AI & Cloud ดังกล่าว ยังได้เจรจา ชักชวน กลุ่มบริษัทเทคจีน ตั้ง headquarters ในไทย เพื่อสนับสนุนนโยบาย AI & Cloud HUB ของกระทรวง และสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technologies) รวมทั้งสร้างรายได้เข้าประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐาฯ

สำหรับเรื่องการตั้ง Headquarters ในไทย รัฐบาลนี้ ให้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง ทั้ง ทางภาษี วีซ่า การอำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ ทางกระทรวง DE ก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบริษัทที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมอำนวยความสะดวก และร่วมมืออย่างใกล้ชิด และเชื่อว่า การเจรจากับ กลุ่มบริษัทเทคจีน ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกลุ่มนี้ จะเกิดการลงทุนเพิ่มได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน และเชื่อมั่นว่าจะช่วยเร่งสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีขั้นสูง

“ผมมั่นใจว่า การตอบรับของ Huawei สร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ครั้งนี้ จะส่งผลให้ไทยเข้าใกล้การเป็น AI & Cloud HUB ที่บริษัทเทคใหญ่ๆ ต้องการเข้ามาร่วมงาน ทำให้มีการลงทุนด้าน AI & Cloud ในไทยสูงเป็นลำดับหนึ่งหรือสอง ของ ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ผมจะผลักดันให้ กระทรวง DE เป็นกลไกสำคัญของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นกระทรวงทันสมัยในระดับโลกด้วย” รัฐมนตรี DE กล่าวในตอนท้าย

‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ทดลองใช้อาคาร SAT-1 ครั้งสุดท้าย  มั่นใจ!! พร้อมเปิดให้บริการแบบ Soft Opening 28 ก.ย.นี้ 

(21 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 66 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสายการบินไทยเวียตเจ็ท ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทดลองปฏิบัติการเต็มรูปแบบอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1 Full - Scale Trial Operations) ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งสุดท้ายก่อนการเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 3 เป็นการทดลองเฉพาะกระบวนการผู้โดยสารขาออกในช่วงเวลากลางคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 - 00.00 น. เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการบริการในช่วงเวลากลางคืนที่ต้องมีระบบสนับสนุนที่ต่างจากเวลากลางวัน เช่น ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ณ จุดบริการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ ทสภ. ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี  
โดยสายการบินไทยเวียตเจ็ทให้การสนับสนุนอากาศยานพร้อมลูกเรือ อุปกรณ์การให้บริการภาคพื้น และเจ้าหน้าที่ ในการทดลองปฏิบัติการฯ รวมทั้งสนับสนุนเจ้าหน้าที่จำลองเป็นผู้โดยสารสมมติเพื่อสร้างความคุ้นเคย ขณะที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้า บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ตลอดจนบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทดลองและสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย

นายกิตติพงศ์ กล่าวสรุปว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา เสร็จสิ้นตามแผนการทดลองปฏิบัติการฯ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกขั้นตอน โดย ทสภ. ได้นำข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกระบบมีความพร้อมสำหรับการให้บริการอาคาร SAT-1 แบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้การเปิดให้บริการอาคาร SAT-1 จะเพิ่มศักยภาพของ ทสภ. ในการรองรับผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวของรัฐบาลต่อไป

‘foodpanda’ ถอดใจไม่ขอไปต่อ เตรียมขายกิจการในอาเซียนให้ ‘Grab’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda (ฟู้ดแพนด้า) ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ยืนยันการเจรจาเกี่ยวกับการขายธุรกิจในเอเชียบางส่วน ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเสริมว่ามูลค่าของข้อตกลงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยมีข่าวว่าผู้ที่จะมาซื้อกิจการต่อก็คือ Grab ซึ่งบริษัทแม่นั้นตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ขณะที่นิตยสารธุรกิจ Wirtschaftswoche รายงานว่า Grab สิงคโปร์ สามารถจ่ายเงินมากกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ

ทั้งนี้ Delivery Hero นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรในขณะที่ยังคงรักษาการเติบโตไว้ แต่ทว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบริษัทเริ่มลดลงตั้งแต่โควิดระบาด

บริษัท ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้บรรลุผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากขาดทุน 323 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Delivery Hero ไม่ได้ระบุว่าครึ่งปีแรกนี้ได้กำไร (EBITDA) เท่าไหร่

