Friday, 16 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

กลุ่มเชียงราย No เผด็จการ ร่วมกับคนเสื้อแดงเชียงราย จัดคาร์ม็อบรอบเมือง ยื่นหนังสือ 2 สภ. เรียกร้อง ทำงานเพื่อประชาชน อย่าทำงานเพื่อนักการเมือง!! ขอไม่ใช้ความรุนแรงกับม็อบหากส่งกำลังควบคุมฝูงชุนไปร่วมที่กรุงเทพฯ

เวลา 16.30 น.วันที่ 15 ส.ค.64 ที่หน้า สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย นายสราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ แกนนำกลุ่มเชียงราย No เผด็จการ ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงราย จัดคาร์ม็อบครั้งที่ 3 โดยมีรถยนต์เข้าร่วมขบวนกว่า 50 คัน รถจักรยานยนต์ประมาณ 100 คัน มีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน โดยได้รวมตัวกันที่หน้า สภ.บ้านดู่ เพื่อยื่นหนังสือให้กับ ผกก.สภ.บ้านดู่ มีเนื้อหาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน โดยไม่เข้าข้างนักการเมือง หลังจากอ่านแถลงการแล้วได้มอบหนังสือให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านดู่เพื่อส่งมอบให้กับ ผกก.บ้านดู่

จากขบวนรถคาร์ม็อบได้เคลื่อนขบวนจาก หน้า สภ.บ้านดู่ ไปยัง สภ.เมืองเชียงราย โดยใช้เส้นทาง มุ่งหน้าแยกไฟแดงวัดห้วยปลากั้ง เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปแยกบ้านใหม่ เลี้ยวขวาตรงไป สภ.เมืองเชียงราย โดยที่ สภ.เมืองเชียงราย ได้ยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.อ.โสภน ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย โดยมีเนื้อหา ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงราย ที่จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่กรุงเทพฯ ไม่ใช้ความรุนแรง กับผู้ชุมนุม อย่างที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดยหลังจากที่อ่านแถลงการณ์แล้ว ก็ได้มอบหนังสือให้กับ ผกก.สภ.เมืองเชียงราย เพื่อส่งให้กับ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

โดยระหว่างทางได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ผู้ที่ขับจักรยานยนต์ที่นำขบวนคาร์มอบเปียกฝนแต่ขบวนก็ไม่ได้หยุด และยังเคลื่อนต่อไปโดยใช้เส้นทางผ่านหน้า สภ.เมืองเชียงราย มุ่งหน้าแยกแม่กร เลี้ยวซ้าย เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้าแยกมังราย  ระหว่างทางก็ได้มีการบีบแตรรถ แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว โดยรถแต่ละคันได้ติดป้ายต่อว่าการทำงานของรัฐบาล ป้ายเสียดสีการเมือง เรียกร้องวัคซีน  ก่อนจะรวมตัวกันทำพิธีสาปแช่งนากรัฐมนตรี และแยกย้ายกัน

ฟังเสียงประชาชน! ลำปางจัดขบวน #Carmobsลำปาง ขับไล่พลเอกประยุทธ์ ครั้งที่ 2 มีรถเข้าร่วมกว่า 1,000 คัน

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 15 ส.ค. 2564 ที่ จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ บริเวณสวนสาธารณะเขลางค์นคร อ.เมืองลำปาง กลุ่มพิราบขาวเพื่อมวลชน มธ.ศูนย์ลำปางได้มีการจัดขบวน #carmobsลำปาง โดยเคลื่อนขบวนเวลา 16.00 น.จุดเริ่มต้น สวนสาธารณะเขลางค์ฯ - สามแยกโรงน้ำแข็ง - สวนอากง- วงเวียนหน้าสถานีรถไฟ- แยกดอนปาน - โรงเรียนมัธยมวิทยา - โรงเรียนประชาวิทย์ - ห้าแยกหอนาฬิกา-กาดออมสิน - มิวเซียมลำปาง - หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง -แล้ววกกลับมาที่ ถนนหน้าที่ทำการไปรษณีย์ไทย- ถนนทิพย์ช้าง -กลับไปยังจุดเริ่มขบวนสวนสาธารณะเขลางค์ฯ โดยมีรถนำขบวนรถแห่คันที่ 1 รถจักรยานยนต์มวลชน รถน้ำ รถยนต์มวลชน รถแห่คันที่ 2 รถยนต์มวลชนและ รถปิดท้าย กล่าวถึงการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 โดยมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เข้าร่วมขบวนกว่า 1,000 คัน เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางดังกล่าวพร้อมกับบีบแตร ชู 3 นิ้วรอบเมือง แสดงพลังขับไล่นายกฯ ก่อนขบวนจะหยุดอ่านแถลงการณ์หน้าจวนผู้ว่าฯ โดยมี ตร.จราจร สภ.เมืองลำปางดูคอยดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรด้วย