เมื่อเดือนที่แล้ว Niklas Oestberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เอเชียเป็นกลุ่มที่บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากที่สุด

สำหรับ Grab ในสิงคโปร์ประกาศรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 567 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะคุ้มทุนได้ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ Grab สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจจัดส่งอาหาร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเรียกรถ

‘มาคาเลียส’ มัดรวม 4 ที่พักสุดฟิน ‘เขาใหญ่’ จัดโปรเด็ดต้อนรับลมหนาว ลดสูงสุด 70%

(21 ก.ย. 66) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันต้อนรับลมหนาวไปพักสุดฟินท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขากับ 4 ที่พักเขาใหญ่ ลดสูงสุดกว่า 70% ได้แก่ Bergh Apton Khao Yai ห้อง Deluxe หรือ Deluxe Premium พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 1,909 บาท, Movenpick Resort ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 4,999 บาท, MYS Hotel ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 5,499 บาท และสุดท้ายที่ InterContinental Khao Yai Resort ห้อง King Classic พร้อมอาหารเช้าและสามารถพาน้องหมาน้องแมวพักฟรี ราคาเพียงคืนละ 7,099 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้หรือจนกว่าดีลจะหมด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ‘มาคาเลียส’ (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย www.makalius.co.th โทร. 02-821-5215 หรือ Line Official @makalius

‘กระทรวงแรงงาน’ เปิดรับสมัครคนทำงาน ‘มาเก๊า’ หลายตำแหน่ง เงินเดือนสูงสุดเกือบ 8 หมื่นบาท ยื่นได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 27 ก.ย.66

(21 ก.ย. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า กับนายจ้าง บริษัท Galaxy Entertainment Group ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม คาสิโน และร้านอาหาร จำนวน 7 ตำแหน่ง รวม 34 อัตรา ได้แก่ พนักงานต้อนรับลูกค้าวีไอพี กัปตัน พนักงานเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์/บาร์แอทเทนแดน พนักงานฝ่ายต้อนรับวีไอพี พนักงานนวดสปา และพนักงานนวดฝ่าเท้า เงินเดือนอยู่ระหว่าง 50,370 - 78,840 บาท โดยนายจ้างจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป - กลับ เมื่อทำงานสิ้นสุดสัญญาจ้าง ช่วยจ่ายค่าที่พักเดือนละ 500 เหรียญมาเก๊า จัดอาหารในช่วงเวลาทำงาน ทำประกันสุขภาพ และสวัสดิการอื่นๆ ตามกฎหมายแรงงานมาเก๊ากำหนด ซึ่งการรับสมัครในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าถ่ายรูป ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 5,500 บาท โดยสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบ และดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร ได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th/overseas หัวข้อ ‘ข่าวประกาศรับสมัคร’ โดยยื่นใบสมัครทางอีเมล ตั้งแต่วันที่ 21 - 27 กันยายน 2566 ไม่เว้นวันหยุดราชการ

นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตำแหน่งงาน และคุณสมบัติที่นายจ้างบริษัท Galaxy Entertainment Group ต้องการ จะต้องเชี่ยวชาญการสื่อสารภาษาไทยและจีนกลาง สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีใจรักการบริการ สามารถทำงานเป็นกะได้ และมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งที่สมัคร โดยทั้ง 7 ตำแหน่ง มีรายละเอียด ดังนี้

1. พนักงานต้อนรับลูกค้าวีไอพี (Service Ambassador) เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 32 ปี ส่วนสูง 165 เซนติเมตรขึ้นไป จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 16,000 – 18,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 70,080 – 78,840 บาท

2. กัปตัน (Captain) อายุระหว่าง 25 - 35 ปี  จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 15,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 65,700 บาท

3. พนักงานเสิร์ฟ (Service Agent) อายุระหว่าง 21 - 32 ปี จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 50,370 บาท

4. บาร์เทนเดอร์/บาร์แอทเทนแดน (Spa Therapist) เพศชาย อายุระหว่าง 21 - 35 ปี จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 50,370 บาท

5. พนักงานฝ่ายต้อนรับวีไอพี (Welcome Ambassador) ในแผนกโรงแรม การจัดประชุม และนิทรรศการ เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 29 ปี ส่วนสูง 170 เซนติเมตรขึ้นไป น้ำหนัก 48 - 55 กิโลกรัม ไม่มีรอยแผลเป็น และรอยสัก จำนวน 2 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 14,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 61,320 บาท

6. พนักงานนวดสปา (Spa Therapist) เพศหญิง สัญชาติไทย อายุไม่เกิน 40 ปี จำนวน 2 อัตรา 13,900 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 60,882 บาท

7. พนักงานนวด – ฝ่าเท้า (Masseur-Foot Hub) เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 45 ปี จำนวน 10 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 13,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 56,940 บาท

“หนึ่งในนโยบายสำคัญของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ภายในปี 2567 คือการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ 100,000 อัตรา ซึ่งการไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากสำเร็จนอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยถึง 100,000 คนให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ 100,000 ครอบครัวมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตามไปด้วย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 1034 ในวันและเวลาราชการ

‘รมว.พิพัฒน์’ ลุยขยายตลาดแรงงานประเทศใหม่ๆ หนุนทำงานต่างแดนถูกกฎหมาย 100,000 อัตรา

(20 ก.ย. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายสำคัญให้กับกรมการจัดหางานในการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ จำนวน 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 

เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานพร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้การส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในตลาดแรงงานเดิมที่มีความต้องการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ในตำแหน่งงานใหม่ อาทิ ประเทศสวีเดน, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศอิสราเอล, ประเทศญี่ปุ่น, สาธารณรัฐเกาหลี, ไต้หวัน และการขยายตลาดแรงงานในประเทศใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มความต้องการจ้างแรงงานไทย 

นอกจากนี้ ยังเจรจาเพื่อให้เกิดการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานมุ่งประโยชน์สูงสุดต่อแรงงานไทย โดยเน้นไปที่กลุ่มแรงงานกึ่งฝีมือและทักษะฝีมือ อาทิ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในตำแหน่งพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยและคนชรา / ประเทศกาตาร์ ในแรงงานภาคก่อสร้าง ภาคบริการเกี่ยวกับท่าอากาศยานและรถไฟ ภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพ และภาคการขนส่ง / ประเทศจอร์แดน ในแรงงานภาคเกษตร / ประเทศนิวซีแลนด์ ในแรงงานทักษะฝีมือภาคบริการ ภาคเกษตร และแรงงานที่มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญ เฉพาะสาขาที่ขาดแคลน เช่น สถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ทันตแพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ / ประเทศโปรตุเกส ในแรงงานเกษตรกรรมและงานร้านอาหาร และประเทศออสเตรเลีย พร้อมรับพ่อครัวคนไทยที่มีประกาศนียบัตรจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากรมการจัดหางานสนับสนุนให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพื่อให้แรงงานไทยมีรายได้และโอกาสทำงานเพิ่มขึ้น ได้เปิดโลกทัศน์สั่งสมประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ โดยจากนี้กระทรวงแรงงานจะต้องหารือร่วมกับหลายฝ่ายทั้งนายจ้างในต่างประเทศ ประเทศปลายทาง ภาคเอกชนในประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความเข้าใจในกฎหมาย ระเบียบ สัญญาจ้างงานของประเทศไทย และประเทศปลายทาง ตลอดจนวิธีการและขั้นตอนการนำแรงงานไทยเข้าไปทำงานในประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและเพิ่มโอกาสในการจ้างแรงงานไทย

ซึ่งหากส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศได้ 100,000 คน ตามนโยบายท่านรัฐมนตรี นอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยทั้งหมดให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ 100,000 ครอบครัวของแรงงานมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตามไปด้วย

สำหรับคนไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

DUSIT ปั้น ‘ดุสิตธานี คอลเลคชั่น’ รับบริหารอสังหาฯ หรู พร้อมโฉมใหม่ ‘ดุสิต-เดวาราณา’ เปิดตัวในจีน ต.ค.นี้

(20 ก.ย.66) นายจิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี (DUSIT) เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) และ เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ (Devarana - Dusit Retreats) เพื่อรองรับตลาดที่พักระดับลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดยทั้ง 2 แบรนด์จะเป็นเพิ่มจำนวนแบรนด์ภายใต้ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่าหรู ที่มีอยู่เดิมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี ซึ่งประกอบด้วย ดุสิตธานี, ดุสิตสวีท, ดุสิตเดวาราณา, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย และอีลิธฮาเวนส์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มมากขึ้น และยังถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจที่พักให้กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น