ทั้งนี้ #carmobs ลำปางที่จัดขึ้น มีผู้ร่วมอุดมการณ์แสดงเจตนารมย์ในการขับไล่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อขบวนไปถึงหน้าจวนผู้ว่าฯแกนนำได้กล่าวแถลงการณ์ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโควิด การจัดหาวัคซีน การรักษาทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจ และให้พลเอกประยุทธ์และ ครม.ลาออก ก่อนเคลื่อขบวนกลับที่จุดเดิมและประกาศสิ้นสุดกิจกรรมก่อนแยกย้ายกันกลับในเวลา 18.00 น. โดยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ สังเกตุการณ์และรักษาความสะดวกเรียบร้อยจำนวนมาก

"โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากจัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมาเพื่อร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชน ประชาชนจับมือและร่วมใจกันลงถนน เพื่อเรียกร้องการมีชีวิตรอดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่รัฐบาลไม่สนใจ นอกจากนี้ยังตอบแทนความหวังดีด้วยการใช้ความรุนแรง การออกมาขับไล่รัฐบาลทรราชย์ จึงเป็นหน้าที่ของประชาชน “ แกนนำกลุ่มฯกล่าว


ภาพ/ข่าว  วินัย / ลำปาง รายงาน

ปทุมธานี - ‘บิ๊กแจ๊ส’ วิสัยทัศน์ผู้นำ จับมือกรมชลเร่งขุดคลองเตรียมรับน้ำเหนือ ป้องกันน้ำท่วมปทุมฯ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 เวลา 09:00 น. ที่บริเวณหน้าวัดนพรัตน์ คลองสิบสอง ตำบลนพรัตน์ อำเภอหนองเสือ จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี , นายเสวก ประเสริฐสุข รอง นายกอบจ.ปทุมธานี , พร้อมด้วยนายสุริยา ธรรมธารา , นายสมบัติ วงศ์กวน สจ.เขตอำเภอหนองเสือ และ นายเฉลิมพงษ์ รังสิวัฒศักดิ์ สจ. เขตอำเภอธัญญบุรี พร้อมทีมงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ที่ได้ดำเนินการนำเรือโป๊ะรถแบคโฮจำนวน 5 โป๊ะ เพื่อดำเนินการขุดลอกและกำจัดวัชพืชที่คลองระบายน้ำที่สิบสอง ระยะทาง 22 กิโลเมตรที่มีวัชพืชผักตบชวาขึ้นหนาแน่นขวางทางน้ำและลำคลองก็ตื้นเขิน โดยระดมกำลังช่วยกันเร่งขุดลอกเตรียมการล่วงหน้ารองรับน้ำเหนือที่กำลังไหลบ่าลงมาเพื่อป้องกันอุทกภัยในปีนี้

โดย นายชุติมันต์ สกุลพราหมณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ , นายสมบูรณ์ เจิมไทย วิศกรชลประทานชำนาญการ , นายถนัดกิจ ทรัพย์ประทุม นายช่างชลประทาน และเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน หลังจากที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมได้ประสานไปที่ท่านรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนปทุมธานีจึงได้เริ่มโครงการดำเนินการขุดลอกคลองชื่อ คลองน้ำใน ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ย้ายเรือโป๊ะรถแบคโฮมาที่คลองระบายน้ำที่คลองสิบสองต่อ เพื่อขุดลอกคลองและกำจัดวัชพืชเพื่อให้น้ำไหลได้ดีเพื่อเป็นการรองรับปริมาณน้ำช่วงหน้าฝนนี้

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ขอบคุณท่านเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังจากที่เราได้ประสานงานไป ท่านได้ส่งทีมงานกรมชลประทาน นำโดย นายชุติมันต์ สกุลพราหมณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ ร่วมถึงทีมงานกรมชลประทานทั้งหมดลงมาร่วมพร้อมเครื่องมือลงมาทำงานที่คลองน้ำใน เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 3 จังหวัด ประกอบด้วย นครนายก สระบุรีและปทุมธานี ได้ดำเนินการขุดลอกคลองกำจัดวัชพืชโดยเฉพาะต้นไมยราบยักษ์ที่ขึ้นกลางคลองระยะกว่า 4 กิโลเมตรได้ดำเนินกำจัดหมดแล้วทำให้น้ำไหลได้สะดวก จากนั้นก็ได้จ้างเอกชนนำเรือโป๊ะรถแบคโฮ มาลงที่คลองสิบสอง จำนวน 5 โป๊ะ โดยขุดคอกคลองและกำจัดวัชพืชตลอดคลองสิบสองระยะทางตั้งแต่คลองระพีพัฒน์จนถึงคลองรังสิตประยูรศักดิ์ระยะทาง 22 กิโลเมตร เมื่อเครื่องมือลงมาแล้วผมคาดว่าไม่เกิน 10 วันคลองสิบสองจะไม่มีวัชพืชขึ้นกีดขวางทางน้ำ เพื่อเตรียมรับน้ำเหนือที่จะมาถึง

ซึ่งคาดว่าทุกคลองในเขตพื้นที่อำเภอหนองเสือ รวมถึงอำเภอธัญบุรี คลองสิบสองมีความสำคัญมากเพราะเป็นที่ดินดอนสุงหากน้ำเดินทางไม่สะดวกจะส่งผลให้การไหลของน้ำล่าช้าและอาจจะล้นตลิ่งได้เมื่อไม่มีวัคพืชและลำคลองไม่ตื้นเขินน้ำจะไหลสะดวก เป็นการป้องกันอุทกภัยต้องขอบคุณทางกรมชลประทานและทีมงานที่ช่วยเหลือพี่น้องชาวปทุมธานีในครั้งนี้ นอกจากเป็นการรับมือไม่ให้เกิดอุทกภัยแล้ว ก็ยังจะเป็นลำคลองที่มีน้ำไว้ให้เกษตรได้เอาใช้ จะไม่ขาดน้ำในหน้าแล้งแล้ว


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

เชียงใหม่ - พิธีทำบุญครบรอบ 49 ปี คณะพยาบาลศาสตร์ มช. พร้อมจัดพิธีมอบโล่รางวัลอาจารย์และบุคลากรดีเด่น ประจำปี 2564

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2564 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิธีทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 49 ปี และ วาระปีที่ 61 การศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นประธาน ภายในพิธีได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ มาประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นได้จัดพิธีมอบโล่รางวัลอาจารย์และบุคลากรดีเด่น ประจำปี 2564

ประกอบด้วย อาจารย์ดีเด่น ด้านการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ ผศ.ดร.คัทลียา ศิริภัทรากูร แสนหลวง ด้านการวิจัย/นวัตกรรมทางการพยาบาล ได้แก่ ผศ.ดร.วันเพ็ญ  ทรงคำ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ได้แก่ ผศ.ดร.วรันธร จงรุ่งโรจน์สกุล ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ ผศ.ดร.โรจนี จินตนาวัฒน์ บุคลากรดีเด่น สายปฏิบัติการ ได้แก่ ว่าที่ร้อยตรี ธนากรณ์ ทำการดี สายบริการ ได้แก่ คุณสายทอง บุญเรือง และ ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ คุณรัชนี ทีปกากร รางวัลดังกล่าวมอบเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและประกาศเชิดชูคุณงามความดีให้เป็นเกียรติประวัติสืบไป

นอกจากนี้ได้มอบเข็มที่ระลึกแด่ผู้ที่ปฏิบัติงานในคณะฯ ครบ 30 ปี ได้แก่ ผศ.ดร.ฐิติณัฎฐ์  อัคคะเดชอนันต์  รศ.ดร.ประทุม สร้อยวงค์ อ.ดร.หรรษา เศรษฐบุปผา และ คุณสังวาลย์ บุญมา ตลอดจนได้มอบกระเช้าดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีแด่ อ.ดร.หรรษา เศรษฐบุปผา รับรางวัลบุคคลที่ดำเนินการดีเด่นด้านการป้องกันควบคุม การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประจำปี 2564 จาก สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร.จุฑามาศ โชติบาง รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นบัณฑิตวิทยาลัย ประเภทบูรณาการทั่วไป จากมหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี 2562 คุณสายทอง คำป้อ รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2563 (ครุฑทองคำ) ประเภทลูกจ้างประจำ และ ศ.ดร.นงเยาว์ เกษตร์ภิบาล ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งฯ เป็น ศาสตราจารย์ ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคาร 4 คณะพยาบาลศาสตร์ โดยมีการถ่ายทอดสดให้ได้รับชมผ่านทาง Nurse CMU Youtube การดำเนินงานจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปตามประกาศของจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19


ภาพ/ข่าว  วิภาดา / เชียงใหม่

สตูล - อบจ. สร้างจุดเช็คอินใหม่ ในกิจกรรมการวาดภาพฝาผนัง “ศิลปะชุมชนละงู” (Satun Street Art) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย

วันนี้ 16 สิงหาคม 2564 ที่ ห้องประชุมธรรมาภิบาลเทศบาลตำบลกำแพง ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานปิดกิจกรรมการวาดภาพฝาผนัง “ศิลปะชุมชนละงู” ( Satun Street Art) โดยมีนาวาตรีหญิงโนสมา หลีเส็น นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล นายกเทศมนตรีตำบลกำแพง หัวหน้าส่วนราชการ คณะศิลปินจิตอาสาและผู้นำชุมชนในพื้นที่ละงู ร่วมพิธีปิดฯ หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เยี่ยมชมศิลปะชุมชนละงู จำนวน 6 จุด รวม 26 ภาพ พร้อมถ่ายรูปเช็คอินอย่างสวยงาม นอกจากนี้ได้มีการมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ร่วมวาดภาพ และผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมภาพวาด “ศิลปะชุมชนละงู” เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลเป็นแกนหลักร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนชาวสตูล เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีแหล่งท่องเที่ยวในมิติใหม่ ๆ เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวจังหวัดสตูลเพิ่มขึ้น และใช้เวลาท่องเที่ยวในจังหวัดสตูลให้นานยิ่งขึ้น เป็นภาพวาดศิลปะฝาผนังในพื้นที่เทศบาลตำบลกำแพง อำเภอละงู โดยมีเป้าหมายวาดภาพ จำนวน 6 จุด รวม 26 ภาพ ซึ่งแต่ละภาพแสดงถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวละงู เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา ซึ่งขณะนี้สามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชมและถ่ายรูปได้แล้ว โดยได้รับความร่วมมือจากศิลปินจิตอาสา และศิลปิน ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากเทศบาลตำบลกำแพงซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่จุดวาดภาพ และการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์จากภาคเอกชนอีกด้วย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว เข้ามาเยี่ยมชมถ่ายรูปเช็คอินเยือนถิ่นละงู และแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล

ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า ขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดกิจกรรมนี้ขึ้นสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ด้วยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้ให้มีการส่งเสริมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวจังหวัดสตูลในอนาคต นับว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเที่ยวจังหวัดสตูลเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัด

‘วัชระ’ ยื่นป.ป.ช. ฟันคลัสเตอร์ ‘สมศักดิ์’ !! รดน้ำสงกรานต์-ดื่มไวน์-ร้องคาราโอเกะ-ไม่ใส่หน้ากาก ทำโควิด-19 ระบาดทั่วสุโขทัย ตาย 3 ราย และติดเชื้อกว่าครึ่งร้อย

วันที่ 16 ส.ค. 64 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงพลตำรวจเอกวัชรพล ประสานราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. และกรรมการทุกคน ขอให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด -19 รวมทั้งนายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.พลังประชารัฐ ประพฤติฝ่าฝืนกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน กฎหมายอื่น ๆ และประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2561 หรือไม่

ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมศักดิ์ และคณะ ซึ่งมีนายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางไปที่ร้านคาเฟ่ เดอ ทรี อ.เมือง จ.สุโขทัย ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ มีการจัดรดน้ำตามประเพณีสงกรานต์ และร้องเพลงคาราโอเกะ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย มีผู้ร่วมงานประมาณ 21 คน อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ เป็นการร่วมชุมนุมฝ่าฝืนพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ 2548 มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ผิดพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งในสถานการณ์ โควิด-19 ของนายกรัฐมนตรี และจังหวัดสุโขทัย กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชนที่เคารพกฎหมายทั้งประเทศ ทั้งที่นายสมศักดิ์ มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ควรต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชน เพราะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดโรคระลอกที่ 3 แต่ยังบังอาจฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นความผิดอาญาและมาตรฐานทางจริยธรรม ผลของการจัดงานดังกล่าว ปรากฏว่าทำให้ผู้ร่วมงานติดโรคโควิด-19 จำนวน 21 คน มีผู้เสียชีวิต 3 คน และแพร่ไปทั่วจังหวัดสุโขทัย จำนวน 55 คน

สำหรับผู้เสียชีวิตคือนางอรพรรณ ภู่หลำ อายุ 63 ปี ชาว จ.สุโขทัย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 เม.ย.64 ที่กทม. / นางสิริรัตน์ โพธิ อายุ 66 ปี ชาวจ.สุโขทัย เสียชีวิตที่รพ. สุโขทัย เมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 และ นายณัฐพล ติวุตานนท์ อายุ 42 ปี ชาวจ.สุโขทัย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 64 ที่ รพ.สุโขทัย

นายวัชระ กล่าวว่า นายณัฐพล รับราชการหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ ผังเมืองสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดสุโขทัย  ไปพร้อมกับภริยา และบุตรเล็ก ๆ 2 คน ปรากฏว่าทั้งครอบครัวติดโควิด 19  จำนวน 3 คน เมื่อนายณัฐพล เสียชีวิตทำให้ขาดผู้นำในครอบครัว ส่งผลต่ออนาคตของครอบครัวที่ขาดเสาหลักไป ตนได้หารือกับบิดานายณัฐพลแล้ว จึงขอส่งหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการป.ป.ช. ให้พิจารณาพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ของนายสมศักดิ์ และไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อครอบครัวของผู้ตาย แม้แต่พวงหรีดก็ไม่ได้ส่ง และไม่ได้แสดงสปิริตความรับผิดชอบต่อประชาชนแต่อย่างใด

อนึ่ง การกระทำของนายสมศักดิ์ อาจเข้าข่ายผิดมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 6-10 ข้อ 11,12,13,15 ,17,21 และ 23 หรือไม่

การระบาดโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ไม่ใช่เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีความผ่อนคลายกับสถานการณ์ควบคุมโรคตามที่นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศข้อกำหนด ฉบับที่22 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 64  แต่เป็นเพราะรัฐมนตรีในรัฐบาล ฝ่าฝืนกฎหมายและคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั่นเอง  นายวัชระ ยังยกตัวอย่างกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สวมหน้ากากอนามัยยังถูกพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.ไปจับ-ปรับ 6,000 บาท ถึงทำเนียบรัฐบาล แต่กรณีนายสมศักดิ์ มีนายวิรุฬ พรรณเทวี เป็นผู้ว่าฯสุโขทัย ได้รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่

"น้องเทนนิส" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก สุดปลื้มได้ทุนเรียนต่อถึง ป.เอก พร้อมเงินรางวัล 1 ล้านบาท จากอธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี

รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มอบเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านบาท และมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกให้แก่ “น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ" พร้อมกล่าวชื่นชมในความสำเร็จของน้องเทนนิสทางด้านการกีฬา ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ได้รับรางวัลเหรียญทองกีฬาเทควันโดจากการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ครั้งที่ 32 ประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นการสร้างชื่อเสียงเกียรติประวัติให้แก่ครอบครัว ประเทศชาติ และมหาวิทยาลัยฯ ในฐานะที่น้องเทนนิสเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี


รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าวแสดงความยินดีกับ น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่เหรียญทองในนามของผู้บริหาร คณาจารย์ บุคคลากรทุกภาคส่วน นักศึกษาศิษย์ปัจจุบัน ศิษย์เก่า วิทยาลัยในเครือฯ ว่า ในนามของชาวไทยคนหนึ่ง ต้องบอกว่ามีความยินดีอย่างที่สุดที่ “น้องเทนนิส” ได้สร้างชื่อเสียงได้ทำเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นมาฝากชาวไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่อธิการบดีเป็นอธิการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และ “น้องเทนนิส” เรียนในหลักสูตรปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต พวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และสถาบันในเครือฯ ต้องบอกว่าที่สุดฃองความภาคภูมิใจ “น้องเทนนิส” ก็ถือว่าเป็นลูกสาวคนหนึ่งที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อันนี้คือ ฮีโร่เหรียญทองของเราในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ผ่านมา


“น้องเทนนิสมีความเก่ง มีความเข้มแข็ง มีวินัยทั้งในด้านของการฝึกซ้อมกีฬา ซึ่งมีคุณพ่อเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจลูก มีวินัยในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างมาก คณาจารย์ทุกท่านที่ได้พบได้สอนน้องเทนนิสจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องมีวินัยในทุกๆ เรื่อง น้องมีความตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จทุกเรื่อง ก่อนที่น้องเทนนิสจะเดินทางไปแข่งขันได้มาเรียนหนังสือได้มาเข้าชั้นเรียนได้เข้ามาคุยหารือกับอธิการบดี โดยมีคุณพ่อมาด้วย นั่งคุยกันว่าลูกมีความมั่นใจอย่างไร น้องเทนนิส กับ คุณพ่อบอกว่า มั่นใจเต็มร้อย จากที่คุณพ่อคอยดูแลลูก คอยให้กำลังใจ คอยสนับสนุนลูกจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดมั่นใจเต็มร้อยครับท่านอธิการบดี น้องเทนนิสก็บอกมั่นใจเต็มร้อยค่ะท่านอธิการฯ และวันนี้น้องเทนนิสทำได้สำเร็จเป็นความภาคภูมิใจของอธิการบดี ของพวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และของคนไทยทั่วโลก อธิการบดีขอยินดีด้วย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าว
นอกจากนี้ เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ พร้อมด้วย “คุณพ่อสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ” มาร่วมสนทนาถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิด และการสร้างแรงบันดาลใจการเล่นกีฬาให้ประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพผ่านระบบ ZOOM ให้กับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา อีกด้วย โดยมี จิรัฏฐวัฒน์ ศิริบุตร และ ณัฎฐา ชาญเลขา เป็นผู้ดำเนินรายการ


ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีผ่านคลิปวิดีโอในโอกาสดังกล่าว โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการและโฆษกกระทรวง อว. ได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมเซอร์ไพรส์มอบเค้กให้แก่ “น้องเทนนิส” ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 8 สิงหาคมที่ผ่านมาด้วย ณ สถานีโทรทัศน์ BTU Channel มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

โควิดพ่นพิษส่งออกสะดุด “เฉลิมชัย"ปลุกตลาดภายในคิกออฟโครงการ “เกษตรกร Happy”เฟส2เร่งอัพราคาลำไย เงาะ ลองกอง พร้อมส่งทีม”เกษตรฯ.-พาณิชย์”ขึ้นเหนือทันที ตัวแทนชาวสวนขอบคุณฟรุ้ทบอร์ดมอบโครงการดีๆดูแลเกษตรกร

วันที่ 15 ส.ค.64 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)เป็นประธานการแถลงข่าว Live สดผ่าน facebook : คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลำไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต จนทำให้มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น ระบบขนส่งระหว่างประเทศเกิดความติดขัด ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แรงงานและผู้ค้า รวมทั้งบริษัทขนส่งในประเทศติดโควิดเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกและล้งลดจำนวนลง ในขณะที่ผลไม้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ทั้งมังคุด เงาะ ลำไย และลองกอง เป็นต้น โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดนมีวัตถุประสงค์ คือ 1) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยภายในประเทศ 2) เพิ่มกิจกรรมการค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อระบบการค้าที่เป็นธรรม และ 3) ยกระดับราคา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้" และ "คนไทยไม่ทิ้งกัน"

และจากการดำเนินโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 1 ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมังคุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงเกษตรฯ.กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ททบ.5 กองทัพบก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จำกัด, เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce คณะกรรมการธุรกิจเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสื่อมวลชนทุกแขนงที่ช่วยในการสื่อสารรณรงค์จนประสบความสำเร็จ และสามารถระบายมังคุดออกจากกลไกตลาดและรักษาเสถียรภาพราคาได้ในระดับที่น่าพอใจ

"ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดำเนินโครงการเกษตรกร Happy ซึ่งในวันนี้เป็นการดำเนินโครงการเฟส 2 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กำลังออกตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลองกอง และเงาะ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทย การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้อุดหนุนผลไม้ไทย และได้มอบ หมายปลัดเกษตรฯ ตั้งทีมกระจายผลไม้เฉพาะกิจ เพื่อประสานงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมอบให้นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรเดินทางไปลำพูนและเชียงใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาลำไยร่วมกับนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์และรองประธานฟรุ้ทบอร์ดระหว่างวันที่16-18สิงหาคม

สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออก ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานและเจรจากับประเทศคู่ค้า โดยไทยจะมีมาตรการตรวจสอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและง่ายที่สุด จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องหันมาบริโภคผลไม้ไทย และร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค เช่น มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 7 ล้านไร่ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แปรรูป ซึ่งในปี 2564 ได้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 23% จากปีที่ผ่านมา จาก 4.4 ล้านตัน เป็น 5.4 ล้านตัน และถึงแม้ว่าเราจะเผชิญกับสถานการณ์การโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 กระทรวงเกษตรฯ ได้บริหารจัดการเชิงรุก
โดยได้เร่งพัฒนาการบริหารผลไม้จัดการทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การสร้างมาตรฐาน GAP/GMP การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การบริหารโลจิสติกส์ ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผลไม้สามารถครองแชมป์การส่งออก ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 185% ทุเรียนส่งออกขยายตัว 172% และมังคุดเติบโตถึง 488% ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม มีมูลค่า 71,473 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดถึง 59.8% นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องกัน แต่ย่างเข้าเดือนกรกฎาคมการระบาดของโควิด19เข้าขั้นวิกฤติส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ ฟรุ้ทบอร์ดจึงต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มการบริโภคภายในประเทศ โครงการเกษตรกรแฮปปี้จึงเกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วน เฟสที่1 เราสามารถช่วยชาวสวนมังคุดภาคใต้จนราคาขยับตัวเกินเป้าหมาย ภายในเวลาสัปดาห์เศษ จึงขอเชิญชวนให้มาช่วยกันซื้อ ลำไย เงาะ ลองกอง นอกจากจะได้รับประทานผลไม้ดี ๆ แล้วยังช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกันภายใต้แนวทาง ”คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้” นายอลงกรณ์ กล่าว 

ทางด้านตัวแทนเกษตรกรชาวสวนลำไย เงาะและลองกองได้กล่าวขอบคุณฟรุ้ทบอร์ดที่ดูแลช่วยเหลือชาวสวนผลไม้มาโดยตลอดโดยเฉพาะโครงการเกษตรแฮปปี้เป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์เชื่อว่าจะช่วยชาวสวนได้ในช่วงที่ราคาตกต่ำจากผลกระทบของโควิด19
 

สมุทรปราการ-ธารน้ำใจ 'พญาอินทรี’ มอบแด่ 'พระครูจาบ' วัดหนามแดง  ถวายถังดับเพลิง 20 ถัง เพื่อใช้ป้องกันอัคคีภัย

ที่ภายในวัดหนามแดง ต.บางแก้ว  อ.บางพลี  จ.สมุทรปราการ  นายสวัสดิ์  เจริญวรชัย  ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ลีดเดอร์ ไฟร์ เซฟตี้ จำกัด และผู้อำนวยการ ฝ่ายปฎิบัติการพญาอินทรีบรรเทาภัย ศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี  พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี เดินทางไปยังวัดหนามแดง  อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อนำถังดับเพลิง จำนวน 20 ถัง นำไปถวายให้กับท่าน พระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง  เพื่อใช้ป้องกันเหตุเพลิงไหม้  เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 63 ที่ผ่านมา  วัดหนามแดงได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นกลางดึกภายในวัดโชคดีที่พระลูกวัดได้เห็นเหตุการณ์  และช่วยกันดับไฟไว้ได้ทัน  

และในการมอบถังดับเพลิงให้กับทางวัดหนามแดงในครั้งนี้  ทีมเจ้าหน้าที่พญาอินทรี  ได้มีการสาธิตวิธีการดับไฟพร้อมทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจและวิธีปฎิบัติที่ถูกต้องแก่พระสงฆ์วัดหนามแดง  โดยสมมุติเหตุการณ์เสมือนเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นจริง หรือเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นภายในวัด

โดยนายสวัสดิ์ เจริญวรชัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มจิตอาสา 9 องค์กรด้วยกัน และได้ดำเนินโครงการนี้มานานหลายปี โดยที่ผ่านมาได้มีการนำถังดับเพลิงไปถวายให้กับทางวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่า 4,000 ถัง อีกทั้ง ตนเองได้ทำงานด้านจิตอาสามานานกว่า 47 ปี ตั้งแต่อายุ 16 ปี และได้ทำงานด้านจิตอาสาทำความดีเพื่อสังคมมาโดยตลอด