สำหรับแบรนด์ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลนหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ให้สามารถรักษาตัวตน และเสน่ห์ดั้งเดิมของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างเป็นระบบ จากนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในงานบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องยุ่งยากในการรีแบรนด์หรือปรับใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัติอันโดดเด่นของโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตคอลเลกชั่นคือ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่น่าสนใจ ตัวโรงแรมมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีการตกแต่งอย่างลงตัว ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน ซึ่งที่พักแบบนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง และแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

“เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ จะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการดูแลจากทีมที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการบริหาร ที่มีความเข้าใจตัวตน และรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีคุณค่า ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความหลากหลายให้กับงานบริการ และยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจบริการของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เข้าพักจะได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากเมืองปลายทางอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมั่นใจว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์สุดหรูอีกมากที่รอการค้นพบ ตั้งแต่พระราชวังเก่าในเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จนถึงที่พักริมทะเลอันเงียบสงบ จากทวีปเอเชีย เรื่อยไปจนถึงตะวันออกกลางอันมีเสน่ห์ และครอบคลุมถึงทวีปยุโรป ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายราย และคาดว่าจะสามารถประกาศการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ในเร็วๆ นี้

สำหรับแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 2 ของกลุ่มดุสิตธานี จะเป็นการพลิกโฉมแบรนด์หรูที่มีอยู่เดิม ‘ดุสิต เดวาราณา’ เปลี่ยนเป็น ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักที่มีคุณค่าในระดับอัลตร้า ลักซ์ชูรี

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของการพัฒนาคอนเซปต์ ‘เทวารัณย์ เวลเนส’ (Devarana Wellness) หรือแนวคิดด้านสุขภาพแบบองค์รวมผสานกับองค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก ทีมงานได้มีการต่อยอดและยกระดับการบริการดังกล่าว จนเกิดเป็นแบรนด์ ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ มุ่งหวังที่จะยกระดับแนวทางการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์ของการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ ในที่พักอันหรูหรา ที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบทั่วโลก

แบรนด์เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการดูแลสุขภาพแบบไทยดั้งเดิม ผสมผสานกับแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดเป็นโปรแกรมเชิงสุขภาพแบบครบวงจร ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษจากการผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของธรรมชาติในแต่ละชุมชน เข้ากับหลักการบำบัดแบบโบราณ เพื่อมอบให้กับนักท่องเที่ยว ที่มองหาการฟื้นฟูและเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความประทับใจอย่างสูงสุดแก่ผู้เข้าพัก ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ แห่งแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ที่ประเทศจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลง เพื่อลงนามเพื่อสร้าง ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ อีกหลายแห่งภายในปีนี้ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และในจีน

ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรม 55 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้ ดุสิต โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าระดับลักซ์ชูรีกว่า 230 หลังภายใต้ อีลิธฮาเวนส์ ใน 19 ประเทศ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มดุสิตธานีที่พร้อมจะเปิดมากกว่า 60 แห่งทั่วโลก และมีเป้าหมายการลงนามเพิ่มเติมอีก 22 แห่งในปีนี้

‘บิ๊กอ้วน’ จ่อหารือผู้ประกอบการ ปรับราคา ‘ข้าว ไข่ ไก่ หมู’ หวังสร้างสมดุล ‘ผู้ซื้อ-ผู้ขาย’ คาด!! ตุลาคมนี้ชัดเจน

(20 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงมาตรการลดราคาสินค้า หลังจากที่รัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมันดีเซล ว่า การลดราคาน้ำมันของรัฐบาลเนื่องจากเป็นปัญหาต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ซึ่งมีปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าตามมา เพราะในต้นทุนสินค้า มีค่าโลจิสติกส์และค่าผลิต เรื่องนี้ได้มอบหมายนโยบายเร่งด่วนให้กรมการค้าภายใน ดูเรื่องการลดราคาสินค้า ภายใน 15 วัน โดยให้ดูรายการสินค้าทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สินค้าตัวไหนมีต้นทุนอย่างไร และจะลดราคาได้แค่ไหน คาดว่าต้นเดือนตุลาคมนี้น่าจะมีความชัดเจน