เนื่องจากตนเองนั้น มองเห็นว่าปัจจุบันวัดส่วนใหญ่จะไม่มีอุปกรณ์ใช้ในการป้องกันเหตุอัคคีภัย บางวัดโทรแจ้งเหตุไปยังท้องถิ่นประสานขอรถน้ำมาทำการดับไฟ  แต่ก็อาจจะไม่ทันท่วงทีเนื่องจากระยะเวลาการเดินทางและการจราจร  โดยที่ผ่านมาวัดส่วนใหญ่ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นจะไม่มีถังดับเพลิง หรือ อาจมีจำนวนที่ไม่เพียงพอแต่หากทางวัดที่มีถังดับเพลิงติดตั้งอยู่ภายในวัด  และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็จะสามารถนำมาใช้ระงับเหตุเพลิงไหม้ได้ และอาจจะไม่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างหากเข้าใจวิธีการปฎิบัติอย่างถูกต้อง และเข้าใจวิธีแก้ไขเหตุเฉพาะหน้าจนนำไปสู่การดับไฟที่ถูกต้อง 


และในวันนี้ที่ทางศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี นำถังดับเพลิงมาถวายให้กับท่าน  พระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง จำนวน  20 ถัง เนื่องจากทางวัดแห่งนี้มีถังดับเพลิงไม่เพียงพอ  จึงมีความตั้งใจอยากจะร่วมทำบุญกับทางวัดหนามแดงแห่งนี้  อีกทั้งวัดมีพื้นที่เป็นจำนวนมาก  และมีอาคารที่เป็นไม้เก่า  อาคารส่วนใหญ่สร้างติดกัน

อย่างไรก็ตาม  การถวายถังดับเพลิงให้กับทางวัดหนามแดงในครั้งนี้ทางผมเองนั้นถวายให้ฟรี  โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้ง ถังดับเพลิงของทางวัดที่มีอยู่  จำนวน  4 ถัง  ทางศูนพญาอินทรี  จะนำไปอัดน้ำยาเคมีให้ใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน  และในส่วนถังดับเพลิงที่นำไปใช้งานแล้วเกิดหมด  ทางศูนย์ของเราก็จะดำเนินการนำถังไปบรรจุก๊าชให้ใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน

โดยทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการติดตั้งถังดับเพลิงบริเวณพื้นที่โดยรอบของวัดและมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ ทางศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี ยังมีเจ้าหน้าที่ชำนาญการมาให้ความรู้และทำการสาธิตวิธีการดับไฟ รวมถึงการระงับเหตุเพลิงไหม้อย่างถูกต้องและถูกวิธีอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่ตนเองนั้นนำถังดับเพลิงมาถวายให้กับทางวัดหนามแดง  เนื่องจากว่ามีความเลื่อมใสศรัทธา ท่านพระครูจาบ  รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง  ที่ได้เมตตารับเผาศพโควิดให้กับญาติโยม  ประกอบกับตนเองมองเห็นว่าทางวัดนั้นไม่มีถังดับเพลิงติดตั้งอยู่  จึงมีความห่วงใยและมีความตั้งใจที่จะนำถังดับเพลิงมาถวายให้กับทางวัดหนามแดงแห่งนี้ เพื่อไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เสด็จบำเพ็ญกุศล เททองหล่อพระพุทธรูปประจำองค์ ทรงประทานถวายนามว่า ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’

‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ ทรงกรุณาเสด็จบำเพ็ญกุศล ในพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปประจำองค์ ขนาดหน้าตัก 12นิ้ว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหัวดอน ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
 
โดยประวัติ ‘วัดหัวดอน’ 
นามเดิมชื่อ ‘วัดศรีสมพร’ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ต่อมา 
เปลี่ยนชื่อวัดในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ตาม พรบ.ปกครองคณะสงฆ์ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เปลี่ยนตามชื่อหมู่บ้าน คือ 
‘บ้านหัวดอน’ เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ จึงได้ชื่อว่า ‘วัดหัวดอน’ มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๓ หมู่ 4 บ้านหัวดอนใหญ่ ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีเนื้อที่ ๙ ไร่ ได้รับ ‘วิสุงคามสีมา’ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๕ มีอดีตเจ้าอาวาสคือ 
๑. พระมหาสุขุม (ไม่ทราบฉายา) 
๒. พระมหาหนู อกปญาโน 
๓. พระสุรศักดิ์ ผิวงาม 
๔. พระทอง (ไม่ทราบฉายา) 
๕. พระคำสา ผิวแดง 
๖. พระครูพนมธรรมกิต (หลวงพ่อทา) 
๗. พระครูปัญญาพัฒนคุณ (หลวงพ่อมาย) พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๕๕ 
๘. พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
 