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญคือภายในสัปดาห์หน้า ตนจะไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อหารือกันเรื่องนี้ด้วย คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็กให้ขึ้นไปด้วยกัน แก้ปัญหา สร้างจุดสมดุลให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ไม่กระทบกับทุกฝ่าย หาจุดที่ประนีประนอมกันได้ โดยคาดว่าสินค้าที่จะได้รับการพิจารณา จะเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันประมาณ 20 ตัว เช่น ข้าว ไก่ หมู ไข่ เราจะลดต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหาจุดสมดุลและอยู่ร่วมกันได้กับทุกฝ่าย น่าจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา

‘คนกัมพูชา’ เซ็ง!! ทำไมค่ายรถยักษ์ใหญ่ไหลไป ‘ไทย’ แค่ ‘ดึงดูดดี-มีพันธมิตรมาก-ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง’

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 รายการ ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ตอน ไทยดียังไง? ทำไมค่ายรถยนต์ไม่มาลงทุนที่กัมพูชา? ได้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสาเหตุที่ว่า เพราะเหตุใด ‘ไทย’ ถึงเป็นประเทศที่มีแรงดึงดูดกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ให้แห่กันมาลงทุนด้านอุตสาหกรรม EV มากกว่าประเทศอื่นรอบข้าง และเพราะเหตุใด แบรนด์ EV ดังหลายเจ้า อาทิ MG, BYD, Great Wall Motor, Changan Automobile หรือแม้แต่ GAC AION ยังย้ายโรงงานออกมานอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยเลือก ‘ไทย’ เป็นที่ตั้งฐานการผลิตใหญ่ที่แรกในโลก

อีกทั้ง ล่าสุด KIA Motors แบรนด์รถยนต์เจ้าใหญ่ของเกาหลีใต้ และ BMW ค่ายรถยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกจากเยอรมนี ก็เพิ่งตัดสินใจมาตั้งฐานการผลิตใหญ่ในไทยอีกด้วย

ด้วยประการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง ที่สร้างความฉงนใจให้แก่ประเทศกัมพูชาไม่น้อย จนทำให้รายการดังรายการนึงของกัมพูชาต้องออกมาทำการวิเคราะห์อย่างจริงจัง ถึงข้อได้เปรียบและศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติของประเทศไทย โดยระบุไว้ดังนี้…

เหตุเพราะแบรนด์ EV สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอยู่แล้ว ยังมีแนวโน้ม ‘สงวนท่าที’ ในปริมาณกำลังการผลิต EV ในไทย จึงทำให้ค่ายรถยนต์จีนต่างสบโอกาส แห่มาลงทุนในไทยกันอย่างเต็มที่ และนั่นก็ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ทั้งในแง่การอำนวยความสะดวกต่อค่ายรถยนต์ ตลอดจนสิทธิพิเศษในเรื่องของภาษี เช่น งดเว้นการเก็บภาษีรถยนต์ และภาษีแบตเตอรี่ในช่วงแรก

อีกทั้งรัฐบาลไทย ยังมีมาตรการสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้รถ EV โดยมีส่วนลดภาษีจูงใจกว่าคันละ 150,000 บาท จนทำให้ประเทศไทยมียอดขายรถไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

ในขณะที่ประเทศกัมพูชา ถูกสหภาพยุโรป หรือ ‘EU’ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ ‘GSP’ สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศมากกว่า 80% เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงาน รวมถึงสถานการณ์ความไม่สงบของการเมืองในกัมพูชา จนเป็นส่วนนึงที่ทำให้ EU ยกเลิก GSP ซ้ำร้ายกว่านั้น GSP ระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ ก็กำลังจะหมดอายุลง ทำให้กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเกิดการชะลอตัวในการมาตั้งฐานการผลิตในกัมพูชากันหมด

นอกจากนี้ ก็มีชาวเน็ตกัมพูชา มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- รัฐบาลไทย รู้วิธีดึงดูดและต่อรอง เพื่อประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรค

- ประเทศไทย มีแนวโน้มหันเหไปทางฝั่งตะวันตก เหมือนกับเวียดนาม คบกับประเทศร่ำรวย ที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป ส่วนนโยบายกับจีน ไทยจะให้ความสำคัญกับชาติตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก นักการเมืองไทยไม่รับสินบนจากจีนเทา จีนจะค้าขายอะไรต้องได้รับอนุมัติจากทางการไทยก่อน

- เพราะประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ 3 ประเด็น ดังนี้ 1.) มีการทุจริตน้อย 2.) มีทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการศึกษาดีและมีทักษะสูง และ 3.) สถานการณ์การเมืองอยู่ในเกณฑ์ดี

- ประเทศไทยฉลาดมากและไม่เคยมีสงคราม ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาทั้งด้านภูมิศาสตร์และประชากร

- ในประเทศไทย มีทรัพยากรคนที่มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีศักยภาพ สอดคล้องกับวิชาชีพ ไม่ได้มีแต่แรงงานไร้ฝีมือ ประเทศไทยให้ความสำคัญ กับบุคคลที่มีความสามารถ ไม่ใช่การเลียนาย

- ไทยคอร์รัปชันน้อยกัมพูชา จริงจังกับกฎหมาย ไทยฉลาดที่อยู่ตรงกลาง ไทยไม่เสียเปรียบทั้งกับจีนและสหรัฐฯ ไม่เหมือนกัมพูชา ที่เลือกข้างจีนฝ่ายเดียว เพราะผู้นำที่โง่เขลา จนสูญเสีย EBA และ GSP

- โรงงานผลิตขึ้นส่วนรถยนต์มีหลายแห่งในประเทศไทยมี จึงมีความสะดวกทั้งด้านทรัพยากรบุคคล อะไหล่ สภาพการทำงาน ตลอดจนซับพลายเชนพร้อมอยู่แล้ว

เหตุผลแค่นี้เอง!!

‘ทล.’ ขยายถนน ‘มาบตาพุด-นิคมพัฒนา’ เป็น 6 เลน แล้วเสร็จ รองรับการสัญจร-ระบบโลจิสติกส์ หนุนเขตเศรษฐกิจ EEC

(19 ก.ย. 66) กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างสะพาน ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) จ.ระยอง ระยะทาง 13.6 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง การขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ รองรับการสนับสนุนการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  

โครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) พื้นที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งทางหลวงสายดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ประชาชนเลือกใช้ในการเดินทางไปสู่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรรวมถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูงและส่งผลกระทบถึงการจราจรในเส้นทางใกล้เคียงด้วย 

กรมทางหลวงเล็งเห็นความสำคัญโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเป็นสำคัญ จึงดำเนินการก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับ ทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) ช่วง กม.0+000 ถึง กม.13+600 โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ ต.มาบตาพุด สิ้นสุดที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง รวมระยะทางทั้งหมด 13.6 กิโลเมตร 

โครงการมีลักษณะเป็นการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3191 จากเดิมขนาด 4 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร (ไป - กลับ) ผิวจราจรคอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรแบบเกาะยก และดำเนินการก่อสร้างทางลอดบริเวณแยกนิคมพัฒนา ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ) มีความยาว 893 เมตร ความกว้าง 21 เมตร เพื่อไปสู่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งก่อสร้างขยายสะพาน (เดิม) 12 แห่ง ก่อสร้างสะพานข้ามแยก (ที่ กม.7+500) 1 แห่ง พร้อมงานไฟฟ้าแสงสว่างตลอดทั้งโครงการ วงเงินงบประมาณ 1,473,482,804.86 บาท 

เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่ง สามารถรองรับปริมาณจราจรที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงปรับทัศนียภาพทางหลวงให้เป็นระเบียบ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพการให้บริการ อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่นักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี และนโยบาย Thailand 4.0 ในการสนับสนุน EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย

‘EA’ เสนอขาย ‘กรีนบอนด์’ 3 รุ่น อันดับเครดิต A- ชูดอกเบี้ย 3.20 - 4.10% ต่อปี ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำ

(19 ก.ย. 66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ A- สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นการเสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป

โดยหุ้นกู้เสนอขายครั้งนี้ มีจำนวน 3 รุ่น และกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน (ตลอดอายุหุ้นกู้) ได้แก่ 
1.รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทน 3.20% ต่อปี
2.รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.70% ต่อปี 
3.รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทน 4.10% ต่อปี

เสนอขายผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)

สำหรับหุ้นกู้ EA มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ ‘A-’ เมื่อดูระดับความเสี่ยงที่มี 8 ระดับ (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 และสูงสุดที่ระดับ 8) กรีนบอนด์ของ EA รุ่นอายุ 1 ปี มีความเสี่ยงเพียงระดับ 2 เท่านั้น ส่วนรุ่นอายุ 3 ปี และ 5 ปี มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 3 ในขณะที่ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ สูงกว่าผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่ว ๆ ไปอย่างชัดเจน

EA เป็น ‘ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด’ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 

EA ขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 อีกทั้งมีโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ที่วิ่งให้บริการในหลากหลายเส้นทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค

EA ได้รับรางวัลที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการและผลการดำเนินงานที่ดีหลายรางวัล เช่น รางวัลด้านองค์กรยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัล Most Innovative Energy Solution Provider Thailand 2021 โดย World Business Outlook, รางวัล Outstanding Company Performance Awards 2022 ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

การที่ EA ออกหุ้นกู้เป็น ‘กรีนบอนด์’ ดังกล่าว สามารถบ่งบอกได้ว่า ผู้ลงทุนจะได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากธุรกิจของ EA เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อโลกที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Ratings 2023 ระดับ A โดย MSCI และล่าสุดยังได้รับรางวัล Corporate Excellence Award ในเวทีระดับสากล Asia Pacific Enterprise Award s จัดโดย Enterprise Asia Enterprise Asia ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการองค์กรที่ดีเลิศ มีการเติบโตที่มั่นคงแข็งแกร่งและยั่งยืน 

นอกจากนี้ EA ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยจะเห็นได้จากรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ เช่น รางวัลประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยมด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รางวัล Emerging Technology of the Year : The 2020 Global Energy Awards ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดย : S&P Global Platts, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), รางวัล Best Innovative Company Awards 2022 ผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน AMITA Technology (Thailand) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

ผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง ดังนี้

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นสาขาไมโคร โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) * หรือ โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอปพลิเคชัน - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050

-บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

-บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0410

-บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02-009-8351-59

*ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

‘รมว.อุตฯ’ ชงปั้น ‘อาหารฮาลาล’ เป็นอุตสาหกรรมมุ่งเป้า ปั้นระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นฐานส่งตลาดตะวันออกกลาง

(19 ก.ย.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ชี้พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor หรือ SEC) มีศักยภาพสามารถส่งเสริมสู่การเป็น ศูนย์กลางอาหารฮาลาลในภูมิภาค (Halal Hub) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ทั้งยังมีอาณาเขตติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีตลาดรองรับทั้งกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ และยังสามารถส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

และสั่งการให้เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีทิศทางและสอดรับกับศักยภาพในแต่พื้นที่ เร่งชี้เป้าอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมทั้งกระตุ้นการดึงการลงทุนเข้าสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาคตามที่ได้มีการกำหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการลงทุนในพื้นที่ไว้แล้ว

พร้อมกันนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ สศอ. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาด การหาแนวทางเพื่อการส่งเสริม Soft Power ไทยในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการยกระดับการบริการผู้ประกอบการและประชาชนผู้อย่างเต็มที่ อำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน ปรับภาพลักษณ์ใหม่ ให้มีรอยยิ้มจากการใช้บริการ

ด้าน นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าวว่า สศอ. ขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สร้างเศรษฐกิจนำอุตสาหกรรม โดยจะเร่งชี้เป้าอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ให้เกิดการผลักดันอย่างต่อเนื่อง การยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรให้มีศักยภาพ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและพลังงานหมุนเวียน

ทั้งนี้สำหรับการพัฒนาการดำเนินงาน สศอ. จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้การกระบวนการทำงาน โดยใช้ระบบ iSingleForm เป็นระบบการรายงานเดียว ทั้งการให้บริการ Eco Sticker สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านช่องทาง Platform ต่างๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้สามารถนำข้อมูล ข่าวสาร มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรม พร้อมเตรียมยกระดับการดำเนินงานทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อนำพาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมสำคัญระดับสากล ภายใน 4 ปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top