ประวัติอ้างอิงในการสร้าง ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’ 
ในอดีตเดิม ‘นายโพ’ เป็นนายตำรวจ ชาวอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ได้สมรสกับหญิงสาวชาวบ้านหัวดอน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยแต่เดิม ‘นายโพ’เคยบวชเรียนก่อนมารับราชการเป็นตำรวจ ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ ‘นายโพ’ได้มีศรัทธารวบรวมของมีค่าที่สั่งสมมา และชักชวนชาวบ้านหัวดอนร่วมบริจาคทรัพย์สิน เช่น ทองคำ ทองแดง เงิน เป็นต้น เพื่อรวบรวมไปหล่อองค์พระที่ ‘วัดโพธิ์เครือ’ บ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ซึ่งมี ‘พระครูสอน’ (ชาวไทญ้อ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีวิชาศิลปการช่างหล่อพระแบบโบราณ และมีวิชาอาคมแกร่งกล้ามาก เป็นที่เคารพนับถือในสมัยนั้น ผู้คนต่างพากันให้ความเคารพท่านมาก ในการนี้ท่านได้นำสิ่งของมีค่านำไปหล่อพระดังกล่าวในคราวนั้นสามารถหล่อพระได้ ๒ องค์ คือ (๑) องค์ขนาดใหญ่ หน้าตัก 14 นิ้ว ได้ถวายนามว่า ‘พระศรีสมพร’ (๒) องค์ขนาดเล็ก หน้าตัก 9 นิ้ว ถวายนามว่า ‘พระชัยอัปสร’ (พระชัยหลังช้าง ใช้แห่ในงานมงคลต่างๆ เช่น งานสงกรานต์) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเนื้อสัมฤทธิ์แก่ทองคำศิลปะล้านช้าง ซึ่งปัจจุบันพระสกุลช่างพื้นถิ่นของชาวไทญ้อ ปัจจุบันเหลือเพียง ‘พระศรีสมพร’ ส่วน ‘พระชัยอัปสร’ ได้หายไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว 

 

ปัจจุบันพระพุทธรูป ‘ศรีสมพร’ เป็นพระคู่ ‘วัดหัวดอน’ มาจนถึงปัจจุบัน และได้ถวายพระนามใหม่ว่า ‘สมเด็จพระนางพญาศรีสมพร’ มูลเหตุที่มีคำว่า ‘สมเด็จพระนางพญา’ นำหน้าชื่อพระพุทธรูป ‘ศรีสมพร’ เนื่องจากว่าปีที่สร้างพระศรีสมพรนั้นคือปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นับเป็นปีประสูติของ ‘สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ’ ทางวัดจึงได้ขอถวายเป็นพระราชกุศล ได้ชื่อที่ไพเราะงดงาม ตามรูปลักษณ์ขององค์พระพุทธรูปองค์นี้ว่า ‘สมเด็จพระนางพญาศรีสมพร’ 
และ ‘พระชัยอัปสร’ นั้น ได้มีการเททองหล่อ หลังจากสร้าง ‘พระศรีสมพร’ ๑ ปี คือ พ.ศ.๒๔๗๖ แต่ปัจจุบันได้หายไปจาก ‘วัดหัวดอน’ ด้วยเหตุนี้ ‘พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล’ เจ้าอาวาสวัดหัวดอนรูปปัจจุบัน จึงมีดำริกับชาวบ้าน คณะศรัทธาวัดหัวดอน มีความเห็นว่าควรจะหล่อ ‘พระชัยอัปสร’ ขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่กราบไว้สักการะบูชา เป็นพระพี่ พระน้องคู่กันกับ ‘พระศรีสมพร’ จึงได้มีความเห็นชอบ ทำหนังสือขึ้นทูล ‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ‘ เชิญเสด็จเป็นองค์ประธานเททองหล่อ ‘พระชัยอัปสร’ เนื่องด้วยแต่เดิม ‘พระชัยอัปสร’ นั้น ได้เททองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ ซึ่งเป็นปีประสูติของ ‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ และขอประทานอนุญาตเชิญพระนามสถิตร่วมชื่อพระ โดยมีพระนามว่า ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’ เพื่อเป็นศิริมงคล เป็นมิ่งขวัญ แก่ ‘วัดหัวดอน’ และชาวบ้าน พุทธบริษัทที่เข้ามาทำบุญแก่วัดหัวดอน สืบต่อกาลนาน
 
ท้ายนี้ขอเชิญร่วมทำบุญได้ที่ ‘พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล’ เจ้าอาวาสวัดหัวดอน หรือโอนเงินที่ 103-1-75118-3 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี พระครูสังฆรักษ์สิรภพ จาริอุต
 
**อ้างอิงประวัติพระโบราณจาก 
๑) พระวิชัยธรรมคณี วิ. (หลวงพ่อเทพา) เจ้าคณะจังหวัดบึงกาฬ เจ้าอาวาสวัดเซกาเจติยาราม (พระอารามหลวง) เป็นผู้เล่าประวัติพระพุทธรูปโบราณ เป็นพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญเรื่องพระพุทธรูปโบราณ 
๒) จากพระพุทธรูปสองพี่น้อง วัดศรีบุญเรือง บ้านเพีย อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร 
๓) ประวัติเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เครือมีพระครูสอนเป็นผู้เก่งกล้าในวิชาช่าง และอาคมในสมัยนั้น 
***พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดหัวดอน เป็นผู้เรียบเรียง ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top